ปรีดี พนมยงค์
อดีตนายกรัฐมนตรีไทย / From Wikipedia, the free encyclopedia
ศาสตราจารย์ ปรีดี พนมยงค์ น.ร. ป.จ. ม.ป.ช. ม.ว.ม. อ.ป.ร. ๑ GCMG หรืออำมาตย์ตรี หลวงประดิษฐ์มนูธรรม (11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 – 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526) เป็นนักกฎหมาย อาจารย์ นักกิจกรรม นักการเมือง และนักการทูตชาวไทย ผู้ได้รับการยกย่องเกียรติคุณอย่างสูง เป็นรัฐบุรุษอาวุโส ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 7 และรัฐมนตรีหลายกระทรวง หัวหน้าคณะราษฎรสายพลเรือน ผู้ประศาสน์การ (ผู้ก่อตั้ง) มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์)และเป็นผู้ก่อตั้งธนาคารชาติไทย (ปัจจุบันคือ ธนาคารแห่งประเทศไทย)
ปรีดี พนมยงค์ | |
---|---|
ปรีดีใน พ.ศ. 2488 | |
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ | |
ดำรงตำแหน่ง 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 – 5 ธันวาคม พ.ศ. 2488 (3 ปี 355 วัน) | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร |
นายกรัฐมนตรี | |
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 7 | |
ดำรงตำแหน่ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (0 ปี 152 วัน) | |
กษัตริย์ | |
ก่อนหน้า | ควง อภัยวงศ์ |
ถัดไป | ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง | |
ดำรงตำแหน่ง 24 มีนาคม พ.ศ. 2489 – 23 สิงหาคม พ.ศ. 2489 (0 ปี 152 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | ตนเอง |
ก่อนหน้า | พระยาศรีวิสารวาจา |
ถัดไป | วิจิตร ลุลิตานนท์ |
ดำรงตำแหน่ง 20 ธันวาคม พ.ศ. 2481 – 16 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (2 ปี 362 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | แปลก พิบูลสงคราม |
ก่อนหน้า | เสริม กฤษณามระ |
ถัดไป | เภา เพียรเลิศ บริภัณฑ์ยุทธกิจ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ | |
ดำรงตำแหน่ง 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2479 – 13 ธันวาคม พ.ศ. 2481 (2 ปี 154 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | พระยาพหลพลพยุหเสนา |
ก่อนหน้า | พระยาศรีเสนา |
ถัดไป | เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย | |
ดำรงตำแหน่ง 29 มีนาคม พ.ศ. 2477 – 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2478 (0 ปี 320 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | พระยาพหลพลพยุหเสนา |
ก่อนหน้า | พระยาพหลพลพยุหเสนา |
ถัดไป | ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | ปรีดี 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2443 อยุธยา เมืองกรุงเก่า ประเทศสยาม |
เสียชีวิต | 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2526 (82 ปี) ปารีส ประเทศฝรั่งเศส |
เชื้อชาติ | ไทย |
พรรคการเมือง | คณะราษฎร สหชีพ |
การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | เสรีไทย |
คู่สมรส | พูนศุข ณ ป้อมเพชร (สมรส 2471) |
บุตร | |
บุพการี |
|
ญาติ | อรรถกิจ พนมยงค์ (น้องชายร่วมบิดา) |
ศิษย์เก่า | |
ลายมือชื่อ | |
เขาเกิดในครอบครัวชาวนาที่กรุงเก่า แต่ได้รับการส่งเสียให้ได้รับการศึกษาที่ดี สำเร็จการศึกษาจากเนติบัณฑิตยสภา และสอบไล่ได้เป็นเนติบัณฑิตตั้งแต่อายุ 19 ปี เป็นนักเรียนทุนศึกษาต่อด้านกฎหมายที่ประเทศฝรั่งเศส จนสำเร็จการศึกษาขั้นดุษฎีบัณฑิต ณ มหาวิทยาลัยปารีส ในปี 2469 เขาเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้ก่อตั้งคณะราษฎรในประเทศฝรั่งเศสในปีเดียวกัน จากนั้นเดินทางกลับประเทศเพื่อประกอบอาชีพเป็นผู้พิพากษา ผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย และอาจารย์ผู้สอนวิชากฎหมายปกครอง ณ โรงเรียนกฎหมาย หลังการปฏิวัติสยามในปี 2475 เขามีบทบาทสำคัญในการร่างรัฐธรรมนูญสองฉบับแรกของประเทศ และวางแผนเศรษฐกิจ หลังเดินทางออกนอกประเทศช่วงสั้น ๆ เนื่องจากปฏิกิริยาต่อแผนเศรษฐกิจของเขา เขาเดินทางกลับมารับตำแหน่งรัฐมนตรีหลายกระทรวงในรัฐบาลพระยาพหลพลพยหุเสนาและแปลก พิบูลสงคราม มีบทบาทสำคัญในการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย การวางรากฐานการบริหารราชการแผ่นดินโดยเฉพาะราชการส่วนท้องถิ่น การเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศ ตลอดจนการปฏิรูปภาษี
ความเห็นของเขาแตกกับแปลก พิบูลสงคราม เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลระหว่างปี 2484 ถึง 2488 และเป็นผู้นำขบวนการเสรีไทยในประเทศช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เขาพยายามบ่อนทำลายความชอบธรรมของประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. จนฝ่ายสัมพันธมิตรไม่ถือโทษเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม หลังสงครามยุติพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ยกย่องในฐานะรัฐบุรุษอาวุโส
ความขัดแย้งกับกลุ่มการเมืองอื่นทวีความรุนแรงขึ้น หลังกรณีสวรรคตของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล จากคำบอกเล่าของชาวบ้านชุมชนท่าเตียนว่าเขา
เป็นผู้บงการ[1]: 54–5 ทำให้เขาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสองครั้ง ต่อมาเกิดรัฐประหารปี 2490 เป็นเหตุให้เขาต้องลี้ภัยการเมืองนอกประเทศ ปี 2492 เขากับพันธมิตรทางการเมืองพยายามรัฐประหารรัฐบาลในขณะนั้นแต่ล้มเหลว ทำให้เขาและพันธมิตรหมดอำนาจทางการเมืองโดยสิ้นเชิง จากนั้นเขาลี้ภัยการเมืองในประเทศจีนและฝรั่งเศสโดยไม่ได้กลับสู่ประเทศไทยอีก เขายังแสดงความเห็นทางการเมืองในประเทศไทยและโลกอยู่เรื่อย ๆ จนถึงแก่อสัญกรรมในปี 2526 ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส[2] มีการนำอัฐิเขากลับประเทศในปี 2529 และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระราชทานผ้าไตรในพิธีทักษิณานุประทาน
อนุสรณ์ของเขาประกอบด้วยวันปรีดี พนมยงค์, สถาบันปรีดี พนมยงค์ ตลอดจนอนุสาวรีย์ และสถานที่และสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ที่ตั้งตามชื่อเขา เขามีภาพลักษณ์ตั้งแต่เป็นนักประชาธิปไตยไม่นิยมเจ้าไปจนถึงผู้นิยมสาธารณรัฐ การถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้บงการปลงพระชนม์พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเป็นจุดด่างพร้อยในชีวประวัติของเขา และศัตรูเขานำมาใช้โจมตีแม้หลังสิ้นชีวิตไปแล้ว อย่างไรก็ตาม ในคดีหมิ่นประมาทที่ปรีดีเป็นโจทก์ฟ้องนั้น ศาลยุติธรรมให้เขาชนะทุกคดี[3][lower-alpha 1] เขาเป็นสัญลักษณ์ของผู้ต่อต้านเผด็จการทหาร เสรีนิยม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในปี 2542 ยูเนสโกยกให้เขาเป็นบุคคลสำคัญของโลก และร่วมเฉลิมฉลองในวาระครบรอบ 100 ปี ชาตกาล[4]
ปรีดี พนมยงค์เกิดเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2443 ณ เรือนแพหน้าวัดพนมยงค์ ตำบลท่าวาสุกรี อำเภอกรุงเก่า เมืองกรุงเก่า ในครอบครัวชาวนา เป็นบุตรของเสียงและลูกจันทน์ พนมยงค์
บรรพบุรุษของปรีดีตั้งถิ่นฐานอยู่ใกล้วัดพนมยงค์มาช้านาน บรรพบุรุษข้างบิดานั้นสืบเชื้อสายมาจากพระนมในสมัยกรุงศรีอยุธยาชื่อ "ประยงค์"[5] พระนมประยงค์เป็นผู้สร้างวัดในที่สวนของตัวเอง วัดนั้นได้ชื่อตามผู้สร้างว่า วัดพระนมยงค์ หรือ วัดพนมยงค์ ล่วงมาจนมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติขนานนามสกุล พ.ศ. 2456 ทายาทจึงได้ใช้นามสกุลว่า "พนมยงค์"[6]: 11
บรรพบุรุษรุ่นปู่-ย่าของปรีดีประกอบกิจการค้าขายมีฐานะเป็นคหบดีใหญ่[6]: 9 [7]: 2 แต่บิดาชอบชีวิตอิสระไม่ชอบประกอบอาชีพค้าขาย จึงหันไปยึดอาชีพกสิกรรม เริ่มต้นด้วยการทำป่าไม้ และต่อมาได้ไปบุกเบิกถางพงร้างเพื่อจับจองที่ทำนาบริเวณทุ่งหลวง อำเภอวังน้อย[7]: 4–6 แต่ประสบปัญหาภัยธรรมชาติและสัตว์รังควานทำให้ผลผลิตออกมาไม่ดี ซ้ำรัฐบาลให้สัมปทานบริษัทแห่งหนึ่งขุดคลองผ่านที่ดินของบิดาและยังเรียกเก็บค่าขุดคลอง[7]: 10 ซึ่งบิดาของปรีดีต้องกู้เงินมาจ่ายเป็นค่ากรอกนา ทำให้ฐานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวเลวลงจนเป็นหนี้สินอยู่หลายปี[7]: 11–4
จากการเติบโตในครอบครัวชาวนา เขาจึงทราบซึ้งถึงสภาพความเป็นอยู่และความทุกข์ยากของชนชั้นชาวนา และการถูกเอารัดเอาเปรียบจากเจ้าที่ดินศักดินา เหล่านี้เป็นแรงกระตุ้นให้ปรีดีดำริเปลี่ยนแปลงสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองของประเทศในเวลาต่อมา[7]: 48–55 เขาเริ่มมีความสนใจเรื่องการเมืองมาตั้งแต่อายุ 11 ปี จากเหตุการณ์ปฏิวัติในจักรวรรดิชิงที่นำโดย ซุน ยัตเซ็น และเหตุการณ์กบฏ ร.ศ. 130 ในสยาม ซึ่งเขาแสดงความเห็นอกเห็นใจอย่างมากต่อผู้ที่ถูกลงโทษในครั้งนั้น[8]
การศึกษา
แม้นเกิดในครอบครัวชาวนา แต่บิดาของเขาเป็นผู้ใฝ่รู้และเล็งเห็นประโยชน์ของการศึกษา และสนับสนุนให้บุตรได้รับการศึกษาที่ดีมาโดยตลอด[9]: 6 ปรีดีเริ่มเรียนหนังสือที่บ้านครูแสง ตำบลท่าวาสุกรี[6]: 13–4 และสำเร็จการศึกษาในระดับประถมที่โรงเรียนวัดศาลาปูน[6]: 20 อำเภอกรุงเก่า จากนั้นไปศึกษาชั้นมัธยมเตรียมที่โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร[6]: 23 แล้วย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนตัวอย่างประจำมณฑลกรุงเก่า (ปัจจุบันคือ โรงเรียนอยุธยาวิทยาลัย)[6]: 25 จนสอบไล่ได้ชั้นมัธยม 6 ซึ่งเป็นชั้นสูงสุดสำหรับหัวเมือง แล้วไปศึกษาต่อที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ในปี 2460 อายุได้ 17 ปี เข้าศึกษาที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม และศึกษาภาษาฝรั่งเศสที่เนติบัณฑิตยสภา[10]: 14 รู้สึกประทับใจกับอาจารย์ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งชื่อ เลเดแกร์ (Laydeker) ซึ่งเป็นที่ปรึกษากระทรวงยุติธรรมด้วย ต่อมาสอบไล่วิชากฎหมายชั้นเนติบัณฑิตได้ในขณะมีอายุ 19 ปี เขาเคยว่าความคดีเดียว โดยเป็นทนายความจำเลยในคดีที่จำเลยก่อให้เกิดความเสียหายต่อบริเวณสถานที่ของพระมหากษัตริย์ ซึ่งเขาให้เหตุผลจนชนะคดีว่าเป็นเหตุสุดวิสัย[11]: 28 ต่อมาเขาทำงานเป็นเสมียนกรมราชทัณฑ์โดยได้รับการสนับสนุนจากอธิบดี พระยาชัยวิชิตวิศิษฏ์ธรรมธาดา (ขำ ณ ป้อมเพชร์) ซึ่งปรีดียกย่องว่าได้รับความรู้เรื่องการบริหารรัฐกิจจากเขา[11]: 28–9
ต่อมาได้รับการคัดเลือกจากกระทรวงยุติธรรมให้ทุนไปศึกษาต่อที่ประเทศฝรั่งเศสในปี 2463[10]: 12 เขาใช้เวลาเรียนเตรียมภาษาฝรั่งเศส ภาษาละติน และภาษาอังกฤษก่อนหนึ่งปี[11]: 29 แล้วสามารถสอบเข้าศึกษาวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัยก็อง (Université de Caen) จนสอบไล่ได้ปริญญารัฐเป็น "บาเชอลีเย" สาขากฎหมาย (bachelier en droit) และได้ปริญญารัฐเป็น "ลีซ็องซีเย" สาขากฎหมาย (Licencié en Droit) ตามลำดับ[10]: 15–7 ทั้งนี้หลักสูตรลิซองซิเอของฝรั่งเศสได้รวบรวมความรู้หลายด้าน ทั้งการยุติธรรม ศาล มหาดไทย คลัง ต่างประเทศ[10]: 16 เขาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเอกสาขานิติศาสตร์ จากคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีสในปี 2469 โดยเขาเสนอวิทยานิพนธ์ชื่อ "ในกรณีที่หุ้นส่วนคนหนึ่งถึงแก่ความตาย ฐานะของห้างหุ้นส่วนส่วนบุคคลจะเป็นอย่างไร (ศึกษาตามกฎหมายฝรั่งเศสและกฎหมายเปรียบเทียบ)" (Du Sort des Sociétés de Personnes en cas de Décés d'un Associé (Étude de droit français et de droit comparé))[10]: 17 [11]: 29 ซึ่งอุทิศให้แก่เลเดแกร์[10]: 14 นับเป็นคนไทยคนแรกที่ได้ปริญญาเอกแห่งรัฐ (doctorat d'état) เป็น "ดุษฎีบัณฑิตกฎหมาย" (docteur en droit) ฝ่ายนิติศาสตร์ (sciences juridiques)[10]: 19 นอกจากนี้เขายังสอบไล่ได้ประกาศนียบัตรการศึกษาชั้นสูงในสาขาเศรษฐศาสตร์การเมือง (diplôme d'études supérieures d'économie politique) อีกด้วย[11]: 29 [12]: 13–7
ในปี 2467 ปรีดีก่อตั้งสมาคมนักเรียนไทยในกรุงปารีส สามัคยานุเคราะห์สมาคม และได้รับเลือกตั้งเป็นประธานสมาคม ต่อมาเขาเกิดพิพาทกับพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจรูญศักดิ์กฤดากร อัครราชทูตสยามประจำกรุงปารีส เนื่องจากขัดคำสั่งพระองค์ที่ห้ามส่งตัวแทนสมาคมนักเรียนไปยังสหราชอาณาจักรในปี 2469[11]: 30–1 ต่อมา บรรดาผู้บริหารสมาคมฯ กำลังร่างคำร้องทุกข์ขอเพิ่มเงินเดือนเนื่องจากเงินบาทแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลฟรังก์ ทำให้อัครราชทูตหมดขันติ[11]: 32 พระองค์ทำหนังสือกราบบังคมทูลว่า ปรีดีเป็นหัวหน้าชักชวนนักเรียนขัดคำสั่งเอกอัครราชทูตเห็นจะเป็นภัยต่อราชบัลลังก์และให้เรียกตัวกลับ[13]: 51 ด้านพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำริว่าไม่ทรงถือปรีดีเป็นภัยคุกคามต่อราชบัลลังก์ แต่มีการกระทำที่อวดดีแบบคนหนุ่ม[13]: 52–3 และให้ยุบสมาคมฯ[11]: 32–3 อย่างไรก็ดี บิดาของปรีดีถวายฎีกาขอให้ผ่อนผันการเรียกตัวปรีดีกลับประเทศจนกว่าจะสำเร็จปริญญาเอก[11]: 33–4 กระทรวงยุติธรรมโดยเจ้าพระยาพิชัยญาติขอเอาตัวเองเป็นประกันขอให้ปรีดีศึกษาต่อจนสำเร็จการศึกษา[10]: 19 อีกหลายปีถัดมา ปรีดีให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเขาตั้งใจปลุกปั่นนักเรียนให้เกิดสำนึกทางการเมืองจริงซึ่งจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในอนาคต[11]: 34 นอกจากนี้ ปรีดียังถูกเพ่งเล็งจากกรณีไปพบผู้แทนสาธารณรัฐจีนคนหนึ่งโดยไม่ทราบสาเหตุ[13]: 53
วิชาชีพกฎหมาย
เมื่อกลับถึงจังหวัดพระนครในเดือนเมษายน 2470[11]: 34 เขาเริ่มทำงานในตำแหน่งผู้พิพากษาประจำกระทรวงยุติธรรม ต่อมาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเลขานุการกรมร่างกฎหมาย (ปัจจุบันคือ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา) และได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น "หลวงประดิษฐ์มนูธรรม"[14] (ต่อมาได้ลาออกจากบรรดาศักดิ์ในปี 2485[15]) เขาเกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายโดยเฉพาะประมวลกฎหมาย นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน และทำหน้าที่เป็นศาลปกครองพิจารณาข้อพิพาทระหว่างข้าราชการและราษฎร[10]: 23 เมื่อปี 2471 ขณะมีอายุ 28 ปี ต่อมาในปี 2475 ได้รับแต่งตั้งเป็นกรรมการกรมร่างกฎหมาย ระหว่างนั้นเขาได้รวบรวมกฎหมายไทยตั้งแต่กฎหมายตราสามดวงจนถึงเวลานั้นเป็นเล่มเดียว ใช้ชื่อว่า ประชุมกฎหมายไทย และได้รับการตีพิมพ์ในปี 2473 ที่โรงพิมพ์นิติสาสน์ซึ่งเป็นกิจการส่วนตัวของเขาเอง หนังสือเล่มนี้ได้รับความนิยมและสร้างรายได้ให้แก่เขาเป็นอย่างมาก[10]: 22
นอกจากงานที่กรมร่างกฎหมายแล้ว ปรีดียังเป็นอาจารย์ผู้สอนที่โรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรม ในชั้นแรกได้สอนวิชากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 3 ว่าด้วยลักษณะหุ้นส่วน บริษัทและสมาคม ต่อมาได้สอนวิชากฎหมายระหว่างประเทศ แผนกคดีบุคคล ในปี 2474 ปรีดีเป็นคนแรกที่เริ่มสอนวิชากฎหมายปกครอง (Droit Administratif)[10]: 22 กล่าวกันว่าวิชากฎหมายปกครองนี้ เป็นวิชาที่สร้างชื่อเสียงแก่ปรีดีเป็นอย่างมาก[11]: 35 เพราะสาระของวิชานี้ เป็นส่วนหนึ่งของวิชากฎหมายมหาชน ซึ่งอธิบายการแยกใช้อำนาจอธิปไตยซึ่งขัดต่อหลักสมบูรณาญาสิทธิราชย์[16] จูงใจให้ผู้ศึกษาใส่ใจกิจการบ้านเมือง รู้สึกอยากปกครองตนเอง[10]: 24 ในคำบรรยายของเขากล่าวถึงหลักการรัฐธรรมนูญ การพัฒนาการบริหารราชการแผ่นดินของสยาม และเศรษฐกิจการเมืองและการคลังสาธารณะเบื้องต้น[11]: 35 หนังสือวิชากฎหมายปกครองของเขากลายเป็นเครื่องมือสำคัญในการปลุกเร้ามวลชนในการปฏิวัติสยาม[17]: 19
ส่วนร่วมในการปฏิวัติสยาม
ระหว่างศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศส ปรีดี พนมยงค์เริ่มตกลงความคิดในการเปลี่ยนแปลงการปกครองกับร้อยโท ประยูร ภมรมนตรี ในเดือนสิงหาคม 2467[11]: 44 และร่วมกับผู้คิดเห็นตรงกันอีก 5 คน ประชุมอย่างเป็นทางการครั้งแรกเพื่อก่อตั้ง "คณะราษฎร" เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2469 ณ เลขที่ 5 ถนนซอเมอราร์ กรุงปารีส[11]: 45 ผู้ร่วมประชุมประกอบด้วยร้อยโท แปลก ขิตตะสังคะ, ร้อยตรี ทัศนัย มิตรภักดี, ตั้ว ลพานุกรม, หลวงสิริราชไมตรี (จรูญ สิงหเสนี), แนบ พหลโยธิน โดยมีปณิธานให้สยามบรรลุเป้าหมาย 6 ประการ ซึ่งต่อมาเรียก "หลัก 6 ประการของคณะราษฎร" ปรีดีได้รับมอบหมายให้ร่างนโยบายและโครงการต่าง ๆ เพื่อใช้หลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง[11]: 46
เมื่อปรีดีเป็นอาจารย์สอนวิชากฎหมายในสยาม เขามีศิษย์หลายคนที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยและระบบเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมและตัดสินใจเข้าร่วมขบวนการ เช่น สงวน ตุลารักษ์, ดิเรก ชัยนาม และหาผู้มีความประสงค์ร่วมกัน เช่น ประจวบ บุนนาค, จรูญ สืบแสง, วิลาศ โอสถานนท์ เป็นต้น[9]: 69–70 ในการประชุมสมาชิกคณะราษฎรครั้งหนึ่ง ปรีดีได้แจกจ่ายโครงร่างแผนเศรษฐกิจของตนที่เป็นรูปแบบสหกรณ์ ซึ่งทั้งหมดเห็นพ้องและยกให้ปรีดีเป็นผู้ดำเนินการตามแผนนั้น[9]: 71–2 สำหรับในการปฏิวัตินั้น ปรีดีเป็นผู้เสนอให้จับเจ้านายและสมาชิกรัฐบาลพระองค์สำคัญเป็นตัวประกันเพื่อเลี่ยงการเสียเลือดเนื้ออย่างการปฏิวัติฝรั่งเศสและการปฏิวัติรัสเซีย[9]: 72
วันที่ 24 มิถุนายน 2475 ปรีดีร่วมกับสมาชิกคณะราษฎรปฏิวัติการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้สำเร็จโดยไม่มีการเสียเลือดเนื้อ หลังจากนั้นคณะราษฎรโดยปรีดี พนมยงค์ ได้จัดให้มีการประชุมระหว่างคณะราษฎร และเสนาบดี ปลัดทูลฉลอง ขึ้น ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เพื่อชี้แจงจุดประสงค์ หลักการระบอบใหม่ กฎหมายพระธรรมนูญการปกครองแผ่นดินโดยย่อ และขอความร่วมมือในการบริหารราชการแผ่นดินต่อไป[18]
การประนีประนอมกับอำนาจเก่า
ภายหลังการปฏิวัติ ปรีดีถือเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดวางรูปแบบการปกครองในระบอบใหม่ เป็นผู้ร่างพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว เช่นเดียวกับรัฐธรรมนูญฉบับ 10 ธันวาคม 2475 อันเป็นรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกของสยาม สำหรับรัฐธรรมนูญฉบับหลังนี้ปรีดีได้ถวายแก้ข้อข้องใจของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจนเป็นที่พอพระราชหฤทัย[17]: 23–5 ที่ใช้เป็นบรรทัดฐานของการปกครองในระบอบใหม่ เขายังได้รับแต่งตั้งจากสภาผู้แทนราษฎรให้เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรคนแรก ด้วยตำแหน่งดังกล่าว ทำให้เขามีบทบาทด้านนิติบัญญัติในการวางหลักสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคให้แก่ราษฎร โดยเป็นผู้ยกร่างพระราชบัญญัติการเลือกตั้งฉบับแรก และเป็นผู้ริเริ่มสิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป[19]
เขาเป็นสมาชิกคณะกรรมการราษฎรและรัฐมนตรีไม่สังกัดกระทรวงในรัฐบาลพระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีคนแรก พระยามโนฯ แสดงออกหลายครั้งว่าปรีดีเป็นผู้บงการรัฐบาลบ้าง เป็นผู้คุมเสียงในสภาบ้าง[17]: 20 ในการร่างรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรก เขากับพระยามโนฯ เป็นปรปักษ์กันเพราะฝ่ายพระยามโนฯ พยายามร่างรัฐธรรมนูญให้คล้ายกับรัฐธรรมนูญเมจิที่พระมหากษัตริย์มีพระราชอำนาจอย่างกว้างขวาง[9]: 108–9 นอกจากนี้ ปรีดียังเสนอให้ปรับปรุงภาษีอากรบางชนิดโดยเร็ว เช่น ยกเลิกอากรนาเกลือ ภาษีสมพัตสร ปรับปรุงภาษีการธนาคารและการประกันภัย ลดภาษีโรงเรือนที่ดิน ลดและเลิกอัตราเก็บเงินค่าที่สวน การเก็บเงินค่านา มีการออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการยึดทรัพย์สินของกสิกรเพื่อให้ทรัพย์สินที่มีความจำเป็นต่อการสร้างตัวของกสิกรถูกเจ้าหนี้ยึดไปไม่ได้[9]: 113–4 รัฐบาลยังออกกฎหมายหลายฉบับ เช่น พระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พระราชบัญญัติสำนักงานจัดหางาน พระราชบัญญัติภาษีเงินได้ซึ่งมีอัตราภาษีแบบก้าวหน้า[9]: 114–8
—ปรีดี พนมยงค์
ในปี 2476 เขาได้เสนอเค้าโครงการเศรษฐกิจ ชื่อร่างว่า "พระราชบัญญัติว่าด้วยการประกันความสุขสมบูรณ์ของราษฎร" หรือ "สมุดปกเหลือง" ต่อรัฐบาลเพื่อใช้เป็นนโยบายเศรษฐกิจของประเทศ โดยดำเนินเศรษฐกิจแบบสหกรณ์ ทั้งยังมีวิสัยทัศน์เรื่องการตั้งหลักประกันสังคม[20]: 16–7 เขาประสงค์ให้รัฐบาลเป็นเจ้าของที่ดินและแรงงาน ให้จัดสรรที่ดินที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์มาใช้เพื่อการกสิกรรม และให้แบ่งปันกำไรอย่างเสมอภาค[21] ฐาปนันท์ นิพิฏฐกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ระบุว่าความคิดทางเศรษฐกิจของปรีดีมาจากปรัชญาภราดรภาพนิยม (solidaritism) ซึ่งผสานระหว่างความคิดแบบสังคมนิยมกับเสรีนิยมแบบรูโซ[21]
หม่อมเจ้าวัลภากร วรวรรณ ซึ่งถือเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจผู้หนึ่ง ทรงเห็นด้วยกับเค้าโครงของปรีดีเช่นกัน[9]: 131 รายงานการประชุมกรรมการพิจารณาเค้าโครงเศรษฐกิจ เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2475 (นับแบบเก่า) ระบุว่าผู้เข้าร่วมประชุมส่วนใหญ่เห็นชอบกับแผนดังกล่าว[17]: 33–54 รัฐมนตรีบางคนไม่เห็นชอบโดยอ้างว่าทำไม่ได้บ้าง หรือใช้เวลา 50–100 ปีบ้าง นอกจากนี้พระยามโนฯ ยังให้มีมติของที่ประชุมว่าที่ประชุมยังเห็นไม่ลงรอยกัน และหากรัฐบาลเห็นชอบและประกาศใช้แผนดังกล่าว ถือว่าปรีดีประกาศโครงการเศรษฐกิจในนามของตนแต่ผู้เดียว[9]: 133–35
เค้าโครงเศรษฐกิจดังกล่าวถูกคัดค้านอย่างหนักจากกลุ่มอนุรักษนิยมและถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์[22] พระยามโนปกรณนิติธาดา ยกพระบรมราชวินิจฉัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ทรงไม่เห็นด้วยมาเป็นเครื่องชี้ขาดและตีตกไป[13]: 55–6 สุพจน์ ด่านตระกูลเขียนว่าในสมุดปกเหลืองยังมีแผนตั้งสภาเศรษฐกิจแห่งชาติ หลักประกันสังคมหรือสังคมสงเคราะห์ และการตั้งธนาคารแห่งชาติซึ่งถูกล้มไปพร้อมกับแผนนั้น ในเวลาต่อมามีการจัดตั้งขึ้นทั้งสิ้น[17]: 32
เกิดความขัดแย้งขึ้นตามมาจนนำไปสู่การปิดสภาผู้แทนราษฎรและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีส่วนสนับสนุนด้วยเพราะทรงวิตกเรื่องการจัดสรรที่ดินใหม่[23]: 19–20 พระยามโนปกรณนิติธาดาแถลงพาดพิงปรีดีว่า[13]: 56
ระหว่างเวลาที่หลวงประดิษฐ์ เป็นรัฐมนตรีอยู่ในคณะรัฐบาลใหม่นั้นคราวใดที่มีการจับกุมลงโทษจีนที่เป็นคอมมิวนิสต์แล้ว หลวงประดิษฐ์มักจะท้วงว่า ผู้ซึ่งนับถือลัทธิคอมมิวนิสต์ไม่ควรมีความผิด ถ้าได้รับโทษต่อเมื่อใดที่เขายุยงหรือใช้กำลังกายก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นแล้วเมื่อนั้นจึงถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ทำผิดกฎหมาย การที่ได้ยินหลวงประดิษฐ์กล่าวอยู่เช่นนี้เสมอ ๆ ทำให้ข้าพเจ้าและรัฐมนตรีบางท่านเกิดระแวงขึ้นมา ถึงโครงการเศรษฐกิจที่หลวงประดิษฐ์รับภาระไปนั้นว่าจะมีเข็มไปในทางคอมมิวนิสต์เสียกระมัง
การโฆษณาความเห็นต่อแผนเค้าโครงเศรษฐกิจของเขาโดยกลุ่มเจ้าและอนุรักษนิยมทำให้เกิดการต่อต้านและมีการแห่ถอนเงินจากธนาคาร การต่อต้านดังกล่าวทำให้ปรีดีเดินทางออกนอกประเทศชั่วคราวเพื่อลดความขัดแย้ง[13]: 58 วันที่ 6 เมษายน พระยามโนปกรณ์เข้าพบปรีดีและแจ้งเขาว่าการให้เขาออกนอกประเทศไปจะเป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง และรัฐบาลจะออกค่าใช้จ่ายให้ 1,000 ปอนด์ต่อปี[11]: 68 ก่อนถึงวันเดินทาง กระทรวงการต่างประเทศออกหนังสือสำคัญให้แก่ปรีดีโดยระบุว่าเขาเดินทางไปเพื่อ "ศึกษาภาวะทางเศรษฐกิจอื่น ๆ"[9]: 266–7
เขาเดินทางออกนอกประเทศโดยทางท่าเรือบีไอ ในวันที่ 12 เมษายน 2476 หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ลงข่าวว่า มีคนไปส่งปรีดีที่ท่าเรือ 2,000 คน "ด้วยน้ำตาไหลพรากไปตาม ๆ กันเป็นส่วนมาก"[9]: 268 พร้อมกับภรรยา และเพื่อนอีก 3 คน เดินทางถึงสิงคโปร์เมื่อวันที่ 15 เมษายน และได้รับการต้อนรับให้พักอยู่กับคหบดีชาวไทยที่พำนักอยู่ที่นั่น[9]: 290 เขาและคณะเดินทางต่อไปยังเมืองท่ามาร์แซย์ของฝรั่งเศส แล้วนั่งรถไฟต่อไปยังกรุงปารีส เขาพำนักอยู่ที่ชานกรุงและพบปะกับนักเศรษฐศาสตร์และนักการเมือง บ้างก็เดินทางไปยังสหราชอาณาจักร[9]: 293 หลังจากนั้นรัฐบาลใหม่ออกกฎหมายต้านคอมมิวนิสต์ ซึ่งทำให้เข้าใจได้ว่าต้องการขัดขวางปรีดีมิให้เดินทางกลับประเทศอีก[11]: 71
รัฐบาลคณะราษฎร
หลังรัฐประหารเดือนมิถุนายน 2476 ส่งผลให้พระยาพหลพลพยุหเสนา สมาชิกคณะราษฎร เป็นนายกรัฐมนตรี รัฐบาลเรียกตัวปรีดีกลับสยามในเดือนกันยายนปีเดียวกัน สุพจน์ ด่านตระกูลเล่าว่าขณะนั้นปรีดีกำลังศึกษาปริญญาด้านศาสนาและปรัชญา[17]: 61 ส่วนไสว สุทธิพิทักษ์เล่าว่าปรีดีจะขอรัฐบาลเดินทางไปประเทศสเปนซึ่งขณะนั้นมีการปฏิวัติเป็นสาธารณรัฐแล้ว[9]: 300–1 โดยก่อนหน้านั้นรัฐบาลกราบทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าจะไม่รื้อฟื้นแผนเค้าโครงเศรษฐกิจอีก[13]: 58–9 ปรีดีเดินทางออกจากท่ามาร์แซย์ในวันที่ 1 กันยายน และถึงประเทศสยามในวันที่ 29 กันยายน โดยมีหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ เลขาธิการคณะรัฐมนตรี เดินทางมาต้อนรับ[9]: 302–4 นับแต่นั้นปรีดีปรากฏชื่ออยู่ในรัฐบาลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นสมาชิกคณะราษฎรสองคน คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา และจอมพล ป. พิบูลสงคราม
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
เขาได้รับแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีลอยในวันที่ 1 ตุลาคม 2476[17]: 63 ความไม่พอใจในตัวปรีดีในหมู่อำนาจเก่ายังมีอยู่ จนเป็นชนวนเหตุของกบฏบวรเดชในที่สุด อย่างไรก็ดี กระแสต่อต้านปรีดีเสื่อมกำลังลงหลังกบฏบวรเดชเป็นฝ่ายปราชัย[13]: 60 เมื่อพระยาพหลฯ จะกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ เพื่อมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ทรงมีพระราชโทรเลขตอบว่า "ว่าการมหาดไทยไม่ขัดข้อง แต่ถ้าว่าการศึกษา ขัดข้อง"[9]: 327 ทีแรกปรีดียังไม่รับเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยเพราะยังมีมลทินเรื่องคอมมิวนิสต์อยู่ มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเปิดญัตติให้สอบสวนว่าปรีดีเป็นคอมมิวนิสต์หรือไม่ในวันที่ 25 ธันวาคม 2476[9]: 329 โดยมีหม่อมเจ้าวรรณไวทยากร วรวรรณเป็นประธานกรรมการ ซึ่งคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรได้มีมติเอกฉันท์ว่าไม่ได้เป็น[17]: 120 [lower-alpha 2] เมื่อพ้นมลทินแล้ว มีการแต่งตั้งเขาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยในวันที่ 24 มีนาคม 2476 (นับแบบเก่า)[9]: 437
เขาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการร่างพระราชบัญญัติระเบียบราชการบริหารแห่งราชอาณาจักรสยาม พ.ศ. 2476 แบ่งการบริหารราชการแผ่นดินออกเป็นราชการส่วนกลาง ส่วนภูมิภาคและส่วนท้องถิ่น เพื่อกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้สอดคล้องกับหลักการประชาธิปไตย และยังร่างพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. 2476 ถือได้ว่าเป็นผู้ให้กำเนิดระบบเทศบาลในประเทศไทย[17]: 148 สำหรับการจัดระเบียบการปกครองนั้น เนื่องจากเขาเป็นผู้รู้ด้านระเบียบแบบแผนการปกครองและบริหารราชการ จึงได้แนะนำซักซ้อมกับข้าราชการกระทรวงมหาดไทยทุกระดับตั้งแต่ปลัดกระทรวงจนถึงนายอำเภอ[17]: 153 อย่างไรก็ดี แผนงานของเขาถูกขัดขวางจากรัฐมนตรีด้วยกัน เช่น คำขอให้ข้าหลวงประจำจังหวัดและนายอำเภอท้องที่ชายแดนให้ตั้งจากนายทหาร ขณะที่ปรีดีต้องการให้ตั้งจากพลเรือน[9]: 439–41 ไสว สุทธิพิทักษ์เล่าว่าปรีดีจวนเจียนจะเดินทางออกนอกประเทศอยู่แล้วเพื่อรักษาความสามัคคีในหมู่คณะ แต่พระยาพหลฯ มาขอให้อยู่ต่อ[9]: 442
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติในปี 2477 (นับแบบเก่า) รัฐบาลที่มีปรีดีเป็นหัวแรงขอความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎรอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดลสืบราชสมบัติต่อ[11]: 106 นอกจากนี้ปรีดียังมีส่วนสำคัญในการคัดเลือกคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในยุวกษัตริย์[11]: 106–8
ในเวลานั้นเห็นว่าการพัฒนาคนมีความสำคัญมากกว่าแผนโครงการเศรษฐกิจแล้ว[17]: 125 และเขายังเห็นว่าข้าราชการควรมีความรู้นิติศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ รัฐศาสตร์และสาขาที่เกี่ยวข้อง เรียกว่า "จริยศาสตร์"[11]: 96 จึงได้สถาปนามหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก.) ขึ้นเมื่อ 27 มิถุนายน 2477 เขามีบทบาทเป็นผู้ร่างโครงการ หาที่ตั้ง และวางหลักสูตร[17]: 126 เกิดจากการรวมโรงเรียนกฎหมาย กระทรวงยุติธรรมกับคณะนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย[11]: 96 เขาได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ประศาสน์การ (ปี 2477–2490) โดยตั้งใจให้เป็นมหาวิทยาลัยตลาดวิชาให้ราษฎรมีความเสมอภาคในการเข้าถึงการศึกษา[24] เงินทุนของมหาวิทยาลัยอาศัยเงินค่าสมัครเข้าเรียนของนักศึกษาและดอกผลของธนาคารแห่งเอเชียเพื่อพาณิชยกรรมและอุตสาหกรรมซึ่งปรีดีเป็นผู้ก่อตั้ง โดยให้มหาวิทยาลัยถือหุ้นถึง 80%[25]: 126 นอกจากนี้ปรีดียังได้ยกกิจการโรงพิมพ์นิติสาส์นของตนให้มหาวิทยาลัยเพื่อพิมพ์ตำรา[10]: 22 [lower-alpha 3] ต่อมา มธก. ถูกกล่าวหาว่าเป็นฐานอำนาจของปรีดีเพื่อใช้แข่งขันกับจอมพล ป. พิบูลสงครามที่มีฐานอำนาจในกองทัพ[11]: 96
ปรีดีมีความสนใจตั้งองค์การของรัฐที่มีหน้าที่พิทักษ์ประโยชน์ของราษฎร ให้ยกฐานะกรมร่างกฎหมายเป็นคณะกรรมการกฤษฎีกาเป็นองค์การอิสระไม่ขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม การแต่งตั้งคณะกรรมการกฤษฎีกาต้องได้รับความเห็นชอบของสภา[17]: 149 ทำหน้าที่ยกร่างกฎหมายและเป็นที่ปรึกษากฎหมายของแผ่นดิน ทั้งยังพยายามผลักดันให้คณะกรรมการกฤษฎีกาทำหน้าที่ศาลปกครองอีกด้วย แต่ความพยายามประสบอุปสรรคมาโดยตลอด[10]: 23 [lower-alpha 4] ให้ยกกรมตรวจเงินแผ่นดินเป็นสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินมีหน้าที่ตรวจตราการใช้จ่ายของราชการทุกส่วนตามกฎหมาย โดยไม่ต้องฟังคำสั่งผู้บังคับบัญชาเหมือนแต่ก่อน[17]: 151–2 มีการปรับปรุงกลไกการปกครอง โดยออกพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการตุลาการ และพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร[17]: 152
เขายังจัดทำกฎหมายว่าด้วยครอบครัว มรดก กฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา และกฎหมายว่าด้วยพระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งความสำเร็จในครั้งนี้มีผลสืบเนื่องกับการประกาศใช้ประมวลกฎหมาย และความสำเร็จในการเจรจาขอแก้ไขสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมกับต่างประเทศดังที่จะกล่าวต่อไปด้วย[17]: 172–3
วันหนึ่งที่ประชุมคณะรัฐมนตรีพบว่ารัฐบาลชุดก่อนสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปกู้จากต่างประเทศโดยเสียดอกเบี้ยสูงมาก ปรีดีรับไปเจรจาขอลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ดังกล่าวพร้อมกับไปเจริญสัมพันธไมตรีกับต่างประเทศ[9]: 442–4 เขาออกเดินทางไปถึงนครตรีเยสเต ราชอาณาจักรอิตาลี ในเดือนตุลาคม 2479 โดยมุสโสลินีสัญญาจะยกเลิกสัญญาอันไม่เป็นธรรมโดยเร็วที่สุด[9]: 446–7 สำหรับการเจรจากับสาธารณรัฐฝรั่งเศส นาซีเยอรมนีและสหราชอาณาจักรนั้นเพียงแต่ได้รับคำตอบว่าจะไปพิจารณาแก้ไขสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม แต่เซอร์ ซามูเอล ฮอร์ (Samuel Hoare) ตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้[9]: 447–9 คือ ลดจากร้อยละ 6 เหลือร้อยละ 4 ทำให้ประหยัดงบประมาณได้ 600,000–700,000 บาทต่อปีในระยะเวลา 30 ปี[11]: 127 รัฐสภาแสดงความขอบคุณปรีดีในโอกาสดังกล่าว[11]: 127 ต่อมา ปรีดีเข้าพบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ คอร์ดัล ฮัลที่กรุงวอชิงตัน และได้รับคำตอบว่ายกเลิกสนธิสัญญาไม่เป็นธรรมโดยเร็ว สุดท้ายเขาเข้าเฝ้าจักรพรรดิฮิโรฮิโตะแห่งญี่ปุ่นและนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น เขาปฏิเสธเข้ากับนโยบายผิวเหลือง-ผิวขาว แต่ในเรื่องสนธิสัญญาไม่ธรรมญี่ปุ่นยอมยกเลิก[9]: 449–51
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
เมื่อจัดระเบียบวางแผนให้กระทรวงมหาดไทยแล้ว เขามอบหมายงานต่อให้พลเรือตรี ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์[17]: 153 ส่วนตัวเขาหันมารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2478 (นับแบบเก่า) ปรีดีมีนโยบายเป็นมิตรกับทุกประเทศ และดำริปลดเปลื้องพันธกรณีของประเทศจากสนธิสัญญาอันไม่เป็นธรรม ได้แก่ สิทธิถอนคดีของกงสุลต่างประเทศจนกว่าออกประมวลกฎหมายแล้ว 5 ปี ซึ่งเป็นการเสียเอกราชทางการศาล การถูกจำกัดด้านเอกราชทางเศรษฐกิจ เช่น การห้ามเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางชนิด การให้สัญชาติอังกฤษและฝรั่งเศสแก่คนในบังคับอังกฤษและฝรั่งเศสที่เกิดในประเทศ และห้ามเก็บอากรศุลกากรในแม่น้ำโขง เป็นต้น[9]: 471
ปรีดีเจรจาเรื่องสนธิสัญญาทางไมตรี พาณิชย์และการเดินเรือใหม่และสิ้นสุดลงในเดือนพฤศจิกายน 2479 นานาประเทศลงนามในสนธิสัญญาฉบับใหม่ในปี 2480 ได้แก่ สวิตเซอร์แลนด์ เบลเยียม สวีเดน เดนมาร์ก สหรัฐ นอร์เวย์ สหราชอาณาจักร อิตาลี ฝรั่งเศส (รวมการยกเลิกการห้ามเก็บภาษีศุลกากรในเขต 25 กิโลเมตรจากชายแดนด้วย) ญี่ปุ่นและเยอรมนี[9]: 474–5 โดยเจรจาขอยกเลิกสิทธิถอนคดี[17]: 158–60 ส่วนเรื่องอัตราศุลกากร ปรีดีเจรจาแก้ไขสนธิสัญญาจนเริ่มจากสหรัฐในปี 2463 แม้ยังมีการกำหนดเพดานสูงสุดของภาษีศุลกากรที่สยามสามารถเรียกเก็บได้อยู่เป็นเวลา 10 ปี จนในช่วงปี 2480–1 สนธิสัญญาใหม่ทำให้ไทยมีอิสระเต็มที่ทางรัษฎากร[17]: 162 ความชอบในการแก้ไขสนธิสัญญากับต่างประเทศทำให้รัฐบาลขอพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา เข็มราชการแผ่นดินให้เป็นบำเหน็จ[17]: 170–1 เขายังมีส่วนเจรจาปักปันเขตแดนใหม่กับบริเตน ทำให้สยามได้ดินแดนเพิ่มขึ้นในแม่น้ำลายที่จังหวัดเชียงราย และดินแดนที่อยู่ในลุ่มแม่น้ำปากจั่นที่จังหวัดระนอง[17]: 173
เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนาลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและไม่ขอรับตำแหน่งอีกในปี 2481 กลุ่มคณะราษฎรเสนอชื่อบุคคลเพื่อรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรวม 4 คน รวมทั้งปรีดีด้วย แต่ผลปรากฏว่าแพ้หลวงพิบูลสงคราม เชื่อว่าสาเหตุส่วนหนึ่งเป็นเพราะปรีดีมีความคิดก้าวหน้าและถูกมองว่านิยมระบอบสาธารณรัฐ[13]: 70–1 อีกส่วนหนึ่งคือจำเป็นต้องเตรียมการป้องกันประเทศท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ผันผวน[11]: 124
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เมื่อปรีดีเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในปี 2481 เขาประกาศใช้พิกัดอัตราอากรศุลกากรใหม่หลังเจรจายกเลิกอัตราเดิมไปแล้วก่อนหน้านี้[17]: 179 เขาลดหรือเลิกเก็บอากรศุลกากรสินค้าบางประเภทเพื่อส่งเสริมการนำเข้า เช่น สินค้าเพื่ออุดหนุนเกษตรกรรมหรืออุตสาหกรรม การแพทย์ วิทยาศาสตร์และการศึกษา เป็นต้น ทั้งมีการเปลี่ยนให้เก็บภาษีขาออกเป็นตามราคา โดยยอมลดรายได้จากภาษีขาออกเพื่อให้ชาวนาส่งออกข้าวได้มากขึ้น[9]: 486–7 เขายังปฏิรูปโดยตัดภาษีที่มีอัตราถอยหลัง ประกอบด้วยภาษีรัชชูปการ อากรค่านา อากรสวน ภาษีไร่อ้อยและภาษีไร่ยาสูบซึ่งจะทำให้งบประมาณขาดดุลประมาณ 12 ล้านบาทต่อปี[9]: 491 และเพิ่มรายได้โดยการปรับปรุงภาษีที่มีอยู่แล้วให้มีความเป็นธรรมมากขึ้น ประกอบด้วยภาษีเงินได้ ภาษีโรงค้า ภาษีธนาคาร อากรสแตมป์ และเพิ่มอากรใหม่ ประกอบด้วยอากรมหรสพ เงินช่วยบำรุงท้องที่ (เสียให้ราชการท้องถิ่น) เงินช่วยบำรุงการประถมศึกษา จนสุดท้ายมีการประมวลเป็นประมวลรัษฎากรในวันที่ 1 เมษายน 2482[9]: 491–4 ผลทำให้รายได้ภาครัฐเพิ่มขึ้นร้อยละ 25 (132 ล้านบาทในปี 2481 เป็น 194 ล้านบาทในปี 2484)[11]: 128
สำหรับรายได้ที่ยังขาดดุลอยู่นั้น ปรีดีเพิ่มอากรศุลกากรสินค้าที่ผลิตได้เองในประเทศเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรม และเพิ่มภาษีสรรพสามิตโดยเรียกเก็บจากสุรา รัฐผูกขาดและจำหน่ายฝิ่นเพื่อหวังลดการบริโภค[9]: 500–1 มีการขยายชลประทานเพื่อส่งเสริมการทำนาเกลือ[17]: 193 เขายังส่งเสริมให้รัฐบาลร่วมลงทุนในเขตดังกล่าวและประกันรับซื้อเกลือสมุทร[11]: 129 เขาให้กรมสรรพสามิตซื้อบริษัทบริติชอเมริกันทูแบโก ซึ่งมีการออกกฎหมายให้รัฐบาลผูกขาดยาสูบ[9]: 502–3 อีกทั้งเข้าเป็นเจ้าของโรงงานสุรา เช่น โรงงานสุราบางยี่ขัน เป็นต้น[17]: 192 ปรีดีศึกษาเรื่องยาสูบอย่างใกล้ชิด จนมีหนังสือพิมพ์ลงข่าวว่าเขาทดลองผสมยาสูบและสูบเองจนมึนเมา[9]: 503 ปรีดียังสั่งให้ตรวจสอบทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ จนเกิดคดีแพ่งระหว่างสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว[11]: 133
ต่อมาก็ได้รื้อฟื้นเรื่องการจัดตั้งธนาคารกลางหรือธนาคารแห่งชาติมาพิจารณาใหม่อย่างจริงจัง โดยเริ่มจากจัดตั้งสำนักงานธนาคารชาติไทยขึ้นก่อน มีหน้าที่เหมือนธนาคารพาณิชย์อย่างเดียว และเร่งฝึกพนักงาน ต่อมาจึงจัดตั้งธนาคารชาติไทยขึ้นในปี 2483 ซึ่งมีหน้าที่ออกธนบัตรเพิ่มขึ้นมาด้วย[9]: 525–8 ในเวลานั้นเป็นช่วงใกล้สงครามโลกครั้งที่สองปะทุขึ้น ปรีดีคาดการณ์ว่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงซึ่งสยามประเทศใช้เป็นทุนสำรองระหว่างประเทศอยู่ในขณะนั้นอาจมีมูลค่าลดลงได้ จึงนำเงินปอนด์ไปซื้อทองคำแท่งมาเก็บสำรองแทน นอกจากนี้ยังแลกเปลี่ยนเป็นสกุลดอลลาร์สหรัฐ[25]: 144–5 [9]: 512–20 ธุรกรรมครั้งนั้นทำให้รัฐบาลได้กำไร 5.05 ล้านบาท[11]: 131 ทุนนี้เป็นทุนตั้งต้นของสำนักงานธนาคารชาติไทยโดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณแผ่นดินแม้แต่บาทเดียว[11]: 131 ปรีดีได้ฝากทองคำบางส่วนไว้ในต่างประเทศ ประกอบด้วยบริเตน สหรัฐและญี่ปุ่น ซึ่งในเวลาต่อมาจะเป็นทุนสำหรับขบวนการเสรีไทยในต่างประเทศด้วย[17]: 182 เขาริเริ่มการจัดทำงบประมาณแผ่นดินให้เป็นแบบแผนและให้ขึ้นกับความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร[17]: 182
ในปี 2482 เกิดกรณีพิพาทอินโดจีน เขาดำริจะเรียกร้องดินแดนของอินโดจีนคืนแก่สยามด้วยวิถีทางตามกฎหมาย แต่จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี เลือกใช้วิธีทวงดินแดนด้วยกำลังแทน[17]: 193 ช่วงก่อนสงครามเขาขัดขวางคำขอกู้ของรัฐบาลญี่ปุ่น โดยกำหนดเงื่อนไขให้ญี่ปุ่นชำระคืนเป็นทองคำแท่ง ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจมาก และมองว่าปรีดีเป็นตัวการขัดขวาง[11]: 143
นอกจากนี้ เขายังเป็นผู้มีบทบาทในการปฏิรูปการปกครองของสงฆ์โดยร่างพระราชบัญญัติสงฆ์ พ.ศ. 2484 ใช้แทนพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ ร.ศ. 121 ทำให้การปกครองสงฆ์เป็นประชาธิปไตย[lower-alpha 5]
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
เมื่อญี่ปุ่นเคลื่อนพลเข้าประเทศไทยในวันที่ 8 ธันวาคม 2484 ปรีดีกับดิเรก ชัยนาม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศขณะนั้น เป็นผู้คัดค้านการยอมให้ทัพญี่ปุ่นเคลื่อนทัพผ่านประเทศของทูตญี่ปุ่น และคัดค้านการเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น[17]: 206–7 ปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลในวันที่ 16 ธันวาคม 2484 ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ถูกมองว่าไร้อำนาจ โดยมติของสภาผู้แทนราษฎร การแต่งตั้งนี้มีมูลเหตุมาจากความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างปรีดีกับจอมพล ป. พิบูลสงคราม ตลอดจนอิทธิพลบีบบังคับของญี่ปุ่นเนื่องจากปรีดีในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังขัดขวางมิให้ญี่ปุ่นนำเงินสกุลเยนมาแลกเงินบาทเพื่อใช้ซื้อเสบียงเลี้ยงกองทัพญี่ปุ่น และไม่ยอมให้กู้ยืมเงินบาท[17]: 204–5, 208–9 [9]: 537–8, 540 คล้อยหลังปรีดีพ้นจากตำแหน่งรัฐมนตรี รัฐบาลก็ได้ทำสัญญาเป็นพันธมิตรทางทหารกับญี่ปุ่นในวันที่ 21 ธันวาคม และเมื่อรัฐบาลประกาศสงครามต่อสหราชอาณาจักรและสหรัฐเมื่อวันที่ 25 มกราคม 2485 ปรีดีในฐานะหนึ่งในคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์หลีกเลี่ยงการร่วมลงนามในประกาศสงคราม อันจะทำให้ประกาศไม่มีผลสมบูรณ์[17]: 212 ระหว่างสงคราม ปรีดีถวายความปลอดภัยให้แก่พระบรมวงศานุวงศ์โดยจัดให้ไปพำนักอยู่ที่พระราชวังบางปะอิน[9]: 566
ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2486 ปรีดีได้รับคำสั่งจากจอมพล ป. พิบูลสงครามในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ให้ไปประจำกองบัญชาการทหารสูงสุดในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางกฎหมาย แต่เขาไม่ยอมปฏิบัติตามเพราะเห็นว่าการสั่งผู้สำเร็จราชการเป็นโมฆะตามกฎหมาย ในที่สุดปรีดีได้รับการอารักขาจากทหารเรือ[9]: 547–9 ในวันที่ 22 กันยายน 2486 จอมพล ป. ตั้งกรรมการสอบสวนปรีดีโดยกล่าวหาว่าเขาว่าแผนจะจับตนเพื่อเป็นการต่อต้านญี่ปุ่น แต่รอดพ้นจากข้อหาไปได้อย่างหวุดหวิด[9]: 553
ปรีดีเป็นผู้มีบทบาทสำคัญผลักดันให้ควง อภัยวงศ์ เป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2487 หลังรัฐบาลจอมพล ป. ลาออกจากตำแหน่งเนื่องจากแพ้เสียงร่างพระราชบัญญัติสำคัญ 2 ฉบับ[17]: 224 [lower-alpha 6] เขายังแต่งตั้งพลเอก พจน์ พหลโยธินเป็นรัฐมนตรีลอย, แม่ทัพใหญ่ (แทนตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุดที่ถูกยกเลิกไป) และผู้บัญชาการทหารบก ตลอดจนตั้งให้จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นที่ปรึกษาราชการแผ่นดิน เพื่อป้องกันรัฐประหาร[17]: 230–6
หัวหน้าขบวนการเสรีไทย
ผู้นำเสรีไทยในประเทศ
|
ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้นำจัดตั้งองค์การต่อต้านญี่ปุ่นหรือขบวนการเสรีไทยในประเทศ[25]: 195–200 ทวี บุณยเกตุ เล่าว่า ปรีดีติดต่อฝ่ายสัมพันธมิตรแล้วส่งคนออกนอกประเทศเป็นสาย ๆ และดำริแผนให้ทวีได้รับเลือกเป็นประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้วจัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นนอกประเทศ แต่จอมพล ป. ขัดขวาง[17]: 215–7 เมื่อแผนตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นไม่สำเร็จ จึงเปลี่ยนมาใช้วิธีตั้งขบวนการเสรีไทยในประเทศ ซึ่งสำนักงานบริการด้านยุทธศาสตร์ (โอเอสเอส) และหน่วย 136 ที่เป็นฝ่ายข่าวกรองของสหรัฐ และบริเตนในอินเดียตามลำดับ ตั้งรหัสนามให้ว่า "รู้ธ" (Ruth) ทั้งสองประเทศก็ขอส่งตัวแทนมาขอตั้งหน่วยปฏิบัติการลับในพระนครด้วย[17]: 218–9
ในเดือนพฤษภาคม 2488 ปรีดีแจ้งให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศทราบว่า ไทยจะใช้อุบายบอกเลิกสัญญาต่าง ๆ กับญี่ปุ่น[9]: 556 [17]: 236–7 และเสรีไทยจำนวน 8 หมื่นคนทั่วประเทศพร้อมที่จะลุกฮือขึ้นเพื่อทำสงครามกับทหารญี่ปุ่นอย่างเปิดเผย แต่ฝ่ายสัมพันธมิตรได้ร้องขอให้ชะลอแผนนี้ไว้ก่อน[29] อย่างไรก็ดี สำหรับการเจรจาการเมืองเรื่องการรับรองเอกราชของไทยนั้น สหราชอาณาจักรไม่ยอมตอบ สุดท้ายมีการกำหนดวันที่ 1 กันยายน 2488 เป็นวันจับอาวุธลุกขึ้นสู่กับทหารญี่ปุ่นในประเทศ[9]: 557–8 อย่างไรก็ดี จักรวรรดิญี่ปุ่นยอมจำนนต่อฝ่ายสัมพันธมิตรในวันที่ 15 สิงหาคมก่อนวันลงมือ