คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ประเทศบรูไน
นครรัฐในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
บรูไน (มลายู: Brunei) หรือ เนอการาบรูไนดารุสซาลาม[15] (Negara Brunei Darussalam, ยาวี: نݢارا بروني دارالسلام; แปลว่า บรูไนนครรัฐแห่งสันติภาพ) เป็นประเทศบนเกาะบอร์เนียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ชายฝั่งทางด้านเหนือจรดทะเลจีนใต้ พรมแดนทางบกที่เหลือจากนั้นถูกล้อมรอบด้วยรัฐซาราวักของมาเลเซียตะวันออก บรูไนเป็นประเทศเดียวที่มีพื้นที่ทั้งหมดอยู่บนเกาะบอร์เนียว ส่วนพื้นที่ที่เหลือของเกาะถูกแบ่งเป็นของประเทศมาเลเซียและอินโดนีเซีย ข้อมูลเมื่อ 2023[update] ประเทศนี้มีประชากร 455,858 คน[11] ในจำนวนนี้อาศัยอยู่ในบันดาร์เซอรีเบอกาวัน เมืองหลวงและเมืองใหญ่สุด ประมาณ 180,000 คน มีภาษามลายูเป็นภาษาราชการและศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจำชาติ แม้ว่าศาสนาอื่น ๆ ได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางการ รัฐบาลบรูไนปกครองโดยสุลต่านภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และกฎหมายที่ผสมผสานระหว่างคอมมอนลอว์ของอังกฤษและนิติศาสตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากศาสนาอิสลาม รวมถึงชะรีอะฮ์ด้วย
จักรวรรดิบรูไนเจริญถึงขีดสุดในสมัยสุลต่านโบลเกียห์ (ค.ศ. 1485–1528) โดยอ้างว่าสามารถควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวได้ อาทิรัฐซาราวักและซาบะฮ์ในปัจจุบัน และกลุ่มเกาะซูลูกับหมู่เกาะที่ปลายตะวันตกเฉียงเหนือของบอร์เนียว และยังมีการอ้างสิทธิ์ในอดีตควบคุมเหนือเซอลูดงที่นักวิชาการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เชื่อว่าชื่อของสถานที่ดังกล่าวนั้นแท้จริงแล้วเป็นการอ้างอิงถึงเขาเซอลูรงในประเทศอินโดนีเซีย[16]หรือแม่น้ำเซอรูดงในซาบะฮ์ตะวันออก[17] ลูกเรือที่รอดชีวิตในเรือจากการสำรวจของมาเจลลันเดินทางเยือนรัฐบรูไนใน ค.ศ. 1521 และใน ค.ศ. 1578 จึงสู้รบต่อสเปนในสงครามกัสติยา
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 จักรวรรดิบรูไนเริ่มเสื่อมอำนาจ สุลต่านยอมยกซาราวัก (กูจิง) ให้เจมส์ บรูก และแต่งตั้งให้เป็นรายาขาว จากนั้นซาบะฮ์ก็ตกเป็นของบริษัทเอ็นบีซีซีของอังกฤษ ใน ค.ศ. 1888 บรูไนกลายเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษและได้รับมอบหมายให้เป็นพลเมืองอังกฤษในฐานะผู้บริหารอาณานิคมเมื่อ ค.ศ. 1906 หลังญี่ปุ่นเข้ายึดครองในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง มีการเขียนกฎหมายสูงสุดฉบับใหม่ขึ้น และใน ค.ศ. 1962 เกิดกบฏติดอาวุธต่อระบอบกษัตริย์สิ้นสุดลงด้วยความช่วยเหลือของอังกฤษ และนำไปสู่การแบนพรรคประชาชนบรูไนที่สนับสนุนเอกราช การกบฏยังมีอิทธิต่อการตัดสินพระทัยของสุลลต่านที่ไม่เข้าร่วมสหพันธรัฐมาลายาที่กำลังสถาปนาขึ้น ความเป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษเหนือบรูไนสิ้นสุดในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 1984 ทำให้บรูไนกลายเป็นรัฐเอกราชอย่างเต็มตัว
บรูไนเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันเป็นสินค้าหลัก (ปริมาณการผลิตน้ำมันประมาณ 180,000 บาร์เรล/วัน)[18] และยังเป็นสมาชิกสหประชาชาติ, องค์การการค้าโลก, การประชุมสุดยอดเอเชียตะวันออก, องค์การความร่วมมืออิสลาม, ขบวนการไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด, เครือจักรภพแห่งประชาชาติ และอาเซียน
Remove ads
ศัพทมูลวิทยา
ตามประวัติศาสตร์ท้องถิ่น บรูไนได้รับการก่อตั้งโดยอาวัง อาลัก เบอตาตาร์ ภายหลังเป็นสุลต่านมูฮัมมัด ชะฮ์ ผู้ครองราชย์ประมาณ ค.ศ. 1400 พระองค์ย้ายจากการังในเขตเติมบูรง[19]ไปยังชะวากทะเลแม่น้ำบรูไน ค้นพบบรูไน ตามตำนานระบุว่า เมื่อขึ้นบก พระองค์ทรงอุทานว่า Baru nah (แปลแบบหลวม ๆ ว่า "นั่นไง!" หรือ "นี่") ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ "Brunei"[20] พระองค์เป็นผู้นำมุสลิมองค์แรกของบรูไน[21] ก่อนที่จักรวรรดิบรูไนจะรุ่งเรืองภายใต้ราชวงศ์โบลเกียห์ที่เป็นมุสลิม เชื่อกันว่าบรูไนเคยอยู่ภายใต้การปกครองของผู้นำพุทธ[22]
ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีการเปลี่ยนชื่อเป็น "Barunai" โดยอาจได้รับอิทธิพลจากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า "วรุณ" (वरुण) แปลว่า "กะลาสี"[23] คำว่า "Borneo" ก็มีที่มาเดียวกัน
Remove ads
ประวัติศาสตร์
สรุป
มุมมอง

บรูไนเป็นที่รู้จักและมีอำนาจมากในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 โดยมีอาณาเขตครอบครองส่วนใหญ่ของเกาะบอร์เนียวและส่วนหนึ่งของหมู่เกาะซูลู มีชื่อเสียงทางการค้า สินค้าส่งออกที่สำคัญในสมัยนั้น ได้แก่ การบูร พริกไทย และทองคำ
หลังจากนั้นบรูไนเสียดินแดนและเสื่อมอำนาจลงเนื่องจากสเปน และเนเธอร์แลนด์ได้แผ่อำนาจเข้ามา
จนถึงสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 19 ในปี พ.ศ. 2431 (ค.ศ. 1888) ด้วยความวิตกว่าจะต้องเสียดินแดนต่อไปอีก บรูไนจึงได้ยินยอมเข้าอยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษ และต่อมาในปี พ.ศ. 2449 (ค.ศ. 1906) บรูไนได้ลงนามในสนธิสัญญายินยอมอยู่เป็นรัฐในอารักขาของอังกฤษอย่างเต็มรูปแบบ
ในปี พ.ศ. 2472 (ค.ศ. 1929) บรูไนสำรวจพบน้ำมันและแก๊สธรรมชาติที่เมืองเซรีอา ทำให้บรูไนมีฐานะมั่งคั่งในเวลาต่อมา
ในปี พ.ศ. 2505 (ค.ศ. 1962) ได้มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาชนบอร์เนียว (Borneo People’s Party) ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้น แต่ถูกกีดกันไม่ให้จัดตั้งรัฐบาล ต่อมาจึงได้ยึดอำนาจจากสุลต่าน แต่สุลต่านทรงได้รับความช่วยเหลือจากกองทหารกูรข่าที่กองทัพบกอังกฤษส่งมาจากสิงคโปร์ หลังจากนั้นได้มีการประกาศภาวะฉุกเฉิน และต่ออายุทุก ๆ 2 ปี เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
หลังจากที่อยู่ภายใต้อารักขาของอังกฤษมาถึง 95 ปี บรูไนก็ได้รับเอกราชเมื่อวันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 (ค.ศ. 1984)
Remove ads
ภูมิศาสตร์

บรูไนเป็นประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ประกอบด้วย 2 ส่วนที่ไม่ติดกัน ซึ่งมีพื้นที่บนเกาะบอร์เนียวรวม 5,765 ตารางกิโลเมตร (2,226 ตารางไมล์) มีขนาดชายฝั่งถัดจากทะเลจีนใต้ 161 กิโลเมตร (100 ไมล์) และมีชายแดนติดกับมาเลเซีย 381 กิโลเมตร (237 ไมล์) บรูไนมีน่านน้ำอาณาเขตที่ 500 ตารางกิโลเมตร (193 ตารางไมล์) และเขตเศรษฐกิจจำเพาะ 200 ไมล์ทะเล (370 กิโลเมตร; 230 ไมล์)[24]
ประชากรประมาณร้อยละ 97 อาศัยอยู่ในด้านตะวันตกที่ใหญ่กว่า (เบอไลต์, ตูตง และบรูไน-มัวรา) ส่วนประชากรประมาณ 10,000 คนอาศัยอยู่ในด้านตะวันออกที่มีภูเขาเป็นจำนวนมาก (เขตเติมบูรง) ประชากรทั้งหมดในบรูไนมีประชากร 408,000 คน (ข้อมูลเมื่อ July 2010[update]) ในจำนวนนี้มีผู้อาศัยอยู่ในเมืองหลวงบันดาร์เซอรีเบอกาวันประมาณ 150,000 คน[25] เมืองหลักแห่งอื่นได้แก่เมืองท่ามัวรา เมืองผลิตน้ำมันเซอเรียและกัวลาเบอไลต์ใกล้เคียง ในเขตเบอไลต์ มีพื้นที่ปานากาที่เป็นที่อยู่อาศัยของชาวยุโรปผู้อพยพไปอยู่ต่างประเทศจำนวนมาก เนื่องจากมีบริษัทรอยัลดัตช์เชลล์และกองทัพอังกฤษเป็นที่พักพิง นอกจากนี้ยังมีสถานพักผ่อนหย่อนใจหลายแห่งตั้งอยู่ที่นั่น[26]
ภูมิอากาศในบรูไนเป็นภูมิอากาศเขตร้อน มีอุณหภูมิสูง ความชื้นสูง และ ฝนตกมาก
การเมืองการปกครอง
สรุป
มุมมอง

รัฐธรรมนูญปัจจุบันซึ่งแก้ไขล่าสุดเมื่อ 1 มกราคม พ.ศ. 2527 กำหนดให้สุลต่านทรงเป็นอธิปัตย์ คือเป็นทั้งประมุข นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม นายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นชาวบรูไนเชื้อสายมลายูตั้งแต่กำเนิด และจะต้องเป็นมุสลิมนิกายซุนนี นอกจากนี้ บรูไนไม่มีสภาที่ได้รับเลือกจากประชาชน
นโยบายหลักของบรูไน ได้แก่การสร้างความเป็นปึกแผ่นภายในชาติ และดำรงความเป็นอิสระของประเทศ ทั้งนี้ บรูไนมีที่ตั้งที่ถูกโอบล้อมโดยมาเลเซีย และมีอินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศมุสลิมขนาดใหญ่อยู่ทางใต้ บรูไนมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับสิงคโปร์ เนื่องจากมีเงื่อนไขคล้ายคลึงกันหลายประการ อาทิ เป็นประเทศเล็ก และมีอาณาเขตติดกับประเทศมุสลิมขนาดใหญ่
นับจากการพยายามยึดอำนาจเมื่อปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลได้ประกาศกฎอัยการศึกส่งผลให้ไม่มีการเลือกตั้ง รวมทั้งบทบาทพรรคการเมืองได้ถูกจำกัดอย่างมาก จนปัจจุบันพรรคการเมือง ได้แก่ Parti Perpaduan Kebangsaan Brunei (PPKB) และ Parti Kesedaran Rakyat (PAKAR) ไม่มีบทบาทมากนัก เนื่องจากรัฐบาลควบคุมด้วยมาตรการต่าง ๆ อาทิ กฎหมายความมั่นคงภายในประเทศ (Internal Security Act (ISA)) ห้ามการชุมนุมทางการเมือง และสามารถถอดถอนการจดทะเบียนเป็นพรรคการเมืองได้ ตลอดจนห้ามข้าราชการ (ซึ่งมีเป็นจำนวนกว่าครึ่งของประชากรบรูไนทั้งหมด) เป็นสมาชิกพรรคการเมือง นอกจากนี้ รัฐบาลเห็นว่าพรรคการเมืองไม่มีความจำเป็น เนื่องจากประชาชนสามารถแสดงความคิดเห็นหรือขอความช่วยเหลือจากข้าราชการของสุลต่านได้อยู่แล้ว
เมื่อเดือนกันยายน พ.ศ. 2547 ได้มีการจัดการประชุมของสภาเป็นครั้งแรก ตั้งแต่บรูไนประกาศเอกราช
บริหาร
สุลต่านเป็นประมุขและหัวหน้ารัฐบาลในบรูไน โดยใช้อำนาจเด็ดขาดและอำนาจบริหารเต็มที่ภายใต้กรอบของรัฐธรรมนูญปี 2502 สุลต่านทรงแต่งตั้ง ห้าสภาคือ องคมนตรีสภา สันตติวงศ์สภา ศาสนาสภา รัฐมนตรี และสภานิติบัญญัติ
นิติบัญญัติ
ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. 2502 มีการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติ (มาเลย์: Majlis Mesyuarat Negera) แต่มีการเลือกตั้งเพียงครั้งเดียวที่เคยเกิดขึ้นในปี 2505 ในไม่นานหลังจากการเลือกตั้งสภาก็เลือนหายไปตามประกาศภาวะฉุกเฉิน สภาได้รับการแต่งตั้งโดยคำสั่งของสุลต่าน ในปี 2547 สุลต่านประกาศว่าสำหรับการเลือกตั้งรัฐสภาครั้งต่อไปจะมีการเลือกตั้ง 15 จาก 20 ที่นั่ง อย่างไรก็ตามไม่มีการกำหนดวันที่สำหรับการเลือกตั้ง
ปัจจุบันสภานิติบัญญัติประกอบด้วยสมาชิกที่ได้รับการแต่งตั้งจำนวน 20 คนและมีอำนาจในการให้คำปรึกษาเท่านั้น
ตุลาการ
ระบบยุติธรรมในบรูไนมีรากฐานมาจากเจ้าอาณานิคมอังกฤษ โดยเป็นระบบกฎหมายคู่
การแบ่งเขตการปกครอง

ประเทศบรูไนแบ่งการปกครองระดับบนสุดออกเป็น 4 เขต (daerah) ดังนี้
- เขตบรูไน-มัวรา (Brunei-Muara)
- เขตเบอไลต์ (Belait)
- เขตตูตง (Tutong)
- เขตเติมบูรง (Temburong)
เมืองใหญ่สุด
สิทธิมนุษยชน
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
สิทธิมนุษยชนในบรูไนถูกกำกับโดยระบบยุติธรรมแบบศาสนาอิสลาม
การต่างประเทศ
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
จนกระทั่งปี 1979 ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของบรูไนได้รับการจัดการโดยรัฐบาลสหราชอาณาจักร หลังจากได้รับเอกราชในปี 1984 การต่างประเทศนี้ได้รับการยกระดับเป็นระดับรัฐมนตรีและเป็นที่รู้จักในนามกระทรวงการต่างประเทศ
นโยบายต่างประเทศของบรูไนอย่างเป็นทางการมีดังนี้
- การเคารพซึ่งกันและกันของอธิปไตยเหนือดินแดนความซื่อสัตย์และความเป็นอิสระของผู้อื่น
- การบำรุงรักษาความสัมพันธ์ฉันมิตรในหมู่ประชาชาติ
- การไม่แทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น และ
- การบำรุงรักษาและการส่งเสริมสันติภาพความมั่นคงและความมั่นคงในภูมิภาค
ด้วยความผูกพันดั้งเดิมกับสหราชอาณาจักรบรูไนก็กลายเป็นสมาชิกคนที่ 49 ของเครือจักรภพทันทีในวันประกาศอิสรภาพเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2527 หนึ่งในโครงการริเริ่มแรกที่มีต่อความสัมพันธ์ในภูมิภาคที่ดีขึ้นบรูไนได้เข้าร่วมกับอาเซียนในวันที่ 7 มกราคม 2527 โดยเป็นสมาชิกลำดับที่หก เพื่อให้บรรลุถึงการยอมรับอำนาจอธิปไตยและความเป็นอิสระมันได้เข้าร่วมสหประชาชาติในฐานะสมาชิกเต็มรูปแบบในวันที่ 21 กันยายนของปีเดียวกัน
ในฐานะประเทศอิสลามบรูไนก็กลายเป็นสมาชิกเต็มรูปแบบขององค์กรการประชุมอิสลาม (ปัจจุบันเป็นองค์กรความร่วมมืออิสลาม) ในเดือนมกราคม 2527 ในการประชุมสุดยอดอิสลามครั้งที่สี่ที่จัดขึ้นในโมร็อกโก
หลังจากเข้าร่วมในเวทีความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย - แปซิฟิก (APEC) ในปี 2532 บรูไนได้เป็นเจ้าภาพการประชุมผู้นำเศรษฐกิจเอเปคในเดือนพฤศจิกายน 2543 และการประชุมระดับภูมิภาคอาเซียน (ARF) ในเดือนกรกฎาคม 2545 บรูไนเป็นสมาชิกผู้ก่อตั้งองค์การการค้าโลก (WTO) เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2538 และเป็นผู้มีบทบาทสำคัญใน BIMP-EAGA ซึ่งก่อตั้งขึ้นในระหว่างการประชุมรัฐมนตรีครั้งแรกในเมืองดาเวาประเทศฟิลิปปินส์เมื่อวันที่ 24 มีนาคม 2537
บรูไนมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับสิงคโปร์และฟิลิปปินส์ ในเดือนเมษายน 2552 บรูไนและฟิลิปปินส์ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) ที่พยายามกระชับความร่วมมือทวิภาคีของทั้งสองประเทศในด้านการเกษตรและการค้าและการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร
บรูไนเคยดำรงตำแหน่งประธานอาเซียนในปี 2556 นอกจากนี้ยังเป็นเจ้าภาพการประชุมสุดยอดอาเซียนในปีเดียวกัน
การทหาร
กองทัพบรูไน (Royal Brunei Armed Forces หรือ RBAF) มีกำลังพลเพียง 7,000 นาย และกำลังสำรอง 700 นาย โดยแบ่งเป็นกองทัพบก 4,900 นาย กองทัพเรือ 1,000 นาย และกองทัพอากาศ 1,200 นาย
อย่างไรก็ดี สุลต่านยังมีกองทหารกูรข่าของพระองค์เอง เรียกว่า Gurkha Reserve Unit (GRU) จำนวน 2,500 นาย และกองทหารกูรข่าของอังกฤษ (British Gurkha) รวมกำลังพล 1,000 คน ประจำอยู่ที่เมืองเซอเรีย เพื่อดูแลรักษาความปลอดภัยให้แก่บ่อน้ำมัน และกิจการผลิตน้ำมันของกองทัพบรูไน Brunei Shell Petroleum โดยรัฐบาลบรูไนเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย
Remove ads
เศรษฐกิจ
สรุป
มุมมอง
ประเทศบรูไนเป็นประเทศที่ร่ำรวยไปด้วยน้ำมันและแก๊สธรรมชาติซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำรายได้มาสู่ประเทศเป็นอันดับหนึ่ง แต่รัฐบาลบรูไนก็เริ่มตระหนักว่าประเทศชาติจะพึ่งพิงรายได้จากทรัพยากรทั้งสองอย่างเท่านี้ไม่ได้เสียแล้ว แต่ควรหันมาให้ความสนใจกับทรัพยากรธรรมชาติอี่น ๆ ที่ยังคงมีมากมายเช่น ป่าไม้ แร่ธาตุ สัตว์น้ำ และพื้นที่อันอุดมสมบรูณ์เหมาะแก่การเกษตร เพื่อเป็นการเร่งรัดการพัฒนารูปแบบของการลงทุน สุลต่านบรูไนได้ทรงตั้งกระทรวงขึ้นมาใหม่คือกระทรวงอุตสาหกรรมและทรัพยากรธรรมชาติ เพื่อทำหน้าที่ดูแลวางแผนและดำเนินงานด้านอุตสาหกรรมและการลงทุนโดยเฉพาะ โครงการอุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนและเร่งรัดส่งเสริมเป็นพิเศษ ได้แก่ อุตสาหกรรมขนาดเล็ก โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่สัมพันธ์กับภาคเกษตร ป่าไม้ และการประมง
การดำเนินการช่วงแรกนั้น รัฐบาลมุ่งสนับสนุนโรงงานและอุตสาหกรรมขนาดเล็กในภูมิภาคที่สามารถป้อนผลผลิตให้กับผู้บริโภคในท้องถิ่นก่อนเป็นอันดับแรกแล้วจึงขยายไปสู่การผลิตเพื่อการส่งออกในระยะยาว รัฐบาลได้ตั้งความหวังว่าอุตสาหกรรมเหล่านี้จะเป็นแหล่งที่เข้ามาแทนที่อุตสาหกรรมน้ำมันที่อาจหมดไปในอนาคต โดยที่ประชาชนยังมีหลักประกันว่าจะมีงานทำ บรูไนเป็นประเทศที่มั่งคั่งด้วยทรัพยากร ขณะนี้ยังมีประชากรน้อยมาก แต่บรูไนก็ไม่ได้หวังพึ่งพารายได้จากการขายน้ำมันเพียงอย่างเดียว ได้พยายามที่จะพัฒนาประเทศให้พึ่งพาตัวเองได้ อย่างไรก็ตามบรูไนเป็นประเทศที่มีค่าครองชีพสูงมากแห่งหนึ่งของโลก แต่รัฐบาลได้ให้สวัสดิการอย่างดีเลิศแก่ประชาชน อาทิ ไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ส่วนบุคคล ค่ารักษาพยาบาลฟรี การศึกษา รัฐให้เล่าเรียนจนถึงระดับชั้นมัธยมศึกษา นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการแก่ข้าราชการของรัฐ อุตสาหกรรมสำคัญของประเทศ คือ น้ำมัน ส่วนพืชเกษตรที่สำคัญ ได้แก่ ข้าว กล้วย
อุตสาหกรรม
บรูไนมีอุตสาหกรรมอื่น นอกเหนือจากอุตสาหกรรมน้ำมันอยู่บ้าง อาทิ การผลิตอาหาร และปลากระป๋อง
แนวโน้มการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
ปัจจุบัน บรูไนกำลังพยายามเปลี่ยนแปลง จากเศรษฐกิจที่พึ่งพาน้ำมันเป็นหลัก ไปสู่โครงสร้างเศรษฐกิจ ที่มีความหลากหลายมากขึ้น เนื่องจากมีการคาดการณ์ว่าปริมาณน้ำมันสำรองที่ยืนยันแล้ว (proven reserve) ของบรูไนจะหมดลงในราวปี พ.ศ. 2558 ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในเอเชีย ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 ทำให้บรูไนเร่งปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจ และใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อสร้างความหลากหลายทางเศรษฐกิจ ได้แก่
- จัดตั้งสภาที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ นำโดยเจ้าชายโมฮาเหม็ด โบลเกียห์ (รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของบรูไน) ซึ่งมีแนวทางส่งเสริมภาคเอกชน ให้มีบทบาทมากขึ้น ในการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ
- ปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจ จากเดิมที่เน้นนโยบายให้สวัสดิการ มาเป็นการส่งเสริมการลงทุนจากต่างประเทศ และแปรรูปรัฐวิสาหกิจต่าง ๆ โดยให้เอกชนเข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น ขยายฐานการจัดเก็บภาษี
- ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนในต่างประเทศของ BIA โดยหันมาลงทุนในธุรกิจด้านใหม่ ๆ ซึ่งมีความเสี่ยงต่ำ เช่น การซื้อหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและโทคมนาคม หรือธุรกิจสายการบินต่าง ๆ
- แผนพัฒนาแห่งชาติฉบับที่ 8 (The Eighth National Development Plan: 8th NDP) ที่ดำเนินการระหว่างปี พ.ศ. 2544-2548 มีสาระสำคัญ ได้แก่ ตั้งเป้าอัตราการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี - GDP) ที่ร้อยละ 5–6 โดยตั้งวงเงินงบประมาณ สำหรับการดำเนินตามแผนฯ ไว้ 7.3 พันล้านดอลลาร์บรูไน ซึ่งคาดว่ากลยุทธ์ทางการพัฒนาใหม่นี้ จะช่วยให้รัฐบาลสร้างสมดุลของงบประมาณได้ดีขึ้น สามารถกำหนดมาตรการในการพัฒนา และฟื้นฟูเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน สร้างความแข็งแกร่งและการขยายตัวให้กับอุตสาหกรรมน้ำมันและแก๊ส รวมทั้งการพัฒนาอุตสาหกรรมต่อเนื่องต่าง ๆ พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมและทรัพยากรมนุษย์ รวมทั้งอุตสาหกรรมขนาดเล็กและย่อม การขยายความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน แปรรูปรัฐวิสาหกิจบางกิจการ และสร้างความแข็งแกร่งในระบบการเงินและการคลัง นอกจากนี้ รัฐบาลบรูไนยังยึดแนวคิดของวิธีการปกครองที่ดี (Good Governance) รวมทั้งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับภาคเอกชน
- ส่งเสริมการลงทุนกับต่างประเทศ และมีมาตรการเปิดเสรีด้านการค้า และสร้างบรรยากาศที่เอื้ออำนวยต่อการลงทุน ไม่เฉพาะแต่บริษัทในประเทศ แต่รวมถึงประเทศต่าง ๆ จากกลุ่มอาเซียน และนานาประเทศ
- พัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์บริการการค้าและการท่องเที่ยว (Service Hub for Trade and Tourism -SHuTT 2003 Vision) และเป็นตลาดการขนถ่ายสินค้าที่สำคัญของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งเป็นเป้าหมายประการหนึ่งของโครงการความร่วมมือของกลุ่ม Brunei Indonesia Malaysia Philippines-East ASEAN Growth Area (BIMP-EAGA)
- สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจและเอื้ออำนวยต่อโครงการพัฒนาเศรษฐกิจและสาธารณูปโภคพื้นฐาน นอกจากนี้ จากการที่บรูไนได้กำหนดแผนพัฒนาประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินนานาชาติ (Brunei International Financial Center : BIFC) โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะยกระดับประเทศ ในด้านการบริการการเงินในระดับนานาชาติ กระจายความหลากหลายทางเศรษฐกิจ และสร้างงานให้กับประชาชน
การท่องเที่ยว
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
บรูไนเป็นประเทศที่เริ่มหันมาพัฒนาเรื่องการท่องเที่ยวอย่างจริงจังในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ในปี 2560 จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติทั้งหมดที่เดินทางมาถึงบรูไนดารุสซาลามผ่านสนามบินนานาชาติบรูไนมีจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งสิ้น 258,955 คนเมื่อเทียบกับนักท่องเที่ยวที่มีจำนวน 218,809 คนในปี 2559 เพิ่มขึ้น 18.3% เมื่อเทียบกับปีก่อน ความสำเร็จครั้งนี้เกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ 10% จากปีที่แล้วและนับเป็นสถิติที่สูงที่สุดของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาตินับตั้งแต่ปี 2554 ที่จำนวนนักท่องเที่ยว 242,061 คน
Remove ads
โครงสร้างพื้นฐาน
สรุป
มุมมอง
การคมนาคม
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ในประเทศเชื่อมโยงกันด้วยเครือข่ายถนนระยะทาง 2,800 กิโลเมตร (1,700 ไมล์) ทางหลวงระยะทาง 135 กิโลเมตร (84 ไมล์) จากเมือง Muara ไปยัง Kuala Belait กำลังได้รับการพัฒนาต่อเติมเป็นถนนสองเลน
บรูไนสามารถเดินทางโดยเครื่องบินทะเลและการขนส่งทางบก ท่าอากาศยานนานาชาติบรูไนเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของประเทศ สายการบินรอยัลบรูไน เป็นสายการบินแห่งชาติ มีสนามบินอีกแห่งหนึ่งคือสนามบิน Anduki ที่ตั้งอยู่ใน Seria ท่าเรือเฟอร์รี่ที่ Muara ให้บริการเชื่อมต่อไปยังลาบวน (มาเลเซีย) เป็นประจำ เรือเร็วให้บริการขนส่งผู้โดยสารและสินค้าไปยังเขต Temburong ทางหลวงสายหลักที่วิ่งข้ามประเทศบรูไนคือทางหลวง Tutong-Muara เครือข่ายถนนของประเทศได้รับการพัฒนาอย่างดี บรูไนมีท่าเรือหลักอยู่ที่ Muara
สนามบินในบรูไนกำลังได้รับการยกระดับอย่างกว้างขวาง สนามบินนานาชาติจางีเป็นที่ปรึกษาด้านการปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ทันสมัยซึ่งปัจจุบันมีต้นทุนการวางแผนอยู่ที่ 150 ล้านดอลลาร์ โครงการนี้มีกำหนดจะเพิ่มพื้นที่พื้นใหม่ 14,000 ตารางเมตร (150,000 ตารางฟุต) และมีอาคารผู้โดยสารและโถงผู้โดยสารขาเข้าใหม่ เมื่อเสร็จสิ้นโครงการนี้ความจุผู้โดยสารประจำปีของสนามบินคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าจาก 1.5 เป็น 3 ล้านคน
ด้วยรถยนต์ส่วนตัวหนึ่งคันสำหรับทุก ๆ 2.09 คนบรูไนมีอัตราการเป็นเจ้าของรถยนต์ที่สูงที่สุดในโลก นี่เป็นผลมาจากการที่ไม่มีระบบการขนส่งที่ครอบคลุมภาษีนำเข้าต่ำและราคาน้ำมันไร้สารตะกั่วต่ำเพียง 0.53 ดอลลาร์ต่อลิตร
ถนนสายใหม่ระยะทาง 30 กม. (19 ไมล์) ซึ่งเชื่อมต่อกับเขต Muara และ Temburong ของบรูไนมีกำหนดจะแล้วเสร็จในปี 2562 สิบสี่กิโลเมตร (9 ไมล์) ของถนนสายนี้จะข้ามอ่าวบรูไน ใช้งบประมาณก่อสร้างสะพานคือ 1.6 พันล้านดอลลาร์
การศึกษา
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
การศึกษาในบรูไนถูกกำกับโดยกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงศาสนา มีการสอนศาสนาอิสลามและมีการเน้นการสอนภาษามาเลย์และภาษาอังกฤษ
สาธารณสุข
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
บรูไนมีโรงพยาบาลที่ดำเนินการโดยรัฐบาล นอกจากนี้ยังมีศูนย์สุขภาพไม่ต่ำกว่า 16 แห่งและคลินิกสุขภาพ 10 แห่ง
การดูแลสุขภาพในบรูไนมีค่าใช้จ่าย 1 ดอลล่าร์บรูไน และฟรีสำหรับเด็กที่อายุต่ำกว่า 12 ปี
Remove ads
ประชากรศาสตร์
สรุป
มุมมอง

กลุ่มชาติพันธุ์พื้นเมืองในบรูไนได้แก่เบอไลต์, บีซายาบรูไน (ระวังสับสนกับบีซายาของฟิลิปปินส์) มลายูบรูไนพื้นเมือง, ดูซุน, เกอดายัน, ลุนบาวัง, มูรุต และตูตง
ประชากรบรูไนใน พ.ศ. 2560 อยู่ที่ 423,196[27] ในจำนวนนี้ร้อยละ 76 อาศัยอยู่ในเขตเมือง ตั้งแต่ ค.ศ. 2010 ถึง 2015 อัตราการขยายตัวเป็นเมืองอยู่ที่ประมาณร้อยละ 2.13 ต่อปี ชาวบรูไนมีอายุขัยเฉลี่ยอยู่ที่ 77.7 ปี[28] ใน ค.ศ. 2014 ประชากรร้อยละ 65.7 เป็นชาวมลายู ร้อยละ 10.3 เป็นชาวจีน ร้อยละ 3.4 เป็นชนพื้นเมือง ส่วนกลุ่มเล็ก ๆ ที่เหลือรวมเป็นร้อยละ 20.6[29] ประเทศนี้มีชุมชนชาวต่างชาติขนาดใหญ่[30] ชาวต่างชาติส่วนใหญามาจากประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม เช่น ออสเตรเลีย สหราชอาณาจักร เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ ไทย กัมพูชา เวียดนาม และอินเดีย
ศาสนา
อิสลามเป็นศาสนาประจำชาติของประเทศบรูไน[24] โดยเฉพาะในนิกายซุนนี สำนักชาฟิอี ประชากรมากกว่าร้อยละ 82 (รวมชาวมลายูบรูไนส่วนใหญ่และเกอดายัน) ระบุตนเองเป็นมุสลิม นอกจากนี้ยังมีความเชื่ออื่น ๆ เช่น คริสต์ (6.7%) และพุทธ (6.3%, ส่วนใหญ่เป็นชาวจีน)[6] ผู้มีความคิดอย่างอิสระที่ส่วนใหญ่เป็นชาวจีนมีเพียงประมาณร้อยละ 2 ของประชากร แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะนับถือศาสนาที่มีองค์ประกอบของพุทธศาสนา ลัทธิขงจื๊อ และลัทธิเต๋า พวกเขาระบุตนเองเป็นผู้ที่ไม่ได้นับถือศาสนาอย่างเป็นทางการ จึงเป็นที่มาของการระบุเป็นอเทวนิยมในสำมะโนทางการ ผู้นับถือศาสนาพื้นเมืองมีเพียงประมาณร้อยละ 2 ของประชากร[31]
ภาษา
ประเทศบรูไนใช้ภาษามลายู (Bahasa Melayu) เป็นภาษาราชการ ส่วนภาษาอังกฤษและภาษาจีนเป็นภาษารองที่ใช้สื่อสารกันแพร่หลาย
Remove ads
วัฒนธรรม
สรุป
มุมมอง
วีฒนธรรมบรูไนส่วนใหญ่เป็นมลายู (สะท้อนกลุ่มชาติพันธุ์) ที่มีอิทธิพลจากศาสนาอิสลามอย่างมาก แต่ถูกมองว่ามีความอนุรักษ์นิยมกว่าของอินโดนีเซียและมาเลเซีย[32] อิทธิพลต่อวัฒนธรรมบรูไนมาจากวัฒนธรรมมลายูในกลุ่มเกาะมลายู โดยเกิดอิทธิพลทางวัฒนธรรม 4 ช่วง ได้แก่: วิญญาณนิยม, ฮินดู, อิสลาม และตะวันตก อิสลามมีอิทธิพลอย่างมากและได้รับการยอมรับให้เป็นอุดมการณ์และปรัชญาของบรูไน[33]
เนื่องจากเป็นประเทศชะรีอะฮ์ ทำให้มีการห้ามจำหน่ายและบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในที่สาธารณะ[34] ผู้ที่ไม่ใช่มุสลิมได้รับอนุญาตให้นำแอลกอฮอล์เข้ามาในปริมาณจำกัดจากจุดขึ้นเครื่องในต่างประเทศ เพื่อการบริโภคส่วนตัว[35]
สื่อสารมวลชน
สื่อในบรูไนได้รับการกล่าวขานว่าสนับสนุนรัฐบาล การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลและสถาบันพระมหากษัตริย์โดยสื่อมีน้อย Freedom House จัดให้สื่อในประเทศนี้อยู่ในระดับ "ไม่เสรี"[36] กระนั้น สื่อมวลชนไม่ได้มีท่าทีเป็นศัตรูต่อมุมมองทางเลือกอย่างชัดเจน และไม่ได้จำกัดอยู่เพียงการตีพิมพ์บทความเกี่ยวกับรัฐบาลเท่านั้น
กีฬา
ประเทศบรูไนมีกีฬาที่ยอดนิยมในประเทศคือกีฬาฟุตบอล ฟุตบอลทีมชาติบรูไนเข้าร่วมฟีฟ่าใน ค.ศ. 1969 แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จมากนัก ลีกสูงสุดในประเทศคือบรูไนซูเปอร์ลีกที่บริหารโดยสมาคมฟุตบอลบรูไนดารุสซาลาม (FABD) ประเทศนี้มีศิลปะการต่อสู้เป็นของตนเองชื่อ "ซีลัตซุฟเฟียนเบอลาดีรี" (Silat Suffian Bela Diri)[37]
Remove ads
หมายเหตุ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads