คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
กรมหมื่นอินทรภักดี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
พระเจ้าหลานเธอ กรมหมื่นอินทรภักดี (ไม่ปรากฏ – พ.ศ. 2293)[1]: 205 หรือ เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ ไม่ปรากฏพระนามเดิม ทรงเป็นพระราชนัดดาในสมเด็จพระเพทราชา ราชนิกูลราชวงศ์บ้านพลูหลวง เจ้ากรมพระคชบาล[1]: 205 [note 1] ในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระจนถึงรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ และทรงเป็นผู้ทูลเกล้าฯ ถวายราชสมบัติของสมเด็จพระเพทราชาให้แก่กรมพระราชวังบวรพระมหาอุปราช (หลวงสรศักดิ์) ให้เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นสมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี
Remove ads
พระประวัติ
สรุป
มุมมอง
กรมหมื่นอินทรภักดี เดิมมีบรรดาศักดิ์เป็น นายกรินท์คชประสิทธิ์ ทรงบาศซ้าย กรมพระคชบาล (สมัยอยุธยาเรียกว่า กรมช้างอัษฐคช)[3] รัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช[4]: 252 ซึ่งเป็นพระราชนัดดารับราชการมาด้วยกันกับพระเพทราชาเมื่อครั้งรับราชการกรมช้างก่อนขึ้นเสวยราชย์ พอเสวยราชสมบัติแล้วสมเด็จพระเพทราชาจึงทรงมีพระราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้เป็นเจ้าราชนิกูล ชื่อ เจ้าพระพิไชยสุรินทร์[5]
สมเด็จพระเพทราชาทรงโปรดปรานเจ้าพระขวัญ พระราชโอรสของพระองค์และกรมหลวงโยธาทิพ (หลักฐานร่วมสมัยว่ากรมหลวงโยธาเทพ) แถมมีผู้คนมากมายต่างพากันนับถือ ทำให้กรมพระราชวังบวรฯ เกิดความหวาดระแวงว่าราชสมบัติจะตกไปอยู่กับเจ้าพระขวัญ จึงเกิดเหตุการณ์นำเจ้าพระขวัญมาสำเร็จโทษด้วยไม้ท่อนจันทร์ ปรากฏความว่า :-
แผ่นดินขุนหลวงเสือ เห็นจะฆ่ามากเพราะคนนิยมเจ้าพระขวัญ ฤาพวกเจ้าพระพิไชยสุรินทรจะเป็นขุนนางอยู่ไม่ได้[6]
เมื่อสมเด็จพระเพทราชาซึ่งทรงประชวรทรงทราบทรงพระพิโรธกรมพระราชวังบวรฯ เป็นอันมากแลตรัสว่าจะไม่ยกราชสมบัติให้แก่กรมพระราชวังบวรฯ แล้วทรงพระกรุณาตรัสเวนราชสมบัติให้ "เจ้าพระพิไชยสุรินทร" พระราชนัดดา
ปรากฏใน พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ว่า :-
...มีพระราชดำรัศให้หาเจ้าพระพิไชยสุรินทรราชนัดา ขึ้นมาเฝ้าบนพระที่นั่งบันยงครัตนาศน ซึ่งเสดจทรงพระประชวรอยู่นั้น แล้วทรงพระกรุณาตรัสมอบเวรราชสมบัติให้แก่เจ้าฟ้าพระพิไชยสุรินทร แล้วสมเดจพระพุทธเจ้าอยู่หัวก็เสดจสวรรคตในเพลาราษตรีวันนั้น...[7]
หลังจากสมเด็จพระเพทราชาเสด็จสวรรคต กรมพระราชวังบวรฯ ไม่ได้เสร็จพระราชดำเนินมายังพระราชวังหลวง และเจ้าพระพิไชยสุรินทร์ก็เกรงพระเดชานุภาพจึงได้นำเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ทั้ง 5 ประการ พร้อมท้าวพระยาเสนาบดีขึ้นเข้าเฝ้ากรมพระราชวังบวรฯ เพื่อกราบบังคมทูลถวายราชสมบัติและเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ แต่กรมพระราชวังบวรฯ ทรงไม่รับ และมีพระบัณฑูรตรัสแก่เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ว่า :-
พระราชโองการโปรดมอบเวนราชสมบัติให้เป็นสิทธิแก่ท่านแล้ว ท่านจงครองราชสมบัติเถิด แลซึ่งท่านจะมายกราชสมบัติให้แก่เรา แลเราจะรับราชสมบัตินั้น ก็จะเป็นการละเมิดพระโองการไปดูมิบังควรนัก[8]: 262–266
เจ้าพระพิไชยสุรินทร์จึงทราบทูลอ้อนวอนหลายครั้ง และซบพระเศียรเกล้าลงกลิ้งเกลือกกับฝ่าพระบาทของกรมพระราชวังบวรฯ และกราบทูลวิงวอนกับกรมพระราชวังบวรฯ ความว่า :-
ข้าพระพุทธเจ้าวาสนาบารมีก็น้อยบุญน้อยกําลังน้อย มิอาจสามารถจะดํารงราชสมบัติไว้ได้ ถ้าแลข้าพระพุทธเจ้าจะครองแผ่นดินสืบไปบัดนี้ เห็นจะมีภยันตรายแก่ราชสมบัติและบ้านเมือง สมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนเป็นมั่งคง อันเศวตฉัตรนี้เป็นมหาสิริอันประเสริฐ ถ้าบุคคลผู้ใดมิได้มีบุญญาภิสังขารล่ำสมมาแต่ก่อน ก็หาดำรงรักษาไว้ได้ไม่ อุปมาดังมันเหลวแห่งพระยาราชสีห์ มีธรรมชาติอันสุขุมละเอียดยิ่งนัก ถ้าจะเอาภาชนะใด ๆ ก็ดีมารองรับไว้นั้น ก็หารองรับไว้ได้ไม่ ก็จะไหลรั่วไปเสียสิ้น แลซึ่งจะรองรับไว้ได้นั้น ก็แต่สุวรรณภาชนะสิ่งเดียว และพระองค์กอปรด้วยพระกฤษฎาเดชาธิการภินิหารบารมีมาก สมควรจะดำรงราชอาณาจักรในแผ่นดินสยามประเทศได้ อุปมาดังภาชนะทองอันรองรับไว้ซึ่งมันเหลวแห่งพระยาราชสีห์เหมือนฉะนั้น ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาโปรดรับครอบราชสมบัติโดยสุภาวสุจริตธรรมเถิด เหมือนพระองค์ทรงพระมหาการุญภาพแก่แผ่นดิน อย่าให้เป็นจลาจลเลย สมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรจะได้พึ่งพระบารมีร่มเย็นเป็นสุขานุสุข แลซึ่งพระองค์จะมิทรงพระกรุณาโปรดรับครอบราชสมบัติไซร้ ก็เหมือนหนึ่งมิทรงพระกรุณาแก่แผ่นดินและไพร่ฟ้าข้าขอบขัณฑเสมาทั้งปวง เห็นว่าบ้านเมืองจะเกิดอันตราย สมณพราหมณาจารย์อาณาประชาราษฎรจะได้ความเดือดร้อนเป็นแท้ ข้าพระพุทธเจ้าก็จะหาที่พึ่งที่พำนักมิได้ ก็จะกราบถวายบังคมลาพระองค์ บุกป่าผ่าดงไปซุกซ่อนนอนตายเสียตามยถากรรมของข้าพระพุทธเจ้า[8]: 262–266
กรมพระราชวังบวรฯ ก็รับพระโองการและพระบัณฑูรตามเจ้าเจ้าพระพิไชยสุรินทร์ และจัดพระราชพิธีราชาภิเษกตามอย่างโบราณราชประเพณีเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเฉลิมพระนามว่า สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ สถาปนาขึ้นเป็นพระองค์เจ้าและทรงกรมเป็นเจ้าต่างกรม เฉลิมพระยศว่า พระเจ้าหลานเธอ กรมหมื่นอินทรภักดี[9]: 83 มีความชอบครั้งถวายราชสมบัติให้แก่สมเด็จพระเจ้าสุริเยนทราธิบดี[10] และตั้งเป็นเจ้ากรมพระคชบาล ข้อสันนิษฐานของสมเด็จเจ้าฟ้า ฯ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เรื่อง กรมหมื่นอินทรภักดี ทรงทราบไม่แน่ชัดว่าเป็นพระองค์ใดแต่ทรงสันนิษฐานว่าเป็นเจ้าพระพิไชยสุรินทร์ ราชนิกุล[11]: 15
ต่อมาในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ พ.ศ. 2277 ได้มีพระราชโองการให้กรมหมื่นอินทรภักดีกับเจ้าพระยากลาโหม ขึ้นไปล้อมช้าง ณ เมืองลพบุรี[12]
พระราชพงศาวดารกรุงสยาม จากต้นฉบับของบริติชมิวเซียม กล่าวว่า :-
...วันเดือน ๙ ข้างขึ้น ปีขาล ฉศก มีพระราชโองการให้กรมหมื่นอินทรภักดีกับเจ้าพระยากลาโหม ขึ้นไปล้อมช้าง ณ เมืองลพบุรี ครั้น ณ เดือน ๑๐ ก็เสด็จพระราชดำเนินขึ้นไปเมืองลพบุรี ให้ออกไปเร่งนายกองต้อนสัตว์จตุบาท มาแต่ทะลชุบศรฟากตะวันออกที่ล้อมเก่าเมื่อครั้งสมเด็จพระนารายณ์มหาราชเจ้านั้น แล้วเสด็จพระราชดำเนินออกไปขึ้นพระตำหนักห้างให้คนยิง ปืน ตีม้า ฬ่อ ฆ้องกลองโห่ร้องเร้าเข้ามา แลฝูงโค กระทิง มหิงสาเถื่อน ละมั่ง กวาง ทราย สุกรป่า วิ่งกระเจิงออกมาเป็นอันมาก ฝูงช้างเถื่อนก็วิ่งบากบ่ายหน้าหนี ช้างเชือกก็วงล้อมไว้ ได้ทีคล้องต้อนไล่ช้าง[13]
ครั้นกรมหลวงโยธาเทพเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. 2278 กรมหมื่นอินทรภักดีทรงรับหน้าที่เป็นผู้โยงพระมหาพิชัยราชรถ[14]
Remove ads
สิ้นพระชนม์
สรุป
มุมมอง
กรมหมื่นอินทรภักดีสิ้นพระชนม์เมื่อศักราช ๑๑๑๒ ปีมะเมีย (ตรงกับปี พ.ศ. 2293)[15] สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โปรดให้สร้างพระเมรุชั้นเจ้าต่างกรม และเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพกรมหมื่นอินทรภักดี ณ วัดไชยวัฒนาราม[16]
ส่วนคำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม และคำให้การชาวกรุงเก่า กล่าวถึงการสิ้นพระชนม์ของกรมหมื่นอินทรภักดีต่างจากพระราชพงศาวดาร ฉบับพระราชหัตถเลขาออกไป กล่าวคือ เมื่อปลายรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งท้ายสระ เกิดปัญหาการแย่งชิงราชสมบัติระหว่างเจ้าฟ้าอภัยกับพระมหาอุปราชกรมพระราชวังบวรสถานมงคล (เจ้าฟ้าพร) เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ เจ้าราชนิกุล ก็ได้ไปเข้ากับวังหลวงฝ่ายเจ้าฟ้าอภัย เมื่อกรมพระราชวังบวรฯ (เจ้าฟ้าพร) มีชัยชนะได้ขึ้นครองราชย์แล้ว จึงจับเจ้าฟ้าอภัยและเจ้าฟ้าปรเมศวร์ไปสำเร็จโทษเมื่อ พ.ศ. 2275 บรรดาเจ้านายและข้าราชการฝ่ายวังหลวงต่างถูกกวาดล้างสูญเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก และเจ้าพระพิไชยสุรินทร์กับเจ้าพระอินทรอภัย เจ้าราชนิกุลทั้งสองพระองค์จึงถูกสำเร็จโทษด้วยเหตุไม่ซื่อตรงต่อกรมพระราชวังบวรฯ (เจ้าฟ้าพร)
ปรากฏใน คําให้การขุนหลวงหาวัด ความว่า :-
อันกุมารทั้งสองนั้น พระองค์สั่งให้สังหารชีวิตตามกฎหมายพิพากษา อันไชยสุรินทร อินทอภัยนั้น ก็มาพลอยตายด้วยไม่ตรง อันพระยาอภัยราชากับพระยายมราชนั้นหนีไปบวชเป็นสงฆ์ เป็นกรรมที่จะตายนั้นจึงแต่งแขกอาสาออกไป[17]
หากยึดหลักฐานตาม คําให้การขุนหลวงหาวัด กรมหมื่นอินทรภักดีสิ้นพระชนม์เมื่อ พ.ศ. 2275 (พ.ศ. 2276 หากนับปีแบบปัจจุบัน)
Remove ads
พระโอรสธิดา
กรมหมื่นอินทรภักดี มีพระบุตร ดังนี้
- หม่อมเรือง (ต่อมาคือ เจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) รัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ)[18]
- หม่อมจัน (ต่อมาคือพระยาไชยบูรณ์ (จัน))
- หม่อมกลาง
พระอิสริยยศ
เครื่องราชอิสริยยศ
กรมหมื่นอินทรภักดี ได้รับพระราชทานเครื่องยศ ดังนี้[4]: 252
- เครื่องราชูปโภค
- หมากทองคำ
- เต้าน้ำทองคำ
วัฒนธรรมร่วมสมัย
นวนิยาย
- เรื่องหลายรส ตอน ละครพงศาวดารตอนสิ้นแผ่นดินพระนารายณ์[22] นิพนธ์โดยพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต ทรงใช้นามปากกาว่า ว.ณ ประมวญมารค เป็นนวนิยายอิงประวัติศาสตร์รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวถึงเหตุการณ์มีข้อราชการด่วนให้เรียกตามตัว นายกรินท์คชประสิทธิ์ ทรงบาศซ้าย และเป็นครูช้างในกรมพระคชบาลกับนายประจบคชสิน และให้คัดเลือกชายฉกรรจ์ในกรมช้างจำนวนมากตามมาด้วย
- เพชรพระนารายณ์ ตอนอวสานพระนารายณ์[23] เป็นนวนิยายประวัติศาสตร์แต่งโดยหลวงวิจิตรวาทการ (กิมเหลียง) โดยเหตุการณ์หลังราชวงศ์บ้านพลูหลวงได้ขึ้นครองราชสมบัติกรุงศรีอยุธยาสืบต่อจากราชวงศ์ปราสาททอง กล่าวถึง นายกรินทคชประสิทธิ์ ทรงบาศซ้าย ข้าราชการในกรมช้างและเป็นหลานของพระเพทราชา ได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นราชนิกูลทรงพระนามว่า เจ้าพระพิชัยสุรินทร์
ภาพยนตร์
- พระเจ้าเสือ พันท้ายนรสิงห์[24] ภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์พระนิพนธ์ต้นฉบับของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์ยุคล ฉายเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2525 กำกับโดยสมโพธิ แสงเดือนฉาย มีตัวละครชื่อ เจ้าฟ้าพระพิไชยสุรินทร์ เป็นพระนามของกรมหมื่นอินทรภักดีครั้งยังทรงเป็นเจ้าพระพิไชยสุรินทร์ ปรากฏใน พระราชพงศาวดาร ฉบับกรมศึกษาธิการ ร.ศ. 120[25]
Remove ads
ทรงเป็นบรรพบุรุษขุนนางผู้หนึ่ง
มีหลักฐานร่วมสมัยกล่าวถึง กรมหมื่นอินทรภักดี ครั้งยังทรงเป็น เจ้าพระพิไชยสุรินทร์ เจ้าราชนิกุลในรัชกาลสมเด็จพระเพทราชา เป็นบรรพบุรุษของเจ้าพระยาพิษณุโลก (เรือง) ผู้เป็นต้นสกุล "โรจนกุล"[26] ผู้สำเร็จราชการเมืองพระพิษณุโลก แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ จนกระทั่งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เช่น เชาวน์ รูปเทวินทร์ กล่าวว่า "อันเจ้าพระยาพิษณุโลกเรือง ที่ยกตัวขึ้นเป็นกษัตริย์ได้เพียง ๗ วันเท่านั้น เดิมเป็นนายทหารผู้มีฝีมือคนหนึ่งของกรุงศรีอยุธยา เข้าใจว่ามีเชื้อสายเป็นเจ้าราชนิกูลผู้หนึ่งในราชวงศ์บ้านพลูหลวงของพระเพทราชา..."[27] สอดคล้องกับ หลวงลิขิตปรีชา (คุ้ม) เจ้ากรมพระอาลักษณ์ ซึ่งกล่าวว่า "จ้าวพระพิศณุโลกย์เรืองสืบสายจ้าวราชนิกุญผู้เปนพระหลานเธอแผ่นดินพระมหาบุรุษ"[28] และใน ประชุมพงศาวดาร เรื่อง ไทยรบพม่า พระนิพนธ์ของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างเครือพระญาติกับเจ้าพระยาพิษณุโลกว่า "...ทํานองเจ้าฟ้าจีดจะเกี่ยวดองเป็นญาติกับเจ้าพระยาพิษณุโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง..."[29]
Remove ads
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads