คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

การพิชิตมักกะฮ์

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Remove ads

การพิชิตมักกะฮ์ (อาหรับ: فتح مكة ฟัตฮ์ มักกะฮ์)เป็นเหตุการณ์ที่เมืองมักกะฮ์ถูกครอบครองโดยชาวมุสลิมที่นำโดยศาสดามุฮัมมัดในเดือนธันวาคม ค.ศ. 629 หรือ มกราคม ค.ศ. 630[3][4] (ปฏิทินจูเลียน) วันที่ 10-20 รอมฎอน ฮ.ศ. 8[3]

ข้อมูลเบื้องต้น ยึดครองมักกะฮ์, วันที่ ...
Remove ads

วันที่

มีรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่หลายแบบ เช่น

  • วันที่มุฮัมมัดออกจากมักกะฮ์น่าจะเป็นวันที่ 2, 6 หรือ 10 รอมฎอน ช่วงก่อนฮิจเราะฮ์ศักราช[3]
  • วันที่มุฮัมมัดเข้ามักกะฮ์น่าจะเป็นวันที่ 10, 17/18, 19 หรือ 20 รอมฎอน ฮ.ศ.8[3]

ถ้านำข้อมูลนี้ให้เป็นปฏิทินจูเลียนทำให้เกิดข้อมูลที่คาดเคลื่อน ตัวอย่างเช่น วันที่ 18 รอมฎอน ฮ.ศ.8 อาจจะเป็นวันที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.629, 10 หรือ 11 มกราคม ค.ศ.630 และ 6 มิถุนายน ค.ศ.630[3]

Remove ads

เบี้องหลัง

ในปี ค.ศ.628 เผ่ากุเรชและชาวมุสลิมในมะดีนะฮ์ลงนามสนธิสัญญาฮุดัยบิยะฮ์โดยมีระยะเวลา 10 ปี แต่ในปี ค.ศ.630 มีการยกเลิกสัญญาหลังจากเผ่าของบนูบักร์ พันธมิตรของเผ่ากุเรชได้โจมตีเผ่าบนูคุซาอ์ที่เป็นพันธมิตรของชาวมุสลิม

หลังจากอุบัติเหตุครั้งนั้น เผ่ากุเรชจึงส่งผู้แทนมาหามุฮัมมัดว่าจะรักษาสนธิสัญญากับชาวมุสลิมและเสนอค่าสินไหม แต่ว่าพวกเขาถูกผู้คนบอกว่าพวกเขาไม่รักษาคำสัญญา[5] [ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง] [6] [ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง]

Remove ads

เข้าไปในมักกะฮ์

สรุป
มุมมอง

หลังจากอบูซุฟยาน อิบน์ ฮัรบ์ออกไปแล้ว มุฮัมมัดจึงรวบรวมทหารขนาดใหญ่ทันที โดยที่ท่านไม่บอกสถานที่ที่พวกเขาจะไป แม้แต่เพื่อนที่สนิทที่สุดและแม่ทัพก็ไม่รู้เช่นกัน[7]

จากนั้นกองทัพมุสลิมจึงเดินทางไปมักกะฮ์ในวันพุธที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ.629 (6 รอมฎอน ฮ.ศ.8)[3] โดยรวมอาสาสมัครและทหารจากเมืองที่ยอมรับมุฮัมมัด จึงทำให้มีทหารกว่า 10,000 นาย นี่เป็นจำนวนทหารมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในสมัยนั้น หลังจากนั้นมุฮัมมัดได้นำกองทัพตั้งค่ายที่มัรรุซ-ซะฮ์ราน โดยห่างจากมักกะฮ์ไป 10 ไมล์ทางตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วสั่งให้ทหารจุดไฟให้ห่างๆ รอบมักกะฮ์ เพื่อที่จะทำให้ชาวมักกะฮ์หวาดกลัว[2]

ในขณะเดียวกัน อบูซุฟยาน อิบน์ ฮัรบ์ กำลังกลับไปที่มักกะฮ์ ตามรายงานเขียนว่าเขาพบกับอับบาซ ลุงของมุฮัมมัดโดยบังเอิญ

เมืองมักกะฮ์ตั้งอยู่ในเทือกเขาอิบรอฮีม และหุบเขาสีดำที่อาจจะสูงประมาณ1,000 ft (300 m)ในบางพื้นที่ โดยมีทางเข้ามักกะฮ์อยู่สี่ทาง ได้แก่: ทางตะวันตกเฉียงเหนือ, ทางตะวันตกเฉียงใต้, ทางใต้ และทางตะวันออกเฉียงเหนือ มุฮัมมัดได้แบ่งทหารออกเป็นสี่ส่วนโดยให้อบูอุบัยดะฮ์ อิบน์ อัล-ญัรรอฮ์เข้าทางตะวันตกเฉียงเหนือ, อัซซุบัยร์เข้าทางตะวันตกเฉียงใต้, อะลีเข้าทางใต้ และคอลิด อิบน์ วะลีดเข้าทางตะวันออกเฉียงเหนือ[8]

ยุทธวิธีของพวกเขาคือการเดินเข้าไปที่จุดศูนย์กลางจากทุกด้าน จึงทำให้ข้าศึกไม่สามารถตีวงให้แตกได้ง่าย และหยุดไม่ให้ชาวกุเรชคนใดแอบหนีออกไปได้[2]

มุฮัมมัดจึงกำชับว่าอย่าต่อสู้จนกว่าพวกกุเรชจะเริ่มต่อสู้ ดังนั้นชาวมุสลิมเข้ามักกะฮ์ในวันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม ค.ศ.629 (18 รอมฎอน ฮ.ศ.8)[3] การเข้าครั้งนี้ไม่มีการสู้รบหรือนองเลือดเลยทั้งสามฝั่ง ยกเว้นฝั่งของคอลิดถูกกลุ่มของเผ่ากุเรชที่นำโดยอิกริมะฮ์และซอฟวาน โดยพวกกุเรชโจมตีชาวมุสลิมด้วยดาบและธนู แล้วสู้รบกันจนฝ่ายกุเรชยอมแพ้หลังจากที่สูญเสียผู้ชายไป 12 คน ในขณะที่ชาวมุสลิมเสียชีวิตไปแค่ 2 คน[2]

ผลที่เกิดขึ้น

สรุป
มุมมอง

อบูซุฟยานเข้ารับอิสลาม และเชื่อว่าเทพเจ้าของชาวมักกะฮ์ไม่มีพลังใดๆ ช่วยมันได้ พร้อมกับกล่าวว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์" เพื่อเป็นการตอบแทนเขา มุฮัมมัดจึงให้พวกเขาประกาศว่า:

"แม้แต่ใครที่อยู่ในบ้านของอบูซุฟยานจะปลอดภัย ใครที่ยอมวางอาวุธจะปลอดภัย ใครที่ใส่กลอนที่ประตูจะปลอดภัย"[9]

หลังจากที่มุฮัมมัดและผู้ติดตามมาที่กะอ์บะฮ์ ทั้งรูปปั้นและพระเจ้าของพวกเขาถูกทำลายหมด โดยที่ศาสดามุฮัมหมัดได้อ่านอายะฮ์หนึ่งของอัลกุรอาน ความว่า:"และจงกล่าวเถิด เมื่อความจริงปรากฏขึ้นและความเท็จย่อมมลายไป แท้จริงความเท็จนั้นย่อมมลายไปเสมอ"(17:81)

ผู้คนเริ่มชุมนุมกันที่กะอ์บะฮ์ และมุฮัมมัดได้กล่าวว่า:

"ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์องค์เดียว พระองค์ทรงทำสัญญาของพระองค์เป็นจริงแล้ว และได้ช่วยเหลือบ่าวของพระองค์ พระองค์เท่านั้นที่ทำลายพวกสมรู้ร่วมคิดไปแล้ว ต่อไปนี้ พิธีกรรม อภิสิทธิ์ การอ้างสิทธิ์ที่จะล้างแค้นตอบแทน และการจ่ายสินไหมทดแทนอยู่ใต้เท้าของฉัน ยกเว้นการดูแลกะอ์บะฮ์ และการให้น้ำแก่ผู้มาทำฮัจญ์ ภายใต้สถานที่ศักดิสิทธิ์แห่งนี้ แม้แต่การตัดต้นไม้ก็ไม่เป็นที่อนุญาต ชาวกุเรชทั้งหลาย อัลลอฮ์ได้ทรงลบล้างการเคารพกราบไหว้เจว็ดบูชา และความทะนงในเชื้อสายแล้ว เพราะมนุษย์ทุกคนคือลูกหลานของอาดัม และอาดัมถูกสร้างมาจากดิน"

จากนั้นมุฮัมมัดจึงพูดกับชาวกุเรชว่า: "โอ้ชาวกุเรช พวกท่านคิดว่าฉันจะทำอะไรกับพวกท่านหรือ?" พวกเขาตอบว่า "เราหวังว่าท่านจะทำอย่างดีทีสุด ท่านเป็นพี่น้องที่มีเกียรติ ลูกชายของพี่น้องที่มีเกียรติ" เช่นนั้น มุฮัมมัดจึงกล่าวว่า: "ฉันจะพูดเหมือนกับที่ยูซุฟพูดกับพี่ชายของพวกเขาว่า 'ไม่ต้องกลัวอะไรในวันนี้ จงทำตัวตามสบาย พวกท่านเป็นอิสระแล้ว' "[10]

มีแค่ 10 คนเท่านั้นที่ถูกสั่งว่ามีความผิด:[11] อิกริมะฮ์ อิบน์ อบีญะฮัล, อับดุลลอฮ์ อิบน์ ซะอัด, ฮับบัร อิบน์ อัสวัด, มิกยาส ซูบาบะฮ์ ลัยษี, ฮุวัยรัษ อิบน์ นุก็อยด์, อับดุลลอฮ์ ฮิลาล และผู้หญิงอีกสี่คนที่มีข้อหาว่าได้ก่อเหตุอาชญากรรม บางคนก่อคดีอื่น ๆ บางคนหนีสงคราม และไม่รักษาสันติภาพ[11] แต่อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครถูกฆ่านอกจากผู้หญิงสองคนที่ทำผิดกฎหมาย คนหนึ่งถูกประหารแต่อีกคนไว้ชีวิตเพราะเธอเข้ารับศาสนาอิสลาม[12]

หลังจากเปิดมักกะฮ์แล้ว เผ่าที่ไม่ได้เข้าร่วมได้ก่อสงครามฮุนัยน์ขึ้น

Remove ads

หมายเหตุ

ข้อมูลเพิ่มเติม วันที่ที่ให้ในบันทึกสมัยก่อน, หลักฐานปฐมภูมิ ...
Remove ads

ดูเพิ่ม

  • มุฮัมมัดตอนอยู่ในมักกะฮ์
  • มุฮัมมัดตอนอยู่ในมะดีนะฮ์
  • สงครามฮุนัยน์

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads