คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
คดีระหว่างนายทะเบียนพรรคการเมือง กับพรรคประชาธิปัตย์ (2553)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
คดีระหว่างนายทะเบียนพรรคการเมือง กับพรรคประชาธิปัตย์ (2553) เป็นคดีรัฐธรรมนูญในประเทศไทยเมื่อ พ.ศ. 2553 ซึ่ง อภิชาต สุขัคคานนท์ นายทะเบียนพรรคการเมือง ได้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหาว่า พรรคประชาธิปัตย์ใช้จ่ายไปโดยผิดวัตถุประสงค์ของกฎหมายซึ่งเงินจำนวนยี่สิบเก้าล้านบาทที่คณะกรรมการการเลือกตั้งจัดสรรให้จากกองทุนเพื่อการพัฒนาพรรคการเมือง ขัดต่อพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2541 มาตรา 66 อนุมาตรา (2) และ (3) จึงขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคประชาธิปัตย์ และตัดสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ ตาม พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 มาตรา 98[1] [2]
คดีนี้ ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2553 ด้วยมติสี่ต่อสองว่า กฎหมายกำหนดให้ผู้ร้องยื่นคำร้องมาภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ปรากฏแก่ตนว่าผู้ถูกร้องฝ่าฝืนกฎหมายอันเป็นเหตุให้ถูกยุบได้ มว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องมาล่วงระยะเวลาสิบห้าวันดังกล่าวนี้ จึงไม่ชอบที่จะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องสืบไป และให้ยกคำร้อง[3]
Remove ads
ภาพรวม
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
คำร้องของผู้ร้อง
สรุป
มุมมอง
ผู้ร้องยื่นคำร้องเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 สรุปได้ว่า
- ข้อเท็จจริง
- ผู้ถูกร้องเป็นพรรคการเมือง ตามนิยามของ พ.ร.บ. พรรคการเมือง 2541 มาตรา 92 และ พ.ร.บ. พรรคการเมือง 2550 มาตรา 135 โดย พ.ร.บ. ทั้งสองให้พรรคการเมืองที่ได้รับเงินสนับสนุนจากกองทุนฯ มีหน้าที่ใช้เงินเช่นว่าโดยสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของกฎหมาย และมีหน้าที่จัดทำรายงานการใช้เงินดังกล่าวสำหรับแต่ละปีปฏิทินโดยถูกต้องตามความเป็นจริง แล้วเสนอรายงานนั้นต่อ กกต. ในปีปฏิทินถัดไป
- คณะกรรมการกองทุนฯ มีมติในการประชุมครั้งที่ 11/2547 (69) เมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน 2547 จัดสรรเงินจากกองทุนฯ เป็นจำนวน หกสิบแปดล้านเจ็ดแสนเก้าหมื่นแปดพันสี่ร้อยบาท ให้แก่ผู้ถูกร้อง ตามที่ผู้ถูกร้องได้ขอมาเป็นเงินสิบเก้าล้านบาท สำหรับจะนำไปใช้ในโครงการของตนจำนวนยี่สิบเอ็ดโครงการ ในจำนวนนี้ ประกอบด้วย (1) โครงการจัดทำป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ริมทางหลวง จำนวนสองป้าย เป็นเงินสิบล้านบาท ทั้งที่จริงแล้ว มีทั้งหมดสิบป้าย และ (2) โครงการจัดทำป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ จำนวนหนึ่งแสนเจ็ดหมื่นห้าพันหนึ่งร้อยสิบห้าป้าย เป็นเงินสามสิบเจ็ดล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยห้าสิบห้าบาท ทั้งที่จริงแล้ว จัดทำไปเพียงหนึ่งแสนป้าย และสิ้นเงินสามสิบล้านบาท ในการขอเงินครั้งนี้ ผู้ถูกร้องแจ้งว่าได้สมทบเงินเข้ากองทุน เป็นจำนวนสิบแปดล้านเก้าแสนเก้าหมื่นเก้าพันเก้าร้อยห้าสิบห้าบาท ทั้งที่จริงแล้ว สมทบเข้ามาเพียงสิบเอ็ดล้านบาท
- กกต. ได้โอนเงินตามที่คณะกรรมการกองทุนฯ อนุมัติข้างต้น เข้าบัญชีของผู้ถูกร้องเมื่อวันที่ 4 มกราคม 2548 เป็นเงินห้าสิบห้าล้านเจ็ดแสนสามหมื่นแปดพันสี่ร้อยบาท และต่อมาในวันที่ 10 มกราคม 2548 ผู้ถูกร้องได้เสนอมายังกองทุนฯ เพื่อขอปรับลดวงเงินในโครงการ (1) ลงแปดล้านบาท แล้วนำเงินแปดล้านบาทนั้นมารวมกับวงเงินของโครงการ (2) และคณะกรรมการกองทุนฯ เห็นชอบด้วย
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
Remove ads
คำให้การแก้คดีของผู้ถูกร้อง
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
ทางพิจารณา
สรุป
มุมมอง
ภาพรวม
ศาลรัฐธรรมนูญได้กำหนดประเด็นพิจารณาดังต่อไปนี้[3]
- ประเด็น 1 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่
- ประเด็น 2 การกระทำของผู้ถูกร้อง อยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 หรือ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550
- ประเด็น 3 ผู้ถูกร้องใช้จ่ายไปตามโครงการซึ่งเงินอันได้รับอนุมัติจากกองทุนฯ หรือไม่
- ประเด็น 4 ผู้ถูกร้องทำขึ้นโดยถูกต้องซึ่งรายงานการใช้จ่ายเงินอันได้รับอนุมัติจากกองทุนฯ หรือไม่
- ประเด็น 5 มีเหตุให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง และเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของผู้เกี่ยวข้อง หรือไม่
โดยศาลกล่าวว่า "เพื่อให้การพิจารณาวินิจฉัยคดีเป็นไปตามลำดับที่เหมาะสม จึงเห็นควรวินิจฉัยในประเด็นที่ 2 ก่อน"
ประเด็น 2 การกระทำของผู้ถูกร้อง อยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 หรือ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550
สำหรับประเด็น 2 ซึ่งมีข้อพึงพิจารณาว่า การกระทำของผู้ร้องอยู่ในบังคับของกฎหมายฉบับใด ระหว่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 หรือ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 นั้น ศาลเห็นว่า[3]
- เนื่องจากผู้ร้องกล่าวหาว่า ผู้ถูกร้องฝ่าฝืนกฎหมายในช่วงเวลาระหว่าง พ.ศ. 2547-2548 เป็นเหตุให้ต้องยุบพรรคผู้ถูกร้อง โดยช่วงเวลาดังกล่าวอยู่ในบังคับแห่ง พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 แต่ขณะยื่นคำร้อง พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 ดังกล่าว ได้ถูกยกเลิกและแทนที่โดย พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 แล้ว
- ดังนั้น ในส่วนสารบัญญัติ อันว่าด้วยการกระทำใดเป็นความผิดหรือไม่นั้น ต้องว่ากันตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2541 และส่วนวิธีสบัญญัติ อันว่าด้วยคดีจะต้องดำเนินไปเช่นไรนั้น ต้องว่ากันตาม พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550
ประเด็น 1 ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องโดยชอบด้วยกฎหมาย หรือไม่
สำหรับประเด็น 2 ซึ่งมีข้อพึงพิจารณาว่า กระบวนการซึ่งผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งยุบพรรคผู้ถูกร้อง ได้ดำเนินไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือประการใดนั้น ศาลเห็นว่า[3]
- คดีนี้ ผู้ร้องกล่าวหาว่าผู้ถูกร้องได้ใช้ไปโดยผิดวัตถุประสงค์ซึ่งเงินที่ กกต. จัดสรรให้จากกองทุนฯ ในการนี้ พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 มาตรา 93 วรรคสอง วางหลักเกณฑ์ให้ นายทะเบียน โดยความเห็นชอบของ กกต. ยื่นคำร้องเช่นว่าต่อศาลภายในสิบห้าวันนับแต่วันที่ปรากฏแก่นายทะเบียนว่าพรรคการเมืองนั้น ๆ มีเหตุจะต้องถูกยุบ เพราะฉะนั้น พึงพิเคราะห์เสียก่อนว่า นายทะเบียนได้ยื่นคำร้องมาตามหลักเกณฑ์นี้หรือไม่
- ข้อเท็จจริงฟังได้จากเอกสารของผู้ร้องเองว่า
- เดือนมีนาคม พ.ศ. 2552 กรมสอบสวนคดีพิเศษ และเกียรติอุดม ส.ส. พท. ได้แจ้งให้ อภิชาต ซึ่งดำรงตำแหน่งทั้งประธาน กกต. และนายทะเบียน (ผู้ร้อง) ทราบ และขอให้ตรวจสอบว่าผู้ถูกร้องได้ฝ่าฝืน พ.ร.บ.พรรคการเมือง 2550 หรือไม่ เป็นสองกรณี คือ กรณีหนึ่ง ซึ่ง บ.ทีพีไอ จ่ายเงินค่าจ้างทำสื่อประชาสัมพันธ์ให้แก่ บ.เมซไซอะ นั้น เป็นการอัน บ.ทีพีไอ กระทำขึ้นเพื่ออำพรางการที่ตนบริจาคเงินให้แก่ผู้ถูกร้อง ใช่หรือไม่ และอีกกรณีหนึ่ง ผู้ถูกร้องใช้เงินจากกองทุนฯ ไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และจัดทำรายงานการใช้เงินขึ้นโดยผิดไปจากความเป็นจริง ใช่หรือไม่
- หลังรับเรื่องแล้ว อภิชาตได้นำเรื่องเข้าที่ประชุม กกต. เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2552 และที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนเรื่องดังกล่าว มีอิศระเป็นประธาน โดยคณะกรรมการเห็นเป็นเอกฉันท์ว่าคดีไม่มีมูลทั้งสองกรณี จึงรายงานให้ กกต. ทราบ ต่อมาวันที่ 17 ธันวาคม 2552 กกต. ประชุมกัน (การประชุมครั้งที่ 144/2552) เพื่อพิจารณารายงาน แล้วลงมติด้วยเสียงข้างมาก ให้นายทะเบียนร้องคดีตามกฎหมาย แต่อภิชาต ในฐานะประธาน กกต. ซึ่งอยู่ในเสียงข้างน้อยเห็นว่า คดีไม่มีมูลทั้งสองกรณี กล่าวคือ กรณีบริจาคเงินนั้น เห็นว่า บ.ทีพีไอหาได้บริจาคเงินแก่ผู้ถูกร้องไม่ และกรณีการใช้เงินนั้น เห็นว่า ไม่พบความผิดปรกติในระบบเอกสารแต่ประการใด เชื่อว่าผู้ถูกร้องได้ใช้เงินไปโดยชอบแล้ว หากเป็นความผิดหลงของผู้กล่าวหาเอง
- หลัง กกต. มีมติให้นายทะเบียนร้องคดีดังกล่าวแล้ว วันที่ 29 ธันวาคม 2552 อภิชาต ในฐานะนายทะเบียน ได้ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อเตรียมการตามกฎหมาย โดยมี มล.ประทีบ เป็นประธาน และคณะกรรมการนี้ทำงานเสร็จสิ้น พร้อมรายงานข้อเท็จจริงและความเห็นต่อนายทะเบียนในวันที่ 12 เมษายน 2553 วันเดียวกันนั้น อภิชาต ในฐานะประธาน กกต. ได้เรียกประชุม กกต. เป็นการด่วนเพื่อพิจารณารายงาน (การประชุม กกต. ครั้งที่ 41/2553) และที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ว่า ให้ยุบพรรคผู้ถูกร้องโดยกระบวนวิธีตามกฎหมาย อภิชาตจึงบันทึกความเห็นไว้ในเอกสารว่า "ให้นายทะเบียนพรรคการเมือง โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการเลือกตั้ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญภายในสิบห้าวัน..."
- วันที่ 21 เมษายน 2553 กกต. จึงประชุมกันอีกครั้ง (การประชุม กกต. ครั้งที่ 43/2553) แต่อภิชาตขาดประชุม ในการนี้ ที่ประชุมลงมติเอกฉันท์ให้นายทะเบียนยื่นคำร้องต่อศาล เพื่อมีคำสั่งให้ยุบพรรคผู้ถูกร้อง และให้ถือว่าความเห็นของอภิชาตในวันที่ 12 เมษายน 2553 ข้างต้น เป็นความเห็นของนายทะเบียน จากนั้น ในวันที่ 26 เมษายน 2553 ผู้ร้องจึงยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อตั้งต้นคดี
- ศาลมีความเห็นเป็นสองทาง ซึ่งมีผลเป็นอย่างเดียวกัน คือ
- ทางหนึ่ง กฎหมายได้แยกอำนาจหน้าที่ระหว่างประธาน กกต. และนายทะเบียนไว้ชัดเจน แม้จะกำหนดให้ประธาน กกต. ทำหน้าที่เป็นนายทะเบียนก็ตาม ประกอบกับนายทะเบียนไม่ได้มีอำนาจเข้าร่วมการประชุมของ กกต. ความเห็นที่อภิชาตทำไว้ในที่ประชุม กกต. ข้างต้นนั้น จึงเป็นความเห็นในฐานะประธาน กกต. หาใช่ในฐานะนายทะเบียนไม่ ที่ กกต. ให้ถือเช่นนั้น จึงนับว่าข้ามขั้นตอนอันเป็นสาระสำคัญที่กฎหมายวางไว้ เท่ากับว่ายังไม่มีการให้ความเห็นชอบแก่นายทะเบียนให้ไปยื่นคำร้องต่อศาล เพราะฉะนั้น นายทะเบียนจึงไม่มีอำนาจยื่นร้องคดีนี้ได้
- ทางหนึ่ง กรณีเงินบริจาค และกรณีการใช้งินนั้นกฎหมายวางหลักเกณฑ์ในการยื่นคำร้องต่างกันดังพรรณนามาแล้วข้างต้น ตามข้อเท็จจริงที่ฟังได้ กกต. ได้มีมติเสียงข้างมากในการประชุมครั้งที่ 144/2552 วันที่ 17 ธันวาคม 2552 ให้นายทะเบียนไปร้องคดีทั้งสองกรณีพร้อม ๆ กันตามกฎหมาย ทั้งที่พึงปฏิบัติแยกกัน แม้ในการประชุมครั้งต่อ ๆ มา คือ ครั้งที่ 41/2553 และ 43/2553 กกต. จะมีมติโดยให้นายทะเบียนไปร้องคดี ก็เป็นเพียงการยืนยันมติเดิมเท่านั้น ซ้ำ กกต. และนายทะเบียนยังได้ดำเนินกระบวนแต่งต้งคณะกรรมการตรวจสอบและทำความเห็นมากมายอีก ศาลเห็นว่า เป็นความไม่ชัดเจนในการปรับใช้กฎหมายของ กกต. เอง สำหรับคำร้องคดีกรณีการใช้เงินนั้น ก็ในเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2552 เป็นวันที่ กกต. เห็นชอบให้นายทะเบียนไปร้องคดี ซึ่งนับว่าเป็นวันที่ความปรากฏแก่นายทะเบียนว่ามีการฝ่าฝืนกฎหมาย ระยะเวลาสิบห้าจึงต้องเริ่มนับแต่บัดนั้น ซึ่งนายทะเบียนมายื่นคำร้องเมื่อวันที่ 26 เมษายน 2553 นั้น ย่อมนับว่าล่วงระยะเวลาสิบห้าวันแล้ว เพราะฉะนั้น คดีจึงขาดอายุความ
- เมื่อกระบวนการยื่นคำร้องได้เป็นไปโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงไม่ชอบที่ศาลจะพิจารณาวินิจฉัยคำร้องในประเด็นอื่น ๆ อีกสืบไป
วินิจฉัย
ศาลเห็นว่า เมื่อวินิจฉัยแล้วว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องมาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงมิพักต้องพิจารณาประเด็นอื่น ๆ อีก ที่สุดวินิจฉัยด้วยมติสี่ต่อสอง ให้ยกคำร้อง[3]
Remove ads
ความเห็นส่วนตนของตุลาการ
|
Remove ads
ดูเพิ่ม
เชิงอรรถ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads