สงครามเวียดนาม
From Wikipedia, the free encyclopedia
สงครามเวียดนาม (เวียดนาม: Chiến tranh Việt Nam) หรืออีกชื่อหนึ่งว่า สงครามอินโดจีนครั้งที่สอง[28] และในเวียดนามเรียก สงครามต่อต้านอเมริกา (เวียดนาม: Kháng chiến chống Mỹ) หรือเรียกง่าย ๆ ว่า สงครามอเมริกา เป็นความขัดแย้งในเวียดนาม ลาว และกัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2498[A 2] จนกรุงไซ่ง่อนถูกยึด เมื่อวันที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2518[29] เป็นสงครามอินโดจีนครั้งที่สองและเป็นการต่อสู้ระหว่างเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้อย่างเป็นทางการ เวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนจากสหภาพโซเวียต และจีน[7] และประเทศพันธมิตรฝ่ายลัทธิคอมมิวนิสต์อื่น เวียดนามใต้ได้รับการสนับสนุนโดยสหรัฐ เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ออสเตรเลีย ไทย และประเทศพันธมิตรฝ่ายต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์อื่น[30][31] บางคนถือสงครามนี้เป็นสงครามตัวแทนในยุคสงครามเย็น[32] ซึ่งกินระยะเวลาถึง 19 ปี โดยการมีส่วนเกี่ยวข้องโดยตรงของสหรัฐสิ้นสุดลงในปี 2516 และรวมไปถึงสงครามกลางเมืองลาว และสงครามกลางเมืองกัมพูชาซึ่งจบลงด้วยทั้งสามประเทศได้กลายเป็นคอมมิวนิสต์ในปี 2518
สงครามเวียดนาม | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ สงครามอินโดจีน และสงครามเย็น | |||||||||
| |||||||||
คู่สงคราม | |||||||||
|
| ||||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||||
|
| ||||||||
กำลัง | |||||||||
ความสูญเสีย | |||||||||
| |||||||||
|
ความขัดแย้งเกิดขึ้นจากสงครามอินโดจีนครั้งที่ 1 ต่อคอมมิวนิสต์ที่นำโดยเหวียตมิญ[33][A 3] ภายหลังฝรั่งเศสถอนตัวออกจากอินโดจีนในปี พ.ศ. 2497 สหรัฐเป็นผู้ให้การสนับสนุนทางการเงินและการทหารสำหรับรัฐเวียดนามใต้ต่อเวียดกง แนวร่วมประชาชนเวียดนามใต้ที่รับคำสั่งจากเวียดนามเหนือ ริเริ่มทำสงครามกองโจรในเวียดนามใต้ เวียดนามเหนือยังบุกครองลาวในช่วงกลางปี 2493 เพื่อสนับสนุนกบฏ มีการสร้างเส้นทางสายโฮจิมินห์เพื่อส่งกำลังบำรุงและเสริมกำลังให้แก่เวียดกง[34]: 16 การมีส่วนร่วมของสหรัฐเพิ่มมากขึ้นในสมัยประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี ผ่านโครงการกลุ่มที่ปรึกษาความช่วยเหลือทางทหาร (MAAG) จากที่ปรึกษาการทหารไม่ถึง 1,000 นายในปี พ.ศ. 2502 เพิ่มเป็น 16,000 นายในปี พ.ศ. 2506[35][36]: 131 ในปี พ.ศ. 2506 เวียดนามเหนือส่งทหาร 40,000 นายไปรบในเวียดนามใต้[37]: 16 เวียดนามเหนือได้รับการสนับสนุนอย่างมากจากสหภาพโซเวียตและสาธารณรัฐประชาชนจีน[38]: 371–4 [39]
ในเดือนสิงหาคม 2507 เกิดอุบัติการณ์อ่าวตังเกี๋ยซึ่งอ้างว่าเรือพิฆาตของสหรัฐปะทะกับเรือจู่โจมเร็วของเวียดนามเหนือ รัฐสภาสหรัฐตอบโต้โดยผ่านข้อมติอ่าวตังเกี๋ย มอบอำนาจให้ประธานาธิบดีลินดอน บี. จอห์นสันอย่างกว้างขวางในการเพิ่มทหารสหรัฐ เขาออกคำสั่งให้วางกำลังหน่วยรบเป็นครั้งแรก และเพิ่มจำนวนกำลังพลเป็น 184,000 นาย[40] เมื่อผ่านมาถึงจุดนี้ กองทัพประชาชนเวียดนาม มีส่วนร่วมในการสงครามตามแบบกับกองทัพสหรัฐและเวียดนามใต้ ทุกปีนับจากนั้น มีการเสริมสร้างทหารสหรัฐอย่างมาก แม้มีความคืบหน้าเพียงเล็กน้อย กองทัพสหรัฐและเวียดนามใต้อาศัยความเป็นเจ้าเวหาและอำนาจการยิงที่เหนือกว่าดำเนินการค้นหาและทำลาย สหรัฐยังดำเนินการรณรงค์ทิ้งระเบิดทางยุทธศาสตร์ขนานใหญ่ต่อเวียดนามเหนือและลาว
การรุกตรุษญวนในปี 2511 แสดงถึงการขาดความคืบหน้าด้วยหลักนิยมนี้ โดยเวียดกงและกองทัพประชาชนเวียดนาม ลงมือรุกในเมืองขนานใหญ่ตลอดปีนั้น การสนับสนุนสงครามในประเทศของสหรัฐเริ่มลดลงกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม ขยายขนาดหลังปล่อยปะละเลยก่อนหน้านี้ภายหลังจากตรุษญวนและยึดแบบตามหลักนิยมสหรัฐ ในปีนั้นเวียดกงเสียรี้พลไป 50,000 นาย[41]: 481 โครงการฟีนิกซ์ของสำนักข่าวกรองกลาง ยิ่งลดระดับสมาชิกภาพและขีดความสามารถของเวียดกงเมื่อถึงสิ้นปี เวียดกงลดปฏิบัติการกองโจรอย่างมาก และเพิ่มความจำเป็นสำหรับการใช้ทหารตามแบบ กองทัพประชาชนเวียดนามจากเวียดนามเหนือ[42]: 247–9 ในปี 2512 เวียดนามเหนือประกาศตั้งรัฐบาลปฏิวัติชั่วคราวในเวียดนามใต้ในความพยายามให้เวียดกงมีฐานะระหว่างประเทศมากขึ้น แต่กองทัพประชาชนเวียดนามเริ่มการสงครามผสมเหล่ามากขึ้น เมื่อถึงปี 2513 เวียดกงไม่หลงเหลืออีกต่อไป ปฏิบัติการนี้ข้ามเขตแดนของประเทศ โดยลาวถูกเวียดนามเหนือบุกครองตั้งแต่แรก ส่วนกัมพูชาเวียดนามเหนือใช้เป็นเส้นทางเสบียงเริ่มตั้งแต่ปี 2510 เส้นทางผ่านกัมพูชาเริ่มถูกสหรัฐทิ้งระเบิดในปี 2512 ส่วนเส้นทางลาวถูกทิ้งระเบิดหนักตั้งแต่ปั 2517 การโค่นสมเด็จพระนโรดม สีหนุโดยสมัชชาแห่งชาติกัมพูชาส่งผลทำให้ กองทัพประชาชนเวียดนามเข้ารุกรานประเทศตามคำขอของเขมรแดง ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในกัมพูชาบานปลาย และการบุกครองตอบโต้ของสหรัฐและกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม
ในปี 2512 หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ริชาร์ด นิกสัน มีการเริ่มนโยบายการแผลงเป็นเวียดนาม (Vietnamization) ซึ่งแสดงถึงความขัดแย้งที่มีกองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม ซึ่งขยายขนาดเป็นคู่ขัดแย้งมากขึ้น ส่วนกำลังสหรัฐลดบทบาทลดงและยิ่งเสียขวัญมากขึ้นจากการต่อต้านในประเทศและการเกณฑ์คนได้ลดลง กำลังภาคพื้นดินของสหรัฐส่วนใหญ่ถอนออกไปเมื่อถึงต้นปี 2515 และการสนับสนุนจำกัดอยู่ที่การสนับสนุนทางอากาศ การสนับสนุนด้วยปืนใหญ่ ที่ปรึกษาและการส่งยุทธภัณฑ์กองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม ด้วยการสนับสนุนของสหรัฐยุติการรุกของกองทัพประชาชนเวียดนาม ด้วยยานยนต์ใหญ่สุดและครั้งแรกระหว่างการรุกอีสเตอร์ปี 2515 แต่กองทัพสาธารณรัฐเวียดนาม เองก็ไม่สามารถยึดคืนดินแดนทั้งหมดกลับมาได้ ทำให้ตกอยู่ในสถานการณ์ทางทหารที่ลำบาก ข้อตกลงสันติภาพกรุงปารีสเดือนมกราคม 2516 เป็นการถอนกำลังสหรัฐทั้งหมด และการผ่านคำแปรญัตติเคส–เชิร์ชของรัฐสภาสหรัฐในวันที่ 15 สิงหาคม 2516 ยุติการมีส่วนเกี่ยวข้องทางหทารโดยตรงของสหรัฐอย่างเป็นทางการ ข้อตกลงสันติภาพล่มแทบทันที และการต่อสู้กินเวลาต่อไปอีก 2 ปี กรุงพนมเปญเสียให้แก่เขมรแดงในวันที่ 17 เมษายน 2518 และระหว่างการรุกฤดูใบไม้ผลิ กองทัพประชาชนเวียดนามยึดกรุงไซ่ง่อนได้ในวันที่ 30 เมษายน เป็นการยุติสงคราม ประเทศเวียดนามเหนือและเวียดนามใต้รวมเข้าด้วยกันในปีถัดมา
การสู้รบมีขนาดใหญ่มาก ในปี 2513 กองทัพสาธารณรัฐเวียดนามเป็นกองทัพใหญ่สุดอันดับ 4 ของโลก กับกองทัพประชาชนเวียดนาม นั้นมีขนาดใกล้เคียงกันโดยมีทหารประจำการประมาณ 1,000,000 นาย[43][44]: 770 สงครามได้ก่อให้เกิดความสูญเสียต่อมนุษยชาติอย่างมหาศาลในแง่ของการเสียชีวิต การประมาณจำนวนทหารและพลเรือนเวียดนามที่เสียชีวิตมีตั้งแต่ 966,000 คน[45] ถึง 3.8 ล้านคน[23] ชาวเขมรประมาณ 275,000–310,000 คน[25][26][27] ชาวลาว 20,000–62,000 คน[46] และทหารสหรัฐ 58,220 นายเสียชีวิต และอีก 1,626 นายยังสูญหายในหน้าที่[A 1]
ความแตกแยกระหว่างจีน–โซเวียตเกิดขึ้นอีกครั้งหลังสงบไปในช่วงสงครามเวียดนาม ความขัดแย้งระหว่างเวียดนามเหนือและพันธมิตรเขมรในราชรัฏฐาภิบาลรวบรวมชาติกัมพูชา และกัมพูชาประชาธิปไตยที่เพิ่งก่อตั้งขึ้นมาใหม่เริ่มต้นเกือบทันทีด้วยการตีโฉบฉวยชายแดนโดยเขมรแดง จนสุดท้ายบานปลายเป็นสงครามกัมพูชา–เวียดนาม กองทัพจีนบุกครองเวียดนามโดยตรงในสงครามจีน-เวียดนาม ซึ่งความขัดแย้งตามชายแดนที่เกิดตามมายืดเยื้อจนถึงปี 2534 เวียดนามต่อสู้การก่อการกำเริบในสามประเทศ การสิ้นสุดของสงครามและการเริ่มต้นใหม่ของสงครามอินโดจีนครั้งที่สามเร่งให้เกิดชาวเรือเวีดนามและวิกฤตผู้ลี้ภัยอินโดจีนที่ใหญ่กว่า ซึ่งมีจำนวนผู้ลี้ภัยหลายล้านคนออกจากอินโดจีน (ส่วนใหญ่มาจากเวียดนามใต้) โดยมีประมาณการ 250,000 คนเสียชีวิตในทะเล ภายในสหรัฐ สงครามได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า กลุ่มอาการเวียดนาม ซึ่งเป็นความเกลียดของสาธารณชนต่อการมีส่วนร่วมทางทหารในต่างประเทศของสหรัฐ[47] ซึ่งเมื่อรวมกับคดีวอเตอร์เกต ส่งเสริมวิกฤตความเชื่อมั่นที่ส่งผลต่อสหรัฐในคริสต์ทศวรรษ 1970[48]