อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
อดีตนายกรัฐมนตรีไทย / From Wikipedia, the free encyclopedia
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ม.ป.ช. ม.ว.ม. (เกิด 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507) ชื่อเล่น มาร์ค เป็นนักการเมืองชาวไทย นายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 27 อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในรัฐบาล ชวน หลีกภัย, อดีตผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร 3 สมัย อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 9 สมัย อดีตหัวหน้าพรรค และอดีตสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ | |
---|---|
อภิสิทธิ์ ใน พ.ศ. 2553 | |
นายกรัฐมนตรีไทย คนที่ 27 | |
ดำรงตำแหน่ง 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 – 5 สิงหาคม พ.ศ. 2554 (2 ปี 231 วัน) | |
กษัตริย์ | พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร |
รอง | |
ก่อนหน้า | ชวรัตน์ ชาญวีรกูล (รักษาการ) |
ถัดไป | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร |
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี | |
ดำรงตำแหน่ง 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540 – 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 (3 ปี 95 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | ชวน หลีกภัย |
ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร | |
ดำรงตำแหน่ง 23 เมษายน พ.ศ. 2548 – 19 กันยายน พ.ศ. 2549 (1 ปี 149 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | ทักษิณ ชินวัตร |
ก่อนหน้า | บัญญัติ บรรทัดฐาน |
ดำรงตำแหน่ง 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 – 17 ธันวาคม พ.ศ. 2551 (0 ปี 293 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ |
ดำรงตำแหน่ง 16 กันยายน พ.ศ. 2554 – 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556 (2 ปี 84 วัน) | |
นายกรัฐมนตรี | ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร |
ถัดไป | สมพงษ์ อมรวิวัฒน์ |
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ | |
ดำรงตำแหน่ง 6 มกราคม พ.ศ. 2544 – 5 มิถุนายน พ.ศ. 2562 (18 ปี 150 วัน) แบบสัดส่วน 23 ธันวาคม พ.ศ. 2550 - 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2554 | |
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร กรุงเทพมหานคร | |
ดำรงตำแหน่ง 22 มีนาคม พ.ศ. 2535 – 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2543 (8 ปี 232 วัน) | |
เขตเลือกตั้ง | เขต 6 (2535) เขต 5 (2538,2539) |
หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ | |
ดำรงตำแหน่ง 5 มีนาคม พ.ศ. 2548 – 24 มีนาคม พ.ศ. 2562 (14 ปี 19 วัน) | |
ก่อนหน้า | บัญญัติ บรรทัดฐาน |
ถัดไป | จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ |
ข้อมูลส่วนบุคคล | |
เกิด | มาร์ค อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ[1] 3 สิงหาคม พ.ศ. 2507 (59 ปี) นิวคาสเซิลอะพอนไทน์ สหราชอาณาจักร |
สัญชาติ | ไทย, อังกฤษ |
พรรคการเมือง | อิสระ |
การเข้าร่วม พรรคการเมืองอื่น | ประชาธิปัตย์ (2535–2566) |
คู่สมรส | พิมพ์เพ็ญ ศกุนตาภัย (สมรส 2531) |
บุตร |
|
บุพการี |
|
ญาติ |
|
ศิษย์เก่า | วิทยาลัยเซนต์จอห์น อ็อกซ์ฟอร์ด มหาวิทยาลัยรามคำแหง |
วิชาชีพ | นักการเมือง นักเศรษฐศาสตร์[3] อาจารย์มหาวิทยาลัย[4] |
ทรัพย์สินสุทธิ | 116.9 ล้านบาท (พ.ศ. 2562)[5] |
ลายมือชื่อ | |
เว็บไซต์ | http://www.abhisit.org |
ยศที่ได้รับการแต่งตั้ง | |
รับใช้ | ไทย |
สังกัด | กองทัพบก |
ยศ | ร้อยตรี[6][7] |
อภิสิทธิ์เกิดที่ประเทศอังกฤษ เข้าวิทยาลัยอีตัน และสำเร็จการศึกษาปริญญาตรีและปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรกรุงเทพมหานคร ใน พ.ศ. 2535 ขณะอายุได้ 27 ปี และได้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์หลังพรรคแพ้การเลือกตั้งเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2548[8] อภิสิทธิ์ได้รับการลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีไทย ธันวาคม พ.ศ. 2551 เป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อเดือนธันวาคม พ.ศ. 2551 ในวัย 44 ปี[9] หลังศาลรัฐธรรมนูญยุบพรรคพลังประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล[10] เขาเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในรอบกว่า 60 ปี[11] อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแกนนำพรรคจัดตั้งรัฐบาลกระทันหันในเวลานั้นก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่ากองทัพมีส่วนจัดตั้ง[12]
อภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีในห้วงวิกฤตการณ์การเงินโลก และความตึงเครียดทางการเมืองในประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น ขณะดำรงตำแหน่ง เขาเสนอ "วาระประชาชน" ซึ่งมุ่งสนใจนโยบายซึ่งมีผลต่อสภาพความเป็นอยู่ของพลเมืองชนบทและผู้ใช้แรงงานของไทยเป็นหลัก[13] เขาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสองประการสำคัญ คือ โครงการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานสามปีมูลค่า 4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ และโครงการให้เงินอุดหนุนและแจกเงินมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ[14] ยุคอภิสิทธิ์มีการปิดเว็บไซต์และสถานีวิทยุเป็นจำนวนมาก ตลอดจนจับกุมและปิดปากบุคลากรสื่อ ผู้ต่อต้านและหัวหน้าแรงงานจำนวนมาก โดยอ้างความผิดต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย[15][16] จากรายงาน พ.ศ. 2553 ฮิวแมนไรตส์วอตช์เรียกยุคอภิสิทธิ์ว่า "มีเซ็นเซอร์มากที่สุดในประวัติศาสตร์ไทยล่าสุด" และ ฟรีดอมเฮาส์ ลดระดับอันดับเสรีภาพสื่อของไทยลงเหลือ "ไม่เสรี"[17] [18] อภิสิทธิ์ยังสนับสนุนมาตรการต่อต้านการฉ้อราษฎร์บังหลวง แต่รัฐมนตรีหลายคนกลับมีเรื่องอื้อฉาวทางการเมือง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจหลายส่วนถูกวิจารณ์ว่าฉ้อราษฎร์บังหลวง
รัฐบาลอภิสิทธิ์เผชิญการประท้วงใหญ่ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2552 และเดือนเมษายนและพฤษภาคม พ.ศ. 2553 อภิสิทธิ์ดำเนินโครงการปรองดองเพื่อสืบสวนเหตุสลายการชุมนุม แต่การทำงานของคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงกลับถูกทหารและหน่วยงานของรัฐขัดขวาง[19] กองทัพไทยปะทะกับกัมพูชาหลายครั้งระหว่าง พ.ศ. 2552−2553 ซึ่งเป็นการสู้รบนองเลือดที่สุดในรอบกว่าสองทศวรรษ[20] เหตุความไม่สงบในชายแดนภาคใต้บานปลายขึ้นระหว่างรัฐบาลอภิสิทธิ์ และรายงานการทรมานและการละเมิดสิทธิมนุษยชนเพิ่มขึ้น
หลังแพ้การเลือกตั้งเป็นการทั่วไป พ.ศ. 2554 เขาได้ลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรคในวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 แต่ได้รับเลือกใหม่ในเดือนสิงหาคม ปีเดียวกัน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ลาออกทั้งหมด ในเดือนเดียวกัน เขาถูกตั้งข้อกล่าวหาฆ่าคนจากการสลายการชุมนุมเมื่อ พ.ศ. 2553 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิต 90 คน[21]
หลังพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เขาชนะการหยั่งเสียงเป็นหัวหน้าพรรคอีกครั้ง[22] อย่างไรก็ตาม ภายหลังจากผลการเลือกตั้งทั่วไป พ.ศ. 2562 ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย จึงประกาศลาออกจากตำแหน่งหัวหน้าพรรค[23] และได้ลาออกจากสมาชิกพรรคเมื่อปี พ.ศ. 2566[24]