คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร
พุทธสถานในกรุงเทพมหานคร ประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร (เดิมชื่อว่า วัดใหม่) เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ตั้งอยู่บริเวณริมถนนบวรนิเวศและถนนพระสุเมรุ ในแขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย สถาปนาขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว[2]
พระอารามแห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายกถึง 4 พระองค์ และเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาของสงฆ์สายฝ่ายธรรมยุติกนิกายแห่งแรกในประเทศไทย[3] นอกจากนี้ วัดบวรนิเวศวิหารยังเป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร อีกด้วย[4][5]
พระประธานในพระอารามนี้มีลักษณะพิเศษแตกต่างจากวัดอื่นทั่วไป โดยมีพระประธานทั้งหมด 2 องค์ ซึ่งล้วนเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่และมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ พระพุทธชินสีห์ อัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก โดยอัญเชิญมาทั้งองค์เมื่อราว พ.ศ. 2373[6] ส่วนพระสุวรรณเขต หรือที่รู้จักกันในนาม "พระโต" หรือ "หลวงพ่อเพชร" เป็นพระประธานองค์ใหญ่ที่ประดิษฐานอยู่เบื้องหลังพระพุทธชินสีห์ ซึ่งสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพได้อัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี[7]
ระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงผนวชและประทับที่วัดบวรนิเวศวิหาร โปรดเกล้าฯ ให้ประติมากรของกรมศิลปากรปั้นหุ่นและสร้างพระพุทธรูปปางห้ามสมุทร โดยเสด็จพระราชดำเนินหล่อพระพุทธรูปเมื่อวันที่ 5 ธันวาคม 2499 สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ได้ถวายพระนามพระพุทธรูปองค์นี้ว่า "พระพุทธนราวันตบพิตร"[8][9]
Remove ads
ประวัติ
วัดบวรนิเวศวิหาร เป็นวัดที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพโปรดให้สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 3)แต่ยังไม่ทันแล้วเสร็จก็สวรรคตเสียก่อน ถึงปี พ.ศ. 2458 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ 6)โปรดให้รวมวัดรังษีสุทธาวาสเข้าหาวัดบวรนิเวศวิหาร[10]
ศิลปกรรม
สรุป
มุมมอง
พระอุโบสถ

สร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ เป็นสถาปัตยกรรมแบบพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 เดิมอาจมีแนวคิดที่จะสร้างขึ้นเป็นพระอุโบสถจตุรมุขแบบพระอุโบสถวัดบวรสถานสุทธาวาส แต่ในการก่อสร้างจริงอาจมีการปรับเปลี่ยนผังอาคารบ่อยครั้งจนเป็นอาคารแบบตรีมุขดังในปัจจุบัน[11] โดยงานช่างที่แสดงให้เห็นถึงความต่อเนื่องมาจากศิลปกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 คือ การมีเสาพาไลเป็นสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่รับน้ำหนักหลังคาไม่มีคันทวยและบัวหัวเสา หน้าบันเป็นงานก่ออิฐถือปูนประดับลวดลายกระเบื้องเคลือบลวดลายอย่างเทศ[11] ต่อมาได้มีการบูรณะแต่งเติมโดยรัชกาลที่ 4 ขณะทรงผนวชและเสด็จมาครองวัด ศิลปกรรมที่เพิ่มเติมในพระราชประสงค์ในรัชกาลที่ 4 คือ การประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์เป็นลวดลายดอกไม้แบบตะวันตกและประดับตราพระราชลัญจกรคือรูปพระมุงกุฏและพระขรรค์บนหน้าบันทั้ง 3 ด้าน และสร้างมุขลดเพิ่มที่ด้านหน้าเป็นมุขโถงมีการทำเสาเป็นเสาหินอ่อนสั่งทำจากประเทศอิตาลี แกะสลักบัวหัวเสาเป็นลวดลายใบอะแคนทัสมีชื่อเรียกทางศิลปกรรมไทยว่า "ลายใบผักกาดเทศ"[11] ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นงานปูนปั้นลงรักปิดทองประดับกระจกประดับลวดลายดอกไม้ใบไม้อย่างเทศ การประดิษฐานใบเสมาเป็นเสมาบนแท่นประดิษฐานติดกับผนังพระอุโบสถ จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถเป็นฝีมือขรัวอินโข่ง
พระพุทธชินสีห์และพระสุวรรณเขต

ภายในพระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ 2 องค์เป็นประธาน คือ พระพุทธสุวรรณเขต (หลวงพ่อโต) ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพอัญเชิญมาจากวัดสระตะพาน จังหวัดเพชรบุรี เป็นพระประธานองค์แรกตั้งอยู่เบื้องหลังและพระพุทธชินสีห์ ที่สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพอัญเชิญมาจากวิหารทิศเหนือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก โดยตั้งไว้ ณ มุขหลังพระอุโบสถ ก่อนจะย้ายมาประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถเบื้องหน้าพระสุวรรณเขตโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะยังทรงผนวช ใต้ฐานพุทธบัลลังก์พระพุทธชินสีห์เป็นที่บรรจุพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ซึ่งทั้งสองพระองค์ทรงเคยผนวช ณ วัดแห่งนี้ พุทธลักษณะของพระพุทธชินสีห์จัดอยู่ในศิลปะสุโขทัย หมวดพระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิราบ พระพักตร์ทรงไข่ค่อนข้างกลม ขมวดพระเกษาเล็ก พระรัศมีเป็นเปลว พระอังสาใหญ่ บั้นพระองค์เล็ก สังฆาฏิเป็นเส้นเล็กยาวจรดพระนาภีปลายแยกออกเป็นสองชายและม้วนเข้าหากันคล้ายเขี้ยวตะขาบ นิ้วพระหัตถ์ยาวเสมอกัน ส่วนพุทธลักษณะของพระสุวรรณเขต เป็นพระพุทธรูปสำริด ลักษณะพระพักตร์ทรงเหลี่ยม เคร่งขรึม พระขนง พระเนตร พระโอษฐ์ และสังฆาฏิเป็นแผ่นใหญ่ เป็นลักษณะของพระพุทธรูปศิลปะอยุธยา สกุลช่างเพชรบุรี[11]
ภาพศิลปกรรมอื่น ๆ ในพระอุโบสถ
- ภายในพระอุโบสถ
- หน้าบันพระอุโบสถ
- หัวเสามุขลดพระอุโบสถแกะสลักลวดลายใบอะแคนทัส
- จิตรกรรมภายในพระอุโบสถ ฝีมือ ขรัวอินโข่ง
- ใบสีมาพระอุโบสถ
เจดีย์ประธาน

เริ่มสร้างโดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพแต่เสร็จเพียงแค่ฐานพระองค์ได้ทิวงคตลงก่อนจึงได้สร้างต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ลักษณะเป็นเจดีย์ทรงระฆังสมัยรัตนโกสินทร์ที่ได้รับอิทธิพลจากเจดีย์ทรงระฆังศิลปะอยุธยาเป็นต้นแบบให้กับเจดีย์ทรงระฆังที่จะสร้างขึ้นตลอดรัชสมัยของรัชกาลที่ 4[11] ลักษณะองค์เจดีย์มีการยกฐานสูงมีลานประทักษิณ 2 ชั้น แต่ละชั้นมีกำแพงแก้วล้อมรอบ บริเวณมุมของฐานประทักษิณชั้นแรกสร้างเป็นศาลาทรงจีน บริเวณมุมของฐานประทักษิณชั้นที่สองสร้างเป็นเจดีย์ประจำมุมเป็นรูปทรงแบบ "มณฑปยอดปรางค์"[11] องค์เจดีย์ประธานและเจดีย์ประจำมุมหุ้มกระเบื้องสีทอง บริเวณลานประทักษิณชั้นที่สองด้านทิศเหนือของเจดีย์ประธานประดิษฐาน พระไพรีพินาศ และในทางขึ้นลานประทักษิณชั้นที่ 2 ด้านทิศตะวันออกมีมณฑปยอดปรางค์ภายในประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ประติมากรรมซุ้มทางเข้าเจดีย์ประธาน
บริเวณเหนือซุ้มทางเข้าเจดีย์ประธานมีรูปประติมากรรมลอยตัวรูปช้าง สิงโต นกอินทรี และม้า ซึ่งแทนความหมายของศูนย์กลางจักรวาลที่อยู่บนโลกแห่งความเป็นจริงโดยศูนย์กลางคือสยามประเทศ โดย
- ช้าง - แทนถึงดินแดนล้านช้างและล้านนา ตั้งอยู่บนซุ้มทิศตะวันออกเฉียงเหนือ[11]
ภาพศิลปกรรมอื่น ๆ บนเจดีย์ประธาน
- พระไพรีพินาศ
- พระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ 4 บนลานประทักษิณชั้นที่ 2
- ประติมากรรมช้าง
- ประติมากรรมสิงโต
- ประติมากรรมอินทรี
- ประติมากรรมม้า
- มณฑปยอดปรางค์ประจำมุมเจดีย์ประธาน
วิหารพระศรีศาสดา

ตัวอาคารเป็นงานศิลปกรรมที่สืบทอดมาจากศิลปกรรมพระราชนิยมในรัชกาลที่ 3 โดยมีส่วนเพิ่มเติมที่เป็นอิทธิพลศิลปะตะวันตก ตัวอาคารมีเสาพาไลทึบทรงสี่เหลี่ยมล้อมรอบ ไม่มีคันทวยและบัวหัวเสา หน้าบันก่ออิฐถือปูนแบบเก๋งจีนผสมทรงวิลันดาที่มีการประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์แบบลวดลายตะวันตกคือทำเป็นรูปกิงก้านของดอกไม้ใบไม้ กลางหน้าบันประดับพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4 ขนาบด้วยฉัตร 7 ชั้น ล้อมรอบด้วยลวดลายปูนปั้นดอกโบตั๋นพร้อมด้วยก้านและใบที่มีขนาดใหญ่และมีสีแตกต่างกัน ซุ้มประตูและหน้าต่างเป็นงานผสมผสานระหว่างศิลปะไทยประเพณีคือโครงเป็นกรอบซุ้มโค้งแบบซุ้มเรือนแก้วและมียอดซุ้มเหมือนยอดทรงปราสาทและประดับลายอย่างเทศคือบัวหัวเสาทำเป็นลายใบอะแคนทัส ส่วนกลางซุ้มประดับพระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 4
ภายในพระวิหารประดิษฐานพระศรีศาสดาซึ่งเดิมประดิษฐานอยู่ ณ วิหารด้านทิศใต้ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก ต่อมาเจ้าอาวาสวัดบางอ้อยช้าง จังหวัดนนทบุรี ได้อัญเชิญพระศรีศาสดาจากเมืองพิษณุโลกมาไว้ที่วัด เนื่องจากเห็นว่าวิหารที่ประดิษฐานพระศรีศาสดาอยู่เดิมนั้นชำรุดทรุดโทรมเป็นอย่างมาก ต่อมาสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิไชยญาติ (ทัต บุนนาค)ทราบเรื่อง จึงให้อัญเชิญพระศรีศาสดาจากวัดบางอ้อยช้างมาไว้ที่วัดประดู่ฉิมพลี ต่อมาพุทธศักราช 2396 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทราบว่ามีการชะลอพระศรีศาสดามายังกรุงเทพมหานคร จึงมีพระราชดำริว่าพระศรีศาสดานั้นสร้างขึ้นพร้อมกับพระพุทธชินสีห์ ซึ่งเมื่อครั้งอยู่ ณ เมืองพิษณุโลกก็เคยประดิษฐานอยู่ ณ วัดเดียวกันมาก่อน พระศรีศาสดาก็ควรประดิษฐานอยู่ ณ วัดบวรนิเวศราชวรวิหารเช่นเดียวกับพระพุทธชินสีห์ เสมือนเป็นพระพุทธรูปผู้พิทักษ์พระพุทธชินสีห์ แต่ยังมิได้สร้างสถานที่ประดิษฐานจึงโปรดให้อัญเชิญไปประดิษฐานยังมุขหน้าพระอุโบสถวัดสุทัศนเทพวรารามไปพลางก่อน ครั้นสร้างพระวิหารพระศาสดาจวนแล้วเสร็จจึงโปรดให้อัญเชิญพระศรีศาสดามาประดิษฐาน เมื่อพุทธศักราช 2407 นอกจากนี้ภายในพระวิหารยังประดิษฐานพระพุทธไสยาซึ่งเป็นพระพุทธรูปปางปรินิพพานซึ่งอัญเชิญมาจากวัดพระพายหลวง จังหวัดสุโขทัย[11]
ศาลาการเปรียญ

ตั้งอยู่ในเขตพุทธาวาสด้านทิศตะวันตกของเจดีย์ประธาน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสร้างขึ้นพร้อมพระอุโบสถและหอพระไตรปิฎก ลักษณะอาคารเป็นอาคารแบบพระราชนิยม ก่ออิฐถือปูนยกฐานสูงเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย มีท้องไม้ยกสูง ไม่มีระเบียงโดยรอบ เป็นอาคารทึบ มีทางเข้า 3 ด้าน คือทางทิศเหนือ ทิศใต้ และทิศตะวันออก มีเสาร่วมใน เสาร่วมในเป็นเสาทรงเหลี่ยมไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน ทำเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปดอกพุดตาน กับลายพรรณพฤกษาลวดลายอย่างเทศ ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางลีลาสมัยสุโขทัย และมีพระพุทธรูปยืนด้านข้างขนาดเล็กอีก 2 องค์[12]
หอพระไตรปิฎก

ตั้งอยู่ในเขตพุทธาวาสทางด้านทิศตะวันออกของเจดีย์ประธาน สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพทรงสร้างขึ้นพร้อมพระอุโบสถและศาลาการเปรียญ ต่อมาเมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 ครองราชสมบัติ ทรงโปรดฯ ให้นำพระไตรปิฎกฉบับพระราชวังบวรสถานมงคลมาประดิษฐานในหอพระไตรปิฎกหลังนี้ และยังเก็บคัมภีร์ใบลานอื่นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก ลักษณะอาคารเป็นอาคารแบบพระราชนิยม ก่ออิฐถือปูนยกฐานสูงเป็นฐานบัวคว่ำ-บัวหงาย มีท้องไม้ยกสูง มีระเบียงโดยรอบ มีเสาพาไลล้อมรอบอาคาร เสาพาไลเป็นเสาทรงเหลี่ยมไม่มีบัวหัวเสา ไม่มีคันทวย ซึ่งเป็นรูปแบบที่นิยมสร้างในสมัยรัชกาลที่ 3 หน้าบันเป็นหน้าบันก่ออิฐถือปูน ทำเป็นลายปูนปั้นประดับกระเบื้องรูปดอกพุดตาน กับลายพรรณพฤกษาลวดลายอย่างเทศ ซุ้มประตูหน้าต่างทำลวดลายเป็นปูนปั้นลงรักปิดทองลวดลายอย่างเทศประกอบด้วยลวดลายพรรณพฤกษาผสมรูปศาสตราวุธจำพวก หอก ศรีศูล[13]
Remove ads
การเรียกชื่อวัด
การเรียกชื่อวัดที่ถูกต้อง จะต้องเรียกว่า วัดบวรนิเวศวิหาร ซึ่งมาจากคำนิวิจฉัยของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ในขณะที่การเรียกชื่อว่าวัดบวรนิเวศราชวรวิหาร จะใช้สำหรับลงในเอกสารในการแต่งตั้งสมณศักดิ์ของพระสงฆ์เท่านั้น[14]
ลำดับเจ้าอาวาส
นับตั้งแต่ใช้ชื่อวัดว่าวัดบวรนิเวศวิหาร พระอารามแห่งนี้มีเจ้าอาวาสมาแล้วทั้งสิ้น 8 พระองค์/รูป[15] ได้แก่
ลำดับที่ | รูป | รายนาม | เริ่มวาระ | สิ้นสุดวาระ |
1 | ![]() | พระวชิรญาณเถร (พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว) | พ.ศ. 2380 | พ.ศ. 2394 |
2 | ![]() | สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ | พ.ศ. 2394 | พ.ศ. 2435 |
3 | ![]() | สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส | พ.ศ. 2435 | พ.ศ. 2464 |
4 | ![]() | สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ | พ.ศ. 2464 | พ.ศ. 2501 |
5 | ![]() | พระพรหมมุนี (ผิน สุวโจ) | พ.ศ. 2501 | พ.ศ. 2504 |
6 | ![]() | สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร | พ.ศ. 2504 | พ.ศ. 2556 |
7 | ![]() | สมเด็จพระวันรัต (จุนท์ พฺรหฺมคุตฺโต) | พ.ศ. 2558 | พ.ศ. 2565 |
8 | พระพรหมวชิรรังษี (จิรพล อธิจิตฺโต) | พ.ศ. 2566 | ปัจจุบัน |
Remove ads
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads