อิหร่านปาห์ลาวี
From Wikipedia, the free encyclopedia
อิหร่านปาห์ลาวี, มีชื่ออย่างเป็นทางการคือ รัฐจักรวรรดิแห่งเปอร์เซีย จนถึง ค.ศ. 1935 และ รัฐจักรวรรดิอิหร่าน ตั้งแต่ ค.ศ. 1935 จนถึง ค.ศ. 1979,[2] เป็นรัฐอิหร่านภายใต้การปกครองของราชวงศ์ปาห์ลาวี ราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ค.ศ. 1925 และดำรงอยู่จนถึงปี ค.ศ. 1979 เมื่อราชวงศ์ปาห์ลาวีถูกโค่นล้มอันเป็นผลมาจากการปฏิวัติอิสลาม ซึ่งยกเลิกระบอบกษัตริย์ของอิหร่านและสถาปนาสาธารณรัฐอิสลามอิหร่านในปัจจุบัน
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
รัฐจักรวรรดิแห่งอิหร่าน کشور شاهنشاهی ایران | |||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ค.ศ. 1925–ค.ศ. 1979 | |||||||||
เพลงชาติ: (ค.ศ. 1925–1933) Salāmati-ye Dowlat-e Elliye-ye Irān (เพลงคารวะรัฐอันประเสริฐยิ่งแห่งเปอร์เซีย) (ค.ศ. 1933–1979) Sorude Šâhanšâhiye Irân (สดุดีจักรพรรดิอิหร่าน) | |||||||||
แผนที่อิหร่านในสมัยราชวงศ์ปาห์ลาวี | |||||||||
สถานะ | ราชอาณาจักร | ||||||||
เมืองหลวง | เตหะราน | ||||||||
ภาษาทั่วไป | ภาษาเปอร์เซีย | ||||||||
การปกครอง | รัฐเดี่ยว ระบบรัฐสภา ราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ (ทางนิตินัย) ภายใต้ลัทธิอำนาจนิยม รัฐพรรคการเมืองเดียว (1975–78) | ||||||||
พระเจ้าชาห์ | |||||||||
• ค.ศ. 1925–1941 | พระเจ้าชาห์ เรซา ปาห์ลาวี | ||||||||
• ค.ศ. 1941–1979 | พระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี | ||||||||
นายกรัฐมนตรี | |||||||||
• ค.ศ. 1925 - 1926 | โมฮัมหมัด-อาลี ฟารุฆี (คนแรก) | ||||||||
• ค.ศ. 1979 | ชาปูร์ บัคเตียร์ (คนสุดท้าย) | ||||||||
ประวัติศาสตร์ | |||||||||
• ก่อตั้งราชวงศ์ปาห์ลาวี | 15 ธันวาคม ค.ศ. 1925 | ||||||||
• สนธิสัญญาไตรมิตรอิหร่าน-อังกฤษ-โซเวียต | 17 กันยายน ค.ศ. 1941 | ||||||||
• รัฐประหารอิหร่าน | 19 สิงหาคม ค.ศ. 1953 | ||||||||
• การปฏิวัติขาว | 26 มกราคม ค.ศ. 1963 | ||||||||
• การปฏิวัติอิหร่าน (การปฏิวัติอิสลาม) | 11 มกราคม ค.ศ. 1979 | ||||||||
• การปฏิวัติอิสลาม | 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 | ||||||||
สกุลเงิน | เรียล | ||||||||
|
ราชวงศ์ปาห์ลาวีได้ขึ้นสู่อำนาจในปี ค.ศ. 1925 โดยเรซา ชาห์ อดีตนายพลจัตวาแห่งกองพลคอซแซคเปอร์เซีย ซึ่งสืบทอดราชบัลลังก์ต่อจากพระเจ้าชาห์ อะห์หมัด ชาห์ กอญัร จักรพรรดิอิหร่านพระองค์สุดท้ายภายใต้ราชวงศ์กอญัร ซึ่งต่อมาอิหร่านได้ถูกสหราชอาณาจักรและสหภาพโซเวียตรุกรานประเทศ ซึ่งเป็นฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่สอง และพระองค์ทรงถูกบังคับให้สละราชสมบัติโดยสหราชอาณาจักรและสหภาพโซเวียตภายหลังทั้งสองกองทัพได้รุกรานอิหร่าน เมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1941 และใน ค.ศ. 1935 ชาห์ เรซาได้ทรงขอให้ผู้แทนจากต่างประเทศใช้นามแฝงอิหร่านแทนคำว่าเปอร์เซียเมื่อกล่าวถึงประเทศในการติดต่ออย่างเป็นทางการ
หลังจากการสละราชบัลลังก์ของพระเจ้าชาห์ เรซา โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี พระราชโอรสของพระองค์ได้สืบทอดพระราชบัลลังก์ซึ่งกลายเป็นชาห์พระองค์สุดท้ายของอิหร่าน ภายใน ค.ศ. 1953 การปกครองของพระองค์ได้มีความเป็นเผด็จการมากขึ้นและให้สอดคล้องกับกลุ่มตะวันตกในช่วงสงครามเย็นหลังเหตุการณ์รัฐประหารในอิหร่านเมื่อปี ค.ศ. 1953 ซึ่งได้รับการออกแบบแนวคิดโดยสหราชอาณาจักรและสหรัฐ เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับทิศทางนโยบายต่างประเทศของอิหร่าน ทำให้อิหร่านจึงกลายเป็นพันธมิตรของสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อต้านการขยายอิทธิพลของสหภาพโซเวียต และสิ่งนี้ทำให้พระองค์มีทุนทางการเมืองในการออกกฎหมายด้านเศรษฐกิจและสังคมที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของชาวอิหร่านผ่านการปฏิวัติขาว ผลที่ตามมาคืออิหร่านประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ในทุกๆ ด้าน รวมถึงการรู้หนังสือ สุขภาพ และมาตรฐานกค่าครองชีพ อย่างไรก็ตาม ภายใน ค.ศ. 1978 พระองค์ต้องทรงเผชิญกับความไม่พอใจของประชาชนที่เพิ่มขึ้นจนกลายเป็นขบวนการปฏิวัติที่นำโดย รูฮุลลอฮ์ โคมัยนี และทำให้พระองค์ต้องทรงลี้ภัยพร้อมกับพระราชวงศ์ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1979 ก่อให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ มากมายที่นำไปสู่การสิ้นสุดระบอบกษัตริย์อย่างรวดเร็ว และการสถาปนาสาธารณรัฐอิสลามในวันที่ 31 มีนาคม ค.ศ. 1979 หลังจากสวรรคตของพระเจ้าชาห์ โมฮัมหมัด เรซา ปาห์ลาวี ใน ค.ศ. 1980 เจ้าชายเรซา ปาห์ลาวีพระราชโอรสของพระองค์ ได้เป็นผู้นำราชวงศ์ปาห์ลาวีในเวลาต่อมา[3]