แอนาฟิแล็กซิส
From Wikipedia, the free encyclopedia
แอนาฟิแล็กซิส (อังกฤษ: anaphylaxis) หรือ ปฏิกิริยาการแพ้รุนแรง เป็นภาวะ ภูมิแพ้ อย่างหนึ่งซึ่งเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและรุนแรงจนอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ถือเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์[4][5] ผู้ป่วยมักมีอาการหลายอย่างพร้อมๆ กัน เช่น ผื่นคัน คอบวมหรือลิ้นบวม หายใจลำบาก อาเจียน หน้ามืด ความดันเลือดต่ำ เป็นต้น[1] โดยผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการภายในไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงหลังสัมผัสสารก่อภูมิแพ้[1]
แอนาฟิแล็กซิส (Anaphylaxis) | |
---|---|
ชื่ออื่น | Anaphylactoid, anaphylactic shock |
แองจิโออีดีมาบนใบหน้าเด็ก ทำให้ลืมตาไม่ได้ เกิดจากการแพ้ | |
สาขาวิชา | โรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกัน |
อาการ | ผื่นคัน, คอบวม, หายใจลำบาก, เวียนศีรษะ[1] |
การตั้งต้น | ไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมงหลังรับสารก่อภูมิแพ้[1] |
สาเหตุ | สัมผัสสารก่อภูมิแพ้ เช่น แมลงกัดต่อย, อาหาร, ยา[1] |
วิธีวินิจฉัย | วินิจฉัยจากอาการ[2] |
โรคอื่นที่คล้ายกัน | ภูมิแพ้, แองจิโออีดีมา, อาการหืดกำเริบ, กลุ่มอาการคาร์ซินอยด์[2] |
การรักษา | อีพิเนฟรีน, การให้สารน้ำ[1] |
ความชุก | 0.05–2%[3] |
สารก่อภูมิแพ้ที่ทำให้เกิดแอนาฟิแล็กซิสได้บ่อย เช่น แมลงกัดต่อย อาหาร และยา เป็นต้น[1] สาเหตุอื่นๆ ที่พบได้ เช่น การสัมผัสน้ำยาง การออกกำลังกาย ผู้ป่วยบางรายอาจมีแอนาฟิแล็กซิสโดยไม่ปรากฏสาเหตุชัดเจน[1] กลไกของโรคคือสารก่อภูมิแพ้จะไปกระตุ้นเม็ดเลือดขาวบางชนิดให้หลั่งสารตัวกลางออกมา โดยอาจส่งสัญญาณผ่านระบบภูมิคุ้มกันหรือผ่านกลไกอื่นที่ไม่ใช่ระบบภูมิคุ้มกัน[6] การวินิจฉัยทำได้โดยดูจากอาการที่นำผู้ป่วยมาพบแพทย์ เปรียบเทียบกับเกณฑ์การวินิจฉัย[1]
การรักษาที่สำคัญคือการฉีดยาอีพิเนฟรีนเข้ากล้ามเนื้อ การให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำ และการจัดท่าผู้ป่วยเพื่อช่วยการไหลเวียนเลือด[1][7] ผู้ป่วยบางรายอาจต้องฉีดอีพิเนฟรีนมากกว่าหนึ่งครั้ง[1] นอกจากนี้ยังมีการรักษาเสริมอื่นๆ ที่อาจใช้ร่วมกัน เช่น การใช้ยาต้านฮิสตามีนและคอร์ติโคสเตียรอยด์ เป็นต้น[1] ผู้ป่วยที่มีภาวะแพ้รุนแรงจะได้รับคำแนะนำให้พกอุปกรณ์ฉีดยาอีพิเนฟรีนอัตโมมัติและป้ายระบุข้อมูลเกี่ยวกับสารที่แพ้ติดตัวไว้เสมอ[1]
ประมาณเอาไว้ว่า 0.05-2% ของประชากรทั่วโลกจะเกิดแอนาฟิแล็กซิสขึ้นครั้งหนึ่งในชีวิต[3] และตัวเลขอุบัติการณ์นี้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น[3] พบได้บ่อยในคนอายุน้อย และพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย[7][8] ข้อมูลจากสหรัฐอเมริกาพบว่าผู้ป่วยแอนาฟิแล็กซิสที่ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลประมาณ 99.7% จะรอดชีวิต[9] คำนี้มีที่มาจากภาษากรีก ἀνά ana, ต่อต้าน และ φύλαξις phylaxis,ป้องกัน[10]