คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
วิทยาศาสตร์
วิชาที่ว่าด้วยความรู้เชิงประจักษ์ในธรรมชาติ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
วิทยาศาสตร์[note 1] หมายถึง ความรู้เกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต รวมทั้งกระบวนการประมวลความรู้เชิงประจักษ์ ที่เรียกว่ากระบวนการทางวิทยาศาสตร์ และกลุ่มขององค์ความรู้ที่ได้จากกระบวนการดังกล่าว
บทความนี้อาจต้องเขียนใหม่ทั้งหมดเพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานคุณภาพของวิกิพีเดีย หรือกำลังดำเนินการอยู่ คุณช่วยเราได้ หน้าอภิปรายอาจมีข้อเสนอแนะ |
![]() | ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
![]() | บทความนี้อาจขยายความได้โดยการแปลบทความที่ตรงกันในภาษาอังกฤษ คลิกที่ [ขยาย] เพื่อศึกษาแนวทางการแปล
|
การศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์ยังถูกแบ่งย่อยออกเป็น วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ และ วิทยาศาสตร์ประยุกต์ คำว่า science ในภาษาอังกฤษ ซึ่งแปลว่า วิทยาศาสตร์นั้น มาจากภาษาลาติน คำว่า scientia ซึ่งหมายความว่า ความรู้ ในคริสต์ศตวรรษที่ 17 ฟรานซิส เบคอนได้พยายามคิดค้นวิธีมาตรฐานในการอุปนัย เพื่อนำมาใช้สร้างทฤษฎีหรือกฎต่าง ๆ ทางวิทยาศาสตร์จากข้อมูลที่ทดลองหรือสังเกตได้จากธรรมชาติ เป็นผู้รื้อถอนและปรับปรุงแนวความคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยเก่า ที่ยึดติดกับแนวความคิดของอริสโตเติลทิ้งไป. ณ ขณะนั้น กาลิเลโอได้กำหนดลักษณะสำคัญของวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ไว้ดังนี้
- ทำนายสิ่งที่เกิดขึ้นในปรากฏการณ์ธรรมชาติได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องอธิบายสาเหตุได้ เช่น ในขณะที่ยังไม่มีความรู้เรื่องแรงโน้มถ่วงนั้น กาลิเลโอไม่สนใจที่จะอธิบายว่า "ทำไมวัตถุถึงตกลงสู่พื้นดิน ?" แต่สนใจคำถามที่ว่า "เมื่อมันตกแล้ว มันจะถึงพื้นภายในเวลาเท่าใด ?"
- ใช้คณิตศาสตร์เพื่อเป็นภาษาหลักของวิทยาศาสตร์ (ดูหัวข้อ คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์)
ในเวลาต่อมา ไอแซก นิวตันได้ต่อเติมรากฐานและระบบระเบียบของแนวคิดเหล่านี้ และเป็นต้นแบบสำหรับสาขาด้านอื่น ๆ ของวิทยาศาสตร์
ก่อนหน้านั้น, ในปี ค.ศ. 1619 เรอเน เดส์การตส์ ได้เริ่มเขียนความเรียงเรื่อง Rules for the Direction of the Mind (ซึ่งเขียนไม่เสร็จ). โดยความเรียงชิ้นนี้ถือเป็นความเรียงชิ้นแรกที่เสนอกระบวนการคิดเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่และปรัชญาสมัยใหม่. อย่างไรก็ตามเนื่องจากเดส์การตส์ได้ทราบเรื่องที่กาลิเลโอ ผู้มีความคิดคล้ายกับตนถูกเรียกสอบสวนโดย โป๊ปแห่งกรุงโรม ทำให้เดส์การตส์ไม่ได้ตีพิมพ์ผลงานชิ้นนี้ออกมาในเวลานั้น
การพยายามจะทำให้ระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์เป็นระบบนั้น ต้องพบกับปัญหาของการอุปนัย ที่ชี้ให้เห็นว่าการคิดแบบอุปนัย (ซึ่งเริ่มต้นโดยฟรานซิส เบคอน) นั้น ไม่ถูกต้องตามหลักตรรกศาสตร์. เดวิด ฮูมได้อธิบายปัญหาดังกล่าวออกมาอย่างละเอียด คาร์ล พอพเพอร์ในความคิดลักษณะเดียวกับคนอื่น ๆ ได้พยายามอธิบายว่าสมมติฐานที่จะใช้ได้นั้นจะต้องทำให้เป็นเท็จได้ (falsifiable) นั่นคือจะต้องอยู่ในฐานะที่ถูกปฏิเสธได้ ความยุ่งยากนี้ทำให้เกิดการปฏิเสธความเชื่อพื้นฐานที่ว่ามีระเบียบวิธี 'หนึ่งเดียว' ที่ใช้ได้กับวิทยาศาสตร์ทุกแขนง และจะทำให้สามารถแยกแยะวิทยาศาสตร์ ออกจากสาขาอื่นที่ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ได้
Remove ads
ศัพทมูลวิทยา
![]() | ส่วนนี้ต้องการการขยายความ คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ปรัชญาวิทยาศาสตร์
ส่วนนี้ไม่มีการอ้างอิงจากเอกสารอ้างอิงหรือแหล่งข้อมูล โปรดช่วยพัฒนาส่วนนี้โดยเพิ่มแหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือ เนื้อหาที่ไม่มีการอ้างอิงอาจถูกคัดค้านหรือนำออก |
ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของวิทยาศาสตร์ในประวัติศาสตร์มนุษย์ ได้สร้างประเด็นคำถามทางปรัชญาไว้มากมาย. โดยนักปรัชญาวิทยาศาสตร์ได้ตั้งคำถามทางปรัชญาที่สำคัญดังนี้
- สิ่งใดเป็นตัวแบ่งแยกความรู้ทางวิทยาศาสตร์กับความรู้ประเภทอื่น ๆ เช่น โหราศาสตร์
- ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความจริงหรือไม่
- ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เชื่อถือได้แค่ไหน
- วิทยาศาสตร์มีประโยชน์จริง ๆ หรือไม่
- ศีลธรรมของวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสม คือรูปแบบใด
ประเด็นเหล่านี้ยังเป็นที่ถกเถียงในหมู่นักปรัชญาวิทยาศาสตร์อย่างมากในปัจจุบัน และไม่มีความเห็นใดที่ได้รับการยอมรับทั่วไปอีกเลยทีเดียว
Remove ads
ประวัติศาสตร์
สรุป
มุมมอง
ประวัติศาสตร์แรกเริ่มของวิทยาศาสตร์

วิทยาศาสคร์ไม่ได้มีจุดเริ่มต้นจากที่ใดที่หนึ่งแต่มาจากวิธีการที่ทำอย่างเป็นกิจจะลักษณะและเกิดขึ้นอย่างค่อย ๆ เป็นค่อย ๆ ไปตลอดเวลาหนึ่งหมื่นปีที่ผ่านมาในทุกมุมโลก[1][2] รายละเอียดเกี่ยวกับการพัฒนาในยุคนั้นมีน้อยและหาได้ยาก ผู้หญิงอาจจะตัวกลางสำคัญในวิทยาศาสตร์ยุคก่อนประวัติศาสตร์[3] เช่นจากการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา[4] ผู้เชี่ยวชาญบางคนใช้คำว่าต้นแบบวิทยาศาสตร์ (Protoscience) เพื่ออธิบายการกระทำในอดีตที่เหมือนหรือคล้ายกับการศึกษาวิทยาศาสตร์ในสมัยใหม่ในบางส่วนไม่ทั้งจำเป็นว่าต้องเหมือนทั้งหมด[5][6][7] อย่างไรก็ตามคำนี้ก็มีการวิจารณ์ว่าไม่ถูกต้องอย่างมาก[8] มีแนวคิดแบบพรีเซ็นทิซึม[a] (Presentism) มองสิ่งที่เกิดขึ้นมาต่างเฉพาะว่าแค่มีความสัมพันธ์กับในปัจจุบัน[9]
หลักฐานเกี่ยวกับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์มีให้เห็นมากขึ้นจากการพัฒนาระบบการเขียน อารยธรรมยุคสัมฤทธิ์เช่นอียิปต์โบราณและเมโสโปเตเมียมีการบันทึกข้อความเป็นลายลักษณ์อักษรหลายอย่างที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาในประวัติศาสตร์วิทยาศาสตร์ตั้งแต่ช่วง 3000 ถึง 1200 ปีก่อนคริสตกาล[10]: 12–15 [11] อย่างไรก็ตามแนวคิดของวิทยาศาสตร์และธรรมชาติยังไม่ใช่แนวคิดหลักของการศึกษายุคนั้น ชาวอียิปต์โบราณและชาวเมโสโปเตเมียได้สร้างองค์ความรู้หลายอย่างที่ต่อมาเป็นองค์ความรู้ที่ยังมีการศึกษาในกรีกโบราณและยุคกลางทั้ง คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ การแพทย์ และ ยารักษาโรค[12][10]: 12 ภายหลัง 3000 ปีก่อนคริสตกาล อียิปต์โบราณได้พัฒนาเลขฐานสิบ[13] พยายามแก้ปัญหาทางเรขาคณิต[14] และทำปฏิทิน[15] ใช้การรักษาด้วยยาและใช้สิ่งเหนือธรรมชาติเช่น การอธิษฐานขอพร ทำการปลุกเสกและทำพิธีกรรม[10]: 9
ชาวเมโสโปเตเมียใช้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีที่เจอในธรรมชาติเพื่อผลิตเครื่องปั้นดินเผา เครื่องเคลือบ แก้วกระจก สบู่ โลหะ ปูน อุปกรณ์กันน้ำ[16] ชาวเมโสโปเตเมียยังได้ศึกษา สรีรวิทยาของสัตว์ กายวิภาคศาสตร์ พฤติกรรมวิทยา และ โหราศาสตร์เพื่อการทำนาย[17] ชาวเมโสโปเตเมียโดยเฉพาะในบาบิโลนมีความสนใจในด้านการแพทย์อย่างมาก นอกจากนี้ยังพบใบสั่งยาในยุคแรก ๆ ทีเขียนเป็นภาษาซูเมอร์จากสมัยราชวงค์ที่ 3 แห่งอูร์[16][18] นอกจากนี้ยังพบว่าชาวเมโสโปเตเมียศึกษาวิทยาศาสตร์เพื่อใช้ในการศาสนาเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำเพื่อสนองความอยากรู้[16]
ยุคโบราณ

ในสมัยคลาสสิกยังไม่มีวิชาการศึกษาความรู้ใดที่คล้ายกับวิทยาศาสตร์ในสมัยใหม่ ในยุคนี้มีเพียงแต่ผู้มีการศึกษาซึ่งมักมาจากชนชั้นสูงและเกือบทั้งหมดเป็นชายดำเนินการวิเคราะห์สืบเสาะในธรรมชาติเมื่อไรก็ตามที่มีเวลา[19] ก่อนที่จะมีการคิดและค้นพบแนวคิดของไฟซิส หรือธรรมชาติโดยนักปรัชญายุคก่อนโสเครตีส คำนี้ใช้อธิบายวิถีของธรรมชาติที่พืชเติบโต[20] และแนวทางที่เช่นเผ่าเผ่าหนึ่งบูชาพระเจ้าบางพระองค์ด้วยเหตุนี้สามารถยึดถือได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นคือนักปรัชญากลุ่มแรกตามความเข้าใจโดยตรงและเป็นคนกลุ่มแรกที่แยกแยะธรรมชาติและธรรมเนียม (สัญนิยม) ออกจากกันอย่างสิ้นเชิง[21]
นักปรัชญากรีกแห่งสายไมเลเซียนซึ่งก่อตั้งโดยทาเลสแห่งมิเลทุสและสืบทอดโดยอานักซีมันโดรสและอานักซีเมแนสแห่งมิเลทุส นับเป็นครั้งแรกที่มีการพยายามอธิบายปรากฏการณ์ธรรมชาติโดยไม่กล่าวถึงสิ่งเหนือธรรมชาติ.[22] นักปรัชญาสายพิทาโกเรียน พัฒนาปรัชญาที่ใช้ตัวเลขที่ซับซ้อน[23]: 467–68 และมีส่วนช่วยในการการพัฒนาวิชาคณิตศาสตร์[23]: 465 แนวคิดปรมาณูนิยมได้ถูกพัฒนาโดยนักปรัชญากรีกเลวกิปโปสและลูกศิษย์ของเขาแดโมกรีโตส.[24][25] ต่อมาเอพิโครอสได้พัฒนาทฤษฎีจักรวาลวิทยาธรรมชาติจากแนวคิดปรมาณูนิยมและใช้เป็นบทบัญญัติมาตรฐานซึ่งเป็นเกณฑ์ทางกายภาพหรือมาตรฐานของความจริงทางวิทยาศาสตร์[26] แพทย์ชาวกรีกฮิปโปเครติสได้สร้างแบบแผนของระบบการศึกษาวิทยาศาสตร์การแพทย์[27][28]และถูกกล่าวถึงว่าเป็นบิดาแห่งการแพทย์[29]
จุดเปลี่ยนประวัติศาสตร์ของปรัชญาวิทยาศาสตร์ในยุคแรกเริ่มมาจากตัวอย่างของโสกราตีสในการใช้ปรัชญาเพื่อศึกษาความเป็นมนุษย์ เช่นธรรมชาติของมนุษย์ ธรรมชาติของการเมืองและประชาคม และความรู้ของมนุษย์เอง วิธีการของโสกราตีส ตามบันทึกการสนทนากับเพลโตเป็นวิภาษวิธีในการกำจัดข้อสมมุติฐาน ข้อที่ดีกว่าสามารถเจอได้ด้วยการค่อย ๆ จำแนกและตัดข้อที่มีความขัดแย้งกันออก วิธีการของโสกราตีสค้นหาความจริงที่ปรากฏโดยทั่วไปซึ่งก่อตัวเป็นความเชื่อและพิจารณาสิ่งเหล่านั้นอย่างลึกซึ้งเพื่อดูความสม่ำเสมอ[30] โสกราตีสยังได้วิจารณ์การศึกษาฟิสิกส์แบบกรีกในยุคเก่าว่าเน้นการเดาสุ่มมากเกินไปและขาดการวิจารณ์ตัวเอง.[31]
ศตวรรษที่ 4 ก่อนคริสตกาลอริสโตเติลสร้างแบบแผนอย่างเป็นระบบของอันตวิทยา[32] ศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาลนักดาราศาสตร์กรีกอาริสตาร์โคสแห่งซาโมสเป็นคนแรกที่เสนอแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของจักรวาลโดยดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลางและมีดวงเคระห์โคจรรอบ ๆ [33] แบบจำลองของอาริสตาร์โคสถูกปฏิเสธอย่างหนักเพราะเชื่อกันว่าละเมิดกฎของฟิสิกส์ในยุคนั้น[33] ส่วนแบบของปโตเลมีในตำรา Almagest ซึ่งเป็นแบบจำลองแนวคิดโลกเป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะถูกยอมรับจนกระทั่งถึงต้นยุคเรอเนซองส์[34][35] นักประดิษฐ์และนักคณิตศาสตร์อาร์คิมิดีสได้สร้างผลงานสำคัญต่อจุดเริ่มต้นของแคลคูลัส[36] พลินีผู้อาวุโสนักเขียนและโพลิแมทชาวโรมันเขียนผลงานซึ่งต้นแบบของสารานุกรมชื่อว่า Naturalis Historia[37][38][39]
ค่าประจำหลัก ที่ใช้ในการเขียนเลขอาจเริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงคริสตรศตวรรษที่ 3 ถึง 5 และปรับใช้แพร่หลายตามเส้นทางการค้าของอินเดีย ระบบและสัญลักษณ์ดังกล่าวทำให้การบวกลบคูณหารทำได้ง่ายมีประสิทธิภาพสูงและได้กลายมาเป็นมาตรฐานของวิชาคณิตศาสตร์ทั่วโลก[40]
ยุคกลาง

หลังการล่มสลายของจักรวรรดิโรมันตะวันตกในศตวรรษที่ 5 จำนวนผู้รู้ผู้เชี่ยวชาญได้ลดลง ความรู้และปรัชญากรีกได้เลือนรางสูญหายจากยุโรปตะวันตก[10]: 194 อย่างไรก็ตามในยุคนี้อิซิโดโรแห่งเซบิยาได้จัดทำตำราและสารานุกรมเพื่อรักษาองค์ความรู้ทั่วไปที่ได้รวบรวมจากอดีต[41] กลับกันในจักรวรรดิไบแซนไทน์ที่ต้องตั้งรับการรุกรานและสงครามแต่ก็ยังรักษาและต่อยอดความรู้เดิมที่มีได้[10]: 159 จอห์น ฟิโลปอนอส นักปราชญ์จากไบแซนไทน์ ตั้งข้อสงสัยหลักฟิสิกส์[b]ของอริสโตเติล จึงเกิดเป็นทฤษฎีแรงกระตุ้น[10]: 307, 311, 363, 402 และมีอิทธิพลต่อนักปราชญ์รุ่นหลังพันปีต่อมาอย่างกาลิเลโอที่ได้อ้างอิงทฤษฎีนี้หลายครั้งในงานของเขา[10]: 307–308 [42]
ปลายสมัยโบราณ และ สมัยกลางตอนต้นปรากฏการณ์ธรรมชาติต่างถูกศึกษาตรวจสอบโดยใช้ปรัชญาของอริสโตเติลเช่น เหตุสี่อย่าง (four causes) วัสดุเหตุ รูปเหตุ สัมฤทธิเหตุ และอันตเหตุ[43] ตำราและหนังสือกรีกโบราณหลายรายการถูกเก็บรักษาในจักรวรรดิไบแซนไทน์โดยชาวนิกายเนสโตเรียนและนิกายไมอาฟิไซทิซึม และมีการแปลเป็นภาษาอาหรับหนังสือแปลเป็นภาษาอาหรับเหล่านี้ถูกปรับปรุงต่อยอดที่นำโดยรัฐเคาะลีฟะฮ์[44] ถึงช่วงศตวรรษที่ 6 และ 7 จักรวรรดิซาเซเนียนได้ตั้งวิทยาลัยกอนดิชาปุรซึ่งถูกกล่าวขานโดยหมอชาวกรีก ซิริแอก และเปอร์เซียว่าเป็นศูนย์การแพทย์ที่สำคัญที่สุดในยุคนั้น[45]
บัยตุลฮิกมะฮ์ (ห้องสมุดใหญ่แห่งแบกแดด) สร้างในยุครัฐเคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ ที่เมืองแบกแดดในปัจจุบัน[46] ที่แห่งนี้เป็นจุดที่ทำให้ปรัชญาของอริสโตเติลได้เจริญรุ่งเรืองในโลกอิสลาม[47] จนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 13 เมื่อเกิดการมาถึงของการรุกรานของชาวมองโกล อิบน์ อัลฮัยษัมทำการทดลองเกี่ยวกับทัศนศาสตร์ที่การควบคุมปัจจัยตัวแปร[c][49][50] อิบน์ ซีนารวบรวมและเขียนอัลกอนูนฟีอัฏฏิบบ์ ตำราสารานุกรมการแพทย์ที่ถือว่าหนังสือการแพทย์ที่สำคัญและมีการใช้และกล่าวถึงจนกระทั่งถึงศตวรรษที่ 18 [51]
ในศตวรรษที่ 11 ชาวยุโรปส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์[10]: 204 และในปี 1088 มหาวิทยาลัยโบโลญญาถูกตั้งขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกในยุโรป[52] เช่นนั้นความต้องการหนังสือที่แปลเป็นภาษาลาตินเพิ่มมากขึ้น[10]: 204 ในศตวรรษที่ 12 ลัทธิอัสมาจารย์ได้เจริญรุ่งเรืองอย่างมากในยุโรปตะวันตก มีการทดลองโดย สังเกต บรรยายพรรณนา และจำแนกประเภทสิ่งต่าง ๆ ในธรรมชาติ[53] ในศตวรรษที่ 13 อาจารย์และนักศึกษาแพทย์ที่โบโลญญาเริ่มศึกษาโดยผ่าร่างมนุษย์ ทำให้เกิดตำรากายวิภาคศาสตร์เล่มแรกโดยมอนดิโน ดิ ลุซซี[54]
ยุคเรอเนซองส์

พัฒนาการใหม่ในวิชาทัศนศาสตร์คือตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดการเริ่มต้นใหม่ต่าง ๆ ในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ มีการโต้แย้งความคิดมโนคติของอภิปรัชญาในเรื่องของการรับรู้ รวมทั้งการมีส่วนร่วมในการปรับปรุงและการพัฒนาของเทคโนโลยีใหม่อย่างเช่น กล้องทาบเงา และ กล้องโทรทรรศน์ ช่วงแรกของยุคเรอเนซองส์ โรเจอร์ เบคอน วิเทลโล และ จอห์น เพ็คแคม ต่างสร้างแนวคิดภววิทยาแบบอัสมาจารย์ บนโซ่แห่งเหตุ (Causal chain) เริ่มจากผัสสาการ สัญชาน และสุดท้ายวิสัญชานของปัจเจกบุคคลและสิ่งสากลในทฤษฎีของแบบของอริสโตเติล[48]: Book I ต้นแบบเกี่ยวกับการมองเห็นกลายมาเป็นที่รู้จักในชื่อทัศนพิสัยนิยม ถูกศึกษาและในไปใช้โดยศิลปินในยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาการ ทฤษฎีดังกล่าวใช้ 3 เหตุจากทั้งหมด 4 เหตุของอริสโตเติลคือ รูปเหตุ วัสดุเหตุ และอันตเหตุ[55]
ในศตวรรษที่ 16 นิโคลัส โคเปอร์นิคัสกำหนดกฎเกณฑ์เกี่ยวกับแนวคิดดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของระบบสุริยะจักรวาลเริ่มจากดาวเคราะห์หมุนรอบดวงอาทิตย์แทนที่จะเป็นแนวคิดโลกเป็นศูนย์กลางที่ดาวเคราะห์และดวงอาทิตย์หมุนรอบโลก แนวคิดนี้มีที่มาจากข้อสังเกตุเกี่ยวกับคาบการโคจรของดาวเคราะห๋โดยวงโคจรจะมีคาบการโคจรที่นานขึ้นหากดาวเคราะห์มีระยะห่างจากจุดศูนย์กลางการโคจรไกลมากขึ้น ซึ่งผลการสำรวจที่ได้แย้งกับแนวคิดโลกเป็นศูนย์กลาง[56]
โยฮันเนิส เค็พเพลอร์ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์คนอื่น ๆ ได้พยายามโต้แย้งแนวคิดที่ว่า ตามีการทำงานเพียงด้านเดียวเท่านั้นคือการรับรู้ และทำให้มีการเบนความสนใจทางด้านทัศนศาสตร์ จากการศึกษาเกี่ยวกับตาไปที่การเดินทางของแสง[55][57] เค็พเพลอร์มีชื่อเสียงอย่างมาก อย่างไรก็ตามถึงแม้เขาจะต่อยอดแบบจำลองดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลางของโคเปอร์นิคัสจากการค้นพบกฎของเคปเลอร์ เค็พเพลอร์ก็ไม่ได้ปฏิเสธอภิปรัชญาแบบอริสโตเลียนนอกจากนี้เขากล่าวว่างานของเขาเป็นการคันหาการประสานพ้องแห่งฟากฟ้า (Musica universalis ) [58] กาลิเลโอได้สร้างผลงานสำคัญมากมายทั้งด้าน ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ และวิศวกรรม อย่างไรก็ตามเขาถูกขังจากคำสั่งของพระสันตะปาปาเออร์บานที่ 8 ได้สั่งลงโทษเขาจากงานเขียนเกี่ยวแบบจำลองพระอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง[59]
แท่นพิมพ์ถูกใช้อย่างแพร่หลายเพื่อพิมพ์ข้อวิจารณ์ทางวิชาการ รวมถึงความเห็นแย้งบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับแนวคิดสมัยใหม่เกี่ยวกับธรรมชาติในยุคนั้น[60] ฟรานซิส เบคอนและเรอเน เดการ์ต ตีพิมพ์คำอภิปรายทางปรัชญาแบบใหม่ที่ไม่ใช่วิทยาศาสตร์แบบอริสโตเลียน เบคอนได้เน้นย้ำถึงความสำคัญของการทดลองมากกว่าการพินิจพิจารณาและตั้งคำถามต่อแนวคิดแบบอริสโตเลียนในเรื่องของรูปเหตุและอันตเหตุ สนับสนุนแนวคิดที่ว่า วิทยาศาสตร์ควรเป็นการศึกษากฎธรรมชาติและพัฒนาความเป็นอยู่และชีวิตของมนุษย์[61] เดการ์ตได้เน้นย้ำถึงความคิดของปัจเจกบุคคลและเสนอว่าควรใช้คณิตศาสตร์มากว่าเรขาคณิตในการศึกษาธรรมชาติ[62]
ยุคเรืองปัญญา

เมื่อเริ่มต้นเข้าสู่ยุคเรืองปัญญา ไอแซก นิวตันได้วางรากฐานสำคัญให้แก่วิชากลศาสตร์แบบฉบับจากการเผยแพร่งานเขียนเรื่อง Philosophiæ Naturalis Principia Mathematica (แปลตรงตัว แม่แบบ:Gloss) งานเขียนชิ้นนี้ได้ส่งต่อและมีอิทธิพลต่อแนวคิดของนักฟิสิกส์รุ่นหลังอีกหลายคน[63] ก็อทฟรีท วิลเฮ็ล์ม ไลบ์นิทซ์ได้รวมแนวคิดหลายอย่างจากปรัชญาธรรมชาติของอาริสโตเติลซึ่งเป็นปรัชญาของอันตวิทยามาใช้ในแบบที่ไม่เกี่ยวข้องกับอันตวิทยาซึ่งมีผลต่อแนวคิดเกี่ยวกับวัตถุกล่าวคือ วัตถุไม่มีเหตุผลหรือเป้าหมายมันยังคงอยู่ ไลบ์นิทซ์ให้เหตุผลว่าสิ่งต่างเป็นไปด้วยกฎธรรมชาติอย่างเดียวไม่มีรูปปัจจัยหรืออันตปัจจัยพิเศษอื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้อง[64]
ในยุคนี้เป็นที่ประจักษ์แจ้งแล้วว่าวิทยาศาสตร์ได้สร้างความมั่งคั่งและสิ่งใหม่ ๆ ที่ช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่มนุษย์ในทางวัตถุนิยมเช่นผลผลิตอาหาร เสื้อผ้า และสิ่งต่าง ๆ ที่มากขึ้น ใน Novum Organum (แปลตรงตัว แม่แบบ:Gloss) ฟรานซิส เบคอนได้กล่าวไว้ว่าเป้าหมายที่ถูกต้องจริงของวิทยาศาสตร์คือการเผื่อแผ่สิ่งใหม่ ๆ และความร่ำรวยแก่ชีวิตมนุษย์และไม่เห็นด้วยกับการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ที่เป็นเพียงแนวคิดที่จับต้องไม่ได้[65]
แทนที่จะเป็นมหาวิทยาลัยแบบในอดีตในยุคนี้การค้นคว่าทางวิทยาศาสตร์มักมาจากสมาคมวิชาการและบัณฑิตยสถาน (Academy)[66] สถาบันเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดอาชีพวิชาการทางวิทยาศาสตร์ขึ้น รวมถึงความสนใจต่อองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นจากการเพิ่มจำนวนขึ้นของผู้รู้หนังสือ[67] ในยุคนี้นักคิดและนักปรัชญาบางคนได้หันมาเขียนหนังสือด้านวิทยาศาสตร์เช่น 1.กาลิเลโอ กาลิเลอี 2.โยฮันเนิส เค็พเพลอร์ 3.โรเบิร์ต บอยล์ และ 4.ไอแซก นิวตัน[68][69]
ในยุคนี้โดยเฉพาะศตวรรษที่ 18 ได้เกิดความสำเร็จทางวิทยาศาสตร์มากมายอาทิเช่นด้านการแพทย์[70] ฟิสิกส์[71] ชีววิทยาจากการพัฒนาหลักการอนุกรมวิธานของคาร์ล ลินเนียส[72] ความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับแม่เหล็กและไฟฟ้า[73] การพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับธาตุและสารจนเกิดเป็นวิชาเคมีขึ้น[74] แนวคิดเกี่ยวกับธรรมชาติของมนุษย์ สังคม และเศรษฐกิจได้พัฒนาในยุคนี้เช่นกัน เดวิด ฮูม นักคิดชาวสก็อตได้เขียนหนังสือ A Treatise of Human Nature (แปลตรงตัว แม่แบบ:Gloss) ซึ่งได้ถูกนำมาใช้อ้างอิงในงานเขียนของหลายคนได้แก่ เจมส์ เบอร์เน็ต อดัม เฟอร์กูสัน จอห์น มิลลาร์ และ วิลเลียม โรเบิร์ตสัน ซึ่งได้รวมการค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์ในเรื่องระหว่างความเป็นอยู่ของมนุษย์ยุคโบราณ กับ ความตระหนักรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงสู่ความเป็นสมัยใหม่[75] วิชาสังคมวิทยาล้วนแต่มีจุดเริ่มต้นจากนักคิดชาวสก็อตเหล่านี้[76] ในปี 1776 อดัม สมิธได้พิมพ์หนังสือความมั่งคั่งของประชาชาติซึ่งถือได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของวิชาเศรษฐศาสตร์[77]
ศตวรรษที่ 19

หลายองค์ความรู้ในระหว่างศตวรรษที่ 19 เริ่มเป็นรูปเป็นร่างคล้ายกับสาขาวิชาในปัจจุบัน ในยุตนี้การค้นคว้าทางด้านวิทยาศาสตร์เริ่มเห็นการใช้เครื่องมือวัดที่มีความเที่ยง รวมถึงการเกิดขึ้นของนักชีววิทยา นักฟิสิกส์ และนักวิทยาศาสตร์จากการที่การศึกษาธรรมชาติสามารถเป็นงานได้ในยุคนั้น นักวิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นเจ้าหน้าที่ที่สำคัญในสังคม ในยุคนี้หลายประเทศได้พัฒนาการอุตสาหกรรมและความนิยมที่เพิ่มขึ้นของงานเขียนวิทยาศาสตร์ประชานิยม (Popular science) และการถือกำเนิดของวรสารวิทยาศาสตร์[78] จิตวิทยากลายเป็นสาขาแยกใหม่ของวิชาปรัชญาเมื่อวิลเฮล์ม วุนต์ สร้างห้องทดลองเพื่อใช้ค้นคว้าเกี่ยวกับจิตวิทยาครั้งแรกในปี 1879[79]
ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ชาลส์ ดาร์วิน และ อัลเฟรด รัสเซล วอลเลซต่างคนได้พัฒนาต่างได้เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการและนำไปสู่กฎการคัดเลือกโดยธรรมชาติในปี 1858 ซึ่งเป็นการอธิบายว่าพืชและสัตว์แต่ละชนิดมีวิวัฒนาการและการปรับตัวอย่างไร ชาลส์ ดาร์วินได้อธิบายทฤษฎีดังกล่าวโดยละเอียดในหนังสือกำเนิดสปีชีส์ (On the Origin of Species) ซึ่งพิมพ์ครั้งแรกปี 1859[80] ในอีกฟากหนึ่งเกรกอร์ เมนเดลได้เผยแพร่การทดลองของเขาในหนังสือ Versuche über Pflanzen-Hybriden (แปลตรงตัว แม่แบบ:Gloss)ในปี 1865[81] และได้กลายมาเป็นกฎของเมนเดลซึ่งเป็นพื้นฐานและรากฐานสำคัญของการศึกษาพันธุศาสตร์จนถึงในปัจจุบัน[82]
ช่วงศตวรรษที่ 19 ตอนต้นจอห์น ดอลตันได้เสนอแนวคิดทฤษฎีอะตอมยุคใหม่ ซึ่งมีรากฐานมาจากแนวคิดของดีโมครีตุสที่ได้พูดถึงเรื่องอะตอม[83] จากกฎทรงพลังงานซึ่งรวมไปถึงการทรงโมเมนตัมและกฎทรงมวล อาจเป็นไปได้ว่าจักรวาลมีความเสถียรอย่างมากและแถบไม่มีการสูญเสียใด ๆ ในจักรวาล อย่างไรก็ตามหลังจากการมาถึงของเครื่องจักรไอน้ำ และ การปฏิวัติอุตสาหกรรม ได้พบว่าพลังงานแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดการใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนงานทางความร้อนไปเป็นพลังงานชนิดอื่น[84] ความเข้าใจดังกล่าวนำไปสู่กฎของอุณหพลศาสตร์ ในกฎดังกล่าวว่าไว้ว่าพลังงานเสรีของจักรวาลลดลงอย่างต่อเนื่อง เอนโทรปีของจักรวาลปิดเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ตลอดเวลา[d]
ทฤษฎีแม่เหล็กไฟฟ้าเริ่มเป็นรูปเป็นร่างในช่วงศตวรรษที่ 19 จากงานเขียนงานทดลองของนักวิทยาศาสตร์หลายคนเช่น 1.ฮันส์ คริสเทียน เออร์สเตด 2.อ็องเดร-มารี อ็องแปร์ 3.ไมเคิล ฟาราเดย์ 4.เจมส์ เคลิร์ก แมกซ์เวลล์ 5.โอลิเวอร์ เฮวิไซด์ และ 6.ไฮน์ริช เฮิร์ตซ์ แนวคิดใหม่ที่ว่าได้สร้างปัญหาให้นักวิทยาศาสตร์ยุคนั้นเนื่องจากไม่สามารถอธิบายได้ด้วยกลศาสตร์แบบนิวตันได้ ในยุคนี้เกิดการค้นพบรังสีเอกซ์ซึ่งนำไปสู่การค้นพบการสลายตัวกัมมันตรังสีโดยอองรี เบ็กเกอเรล และ มารี กูว์รีในปี 1896[87] จากนั้นมารี กูว์รีได้กลายเป็นคนแรกที่ได้รางวัลโนเบล 2 ครั้ง[88] จากนั้นในปีต่อมา (1897) ได้มีการค้นพบอิเล็กตรอนซึ่งเป็นอนุภาคมูลฐานชนิดแรกที่ถูกค้นพบ[89]
ศตวรรษที่ 20

การค้นพบยาปฏิชีวนะ และ การสังเคราะห์ปุ๋ยเคมีในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 ได้พัฒนาคุณภาพชีวิตมนุษย์ทั่วโลกอย่างมาก[90][91] ตามมาด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เพิ่มขึ้นเช่น การลดลงของโอโซนในชั้นบรรยากาศ การกลายเป็นกรดของมหาสมุทร ยูโทรฟิเคชัน และ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาดังกล่าวเริ่มมีการตระนักรู้ในวงกว้างและนำมาสู่วิชาการศึกษาสิ่งแวดล้อม[92]
งานวิจัยทางด้านวิทยาศาสตร์ในช่วงนี้มีมักได้รับทุนการสนับสนุนจำนวนมากหรือเป็นงานขนาดใหญ่[93] การเร่งพัฒนาทางด้านเทคโนโลยีในยุคสืบเนื่องมาจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และ สงครามโลกครั้งที่ 2 ตัวอย่างเช่นการพัฒนาปืนกล เครื่องบิน รถถัง การใช้อาวุธประเภทใหม่เป็นต้น สงครามเย็นทำให้เกิดการแข่งขันด้านเทคโนโลยีระหว่างมหาอำนาจโลก เช่น การแข่งขันทางด้านอวกาศ และ การแข่งขันพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์[94][95] องค์การระหว่างประเทศต่าง ๆ ได้พยายามหาพันธมิตรทำให้มีการรวมตัวกันของนักวิจัยระหว่างประเทศขึ้น[96]
ในศตวรรษที่ 20 การจ้างงานนักวิจัยหญิงที่เพิ่มขึ้นและลดการกีดกันทางเพศทำให้จำนวนนักวิทยาศาสตร์หญิงเพิ่มขึ้นแต่ในบางสาขาอัตราส่วนชายหญิงยังต่างกันมากอยู่[97] การค้นพบรังสีไมโครเวฟพื้นหลังของเอกภพในปี 1964[98] เป็นหลักฐานที่หักล้างทฤษฎีจักรวาลมีสภาพคงตัวและยอมรับทฤษฎีบิกแบงของฌอร์ฌ เลอแมทร์[99]
การค้นคว้าพื้นฐานสำคัญของของจักรวาลทำให้เกิดการเปลี่ยนสาขาวิชาการวิจัย ยุคนี้ได้เปลี่ยนแปลงการวิจัยเกี่ยวกับวิวัฒนาการสู่โมเดิร์นซินเทซิส ที่เป็นการรวมทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินและพันธุศาสตร์ดั้งเดิม[100] ทฤษฎีสัมพันธภาพของอัลเบิร์ต ไอน์สไตน์และกลศาสตร์ควอนตัมช่วยแก้ปัญหาหลายอย่างที่กลศาสตร์แบบฉบับทำไม่ได้และนำไปใช้ในระบบที่มีความยาวมาก ๆ ตอบปัญหาบางอย่างของของเวลาและความโน้มถ่วง[101][102] การแพร่หลายของอุปกรณ์วงจรรวมกับดาวเทียมสื่อสารนำไปสู่การปฏิวัติเทคโนโลยีสารสนเทศ การใช้งานอินเทอร์เน็ตและคอมพิวเตอร์พกพาเช่น สมาร์ทโฟนที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้ระบบสื่อสารที่โยงยาวเชื่อมต่อกันจำนวนมากและเกี่ยวพันกันหลายเครือข่ายและจำนวนข้อมูลขนาดใหญ่ นำไปสู่การศึกษาทฤษฎีระบบ และแบบจำลองทางวิทยาศาสตร์ที่สร้างโดยคอมพิวเตอร์[103]
ศตวรรษที่ 21

โครงการโครงการจีโนมมนุษย์สำเร็จในปี 2003 สามารถวิเคราะห์ยีนในจีโนมมนุษย์ได้ครบทั้งหมด[104] เซลล์ต้นกำเนิดพหุศักยภาพแบบชักนำ (iPSCs) ทำสำเร็จครั้งแรกในปี 2006 ทำให้ใช้เซลล์จากเซลล์โตเติมที่ (Adult cell) ไปใช้เป็นเซลล์ต้นกำเนิดและเปลี่ยนเป็นเซลล์ที่ต้องการต่อได้[105] ในปี 2013 ได้มีการยืนยันการตรวจวัดได้ของฮิกส์โบซอน อนุภาคสุดท้ายที่ถูกทำนายไว้ในสแตนดาร์ดโมเดล[106] จากการทำนายถึงการมีอยู่ของคลื่นความโน้มถ่วงในทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไปเมื่อเกือบร้อยปีที่แล้ว และในปี 2015 คลื่นความโน้มถ่วงถูกตรวจวัดครั้งแรกโดย LIGO[107][108] ในปี 2019 ทีมนักวิจัยของกล้องโทรทรรศน์อีเวนท์ฮอไรซันเผยแพร่ภาพของหลุมดำและแอคเครชันดิสก์เป็นครั้งแรก[109]
Remove ads
สาขาของวิทยาศาสตร์
สรุป
มุมมอง
วิทยาศาสตร์ธรรมชาติ
ฟิสิกส์
|
|
เคมี
|
|
ชีววิทยา
|
|
วิทยาศาสตร์ประยุกต์
วิศวกรรมศาสตร์
วิทยาการคอมพิวเตอร์และสารสนเทศ
- วิทยาการคอมพิวเตอร์
- วิทยาการสารสนเทศ หรือ สารสนเทศศาสตร์
- วิทยาศาสตร์พุทธิปัญญา (Cognitive science)
- วิชาเกี่ยวกับการติดต่อและควบคุมของสัตว์และเครื่องจักร (eng)
- บรรณารักษศาสตร์และสารนิเทศศาสตร์
- Systemics
วิทยาศาสตร์สุขภาพ (Health Science)
|
|
Remove ads
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
- คำว่า "วิทยาศาสตร์" มักถูกใช้เพื่อแทนคำว่า "Science" ในภาษาอังกฤษ แต่ถ้าจะกล่าวให้ตรงความหมายแล้ว เราใช้คำว่า "วิทยาศาสตร์" เพื่อหมายถึง "Exact science" ซึ่งไม่รวมสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์เอาไว้ แม้ว่าสาขาวิชาทางสังคมศาสตร์จะใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์เช่นเดียวกัน การแบ่งแยกดังกล่าวมีขึ้นเนื่องจากความแตกต่างในด้านเนื้อหาและธรรมชาติของการศึกษา มิใช่เรื่องของความจริงหรือความถูกต้องแต่อย่างใด คำว่า "Science" ในภาษาอังกฤษจะมีความหมายเทียบเท่ากับคำว่า "ศาสตร์"
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads