![cover image](https://wikiwandv2-19431.kxcdn.com/_next/image?url=https://upload.wikimedia.org/wikipedia/commons/thumb/8/85/Mueang_Sawangkaburi_Montage.jpg/640px-Mueang_Sawangkaburi_Montage.jpg&w=640&q=50)
เมืองสวางคบุรี
From Wikipedia, the free encyclopedia
สวางคบุรี หรือ ฝาง เป็นเมืองโบราณที่มีหลักฐานการตั้งถิ่นฐานของผู้คนสืบต่อเนื่องยาวนานมากที่สุดแห่งหนึ่งในจังหวัดอุตรดิตถ์ เป็นเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่สมัยอาณาจักรสุโขทัย เคยเป็นเมืองที่อยู่เหนือสุดปลายพระราชอาณาเขตและเป็นศูนย์กลางทางศาสนาที่สำคัญของอาณาจักรอยุธยาโบราณ โดยอาณาเขตเมืองสวางคบุรีโบราณครอบคลุมพื้นที่ ตำบลผาจุก, ตำบลคุ้งตะเภา และตำบลแสนตอ ในปัจจุบัน
- ระวังสับสนกับ เมืองฝาง (เชียงใหม่)
เมืองสวางคบุรี เมืองฝาง | |
---|---|
เมืองโบราณสมัยสุโขทัย | |
![]() ภาพจากบนลงล่าง, ซ้ายไปขวา: พระมหาธาตุเมืองฝาง ศูนย์กลางทางศาสนาของเมืองสวางคบุรีโบราณ, วิหารหลวง ดนตรีมังคละเมืองฝาง และชาวเมืองสวางคบุรีในปัจจุบัน, บานประตูวิหารวัดพระฝาง ศิลปะอยุธยาตอนปลาย, พระพุทธรูปพระฝาง ในอุโบสถวัดพระฝาง ถ่ายเมื่อ พ.ศ. 2441, ซากอิฐโบราณสถานบริเวณค่ายพระตำหนักหาดสูงวัดคุ้งตะเภา, ยานมาศวัดใหญ่ท่าเสา ศิลปะอยุธยาตอนปลาย เดิมเป็นยานมาศแห่พระของเมืองสวางคบุรีโบราณ | |
พิกัด: 17°39′12.39″N 100°8′24.44″E | |
ประเทศ | ไทย |
จังหวัด | อุตรดิตถ์ |
อำเภอ | เมืองอุตรดิตถ์ |
ตำบล | ผาจุก, คุ้งตะเภา, แสนตอ |
การปกครอง | |
• ผู้ว่าราชการเมืองฝาง (ถือศักดินา ๑,๐๐๐) | พระสวางคบุรานุรักษ์ ขึ้นเมืองพิไชย (ราชทินนามผู้ว่าราชการคนสุดท้าย ก่อนยุบสถานะเมือง ในสมัยรัชกาลที่ ๕)[1] |
เขตเวลา | UTC+7 (MST) |
เมืองสวางคบุรี ปรากฏหลักฐานการมีอยู่ในพงศาวดารเหนือ ระบุว่าเป็นที่ตั้งของพระมหาธาตุที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุส่วนพระรากขวัญของพระพุทธเจ้า[2][3] และปรากฏชื่อเมืองในศิลาจารึกสุโขทัยหลายหลัก[4] รวมถึงพระราชพงศาวดารตั้งแต่สมัยอยุธยาจนถึงรัตนโกสินทร์[5][6][7][8] และจากการเคยเป็นเมืองชายแดนพระราชอาณาเขต ทำให้เมืองนี้มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้คนจากแคว้นล้านนาและล้านช้าง [9] ผู้ที่อยู่อาศัยในเมืองส่วนใหญ่สืบทอดขนบวัฒนธรรมแบบคนหัวเมืองเหนือโบราณ (ภาษาถิ่นสุโขทัย) ซึ่งเป็นชนกลุ่มใหญ่ของเมืองนี้
หลังการสิ้นสุดลงของชุมนุมเจ้าพระฝาง ระหว่างปี พ.ศ. 2310 - 2313 ที่มีเมืองสวางคบุรีเป็นศูนย์กลาง และการขับไล่พม่ารวบรวมหัวเมืองล้านนาไว้ภายในพระราชอาณาเขตได้ในสมัยกรุงธนบุรี[10] ประกอบกับตำแหน่งภูมิศาสตร์ทางการค้าลุ่มแม่น้ำน่านในยุคต่อมาเปลี่ยนแปลงไป ทำให้เมืองสวางคบุรีร่วงโรยลงในระยะต่อมา
เมืองสวางคบุรีได้ลดฐานะความเป็นเมืองสำคัญทางศาสนาลงในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากเมืองสวางคบุรีไม่ได้เป็นเมืองเหนือสุดปลายพระราชอาณาเขตอีกต่อไป อีกทั้งชาวเมืองสวางคบุรีส่วนใหญ่ได้โยกย้ายไปอยู่ในบริเวณที่กลายมาเป็นเมืองบางโพ (ท่าอิฐ, ท่าเสา) และได้รับยกฐานะขึ้นเป็นจังหวัดอุตรดิตถ์ในปัจจุบัน