คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

สังสารวัฏ

การเวียนว่ายตายเกิดในศาสนาพุทธ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สังสารวัฏ
Remove ads

วัฏสงสาร, สังสารวัฏ หรือ สงสารวัฏ (อักษรเทวนาครี: संसार, saṃsāra) เป็นศัพท์บาลี/สันสกฤตที่มีความหมายว่า "โลก"[1][2] กับแนวคิดการกลับมาเกิดและ "วัฏจักรของสิ่งมีชีวิต สสาร การดำรงอยู่" ความเชื่อพื้นฐานในศาสนาอินเดียส่วนใหญ่[3][4] สังสารวัฏเป็นที่นิยมในแนวคิดการเวียนว่ายตายเกิด[2][5] บางครั้งสื่อด้วยคำหรือวลีอื่นอย่าง การเกิดใหม่, วงจรกรรม, การกลับชาติมาเกิด หรือ Punarjanman และ "วัฏจักรของการล่องลอยอย่างไร้จุดหมาย เร่ร่อน หรือการดำรงอยู่ทางโลก"[2][6]

Thumb
ภวจักรในศาสนาพุทธที่กล่าวถึงสังสารวัฏ

แนวคิดสังสารวัฏมีที่มาจากวรรณกรรมหลังพระเวท ทฤษฎีนี้ไม่ได้พูดถึงตัวพระเวทเอง[7][8] โดยปรากฏในรูปแบบที่พัฒนาแล้ว แต่ไม่มีรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการในอุปนิษัทตอนต้น[9][10] การแสดงธรรมเกี่ยวกับสังสารวัฏยังพบในศาสนาสมณะ เช่น พุทธและเชน เช่นเดียวกันกับสำนักปรัชญาฮินดูหลายแห่งประมาณหลังกลางสหัสวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราช[10][11] หลักคำสอนเกี่ยวกับสังสารวัฏถูกเชื่อมโยงเข้ากับทฤษฎีกรรมในศาสนาฮินดู และการปลดปล่อยจากสังสารวัฏถือเป็นแก่นแท้ของการแสวงหาจิตวิญญาณของธรรมเนียมอินเดีย ตลอดจนข้อขัดแย้งภายในของตน[12][13] การปลดปล่อยตนเองจากสังสารวัฏมีชื่อเรียกว่าโมกษะ, นิพพาน, Mukti หรือ Kaivalya[6][14][15]

Remove ads

ความหมายและศัพทมูล

สังสารวัฏหมายถึง "การพเนจร"[2][16] หรือ "โลก" ซึ่งคำนี้มีความหมายว่า "การเปลี่ยนวัฏจักร"[1] สังสารวัฏเชื่อมโยงเข้ากับทฤษฎีกรรมและสื่อถึงความเชื่อที่ว่าสิ่งมีชีวิตทั้งมวลต้องเวียนว่ายตายเกิด คำนี้ยังปรากฏในวลีที่คล้ายกันอย่าง "วัฏจักรของการดำรงอยู่อย่างต่อเนื่อง", "การเกิดใหม่", "วงจรกรรม", "วงล้อชีวิต" และ "วัฏจักรของสิ่งมีชีวิต สสาร การดำรงอยู่"[2][5][17]

Monier-Williams รายงานว่า สังสารวัฏ (saṃsāra) มีรากมาจาก Saṃsṛ (संसृ) หมายถึง "เวียนไปเวียนมา, หมุนเวียน, ไปสู่หรือได้มา, เคลื่อนที่เป็นวง"[18] แนวคิดนี้อยู่ตรงข้ามกับแนวคิดโมกษะ ซึ่งมีอีกชื่อว่า mukti, นิพพาน, นิรวาณ หรือ kaivalya ซึ่งสื่อถึงการปลดปล่อยตนเองจากวัฏจักรอันไร้จุดหมาย[6][18]

แนวคิดสังสารวัฏพัฒนาขึ้นหลังสมัยพระเวท และสืบต้นตอในชั้นSamhita เช่น ในฤคเวทส่วนที่ 1.164, 4.55, 6.70 และ 10.14[9][19][20] ในขณะที่แนวคิดที่กล่าวถึงในชั้น Samhita ของพระเวท ยังไม่มีคำแสดงที่กระจ่าง และแนวคิดนี้พัฒนาเต็มที่ในอุปนิษัทตอนต้น[21][22] Damien Keown ระบุว่าแนวคิด "การเวียนว่ายตายเกิด" ปรากฏขึ้นประมาณ 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช[23] คำว่าสังสารวัฏกับโมกษะยังปรากฏในหลักวิชาอุปนิษัทบางเล่ม เช่น โองการที่ 1.3.7 ของ Katha Upanishad,[24] โองการที่ 6.16 ของ Shvetashvatara Upanishad[25] และโองการที่ 1.4 กับ 6.34 ของMaitri Upanishad[26][27]

Remove ads

ศาสนาฮินดู

Thumb
Thumb
การปล่อยตนเองจากสังสารวัฏหรือโมกษะ ถือเป็นเป้าหมายจิตวิญญาณสูงสุดในศาสนาฮินดู แต่ธรรมเนียมในศาสนาโต้แย้งว่าจะเข้าถึงสถานะนี้อย่างไร ซ้าย: การอุทิศตนด้วยความรักเป็นสิ่งที่แนะนำในประเพณีฮินดูแบบทวิภาคี ขวา: การทำสมาธิเป็นข้อแนะนำสำหรับประเพณีฮินดูที่ไม่ใช่ทวิภาคี

ในศาสนาฮินดู สังสารวัฏเป็นการเดินทางสู่อาตมัน[28] ตามธรรมเนียมฮินดู ร่างกายตาย แต่อาตมะไม่ตาย ซึ่งถือว่าเป็นความจริงนิรันดร์ ทำลายไม่ได้ และสุคติ[28] ทุกสรรพสิ่งล้วนเชื่อมโยงกัน เป็นวัฏจักร และประกอบด้วยสองสิ่ง คือตัวตนหรืออาตมัน และร่างกายหรือวัตถุ[29] ตามความเชื่อฮินดู สิ่งที่คงอนันต์นามว่าอาตมันจะไม่กลับชาติมาเกิด มันจะไม่เปลี่ยนแปลงและอยู่ยงคงกระพัน[29] ตรงกันข้าม ร่างกายและบุคลิกภาพสามารถเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เกิดและตาย[29] กรรมในปัจจุบันส่งผลต่อสถานการณ์ในอนาคตในชีวิตนี้ เช่นเดียวกันกับรูปร่างและชีวิตในดินแดนในอนาคตด้วย[30][31] ในมุมมองชีวิตของฮินดู ความตั้งใจและการกระทำที่ดีนำไปสู่อนาคตที่ดี ความตั้งใจและการกระทำที่ไม่ดีนำไปสู่อนาคตที่ไม่ดี[32]

Remove ads

ศาสนาพุทธ

สรุป
มุมมอง
Thumb
ทางกา (thangka) ของทิเบต แสดงภาพภวจักรและดินแดนทั้งหกในสังสารวัฏของจักรวาลวิทยาแบบพุทธ[33]

ในศาสนาพุทธ Jeff Wilson อธิบายถึงสังสารวัฏเป็น "วัฏจักรแห่งชีวิต ความตาย และการเกิดใหม่ที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด"[34] มีอีกชื่อว่าภวจักร มักกล่าวถึงในคัมภีร์ศาสนาพุทธว่า punarbhava (การเกิดใหม่) รากฐานและจุดประสงค์ที่สำคัญที่สุดของศาสนาพุทธคือนิพพาน การปลดปล่อยตนจากวัฏจักรของการดำรงอยู่[34][35][36]

สังสารวัฏ ถือเป็นสิ่งที่คงอยู่ถาวรในศาสนาพุทธ เช่นเดียวกับศาสนาอินเดียอื่น ๆ Paul Williams ระบุว่า ในแนวคิดศาสนาพุทธ กรรมเป็นตัวนำสังสารวัฏถาวร และ "ไม่บรรลุนิพพาน ในแต่ละครั้งจะมีผู้ถือกำเนิดและตายเพื่อไปเกิดในภพอื่นตามเหตุอันไม่มีตัวตนโดยสมบูรณ์แห่งกรรมของตน วัฏจักรการเกิด การเกิดและตายใหม่ที่ไม่สิ้นสุดนี้คือสังสารวัฏ"[37] อริยสัจ 4 ที่พุทธศาสนาทุกนิกายยอมรับ เป็นสิ่งที่จะยุติการเกิดใหม่ที่เกี่ยวข้องกับสังสารวัฏนี้ และวัฏจักรแห่งทุกข์ที่เกี่ยวข้อง[38][39][40]

ในแนวคิดทางศาสนาพุทธจะไม่มีพระผู้สร้างหรือไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าสร้างโลก ปฐมเหตุของศาสนาพุทธหรือจุดเริ่มต้นของสังสารวัฏนั้นเชื่อว่าเกิดขึ้นจากเหตุปัจจัย ซึ่งมีอยู่ทั้งสิ้น 24 ปัจจัยที่เรียกว่ามหาปัฏฐาน ซึ่งปัจจัยแต่ละปัจจัยต่างก็เป็นเหตุให้เกิดขึ้นมาของปัจจัยอื่น ๆ เกิดเป็นวัฏจักรที่หมุนวนอย่างไม่รู้จบ การจะถามว่าใน 24 ปัจจัย ปัจจัยใดเป็นจุดเริ่มต้นของปัจจัยอื่น ๆ ทั้งหมด เป็นปัจจัยแรกของสรรพสิ่ง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงพยากรณ์บอกไว้ แต่ก็เป็นนัยยะทางคติพุทธว่าทุกสรรพสิ่งต่างก็เป็นเหตุปัจจัยของกันและกัน ทำให้เกิดวัฏจักรหมุนวนอย่างไม่สิ้นสุดของสรรพจักรวาล

ถ้ายังมีกิเลสอยู่ ก็จะต้องเวียนว่ายตายเกิดต่อไป ดังนั้นศาสนาพุทธจึงไม่ใช่อุทเฉททิฏฐิ (ทิฏฐิว่าขาดสูญ) และถ้ากิเลสหมดสิ้น ก็จะไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ศาสนาพุทธจึงไม่ใช่สัสสตทิฏฐิ (ทิฏฐิว่าเที่ยงแท้) เพราะจะเวียนว่ายตายเกิดต่อไปหรือไม่นั้น ย่อมเป็นไปตามเหตุปัจจัย ไม่ได้มีพระเจ้าใดมาดลบันดาล

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads