คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

การฆ่าตัวตาย

การกระทำอันมีเจตนาให้ตนเองเสียชีวิต จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

การฆ่าตัวตาย
Remove ads

การฆ่าตัวตาย หรือ อัตฆาตกรรม หรือ อัตวินิบาตกรรม การฆ่าตัวตายคือการกระทำที่มีเจตนาทำให้ตนเองเสียชีวิต[9] โดยปัจจัยเสี่ยงที่พบได้บ่อย ได้แก่ ความผิดปกติทางจิต ความผิดปกติทางร่างกาย และการใช้สารเสพติด[2][4][10][11]

ข้อมูลเบื้องต้น การฆ่าตัวตาย, สาขาวิชา ...

การฆ่าตัวตายบางกรณีเกิดขึ้นอย่างหุนหันพลันแล่นจากภาวะเครียด เช่น ปัญหาทางการเงินหรือการเรียน ความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว เช่น การเลิกราหรือการหย่าร้าง รวมถึงการถูกคุกคามหรือกลั่นแกล้ง[2][12][13] ผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อนมีความเสี่ยงสูงที่จะพยายามอีกในอนาคต[2] มาตรการป้องกันการฆ่าตัวตายที่ได้ผล ได้แก่ การจำกัดการเข้าถึงวิธีการ เช่น อาวุธปืน ยาเสพติด และสารพิษ การรักษาความผิดปกติทางจิตและการติดสารเสพติด การรายงานข่าวอย่างระมัดระวัง การปรับปรุงสภาพเศรษฐกิจ[2][14] รวมถึงการบำบัดพฤติกรรมเชิงวิภาษวิธี[15] แม้สายด่วนสำหรับวิกฤต เช่น 988 ในอเมริกาเหนือ และ 13 11 14 ในออสเตรเลีย จะเป็นแหล่งช่วยเหลือที่ใช้กันทั่วไป แต่ยังมีงานวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสายด่วนเหล่านี้ไม่มากนัก[16][17]

การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 10 ของโลก[4][6] คิดเป็นประมาณ 1.5% ของการเสียชีวิตทั้งหมด[18] โดยในแต่ละปีมีอัตราการเสียชีวิตราว 12 คนต่อประชากร 100,000 คน[6] ในปี 2015 มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายทั่วโลกรวม 828,000 ราย เพิ่มขึ้นจาก 712,000 รายในปี 1990 อย่างไรก็ตาม เมื่อคำนวณตามอายุ อัตราการเสียชีวิตลดลง 23.3%[19][20] เมื่อจำแนกตามเพศ พบว่าอัตราการฆ่าตัวตายของผู้ชายสูงกว่าผู้หญิง โดยสูงกว่า 1.5 เท่าในประเทศกำลังพัฒนา และสูงถึง 3.5 เท่าในประเทศพัฒนาแล้ว ในโลกตะวันตก ความพยายามฆ่าตัวตายที่ไม่ถึงแก่ชีวิตพบได้บ่อยในกลุ่มคนหนุ่มสาวและผู้หญิง[7] การฆ่าตัวตายพบได้บ่อยที่สุดในผู้ที่มีอายุมากกว่า 70 ปี อย่างไรก็ตาม ในบางประเทศ กลุ่มที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดกลับเป็นผู้ที่มีอายุระหว่าง 15 ถึง 30 ปี[1] ในปี 2015 ยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุด[21] โดยในแต่ละปี คาดว่ามีผู้พยายามฆ่าตัวตายโดยไม่เสียชีวิตประมาณ 10 ถึง 20 ล้านคนทั่วโลก[22] ความพยายามฆ่าตัวตายที่ไม่สำเร็จอาจก่อให้เกิดการบาดเจ็บหรือความพิการถาวร[7] วิธีการฆ่าตัวตายที่ใช้บ่อยที่สุดแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งขึ้นอยู่กับความพร้อมของวิธีการที่มีประสิทธิภาพ[23] สำหรับการฆ่าตัวตายโดยมีผู้ช่วยเหลือ ซึ่งมักเกิดขึ้นเมื่อบุคคลนั้นเผชิญกับความเจ็บปวดอย่างรุนแรงหรือใกล้เสียชีวิต กฎหมายในหลายประเทศอนุญาตให้กระทำได้ และแนวโน้มมีจำนวนเพิ่มขึ้น[24][25]

มุมมองต่อการฆ่าตัวตายได้รับอิทธิพลจากแนวคิดด้านการดำรงอยู่ที่หลากหลาย เช่น ศาสนา เกียรติยศ และความหมายของชีวิต[26][27] กลุ่มศาสนาอับราฮัมมักถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นการลบหลู่พระเจ้า เนื่องจากมีความเชื่อในความศักดิ์สิทธิ์ของชีวิต[28] ขณะที่ในยุคซามูไรของญี่ปุ่น การฆ่าตัวตายรูปแบบหนึ่งที่เรียกว่าเซ็ปปุกุ (腹切り, harakiri) ได้รับการยอมรับว่าเป็นวิธีชดใช้ความล้มเหลวหรือเป็นการแสดงออกเชิงประท้วง[29] แม้ในอดีตการฆ่าตัวตายและการพยายามฆ่าตัวตายจะเคยเป็นสิ่งผิดกฎหมาย แต่ปัจจุบันไม่ถือว่าเป็นความผิดในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่แล้ว[30] อย่างไรก็ตาม ยังคงถือเป็นอาชญากรรมในบางประเทศ[31] ในช่วงศตวรรษที่ 20 และ 21 การฆ่าตัวตายบางกรณีถูกใช้เป็นรูปแบบของการประท้วง แม้จะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก และยังมีการฆ่าตัวตายที่เกิดขึ้นระหว่างหรือภายหลังจากการฆ่าผู้อื่น ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่พบได้ทั้งในทางทหารและในกลุ่มผู้ก่อการร้าย[32] โดยทั่วไป การฆ่าตัวตายถูกมองว่าเป็นโศกนาฏกรรมร้ายแรงที่ก่อให้เกิดความโศกเศร้าอย่างยิ่งต่อครอบครัว เพื่อนฝูง และผู้คนในชุมชน และมักถูกมองในแง่ลบแทบทุกภูมิภาคของโลก[33][34]

Remove ads

คำจำกัดความ

สรุป
มุมมอง

คำว่า "suicide" ในภาษาอังกฤษมาจากภาษาละติน suicidium หมายถึง "การกระทำที่ปลิดชีวิตตนเอง"[9][35] ส่วน "ความพยายามฆ่าตัวตาย" (attempted suicide) หรือพฤติกรรมที่ไม่ถึงขั้นเสียชีวิต หมายถึงการทำร้ายตนเองโดยมีเจตนาบางส่วนที่จะจบชีวิต แต่ไม่ส่งผลให้เสียชีวิตจริง[36][37] "การฆ่าตัวตายโดยมีผู้ช่วยเหลือ" (assisted suicide) คือกรณีที่มีผู้อื่นให้คำแนะนำหรือจัดเตรียมวิธีการให้บุคคลหนึ่งจบชีวิตตนเอง[38] ขณะที่การุณยฆาต (euthanasia)โดยเฉพาะอย่างยิ่ง "การุณยฆาตโดยสมัครใจ" หมายถึงการที่ผู้อื่นมีบทบาทโดยตรงในการยุติชีวิตของผู้ที่ร้องขอ[38]

ความคิดฆ่าตัวตาย หมายถึง การมีความคิดอยากจบชีวิตตนเองโดยยังไม่ได้ลงมือกระทำใด ๆ[36] ความคิดดังกล่าวอาจมีหรือไม่มีการวางแผนหรือเจตนาอย่างชัดเจนก็ได้[37] ส่วนคำว่า suicidality หมายถึง "ความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย ซึ่งมักแสดงออกผ่านความคิดหรือเจตนาที่จะฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีแผนการที่ชัดเจนและมีรายละเอียดครบถ้วน"[39]

การฆาตกรรม-ฆ่าตัวตาย (murder–suicide) คือการที่บุคคลหนึ่งมีเป้าหมายในการพรากชีวิตผู้อื่นไปพร้อมกับการจบชีวิตของตนเอง โดยกรณีพิเศษของลักษณะนี้คือ การฆ่าตัวตายแบบขยาย (extended suicide) ซึ่งผู้ก่อเหตุมีแรงจูงใจจากการมองว่าผู้ถูกฆ่าเป็นส่วนหนึ่งของตัวเขาเอง[40] ส่วน การฆ่าตัวตายแบบเห็นแก่ตัว (egoistic suicide) คือการฆ่าตัวตายที่เกิดจากความรู้สึกว่าตนเองแปลกแยกหรือไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของสังคม[41]

ศูนย์ป้องกันการฆ่าตัวตายแห่งแคนาดาพบว่า คำกริยา commit เป็นคำที่มักใช้ในงานวิจัยทางวิชาการและสื่อมวลชนเมื่อกล่าวถึงการฆ่าตัวตาย และได้เสนอว่าควรลดการตีตราทางภาษาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายลง ในปี 2011 พวกเขาเผยแพร่บทความชื่อ "Suicide and language: Why we shouldn't use the 'C' word" เพื่อเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงภาษาที่ใช้ในการพูดถึงการฆ่าตัวตาย[42][43] สมาคมจิตวิทยาอเมริกันยังระบุว่า คำว่า "committed suicide" ควรหลีกเลี่ยง เนื่องจากเป็นการสร้างกรอบความคิดว่าการฆ่าตัวตายเป็นอาชญากรรม[44] กลุ่มรณรงค์บางกลุ่มแนะนำให้ใช้คำว่า "เสียชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย" "จบชีวิตตนเอง" หรือ "ปลิดชีพตัวเอง" แทนการใช้คำว่า committed suicide[45][46][47] แอสโซซิเอเท็ดเพรสสไตล์บุ๊กแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้คำว่า "committed suicide" เว้นแต่เป็นคำพูดโดยตรงจากเจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจ[48] เช่นเดียวกับคู่มือของเดอะการ์เดียน ดิออบเซิร์ฟเวอร์ และซีเอ็นเอ็น ที่ไม่สนับสนุนการใช้คำว่า committed[49][50] โดยฝ่ายที่คัดค้านให้เหตุผลว่าคำนี้สื่อถึงว่าการฆ่าตัวตายเป็นอาชญากรรมเป็นบาป หรือผิดศีลธรรม[51]

Remove ads

พยาธิสรีรวิทยา

สรุป
มุมมอง
Thumb
BDNF (rain-derived neurotrophic factor) ปัจจัยบำรุงประสาทที่ได้จากสมอง (สีม่วง) และ NT-4 ในรูปแบบเฮเทอโรไดเมอร์ (สีน้ำเงิน)

ยังไม่มีหลักฐานทางพยาธิสรีรวิทยาที่ชัดเจนซึ่งอธิบายการฆ่าตัวตายได้อย่างเป็นหนึ่งเดียว[7] โดยเชื่อกันว่าการฆ่าตัวตายเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยด้านพฤติกรรม สังคม-เศรษฐกิจ และจิตวิทยา[23]

ระดับของปัจจัยบำรุงประสาทที่ได้จากสมอง (BDNF) ที่ต่ำ ถูกพบว่ามีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับการฆ่าตัวตาย[52] และเกี่ยวข้องโดยอ้อมผ่านบทบาทของ BDNF ในโรคต่าง ๆ เช่น โรคซึมเศร้า โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ โรคจิตเภท และโรคย้ำคิดย้ำทำ[53] การศึกษาหลังการชันสูตรพลิกศพพบว่าผู้ที่มีหรือไม่มีภาวะทางจิตเวชมีระดับ BDNF ลดลงในบริเวณฮิปโปแคมปัสและคอร์เทกซ์ส่วนหน้า[54] นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า เซโรโทนิน ซึ่งเป็นสารสื่อประสาทในสมอง มีระดับต่ำในผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย[55] หลักฐานบางส่วนชี้ว่าการฆ่าตัวตายอาจเกี่ยวข้องกับระดับของตัวรับ 5-HT2A ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งพบหลังการเสียชีวิต[56] รวมถึงระดับที่ลดลงของผลิตภัณฑ์สลายตัวของเซโรโทนิน คือกรด 5-ไฮดรอกซีอินโดลอะซิติก ในน้ำหล่อสมองและไขสันหลัง[57] อย่างไรก็ตาม การหาหลักฐานโดยตรงยังคงเป็นเรื่องที่ยาก[56] นอกจากนี้ยังเชื่อว่า อีพีเจเนติกส์—การศึกษาการเปลี่ยนแปลงของการแสดงออกทางพันธุกรรมอันเป็นผลมาจากปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมโดยไม่เปลี่ยนแปลงโครงสร้างดีเอ็นเอเดิม—ก็มีบทบาทต่อความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายเช่นกัน[58]

Remove ads

ปัจจัยเสี่ยง

สรุป
มุมมอง
Thumb
การแจกแจงสถานการณ์ที่ทำให้เกิดการฆ่าตัวตายใน 16 รัฐของสหรัฐอเมริกาในปี ค.ศ. 2008.[59]

ปัจจัยที่ส่งผลต่อความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย ได้แก่ ความผิดปกติทางจิต การใช้สารเสพติด สภาวะทางจิตวิทยา ปัจจัยทางวัฒนธรรมและสังคม รวมถึงสถานการณ์ในครอบครัวและสังคม นอกจากนี้ ประสบการณ์เกี่ยวกับความบอบช้ำทางจิตใจ การสูญเสีย และแนวคิดแบบสุญนิยม (Nihilism) ก็เป็นปัจจัยสำคัญเช่นกัน[60][61][17] ความผิดปกติทางจิตมักเกิดร่วมกับการใช้สารเสพติดบ่อยครั้ง[62] ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ได้แก่ การเคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน[7] การเข้าถึงวิธีการปลิดชีวิตตนเองได้ง่าย ประวัติครอบครัวที่มีการฆ่าตัวตาย หรือการบาดเจ็บที่สมองจากภาวะบอบช้ำทางร่างกาย[63] ตัวอย่างเช่น อัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ้นในครัวเรือนที่มีอาวุธปืน เมื่อเทียบกับครัวเรือนที่ไม่มีอาวุธปืน[64]

ปัญหาทางสังคมและเศรษฐกิจ เช่น การว่างงาน ความยากจน การไร้ที่อยู่อาศัย และการเลือกปฏิบัติ อาจเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดความคิดฆ่าตัวตาย[65][66] ในทางตรงกันข้าม สังคมที่มีความสามัคคีทางสังคมสูงและมีข้อคัดค้านทางศีลธรรมต่อการฆ่าตัวตายมักมีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำกว่า[[37] พันธุกรรมอาจมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการฆ่าตัวตาย โดยมีสัดส่วนอยู่ระหว่าง 38% ถึง 55%[67] นอกจากนี้ ยังพบว่าการฆ่าตัวตายสามารถเกิดขึ้นเป็นกลุ่มในพื้นที่ใกล้เคียงกันได้[68]

งานวิจัยส่วนใหญ่มักไม่ได้แยกความแตกต่างระหว่างปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่ความคิดฆ่าตัวตายและปัจจัยเสี่ยงที่นำไปสู่การพยายามฆ่าตัวตาย[69][70]อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการพยายามฆ่าตัวตายมากกว่าการมีเพียงความคิดฆ่าตัวตาย ได้แก่ ความสามารถในการทนต่อความเจ็บปวดได้สูงและความกลัวความตายที่ลดลง

ภาวะออทิซึม

ผู้ที่มีภาวะออทิซึมมีแนวโน้มที่จะพยายามและคิดฆ่าตัวตายบ่อยกว่าประชากรทั่วไป[71] โดยพบว่าคนที่มีออทิซึมมีโอกาสพยายามฆ่าตัวตายสูงกว่าคนที่ไม่มีออทิซึมถึงเจ็ดเท่า[72]

ปัจจัยแวดล้อม

ปัจจัยแวดล้อมบางอย่าง เช่น มลพิษทางอากาศ แสงแดดที่รุนแรง ระยะเวลาการได้รับแสงแดด อากาศร้อน และพื้นที่ที่มีระดับความสูงมาก อาจมีความเชื่อมโยงกับการฆ่าตัวตาย[73] มีข้อสันนิษฐานว่าการได้รับ PM10 ในระยะสั้นอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[74][75] โดยปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลกระทบมากเป็นพิเศษในกลุ่มบุคคลที่มีความเสี่ยงสูงอยู่แล้ว มากกว่าบุคคลทั่วไป[73]

ช่วงเวลาของปีอาจส่งผลต่ออัตราการฆ่าตัวตาย โดยพบว่าอัตราการฆ่าตัวตายลดลงในช่วงคริสต์มาส[76] แต่กลับเพิ่มขึ้นในช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อน ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับปริมาณแสงแดดที่ได้รับ[37] นอกจากนี้ งานวิจัยบางชิ้นชี้ว่า ผู้ชายอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นในวันเกิดของตนเอง[77]

พันธุกรรมอาจมีอิทธิพลต่ออัตราการฆ่าตัวตาย โดยพบว่าประวัติครอบครัวที่มีการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในมารดา ส่งผลกระทบต่อเด็กมากกว่าวัยรุ่นหรือผู้ใหญ่[78] การศึกษาด้านการรับเลี้ยงบุตรบุญธรรมชี้ให้เห็นว่าความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นในญาติทางสายเลือด แต่ไม่พบในญาติที่เป็นบุตรบุญธรรม ซึ่งบ่งชี้ว่าปัจจัยเสี่ยงในครอบครัวไม่น่าจะเกิดจากการเลียนแบบพฤติกรรม[37] เมื่อพิจารณาร่วมกับความผิดปกติทางจิต พบว่าอัตราการถ่ายทอดทางพันธุกรรมโดยประมาณอยู่ที่ 36% สำหรับความคิดฆ่าตัวตาย และ 17% สำหรับการพยายามฆ่าตัวตาย[37] ในเชิงวิวัฒนาการ มีแนวคิดว่าการฆ่าตัวตายอาจช่วยเพิ่ม ความฟิตทางพันธุกรรมโดยรวม (inclusive fitness) โดยเฉพาะในกรณีที่บุคคลไม่สามารถมีบุตรเพิ่มได้และอาจเป็นภาระต่อญาติพี่น้อง อย่างไรก็ตาม ข้อโต้แย้งสำคัญคือ การเสียชีวิตของวัยรุ่นที่มีสุขภาพดีไม่น่าจะช่วยเพิ่มความฟิตทางพันธุกรรมได้ นอกจากนี้ ความแตกต่างระหว่างสภาพแวดล้อมของบรรพบุรุษกับโลกปัจจุบันอาจทำให้เกิดผลกระทบที่เป็นโทษในสังคมยุคใหม่[79][80]

สื่อ

Thumb
ในวรรณกรรม แวเธ่อร์ระทม ของเกอเทอ ตัวละครเอกจบชีวิตตนเองจากความเจ็บปวดในรักสามเส้ากับหญิงสาวชื่อชาร์ล็อตต์ (ตามภาพที่หลุมศพของเขา) เรื่องราวดังกล่าวส่งผลให้ผู้อ่านบางส่วนที่หลงใหลในตัวละครเกิดแรงจูงใจในการฆ่าตัวตายเลียนแบบ ซึ่งปรากฏการณ์นี้เป็นที่รู้จักในชื่อว่า "เอฟเฟกต์แวเธ่อร์" (Werther effect)

สื่อมวลชนและอินเทอร์เน็ตมีบทบาทสำคัญต่อการฆ่าตัวตาย[60][78] การนำเสนอข่าวในลักษณะที่เน้นปริมาณมาก ซ้ำ ๆ และโรแมนติกหรือเชิดชูการฆ่าตัวตาย อาจทำให้อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น[81] ตัวอย่างเช่น ประมาณ 15–40% ของผู้ที่ฆ่าตัวตายทิ้งจดหมายลาตายไว้[82] ซึ่งมีคำแนะนำให้หลีกเลี่ยงการรายงานเนื้อหาของจดหมายดังกล่าว นอกจากนี้ การอธิบายรายละเอียดเกี่ยวกับวิธีการฆ่าตัวตายอาจกระตุ้นพฤติกรรมเลียนแบบในกลุ่มบุคคลที่เปราะบาง[23] ซึ่งพบเห็นได้ในหลายกรณีหลังจากมีการรายงานข่าว[83][84] วิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดผลกระทบเชิงลบจากการนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตาย คือ การให้ความรู้แก่สื่อมวลชนเกี่ยวกับการรายงานข่าวที่ช่วยลดโอกาสเกิดพฤติกรรมเลียนแบบ และส่งเสริมให้ผู้ที่มีความเสี่ยงขอความช่วยเหลือ[81] อย่างไรก็ตาม การทำให้สื่อมวลชนปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ในระยะยาวยังคงเป็นความท้าทาย[81]

การฆ่าตัวตายเลียนแบบ หรือการแพร่ระบาดของการฆ่าตัวตาย เป็นที่รู้จักในชื่อ "เอฟเฟกต์แวเธ่อร์" (Werther effect) ซึ่งมีที่มาจากตัวละครเอกในนิยาย แวเธ่อร์ระทม ของเกอเทอ ที่ฆ่าตัวตายและนำไปสู่การเลียนแบบในหมู่ผู้อ่านที่ชื่นชอบหนังสือเล่มนี้[85] ความเสี่ยงของปรากฏการณ์นี้สูงขึ้นในวัยรุ่นที่อาจมีแนวโน้มโรแมนติกกับความตาย[86] โดยเฉพาะเมื่อสื่อมวลชนนำเสนอข่าวการฆ่าตัวตายอย่างไม่เหมาะสม[87][88] อย่างไรก็ตาม ผลกระทบของการนำเสนอเรื่องการฆ่าตัวตายในสื่อบันเทิงยังไม่ชัดเจน[89] และยังไม่มีข้อสรุปแน่ชัดว่าการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายทางอินเทอร์เน็ตมีความสัมพันธ์กับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายหรือไม่[90] ตรงกันข้ามกับเอฟเฟกต์แวเธ่อร์ คือ "เอฟเฟกต์ปาเปเกโน" (Papageno effect) ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อมีการนำเสนอแนวทางรับมือกับปัญหาชีวิตอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยลดความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย คำนี้มาจากตัวละคร ปาเปเกโน ในอุปรากร ขลุ่ยวิเศษ ของโมซาร์ท ซึ่งเคยวางแผนฆ่าตัวตายเพราะกลัวการสูญเสียคนรัก แต่ได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อน ๆ จนเปลี่ยนใจ[85] ดังนั้น การนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายที่แสดงถึงผลกระทบด้านลบหรือสะท้อนผลลัพธ์ที่แตกต่าง อาจช่วยป้องกันพฤติกรรมเลียนแบบ[91] นอกจากนี้ นิยายหรือสื่อที่นำเสนอปัญหาสุขภาพจิตอย่างเหมาะสม อาจช่วยสร้างความตระหนักในสังคมและกระตุ้นให้ผู้ที่มีความเสี่ยงหันมาขอความช่วยเหลือมากขึ้น[92]

อาการป่วย

มีความเชื่อมโยงระหว่างความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายกับปัญหาสุขภาพกาย[93] เช่น อาการปวดเรื้อรัง[94] การบาดเจ็บที่สมอง [95] มะเร็ง[96] กลุ่มอาการอ่อนล้าเรื้อรัง[97] ไตวายที่ต้องฟอกไต เอชไอวี และโรคแพ้ภูมิตัวเอง[93] การวินิจฉัยโรคมะเร็งเพิ่มความถี่ของการฆ่าตัวตายประมาณสองเท่า[96] และอัตราการฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้นยังคงมีอยู่ แม้จะปรับตามปัจจัยของโรคซึมเศร้าและการดื่มสุราเกินขนาด สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวมากกว่าหนึ่งโรค ความเสี่ยงยิ่งสูงขึ้นเป็นพิเศษ ในญี่ปุ่น ปัญหาสุขภาพถูกระบุว่าเป็นเหตุผลหลักของการฆ่าตัวตาย[98]

ความผิดปกติในการนอน เช่น โรคนอนไม่หลับ[99] และภาวะหยุดหายใจขณะหลับ เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและการฆ่าตัวตาย ในบางกรณี ความผิดปกติในการนอนอาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่เป็นอิสระจากภาวะซึมเศร้า[100] นอกจากนี้ ภาวะทางการแพทย์บางอย่างอาจแสดงอาการคล้ายกับโรคอารมณ์แปรปรวน เช่น ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย โรคอัลไซเมอร์ เนื้องอกในสมอง โรคแพ้ภูมิตัวเองชนิดเอสแอลอี (systemic lupus erythematosus) รวมถึงผลข้างเคียงจากยาหลายชนิด เช่น ยาเบต้า-บล็อกเกอร์ (beta blockers) และสเตียรอยด์ (steroids)[7]

โรคทางจิตใจ

อาการป่วยทางจิตพบในช่วงเวลาที่เกิดการฆ่าตัวตายตั้งแต่ 27% ถึงมากกว่า 90% ของกรณี[101][7][102][103] สำหรับผู้ที่เคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเนื่องจากพฤติกรรมฆ่าตัวตาย ความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายตลอดชีวิตอยู่ที่ 8.6%[7][104] ขณะที่ผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยไม่มีความคิดฆ่าตัวตาย มีความเสี่ยงตลอดชีวิตอยู่ที่ 4%[105] ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอาจมีภาวะซึมเศร้ารุนแรง โรคนี้หรือโรคทางอารมณ์อื่น ๆ เช่น โรคอารมณ์สองขั้ว จะเพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายถึง 20 เท่า[105] นอกจากนี้ ภาวะทางจิตอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ โรคจิตเภท (14%) ความผิดปกติของบุคลิกภาพ (8%)[106][107] โรคย้ำคิดย้ำทำ[108] และโรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนขวัญ[7]

มีการประมาณว่าประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ที่ฆ่าตัวตายอาจได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคบุคลิกภาพผิดปกติ โดยโรคบุคลิกภาพผิดปกติแบบก้ำกึ่งเป็นประเภทที่พบได้บ่อยที่สุด[109] นอกจากนี้ ประมาณ 5% ของผู้ป่วยโรคจิตเภทเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย[110] ขณะที่ความผิดปกติทางการกินเป็นอีกหนึ่งภาวะที่มีความเสี่ยงสูง[93] สำหรับผู้ที่มีอารมณ์ละเหี่ยใจในเพศกำเนิดงผู้ที่มีอารมณ์ละเหี่ยใจในเพศกำเนิด (gender dysphoria) ประมาณ 22% ถึง 50% เคยพยายามฆ่าตัวตาย อย่างไรก็ตาม อัตรานี้แตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาค[111][112][113][114][115]

ประมาณ 80% ของผู้ที่ฆ่าตัวตายเคยพบแพทย์ภายในหนึ่งปีก่อนเสียชีวิต[116] โดย 45% พบแพทย์ภายในเดือนก่อนหน้า[117] ประมาณ 25–40% เคยติดต่อกับบริการด้านสุขภาพจิตในปีที่ผ่านมา[101][116] ยาต้านอาการซึมเศร้าในกลุ่ม SSRI อาจเพิ่มความถี่ของการฆ่าตัวตายในเด็กและเยาวชน[118] นอกจากนี้ การไม่ยอมรับความช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตยังเป็นปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[68]

ปัจจัยด้านการประกอบอาชีพ

อาชีพบางประเภทมีความเสี่ยงสูงต่อการทำร้ายตนเองและการฆ่าตัวตาย เช่น อาชีพในกองทัพ งานวิจัยในหลายประเทศพบว่า อัตราการฆ่าตัวตายในอดีตบุคลากรกองทัพ โดยเฉพาะทหารผ่านศึกที่อายุน้อย[119][120][121][122] สูงกว่าประชากรทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ[123][124][119] ทหารผ่านศึกมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากอัตราการเกิดโรคทางจิตเวชที่สูงขึ้น เช่น ภาวะเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) รวมถึงปัญหาสุขภาพกายที่เกี่ยวข้องกับสงคราม[125]

ความพยายามครั้งก่อน

การทบทวนงานวิจัยประมาณ 90 ฉบับในปี 2002 สรุปว่า ผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตายหรือทำร้ายตนเองมาก่อนมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูงกว่าประชากรทั่วไปหลายร้อยเท่า[126] งานวิจัยล่าสุดประเมินว่า บุคคลที่มีประวัติพยายามฆ่าตัวตายมีโอกาสเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสูงกว่าประชากรทั่วไปประมาณ 25 เท่า[127] ผลการศึกษานี้ชี้ให้เห็นว่า การพยายามฆ่าตัวตายเป็นหนึ่งในปัจจัยที่สามารถทำนายความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายสำเร็จได้อย่างแม่นยำที่สุด[7]

ในกลุ่มที่ฆ่าตัวตายสำเร็จ มีการประมาณว่า 25% เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อนภายในหนึ่งปีที่ผ่านมา[126] และตัวเลขนี้อาจสูงถึง 40%[128] หากพิจารณาในระยะเวลาที่ยาวขึ้น ความเป็นไปได้ในการฆ่าตัวตายสำเร็จจากความพยายามครั้งต่อไปขึ้นอยู่กับวิธีที่ใช้ อายุ และเพศของบุคคล[128] ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การใช้สารเสพติดและภาวะสุขภาพจิต[127] ยังส่งผลต่อโอกาสในการฆ่าตัวตายสำเร็จหลังจากเคยพยายามมาก่อน นอกจากนี้ ระดับความตั้งใจในการฆ่าตัวตายจากความพยายามครั้งก่อนถือเป็นหนึ่งปัจจัยทำนายที่สำคัญ[129]

ระยะเวลาหลังจากการพยายามฆ่าตัวตายก็มีบทบาทสำคัญ โดยปีแรกและปีที่สองหลังจากความพยายามครั้งแรกเป็นช่วงที่มีความเสี่ยงสูงที่สุดต่อการฆ่าตัวตายสำเร็จ[126][127] คาดว่าประมาณ 1% ของผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตายจะเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายภายในหนึ่งปีหลังจากความพยายามครั้งแรก[7] อย่างไรก็ตาม ประมาณ 90% ของผู้รอดชีวิตจากการพยายามฆ่าตัวตายจะไม่ฆ่าตัวตายสำเร็จในภายหลัง[130][93]

ปัจจัยทางจิตสังคม

ปัจจัยทางจิตวิทยาที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย ได้แก่ ความรู้สึกหมดหวัง การสูญเสียความสุขในชีวิต ภาวะซึมเศร้า ความวิตกกังวล ความกระวนกระวายใจ การคิดแบบยึดติด การครุ่นคิดซ้ำ ๆ การระงับความคิด และทักษะการรับมือที่ไม่ดี[105][78][131] นอกจากนี้ ความสามารถในการแก้ปัญหาที่บกพร่อง การสูญเสียความสามารถที่เคยมี และการควบคุมอารมณ์ที่ไม่ดี ก็เป็นปัจจัยสำคัญ[105][79] สำหรับผู้สูงอายุ ความรู้สึกว่าตนเองเป็นภาระต่อผู้อื่นเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ[132] ขณะที่ผู้ที่ไม่เคยแต่งงานก็มีความเสี่ยงสูงขึ้น[7] นอกจากนี้ ความเครียดจากเหตุการณ์ในชีวิต เช่น การสูญเสียสมาชิกในครอบครัวหรือเพื่อนสนิท หรือการตกงาน อาจเป็นตัวกระตุ้นที่เพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[105][68]

ปัจจัยด้านบุคลิกภาพ เช่น ความวิตกกังวลและความเก็บตัวในระดับสูง มีความเชื่อมโยงกับการฆ่าตัวตาย เนื่องจากผู้ที่แยกตัวและอ่อนไหวต่อความทุกข์ใจอาจมีแนวโน้มพยายามฆ่าตัวตายมากขึ้น[78] ในทางตรงกันข้าม การมองโลกในแง่ดีได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยลดความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[78] ปัจจัยเสี่ยงทางจิตวิทยาอื่น ๆ ได้แก่ การมีเหตุผลในการมีชีวิตอยู่น้อย และความรู้สึกติดอยู่ในสถานการณ์ที่กดดัน[78] นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงของระบบตอบสนองต่อความเครียดในสมอง โดยเฉพาะในระบบโพลีเอมีน[133] และแกนไฮโปทาลามัส-ต่อมใต้สมอง-ต่อมหมวกไต[134] อาจเกิดขึ้นระหว่างภาวะฆ่าตัวตาย[37]

การแยกตัวทางสังคมและการขาดการสนับสนุนทางสังคมมีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นของการฆ่าตัวตาย[78] ความยากจนก็เป็นปัจจัยสำคัญ[135] โดยเฉพาะเมื่อบุคคลเผชิญกับความยากจนมากกว่าคนรอบข้าง ซึ่งอาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[136] ในอินเดีย เกษตรกรมากกว่า 200,000 รายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายตั้งแต่ปี 1997 โดยสาเหตุหลักคือปัญหาหนี้สิน[137] ขณะที่ในจีน อัตราการฆ่าตัวตายในเขตชนบทสูงกว่าในเขตเมืองถึงสามเท่า ซึ่งเชื่อกันว่าส่วนหนึ่งเกิดจากปัญหาทางการเงินในพื้นที่เหล่านี้[138]

การเคร่งศาสนาอาจช่วยลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย ขณะที่ความเชื่อว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งสูงส่งอาจเพิ่มความเสี่ยงดังกล่าว[139][68][140] ปรากฏการณ์นี้อาจเกิดจากทัศนคติเชิงลบของศาสนาหลายศาสนาต่อการฆ่าตัวตาย รวมถึงความรู้สึกเชื่อมโยงทางสังคมที่ศาสนามอบให้[139] ชาวมุสลิมที่เคร่งศาสนาดูเหมือนจะมีอัตราการฆ่าตัวตายต่ำกว่า แต่หลักฐานที่สนับสนุนยังไม่ชัดเจน[31] อย่างไรก็ตาม อัตราการพยายามฆ่าตัวตายไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ[31] ในขณะที่ผู้หญิงวัยรุ่นในตะวันออกกลางอาจมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่า[141]

เหตุผล

Thumb
กลุ่มวัยรุ่นที่เข้าร่วมเป็นนักบินพลีชีพคามิกาเซะของญี่ปุ่นในเดือนพฤษภาคม 1945

การฆ่าตัวตายอย่างมีเหตุผลหมายถึงการตัดสินใจจบชีวิตตนเองโดยมีเหตุผลประกอบ[142] อย่างไรก็ตาม บางคนมองว่าการฆ่าตัวตายไม่มีทางเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลได้[142]

การุณยฆาตและการฆ่าตัวตายโดยได้รับการช่วยเหลือเป็นที่ยอมรับในหลายประเทศ สำหรับผู้ที่มีคุณภาพชีวิตย่ำแย่และไม่มีโอกาสฟื้นตัว[143][144] แนวปฏิบัติเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนจากข้อโต้แย้งทางกฎหมายเกี่ยวกับสิทธิในการตาย[144]

การฆ่าตัวตายเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นเรียกว่า การฆ่าตัวตายแบบเสียสละ[145] ตัวอย่างเช่น ผู้สูงอายุที่จบชีวิตตนเองเพื่อให้มีอาหารเหลือสำหรับคนรุ่นใหม่ในชุมชนมากขึ้น[145] ในบางวัฒนธรรมของชาวอินูอิต การฆ่าตัวตายถูกมองว่าเป็นการแสดงความเคารพ ความกล้าหาญ หรือภูมิปัญญา[146]

การโจมตีฆ่าตัวตาย เป็นการกระทำทางการเมืองหรือศาสนา โดยผู้ก่อเหตุใช้ความรุนแรงต่อผู้อื่นโดยตระหนักว่าการกระทำนั้นจะนำไปสู่การเสียชีวิตของตนเอง[147] ผู้ก่อการร้ายที่ฆ่าตัวตายบางคนมีแรงจูงใจจากความปรารถนาที่จะเป็นผู้พลีชีพหรือหรือได้รับแรงจูงใจทางศาสนา[125] ภารกิจคามิกาเซะเป็นการปฏิบัติที่ถือเป็นหน้าที่ต่อเป้าหมายที่สูงส่งหรือพันธกรณีทางศีลธรรม[146] ขณะที่การฆาตกรรม-ฆ่าตัวตาย หมายถึงการก่อเหตุฆาตกรรม ที่ตามมาด้วยการฆ่าตัวตายของผู้ก่อเหตุภายในหนึ่งสัปดาห์[148]

การฆ่าตัวตายหมู่มักเกิดขึ้นภายใต้แรงกดดันทางสังคม โดยสมาชิกยอมสละอำนาจในการตัดสินใจของตนให้กับผู้นำ[149] แม้มีเพียงสองคน การกระทำดังกล่าวก็มักถูกเรียกว่า ข้อตกลงกระทำอัตวินิบาตกรรม[150] ในบางสถานการณ์ที่การมีชีวิตอยู่ต่อไปเป็นสิ่งที่ทนไม่ได้ บางคนอาจเลือกใช้การฆ่าตัวตายเป็นทางออก[151][152] ตัวอย่างหนึ่งคือ ผู้ต้องขังในค่ายกักกันนาซีช่วงฮอโลคอสต์ ที่จงใจสัมผัสรั้วไฟฟ้าเพื่อจบชีวิตตนเอง[153]

การทำร้ายตัวเอง

การทำร้ายตัวเองโดยไม่มุ่งหวังให้ถึงแก่ชีวิตเป็นพฤติกรรมที่พบได้บ่อย โดยประมาณ 18% ของผู้คนเคยมีประสบการณ์ดังกล่าวในช่วงชีวิต[154]:1 แม้ว่าการทำร้ายตัวเองมักไม่ถือเป็นความพยายามฆ่าตัวตาย และส่วนใหญ่ไม่ได้มีความเสี่ยงสูงต่อการฆ่าตัวตาย[155] แต่ในบางกรณี ผู้ที่ทำร้ายตนเองอาจจบชีวิตด้วยการฆ่าตัวตาย ซึ่งบ่งชี้ว่าพฤติกรรมทั้งสองอาจมีความเกี่ยวข้องกัน[155] บุคคลที่มีประวัติทำร้ายตนเองและเคยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลมีแนวโน้มเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสูงขึ้นถึง 68% (38105%) เมื่อเทียบกับบุคคลทั่วไป[156]:279

การใช้สารเสพติดในทางที่ผิด

Thumb
"ความก้าวหน้าของคนขี้เมา" (The Drunkard's Progress) ภาพปี 1846 แสดงให้เห็นลำดับขั้นของผลกระทบจากการติดสุรา ตั้งแต่ความเสื่อมโทรม ความยากจน การก่ออาชญากรรม จนถึงจุดจบด้วยการฆ่าตัวตาย

การใช้สารเสพติดในทางที่ผิดเป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับสองของการฆ่าตัวตาย รองจากโรคซึมเศร้าและโรคอารมณ์สองขั้ว[157] ทั้งการใช้สารเสพติดเรื้อรังและภาวะพิษเฉียบพลันล้วนเพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[62][158] โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีปัจจัยร่วม เช่น ความเศร้าโศกจากการสูญเสีย[158] นอกจากนี้ การใช้สารเสพติดในทางที่ผิดยังเชื่อมโยงกับความผิดปกติทางสุขภาพจิต[62]

คนส่วนใหญ่ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายอยู่ภายใต้อิทธิพลของยาระงับประสาทและยานอนหลับ (เช่น แอลกอฮอล์หรือเบนโซไดอะซีพีน)[159] โดยพบภาวะติดสุราใน 15% ถึง 61% ของกรณี[62] การใช้ยาเบ็นโซไดอาเซพีนตามใบสั่งแพทย์มีความเชื่อมโยงกับอัตราการฆ่าตัวตายและการพยายามฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้น ซึ่งอาจเกิดจากผลข้างเคียงทางจิตเวช เช่น การขาดการยับยั้งชั่งใจหรืออาการถอนยา[11] ประเทศที่มีอัตราการบริโภคแอลกอฮอล์สูงและมีบาร์หนาแน่นมักมีอัตราการฆ่าตัวตายสูงขึ้น[160] ประมาณ 2.2–3.4% ของผู้ที่เคยเข้ารับการบำบัดอาการติดสุราเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย[160] โดยกลุ่มเสี่ยงมักเป็นเพศชาย มีอายุมาก และเคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน[62] สำหรับผู้ใช้เฮโรอีน การเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายคิดเป็น 3–35% ของทั้งหมด ซึ่งสูงกว่าผู้ที่ไม่ได้ใช้ยาประมาณ 14 เท่า[161] ส่วนในกลุ่มวัยรุ่นที่ดื่มแอลกอฮอล์ในทางที่ผิด ความผิดปกติทางระบบประสาทและจิตใจอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[162]

การใช้โคเคนและเมทแอมเฟตามีนในทางที่ผิดมีความสัมพันธ์อย่างมากกับการฆ่าตัวตาย[62][163] โดยเฉพาะในช่วงช่วงถอนยา ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้ใช้โคเคนมีความเสี่ยงสูงสุด[164] นอกจากนี้ ผู้ที่ใช้สารสูดดมก็เผชิญกับความเสี่ยงสูงเช่นกัน โดยประมาณ 20% เคยพยายามฆ่าตัวตายในบางช่วงของชีวิต และมากกว่า 65% เคยมีความคิดฆ่าตัวตาย[62] การสูบบุหรี่มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[165] แม้ว่าหลักฐานที่อธิบายความสัมพันธ์นี้ยังมีจำกัด แต่มีสมมติฐานว่า ผู้ที่มีแนวโน้มสูบบุหรี่อาจมีแนวโน้มฆ่าตัวตายเช่นกัน นอกจากนี้ การสูบบุหรี่อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพจนทำให้บางคนต้องการยุติชีวิต หรืออาจส่งผลต่อเคมีในสมอง เพิ่มแนวโน้มต่อการฆ่าตัวตาย[165] อย่างไรก็ตาม ไม่พบว่ากัญชามีผลโดยตรงต่อความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย[62]

ปัจจัยอื่น ๆ

การบาดเจ็บทางจิตใจเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อความคิดฆ่าตัวตายทั้งในเด็ก[166] และผู้ใหญ่[78] บางคนอาจเลือกจบชีวิตเพื่อหลีกหนีการกลั่นแกล้งหรืออคติ[167] นอกจากนี้ ประวัติการล่วงละเมิดทางเพศในวัยเด็ก[168] และการใช้ชีวิตในสถานสงเคราะห์เด็ก[169] ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย โดยเชื่อว่าการล่วงละเมิดทางเพศมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเสี่ยงประมาณ 20%[67] ความทุกข์ยากในวัยเด็กส่งผลกระทบต่อทักษะการแก้ปัญหาและความจำ ซึ่งเชื่อมโยงกับความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[37] จากการศึกษาปี 2022 พบว่าประสบการณ์ในวัยเด็กที่ไม่พึงประสงค์อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อความผิดปกติทางจิตใจ ภาวะซึมเศร้า และความคิดฆ่าตัวตายถึงสองเท่า[170]

การพนันที่เป็นปัญหามีความเชื่อมโยงกับความคิดและความพยายามฆ่าตัวตายที่เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับประชากรทั่วไป[171] โดยประมาณ 12–24% ของผู้ที่ติดการพนันเคยพยายามฆ่าตัวตาย[172] นอกจากนี้ คู่สมรสของนักพนันที่มีปัญหามีอัตราการฆ่าตัวตายสูงกว่าประชากรทั่วไปถึงสามเท่า[172] ปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงในกลุ่มนี้ ได้แก่ โรคทางจิตเวช การดื่มแอลกอฮอล์ และการใช้ยาเสพติด[173]

การติดเชื้อปรสิต Toxoplasma gondii หรือโรคทอกโซพลาสโมซิส มีความเชื่อมโยงกับความเสี่ยงในการฆ่าตัวตาย โดยมีข้อสันนิษฐานว่าสาเหตุอาจมาจากการเปลี่ยนแปลงของสารสื่อประสาท อันเป็นผลจากการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน[37]

Remove ads

การป้องกัน

สรุป
มุมมอง
Thumb
Thumb
ป้ายบนสะพานโกลเดนเกตเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยติดตั้งโทรศัพท์เฉพาะที่เชื่อมต่อโดยตรงกับสายด่วนช่วยเหลือผู้ประสบวิกฤต และยังมีบริการส่งข้อความฉุกเฉินตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างทันท่วงที

การป้องกันการฆ่าตัวตายหมายถึงความพยายามร่วมกันในการลดอุบัติการณ์ของการฆ่าตัวตายผ่านมาตรการป้องกันต่าง ๆ โดยปัจจัยป้องกันสำคัญ ได้แก่ การได้รับการสนับสนุนและการเข้าถึงบริการบำบัดรักษา[61] อย่างไรก็ตาม ประมาณ 60% ของผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายไม่ได้แสวงหาความช่วยเหลือ[174] สาเหตุหลักมาจากการรับรู้ว่าตนเองไม่ต้องการความช่วยเหลือ และความต้องการจัดการปัญหาด้วยตนเอง[174] แม้จะมีอัตราความคิดและพฤติกรรมฆ่าตัวตายที่สูง แต่ในปัจจุบันยังมีวิธีการรักษาที่ได้รับการยอมรับอย่างเป็นระบบอยู่เพียงไม่กี่แนวทางเท่านั้น[78]

การลดการเข้าถึงวิธีการฆ่าตัวตายบางประเภท เช่น อาวุธปืน หรือสารพิษอย่างยาฝิ่นและยาฆ่าแมลง สามารถช่วยลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายด้วยวิธีเหล่านั้นได้[23][175][17][37] นอกจากนี้ การจำกัดการเข้าถึงวิธีที่สามารถใช้ได้ง่าย ยังอาจช่วยลดโอกาสที่ความพยายามฆ่าตัวตายแบบหุนหันพลันแล่นจะประสบความสำเร็จ[176] มาตรการป้องกันอื่น ๆ ได้แก่ การจำกัดการเข้าถึงถ่าน (ซึ่งใช้ในการเผาฆ่าตัวตาย) และการติดตั้งสิ่งกีดขวางบนสะพานหรือชานชาลารถไฟใต้ดิน[23][177][17] นอกจากนี้ การรักษาอาการติดยาเสพติดและแอลกอฮอล์ ภาวะซึมเศร้า รวมถึงผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน ก็อาจช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ[175][17] บางแนวคิดเสนอให้จำกัดการเข้าถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เช่น การลดจำนวนบาร์ เพื่อใช้เป็นกลยุทธ์ในการป้องกันการฆ่าตัวตาย[62]

Thumb
รั้วป้องกันการฆ่าตัวตายบนสะพาน

ในกลุ่มวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้นที่เพิ่งมีความคิดฆ่าตัวตาย การบำบัดพฤติกรรมทางปัญญา (Cognitive Behavioral Therapy: CBT) อาจช่วยให้ผลลัพธ์ดีขึ้น[178][78] ส่วนโครงการในโรงเรียนที่เน้นการเพิ่มความรู้ด้านสุขภาพจิตและการฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ มีผลลัพธ์ที่หลากหลายในด้านการลดอัตราการฆ่าตัวตาย[17] นอกจากนี้ การพัฒนาเศรษฐกิจซึ่งช่วยลดความยากจน ก็อาจมีส่วนช่วยในการลดอัตราการฆ่าตัวตายได้เช่นกัน[135] ความพยายามในการส่งเสริมการเชื่อมโยงทางสังคม โดยเฉพาะในผู้ชายสูงอายุ อาจช่วยลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายได้อย่างมีประสิทธิภาพ[179] สำหรับผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตาย การติดตามดูแลหลังเหตุการณ์อาจช่วยป้องกันการพยายามซ้ำได้[180] แม้ว่าสายด่วนสำหรับกรณีฉุกเฉินจะมีให้บริการอย่างแพร่หลาย แต่ยังมีหลักฐานจำกัดที่จะยืนยันหรือปฏิเสธประสิทธิภาพของบริการเหล่านี้อย่างชัดเจน[16][17] การป้องกันการบาดเจ็บในวัยเด็กถือเป็นโอกาสสำคัญในการลดความเสี่ยงและป้องกันการฆ่าตัวตาย[166] วันป้องกันการฆ่าตัวตายโลกจัดขึ้นในวันที่ 10 กันยายนของทุกปี โดยได้รับการสนับสนุนจากสมาคมระหว่างประเทศเพื่อการป้องกันการฆ่าตัวตาย (International Association for Suicide Prevention) และองค์การอนามัยโลก (World Health Organization)[181]

อาหาร

ประมาณ 50% ของผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมีความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น โรคซึมเศร้า[182][183] การนอนหลับและการรับประทานอาหารอาจมีบทบาทสำคัญต่อภาวะซึมเศร้า (โรคซึมเศร้า) และการดูแลในด้านเหล่านี้อาจช่วยเสริมประสิทธิภาพของวิธีการรักษาแบบทั่วไปได้[184] นอกจากนี้ การขาดวิตามินบี 2 บี 6 และบี 12 ยังอาจเป็นสาเหตุของภาวะซึมเศร้าในผู้หญิงได้[185]

ความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้าอาจลดลงได้ด้วยการรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพ "ซึ่งประกอบด้วยผลไม้ ผัก ถั่ว และพืชตระกูลถั่วในปริมาณมาก รวมถึงการบริโภคสัตว์ปีก ไข่ และผลิตภัณฑ์จากนมในระดับปานกลาง และเนื้อแดงเพียงเป็นครั้งคราวเท่านั้น"[186][187] การรับประทานอาหารอย่างสมดุลควบคู่กับการดื่มน้ำอย่างเพียงพอถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อสุขภาพจิตโดยรวม การบริโภคปลาที่มีไขมันอาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพจิต เนื่องจากเป็นแหล่งของกรดไขมันโอเมกา 3 ซึ่งมีบทบาทในการทำงานของสมอง การบริโภคคาร์โบไฮเดรตขัดสีในปริมาณมาก (เช่น ขนมขบเคี้ยว) อาจเพิ่มความเสี่ยงต่ออาการซึมเศร้าได้ อย่างไรก็ตาม กลไกที่อาหารมีผลต่อสุขภาพจิตยังไม่เป็นที่เข้าใจอย่างชัดเจน มีข้อเสนอแนะว่าปัจจัยที่เกี่ยวข้องอาจรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลในเลือด การอักเสบในร่างกาย หรือผลกระทบต่อไมโครไบโอมในลำไส้[186]

Thumb
Thumb
ตัวอย่างอาหารที่มีโภชนาการสมดุล จำเป็นต่อการดูแลรักษาสุขภาพจิต[186]

การคัดกรอง

IS PATH WARM เป็นคำย่อที่ใช้ประเมินบุคคลที่อาจมีแนวโน้มฆ่าตัวตาย โดยประกอบด้วยอาการสำคัญ ได้แก่ Ideation (มีความคิดอยากตาย), Substance abuse (ใช้สารเสพติด), Purposelessness (รู้สึกไร้จุดมุ่งหมาย), Anger (โกรธหรือหงุดหงิดง่าย), Trapped (รู้สึกติดอยู่ในสถานการณ์ที่หลีกหนีไม่ได้), Hopelessness (สิ้นหวัง), Withdrawal (แยกตัวจากสังคม), Anxiety (วิตกกังวล), Recklessness (ประมาท ไม่กลัวอันตราย) และ Mood changes (อารมณ์แปรปรวน)[188]

สมาคมอเมริกันเพื่อการศึกษาการฆ่าตัวตาย (American Association of Suicidology) ปี 2019

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับผลของการคัดกรองประชากรทั่วไปต่ออัตราการฆ่าตัวตายโดยรวม[189][190] อย่างไรก็ตาม การคัดกรองผู้ที่เข้ารับการรักษาในแผนกฉุกเฉินจากการทำร้ายตนเองได้รับการพิสูจน์แล้วว่าช่วยในการระบุความคิดและความตั้งใจในการฆ่าตัวตายได้ ในกระบวนการประเมิน มีการใช้แบบทดสอบทางจิตวิทยา เช่น Beck Depression Inventory และ Geriatric Depression Scale สำหรับผู้สูงอายุ เพื่อช่วยประเมินภาวะซึมเศร้าและความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย[191] เนื่องจากผู้ที่ได้รับผลบวกจากแบบคัดกรองจำนวนมากไม่ได้มีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายจริง ทำให้เกิดความกังวลว่าการคัดกรองทั่วไปอาจนำไปสู่การใช้ทรัพยากรด้านสุขภาพจิตอย่างสิ้นเปลือง[192] อย่างไรก็ตาม แนะนำให้มีการประเมินเฉพาะกลุ่มผู้ที่อยู่ในความเสี่ยงสูง[7] ทั้งนี้ การสอบถามเกี่ยวกับความคิดฆ่าตัวตายไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายแต่อย่างใด[7]

การรักษาโรคทางจิต

สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจิต การบำบัดหลายรูปแบบอาจช่วยลดความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายได้ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความคิดหรือพฤติกรรมฆ่าตัวตายอย่างชัดเจน อาจจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาทางจิตเวช ทั้งโดยสมัครใจหรือไม่สมัครใจก็ได้[7] โดยทั่วไป ทรัพย์สินหรือสิ่งของที่อาจนำไปใช้ทำร้ายตนเองจะถูกนำออกจากผู้ป่วย[93] แพทย์บางรายอาจให้ผู้ป่วยลงนามในสัญญาป้องกันการฆ่าตัวตาย ซึ่งเป็นข้อตกลงว่าจะไม่ทำร้ายตัวเองหากได้รับการปล่อยตัว[7] อย่างไรก็ตาม งานวิจัยพบว่าแนวทางนี้ไม่ได้ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญในการลดความเสี่ยงของการฆ่าตัวตาย[7] หากบุคคลนั้นอยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่ำ อาจมีการจัดการรักษาสุขภาพจิตในรูปแบบผู้ป่วยนอกได้[93] สำหรับผู้ที่มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่งและมีความคิดฆ่าตัวตายเรื้อรัง การรักษาในโรงพยาบาลระยะสั้นไม่ได้แสดงให้เห็นว่ามีประสิทธิผลเหนือกว่าการดูแลในชุมชนในการปรับปรุงผลลัพธ์โดยรวม[193][194]

มีหลักฐานเบื้องต้นว่าการทำจิตบำบัด โดยเฉพาะพฤติกรรมบำบัดวิภาษวิธี สามารถช่วยลดความคิดฆ่าตัวตายในกลุ่มวัยรุ่น[195] รวมถึงผู้ที่มีความผิดปกติทางบุคลิกภาพแบบก้ำกึ่ง[196] นอกจากนี้ ยังอาจมีประโยชน์ในการลดความพยายามฆ่าตัวตายในผู้ใหญ่ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง[197]

มีการถกเถียงกันเกี่ยวกับความสมดุลระหว่างประโยชน์และโทษของยาต้านอาการซึมเศร้า[60] โดยในกลุ่มคนหนุ่มสาว ยาต้านอาการซึมเศร้าบางชนิด เช่น SSRI ดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงต่อความคิดหรือพฤติกรรมฆ่าตัวตาย จาก 25 รายต่อ 1,000 คน เป็น 40 รายต่อ 1,000 คน[198] อย่างไรก็ตาม ในผู้สูงอายุ ยากลุ่มนี้อาจช่วยลดความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายได้[7] ลิเธียมดูเหมือนจะมีประสิทธิภาพในการลดความเสี่ยงของการฆ่าตัวตายในผู้ป่วยที่มีภาวะอารมณ์สองขั้วและโรคซึมเศร้า ให้ใกล้เคียงกับระดับความเสี่ยงของประชากรทั่วไป[199][200] ขณะที่ยาโคลซาพีนอาจช่วยลดความคิดฆ่าตัวตายในผู้ป่วยโรคจิตเภทบางรายได้[201] เคตามีน ซึ่งเป็นยาสลบชนิดออกฤทธิ์แบบแยกส่วน ดูเหมือนจะมีผลในการลดอัตราความคิดฆ่าตัวตาย[202] ในประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้ประกอบวิชาชีพด้านสุขภาพมีข้อผูกพันทางกฎหมายที่จะต้องดำเนินการอย่างเหมาะสมเพื่อป้องกันการฆ่าตัวตาย[203][204]

จดหมายห่วงใย

Thumb
จดหมายแสดงความห่วงใยที่ เจอโรม ม็อตโต ส่งถึงคนไข้ของเขา

แบบจำลอง "จดหมายห่วงใย" ในการป้องกันการฆ่าตัวตาย[205][206] เป็นแนวทางที่ใช้การส่งจดหมายสั้น ๆ แสดงความห่วงใยและความสนใจต่อผู้รับ โดยไม่มีการกดดันให้ดำเนินการใด ๆ การแทรกแซงลักษณะนี้ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายได้จริง จากการทดลองแบบสุ่มที่มีการควบคุม[207] เทคนิคนี้เกี่ยวข้องกับการส่งจดหมายจากนักวิจัยที่เคยพูดคุยกับผู้รับอย่างลึกซึ้งในช่วงที่อีกฝ่ายอยู่ในภาวะวิกฤตการณ์ฆ่าตัวตาย[206] จดหมายที่ส่งเป็นจดหมายพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด มีเนื้อหาสั้น บางฉบับยาวเพียงสองประโยค ลงนามโดยนักวิจัยด้วยตนเอง แสดงถึงความห่วงใยและความสนใจต่อผู้รับโดยไม่แสดงความคาดหวังหรือเรียกร้องใด ๆ[206] ในช่วงแรก จดหมายจะถูกส่งทุกเดือน จากนั้นจึงค่อย ๆ ลดความถี่เหลือทุกไตรมาส และหากผู้รับเขียนตอบกลับ จะมีการส่งจดหมายส่วนตัวเพิ่มเติมเพื่อตอบสนอง[206]

จดหมายแสดงความห่วงใยเป็นวิธีที่มีต้นทุนต่ำ และถือเป็นวิธีเดียว[206] หรือหนึ่งในไม่กี่วิธี[205] ที่ได้รับการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์แล้วว่ามีประสิทธิภาพในการป้องกันการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในช่วงปีแรก ๆ หลังจากที่บุคคลพยายามฆ่าตัวตายและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล

Remove ads

วิธีการ

สรุป
มุมมอง
Thumb
อัตราการฆ่าตัวตายที่เกี่ยวข้องกับปืนเทียบกับอัตราการฆ่าตัวตายที่ไม่เกี่ยวข้องกับปืนต่อ 100,000 คนในประเทศที่มีรายได้สูงในปี 2010[208]

วิธีการฆ่าตัวตายหลักๆ แตกต่างกันออกไปในแต่ละประเทศ วิธีการชั้นนำในแต่ละภูมิภาค ได้แก่ การแขวนคอ การวางยาพิษ และอาวุธปืน[3] เชื่อกันว่าความแตกต่างของวิธีการฆ่าตัวตายในแต่ละประเทศมีส่วนเกี่ยวข้องกับความพร้อมในการเข้าถึงวิธีการเหล่านั้น[23] การศึกษาจาก 56 ประเทศพบว่าการแขวนคอเป็นวิธีที่พบบ่อยที่สุดในหลายประเทศ[3] โดยคิดเป็น 53% ของการฆ่าตัวตายในผู้ชาย และ 39% ในผู้หญิง[209]

ทั่วโลกมีการประมาณว่าประมาณ 30% ของการฆ่าตัวตายเกิดจากการได้รับพิษจากยาฆ่าแมลง ซึ่งส่วนใหญ่เกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา[2] อัตราการใช้วิธีนี้แตกต่างกันอย่างชัดเจน ตั้งแต่ 4% ในยุโรป ไปจนถึงมากกว่า 50% ในภูมิภาคแปซิฟิก[210] นอกจากนี้ วิธีนี้ยังพบได้บ่อยในภูมิภาคละตินอเมริกา เนื่องจากประชากรในภาคเกษตรสามารถเข้าถึงสารเคมีดังกล่าวได้ง่าย[23] ในหลายประเทศ การใช้ยาเกินขนาดเป็นสาเหตุของการฆ่าตัวตายประมาณ 60% ในผู้หญิง และ 30% ในผู้ชาย[211] โดยหลายกรณีเกิดขึ้นโดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า และมักเกิดขึ้นในช่วงภาวะสับสนหรือความลังเลอย่างเฉียบพลัน[23] อัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายแตกต่างกันไปตามวิธีการ ได้แก่ อาวุธปืน 80–90%, การจมน้ำ 65–80%, การแขวนคอ 60–85%, การกระโดดจากที่สูง 35–60%, การเผาถ่าน 40–50%, ยาฆ่าแมลง 60–75% และการใช้ยาเกินขนาด 1.5–4.0%[23] วิธีการพยายามฆ่าตัวตายที่พบบ่อยที่สุดแตกต่างจากวิธีที่นำไปสู่การเสียชีวิตมากที่สุด โดยในประเทศพัฒนาแล้ว สูงถึง 85% ของความพยายามฆ่าตัวตายเกิดจากการใช้ยาเกินขนาด[93]

ในประเทศจีน การบริโภคยาฆ่าแมลงเป็นวิธีฆ่าตัวตายที่พบบ่อยที่สุด[212] ส่วนในญี่ปุ่น แม้การผ่าท้องตัวเองที่เรียกว่า เซ็ปปูกุ (ฮาราคีรี) ยังคงเกิดขึ้น[212] แต่โดยทั่วไป วิธีที่พบบ่อยที่สุดคือการแขวนคอและการกระโดดจากที่สูง[213] การกระโดดฆ่าตัวตายเป็นวิธีที่พบบ่อยในฮ่องกงและสิงคโปร์ คิดเป็น 50% และ 80% ตามลำดับ[23] ส่วนในสวิตเซอร์แลนด์ อาวุธปืนเป็นวิธีการฆ่าตัวตายที่พบบ่อยที่สุดในกลุ่มชายหนุ่ม แต่มีแนวโน้มลดลงเนื่องจากการเข้าถึงอาวุธปืนลดลง[214][215] ในสหรัฐอเมริกา 50% ของการฆ่าตัวตายเกี่ยวข้องกับการใช้อาวุธปืน โดยพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง (56% เทียบกับ 31%)[216] วิธีที่พบบ่อยรองลงมาคือการแขวนคอในผู้ชาย (28%) และการวางยาพิษในผู้หญิง (31%)[216] โดยรวมแล้ว การแขวนคอและการวางยาพิษคิดเป็นประมาณ 42% ของการฆ่าตัวตายในสหรัฐฯ (ข้อมูล ณ ปี 2017)[216]

Remove ads

วิทยาการระบาด

สรุป
มุมมอง
Thumb
สหรัฐอเมริกามีจำนวนการฆ่าตัวตายที่เกี่ยวข้องกับอาวุธปืนมากที่สุดในโลกทุกปี ตั้งแต่ปี 1990 จนถึงอย่างน้อยปี 2019[217] แม้จะมีประชากรเพียงประมาณ 4% ของประชากรโลก แต่ในปี 2019 สหรัฐฯ กลับมีสัดส่วนการฆ่าตัวตายด้วยอาวุธปืนสูงถึง 44% ของทั่วโลก และยังมีอัตราการฆ่าตัวตายด้วยปืนต่อหัวสูงที่สุด[217]

ประมาณ 1.4% ของประชากรเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย โดยมีอัตราการเสียชีวิตเฉลี่ย 11.6 ต่อประชากร 100,000 คนต่อปี[6][7] ในปี 2013 การฆ่าตัวตายส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 842,000 ราย เพิ่มขึ้นจาก 712,000 รายในปี 1990[20] อัตราการฆ่าตัวตายเพิ่มขึ้นถึง 60% ระหว่างช่วงปี 1960 ถึง 2012 โดยการเพิ่มขึ้นส่วนใหญ่พบในประเทศกำลังพัฒนา[4] ทั่วโลก ณ ปี ข้อมูลเมื่อ 2008/2009 การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 10[4] โดยสำหรับทุกกรณีที่ฆ่าตัวตายจนเสียชีวิต จะมีความพยายามฆ่าตัวตายเกิดขึ้นระหว่าง 10 ถึง 40 ครั้ง[7]

อัตราการฆ่าตัวตายแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศและช่วงเวลา[6] โดยในปี 2008 หากคิดเป็นสัดส่วนของการเสียชีวิตทั้งหมด พบว่าอยู่ที่ 0.5% ในแอฟริกา, 1.9% ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้, 1.2% ในทวีปอเมริกา และ 1.4% ในยุโรป[6] อัตราการฆ่าตัวตายต่อประชากร 100,000 คนในแต่ละประเทศ ได้แก่ ออสเตรเลีย 8.6 แคนาดา 11.1 จีน 12.7 อินเดีย 23.2 สหราชอาณาจักร 7.6 สหรัฐอเมริกา 11.4 และเกาหลีใต้ 28.9[218][219] โรคนี้ถูกจัดให้อยู่ในอันดับที่ 10 ของสาเหตุการเสียชีวิตในสหรัฐอเมริกาในปี 2016 โดยมีผู้เสียชีวิตประมาณ 45,000 รายในปีนั้น[220] อัตราการฆ่าตัวตายในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา[220] โดยในปี 2022 มีผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายประมาณ 49,500 ราย ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดที่เคยมีการบันทึกไว้[221] นอกจากนี้ ในแต่ละปีมีผู้พยายามฆ่าตัวตายประมาณ 650,000 รายที่เข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉินของสหรัฐอเมริกา[7] อัตราการฆ่าตัวตายของผู้ชายอายุ 50 ปีในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเกือบ 50% ระหว่างปี 1999–2010[222] ประเทศที่มีอัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุด ได้แก่ กรีนแลนด์ ลิทัวเนีย ญี่ปุ่น และฮังการี[6] ประมาณ 75% ของการฆ่าตัวตายทั้งหมดเกิดขึ้นในประเทศกำลังพัฒนา[2] โดยจีนและอินเดียเป็นประเทศที่มีจำนวนผู้ฆ่าตัวตายมากที่สุด ซึ่งส่วนหนึ่งมาจากจำนวนประชากรที่มาก ทำให้ทั้งสองประเทศคิดเป็นมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนการฆ่าตัวตายทั่วโลก[6] สำหรับประเทศจีน การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับที่ 5[223]

มีรายงานการฆ่าตัวตายในประเทศอิหร่านอย่างไม่เป็นทางการประมาณ 5,000 ครั้งในปี 2022[226]

เพศและเพศสภาพ

Thumb
Thumb
อัตราการฆ่าตัวตายต่อชาย 100,000 คน (ซ้าย) และหญิง (ขวา)

ทั่วโลก ข้อมูลในปี 2012 ระบุว่าการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในเพศชายบ่อยกว่าเพศหญิงประมาณ 1.8 เท่า[6][227] ขณะที่ในโลกตะวันตก ผู้ชายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิงถึง 3–4 เท่า[6] ความแตกต่างนี้ยิ่งชัดเจนในกลุ่มผู้ที่มีอายุมากกว่า 65 ปี โดยพบว่าผู้ชายเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากกว่าผู้หญิงถึง 10 เท่า[228] ในขณะที่การพยายามฆ่าตัวตายและการทำร้ายตัวเองพบได้ในผู้หญิงบ่อยกว่าผู้ชายประมาณ 2 ถึง 4 เท่า[7][229][230] นักวิจัยได้อธิบายความแตกต่างระหว่างอัตราการฆ่าตัวตายและความพยายามฆ่าตัวตายระหว่างเพศว่า เกิดจากผู้ชายมักเลือกใช้วิธีที่รุนแรงและมีโอกาสเสียชีวิตสูงกว่าในการจบชีวิตตนเอง[228][231][232] อย่างไรก็ตาม ในบางประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา ยังไม่มีการแยกข้อมูลระหว่างความพยายามฆ่าตัวตายโดยเจตนาออกจากการทำร้ายตัวเองโดยไม่หวังผลให้ถึงแก่ชีวิตในการเก็บรวบรวมสถิติในระดับประเทศ[233]

ประเทศจีนมีอัตราการฆ่าตัวตายของผู้หญิงสูงที่สุดแห่งหนึ่งในโลก และเป็นประเทศเดียวที่อัตราการฆ่าตัวตายของผู้หญิงสูงกว่าผู้ชาย (อัตราส่วน 0.9)[6][223] ในภูมิภาคเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก อัตราการฆ่าตัวตายระหว่างเพศชายและหญิงเกือบเท่ากัน[6] อัตราการฆ่าตัวตายของผู้หญิงที่สูงที่สุดพบในเกาหลีใต้ โดยอยู่ที่ 22 ต่อประชากร 100,000 คน ขณะที่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกตะวันตกโดยรวมก็มีอัตราสูงเช่นกัน[6]

บทวิจารณ์หลายฉบับพบว่ากลุ่มเลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล และบุคคลข้ามเพศมีความเสี่ยงในการฆ่าตัวตายสูงขึ้น[234][235] โดยเฉพาะในกลุ่มบุคคลข้ามเพศ อัตราการพยายามฆ่าตัวตายอยู่ที่ประมาณ 40% เมื่อเทียบกับอัตราในประชากรทั่วไปที่ประมาณ 5%[236][237] ซึ่งเชื่อกันว่าสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการถูกตีตราและเลือกปฏิบัติทางสังคม[238]

อายุ

Thumb
อัตราการฆ่าตัวตายจำแนกตามอายุ[239]

ในหลายประเทศ อัตราการฆ่าตัวตายสูงที่สุดอยู่ในกลุ่มวัยกลางคน[240] หรือผู้สูงอายุ[23] อย่างไรก็ตาม จำนวนผู้เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายมากที่สุดพบในกลุ่มอายุระหว่าง 15 ถึง 29 ปี เนื่องจากมีจำนวนประชากรในช่วงวัยนี้มาก[6] ทั่วโลก อายุเฉลี่ยของผู้ที่ฆ่าตัวตายอยู่ระหว่าง 30 ถึง 49 ปี ทั้งในเพศชายและหญิง[241] สำหรับเด็ก ความคิดฆ่าตัวตายพบได้น้อย แต่จะเพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเปลี่ยนผ่านเข้าสู่วัยรุ่น[242]

ในสหรัฐอเมริกา อัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายสูงที่สุดในผู้ชายผิวขาวที่มีอายุมากกว่า 80 ปี แม้ว่ากลุ่มคนอายุน้อยจะมีความพยายามฆ่าตัวตายบ่อยกว่าก็ตาม[7] การฆ่าตัวตายยังเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองในกลุ่มวัยรุ่น[60] และในกลุ่มชายหนุ่ม ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับสองรองจากอุบัติเหตุ[240] ในผู้ชายวัยหนุ่มในประเทศที่พัฒนาแล้ว การฆ่าตัวตายเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเกือบ 30%[240] ส่วนในประเทศกำลังพัฒนา แม้อัตราการฆ่าตัวตายจะใกล้เคียงกัน แต่คิดเป็นสัดส่วนของการเสียชีวิตโดยรวมที่น้อยกว่า เนื่องจากมีอัตราการเสียชีวิตจากการบาดเจ็บประเภทอื่นสูงกว่า[240] ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งแตกต่างจากภูมิภาคอื่นของโลก พบว่าอัตราการเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายในผู้หญิงวัยรุ่นสูงกว่าผู้หญิงสูงอายุ[6]

Remove ads

ประวัติศาสตร์

สรุป
มุมมอง
Thumb
ชาวกอลแห่งลูโดวิซีกำลังฆ่าตัวตายพร้อมภรรยา—ผลงานจำลองยุคโรมันจากต้นฉบับเฮลเลนิสติก จัดแสดงที่พระราชวังมัสซีโม อัลเล แตร์เม

ในเอเธนส์โบราณ ผู้ที่ฆ่าตัวตายโดยไม่ได้รับอนุมัติจากรัฐจะไม่ได้รับเกียรติให้ฝังศพตามพิธีกรรมปกติ โดยศพจะถูกฝังอย่างโดดเดี่ยวในเขตชานเมือง ไม่มีศิลาหลุมศพหรือป้ายแสดงชื่อใด ๆ[243] นอกจากนี้ ยังมีธรรมเนียมการตัดมือออกจากร่างและนำไปฝังแยกต่างหาก[244] โดยเชื่อว่ามือ (รวมถึงเครื่องมือที่ใช้) เป็นผู้กระทำผิดในเหตุการณ์นั้น[245] อย่างไรก็ตาม การฆ่าตัวตายถือเป็นวิธีที่ยอมรับได้ในบริบทของการรับมือกับความพ่ายแพ้ทางทหาร[246] ในกรุงโรมโบราณ แม้ในช่วงแรกการฆ่าตัวตายจะได้รับการยอมรับ แต่ต่อมาก็ถูกมองว่าเป็นอาชญากรรมต่อรัฐ เนื่องจากเป็นการสูญเสียทรัพยากรมนุษย์และภาระทางเศรษฐกิจต่อสังคม[247] อริสโตเติลประณามการฆ่าตัวตายทุกรูปแบบ ในขณะที่เพลโตมีท่าทีลังเล โดยไม่ได้ปฏิเสธหรือสนับสนุนอย่างชัดเจน[248] ในกรุงโรมโบราณ การฆ่าตัวตายอาจมีสาเหตุหลายประการ เช่น การอาสาเสียชีวิตในการต่อสู้ของนักสู้กลาดิอาตอร์ ความรู้สึกผิดจากการฆ่าผู้อื่น การกระทำเพื่อช่วยชีวิตผู้อื่น การแสดงความโศกเศร้าไว้ทุกข์ ความอับอายจากการถูกข่มขืน หรือเพื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ที่ทนไม่ได้ เช่น ความเจ็บปวดทางร่างกาย ความพ่ายแพ้ทางทหาร หรือการถูกไล่ล่าจากการกระทำผิดทางอาญา[248]

Thumb
The Death of Seneca (1684) ภาพวาดโดยลูกา จอร์ดาโน แสดงฉากการฆ่าตัวตายของแซแนกาผู้ลูก นักปรัชญาและนักการเมืองแห่งกรุงโรมโบราณ

การฆ่าตัวตายถูกมองว่าเป็นบาป ในยุโรปยุคคริสต์ และถูกประณามอย่างชัดเจนในการประชุมสภาอาลส์ เมื่อปี 452 ว่าเป็นการกระทำของปีศาจ ในยุคกลาง คริสตจักรมีการถกเถียงกันอย่างยืดเยื้อเกี่ยวกับขอบเขตระหว่างความปรารถนาที่จะเป็นผู้พลีชีพ กับการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะในกรณีของผู้พลีชีพแห่งเมืองกอร์โดบา ที่จงใจยอมตายเพื่อศรัทธา ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าการกระทำนั้นถือเป็นการเสียสละเพื่อศาสนาหรือการฆ่าตัวตายกันแน่ แม้จะมีข้อถกเถียงและการตัดสินอย่างเป็นทางการเป็นครั้งคราว แต่หลักคำสอนของนิกายโรมันคาทอลิกเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนจนกระทั่งช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 17 กฎหมายอาญาที่ประกาศใช้โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสในปี 1670 นั้นถือว่าเข้มงวดอย่างยิ่ง แม้แต่ตามมาตรฐานของยุคนั้น โดยระบุให้ร่างของผู้ที่ฆ่าตัวตายต้องถูกลากผ่านถนนในท่าใบหน้าคว่ำ จากนั้นจึงถูกแขวนคอหรือนำไปทิ้งยังกองขยะ และทรัพย์สินทั้งหมดของบุคคลนั้นจะถูกยึดเป็นของรัฐ[249][250]

ทัศนคติต่อการฆ่าตัวตายเริ่มเปลี่ยนแปลงอย่างช้า ๆ ในช่วงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา (Renaissance) โดยหนึ่งในงานเขียนสมัยใหม่ชุดแรกที่ออกมาโต้แย้งการประณามการฆ่าตัวตายคือ Biathanatos ของจอห์น ดันน์ ซึ่งเสนอการปกป้องการฆ่าตัวตายผ่านการอ้างอิงพฤติกรรมของบุคคลในพระคัมภีร์ เช่น พระเยซู แซมสัน และซาอูล รวมทั้งใช้เหตุผลตามหลักตรรกะและธรรมชาติ เพื่อสนับสนุนว่าการฆ่าตัวตายอาจเป็นที่ยอมรับได้ในบางสถานการณ์[251]

กระบวนการทำให้สังคมเป็นฆราวาส ซึ่งเริ่มต้นในยุคแห่งแสงสว่าง ได้ตั้งคำถามต่อทัศนคติทางศาสนาแบบดั้งเดิม (เช่น มุมมองของคริสต์ศาสนิกชนต่อการฆ่าตัวตาย) และได้นำเสนอแนวคิดที่มีความเป็นเหตุเป็นผลและทันสมัยมากขึ้นต่อประเด็นนี้ เดวิด ฮูม ปฏิเสธแนวคิดที่ว่าการฆ่าตัวตายเป็นอาชญากรรม โดยให้เหตุผลว่าไม่ได้ส่งผลกระทบต่อผู้อื่นโดยตรง และอาจเป็นประโยชน์ต่อผู้กระทำเอง ในบทความ Essays on Suicide and the Immortality of the Soul ที่เขาเขียนในปี 1777 ฮูมได้ตั้งคำถามเชิงวาทศิลป์ว่า "เหตุใดข้าพเจ้าจึงต้องยืดชีวิตที่น่าสังเวชออกไป เพียงเพราะผลประโยชน์อันไร้สาระที่สาธารณชนอาจได้รับจากข้าพเจ้า?"[251] การวิเคราะห์ของเดวิด ฮูม ถูกนักปรัชญา ฟิลิป รีด วิพากษ์วิจารณ์ว่า "แย่อย่างผิดปกติ (สำหรับเขา)" เนื่องจากฮูมตีความแนวคิดเรื่องหน้าที่อย่างแคบเกินไป และข้อสรุปของเขาก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขที่ว่าการฆ่าตัวตายจะต้องไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ ต่อผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นความเศร้าโศก ความรู้สึกผิด หรือความเจ็บปวดทางอารมณ์ต่อเพื่อนและครอบครัวที่ยังมีชีวิตอยู่ — ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว แทบจะไม่เคยเป็นเช่นนั้นเลย[252] นอกจากนี้ ยังเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของทัศนคติในสาธารณชนโดยทั่วไป เช่น ในปี 1786 หนังสือพิมพ์เดอะไทมส์ ได้เปิดประเด็นการถกเถียงอย่างมีชีวิตชีวาเกี่ยวกับญัตติที่ว่า "การฆ่าตัวตายเป็นการกระทำที่กล้าหาญหรือไม่"[253]

เมื่อเข้าสู่ศตวรรษที่ 19 แนวคิดเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายในยุโรปได้เปลี่ยนแปลงไป จากเดิมที่มองว่าเป็นผลจาก บาป กลายเป็นการมองว่าเกิดจากความวิกลจริต หรือปัญหาทางจิต[250] แม้ว่าการฆ่าตัวตายจะยังคงถูกจัดว่าเป็นความผิดทางกฎหมายในช่วงเวลานั้น แต่ก็เริ่มกลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาเสียดสีในสื่อวัฒนธรรมมากขึ้น ตัวอย่างเช่น อุปรากรตลกเรื่อง The Mikado ของกิลเบิร์ตและซัลลิแวน ได้นำเสนอการล้อเลียนแนวคิดการลงโทษผู้ที่ฆ่าตัวตายด้วยการประหารชีวิต ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความย้อนแย้งของกฎหมายและทัศนคติในยุคนั้น

ภายในปี 1879 กฎหมายอังกฤษเริ่มมีการแยกแยะระหว่างการฆ่าตัวตายและการฆาตกรรม แม้ว่าการฆ่าตัวตายยังคงส่งผลให้ทรัพย์สินมรดกของผู้เสียชีวิตถูกยึด[254] ต่อมาในปี 1882 ผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายได้รับอนุญาตให้ฝังศพในเวลากลางวันในอังกฤษ[255] ภายในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 การฆ่าตัวตายได้กลายเป็นเรื่องถูกกฎหมายในประเทศตะวันตกส่วนใหญ่ คำว่า “การฆ่าตัวตาย” (suicide) ปรากฏขึ้นครั้งแรกไม่นานก่อนปี 1700 โดยใช้แทนคำเรียกแบบเดิมที่มักสื่อถึงการฆ่าตัวตายว่าเป็นการ "ฆ่าตัวเองโดยเจตนา" หรือ "การฆาตกรรมตัวเอง" ซึ่งสะท้อนมุมมองทางศีลธรรมในยุคนั้น[248]

Remove ads

สังคมและวัฒนธรรม

สรุป
มุมมอง

กฎหมาย

Thumb
มีดทันโตที่จัดเตรียมไว้สำหรับพิธีกรรมเซ็ปปุกุ (การผ่าท้อง)
Thumb
ซามูไรขณะกำลังเตรียมตัวทำเซ็ปปุกุ

การฆ่าตัวตายยังคงถือเป็นอาชญากรรมในบางพื้นที่ของโลก[256] อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบัน ไม่มีประเทศใดในยุโรปที่ถือว่าการฆ่าตัวตายหรือความพยายามฆ่าตัวตายเป็นความผิดทางกฎหมายอีกต่อไป[257] ทั้งนี้ ในอดีต ประเทศในยุโรปตะวันตกส่วนใหญ่เคยถือว่าการฆ่าตัวตายเป็นอาชญากรรม ตั้งแต่ยุคกลางไปจนถึงอย่างน้อยช่วงศตวรรษที่ 19[254] เนเธอร์แลนด์เป็นประเทศแรกที่ทำให้การฆ่าตัวตายโดยแพทย์ช่วย และการุณยฆาตถูกกฎหมาย โดยกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2002 ทั้งนี้ มีเพียงแพทย์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการในทั้งสองกรณี และต้องปฏิบัติตามขั้นตอนและเงื่อนไขที่กฎหมายของเนเธอร์แลนด์กำหนดไว้อย่างเคร่งครัด[258] หากไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนทางกฎหมายที่กำหนดไว้ จะถือเป็นความผิดและมีโทษตามกฎหมาย[259] ในประเทศเยอรมนี การุณยฆาตแบบกระทำโดยตรง ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และบุคคลใดก็ตามที่อยู่ในเหตุการณ์ขณะมีผู้พยายามฆ่าตัวตาย อาจถูกดำเนินคดีในข้อหาไม่ให้ความช่วยเหลือในกรณีฉุกเฉินได้[260] สวิตเซอร์แลนด์ได้ดำเนินการเพื่อให้การฆ่าตัวตายโดยได้รับความช่วยเหลือสำหรับผู้ป่วยทางจิตเรื้อรังเป็นสิ่งที่ถูกกฎหมาย โดยในปี 2006 ศาลสูงแห่งเมืองโลซาน ได้มีคำพิพากษาให้สิทธิแก่บุคคลนิรนามรายหนึ่ง ซึ่งมีปัญหาทางจิตเวชมายาวนาน ในการเลือกยุติชีวิตของตนเองได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย[261] อังกฤษและเวลส์ได้ยกเลิกสถานะความผิดทางกฎหมายของการฆ่าตัวตายผ่านพระราชบัญญัติการฆ่าตัวตาย ค.ศ. 1961 ส่วนสาธารณรัฐไอร์แลนด์ได้ดำเนินการในลักษณะเดียวกันในปี 1993[257] คำว่า "commit suicide" เคยถูกใช้เพื่อสื่อถึงการกระทำผิดกฎหมาย แต่ในปัจจุบันหลายองค์กรได้เลิกใช้คำนี้แล้ว เนื่องจากมีความหมายในเชิงลบและเป็นการตีตราผู้ที่เผชิญกับภาวะทางจิตใจ[262][263]

ในสหรัฐอเมริกา การฆ่าตัวตายไม่ถือเป็นความผิดทางกฎหมายโดยตรง แต่ในบางกรณี ผู้ที่พยายามฆ่าตัวตายอาจเผชิญกับบทลงโทษหรือผลทางกฎหมายบางประการได้[257] การฆ่าตัวตายโดยได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์ ถือเป็นสิ่งถูกกฎหมายในรัฐวอชิงตัน สำหรับผู้ป่วยที่เป็นโรคระยะสุดท้าย[264] ขณะที่ในรัฐออริกอน ผู้ป่วยระยะสุดท้ายสามารถขอรับยาจากแพทย์เพื่อช่วยยุติชีวิตของตนเองได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย[265] นอกจากนี้ ชาวแคนาดาที่เคยพยายามฆ่าตัวตายอาจถูกห้ามไม่ให้เข้าประเทศสหรัฐอเมริกาได้ตามกฎหมายตรวจคนเข้าเมืองของสหรัฐฯ ซึ่งให้อำนาจเจ้าหน้าที่ชายแดนในการปฏิเสธการเข้าประเทศของบุคคลที่มีประวัติปัญหาสุขภาพจิต รวมถึงผู้ที่เคยพยายามฆ่าตัวตายมาก่อน[266][267]

ในออสเตรเลีย การฆ่าตัวตายไม่ถือเป็นอาชญากรรม[268] อย่างไรก็ตาม การให้คำปรึกษา ยุยง หรือช่วยเหลือผู้อื่นในการพยายามฆ่าตัวตายถือเป็นความผิดทางอาญา และกฎหมายยังระบุไว้อย่างชัดเจนว่าบุคคลใดก็ตามสามารถใช้ "กำลังเท่าที่สมเหตุสมผล" เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้อื่นฆ่าตัวตายได้[269] ทั้งนี้ เขตปกครองนอร์เทิร์นเทร์ริทอรีของออสเตรเลียเคยอนุญาตให้มีการฆ่าตัวตายโดยได้รับความช่วยเหลือจากแพทย์เป็นการชั่วคราวในช่วงปี 1996 ถึง 1997[270]

ในประเทศอินเดีย การฆ่าตัวตายเคยถือเป็นความผิดทางกฎหมายจนถึงปี 2014 และสมาชิกในครอบครัวของผู้ที่ฆ่าตัวตายมักต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมายตามมา[271][272] ในขณะที่ในหลายประเทศที่มีชาวมุสลิมเป็นประชากรส่วนใหญ่ การฆ่าตัวตายยังคงถูกจัดให้เป็นความผิดทางอาญา[31]

ในมาเลเซีย การฆ่าตัวตายด้วยตัวมันเองไม่ถือเป็นอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม การพยายามฆ่าตัวตาย ยังคงถือเป็นความผิดทางอาญา ภายใต้มาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งระบุว่าผู้ที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานพยายามฆ่าตัวตาย อาจได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ หรือทั้งจำทั้งปรับ แม้ว่าจะมีความพยายามอย่างต่อเนื่องในการผลักดันให้ยกเลิกบทบัญญัตินี้ แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรไม่แสวงหากำไร เช่น กลุ่มบีเฟรนเดอส์ (Befrienders) ระบุว่าความคืบหน้ายังเป็นไปอย่างล่าช้า[273][274] ผู้สนับสนุนการยกเลิกกฎหมายอาญาที่เกี่ยวข้องกับการฆ่าตัวตายให้เหตุผลว่า กฎหมายดังกล่าวอาจเป็นอุปสรรคต่อการขอความช่วยเหลือจากผู้ที่กำลังเผชิญความทุกข์ทางจิตใจ และในบางกรณี อาจยิ่งทำให้ผู้ที่มีแนวโน้มฆ่าตัวตายตัดสินใจยุติชีวิตตนเองเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกดำเนินคดี[275] เมื่อเดือนเมษายน 2023 มีการเสนอร่างกฎหมายเพื่อยกเลิกมาตรา 309 แห่งประมวลกฎหมายอาญาต่อรัฐสภามาเลเซียเป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นอีกก้าวสำคัญที่ทำให้ประเทศเข้าใกล้การยกเลิกการเอาผิดทางอาญากับผู้ที่พยายามฆ่าตัวตาย[276]

การฆ่าตัวตายกลายเป็นวิกฤตที่ได้รับความสนใจในเกาหลีเหนือในปี 2023 โดยทางการได้ออกคำสั่งลับที่ระบุให้การฆ่าตัวตายเป็น อาชญากรรมร้ายแรง ซึ่งถือว่าเป็นการ ทรยศต่อรัฐสังคมนิยม[277]

ทัศนคติทางศาสนา

ศาสนาพุทธ

พุทธศาสนาถือว่าการฆ่าตัวตายไม่เป็นปาณาติบาต เพราะปาณาติบาตหมายถึงการฆ่าชีวิตอื่น[278] พระโคตมพุทธเจ้าตรัสเล่าว่าพระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นกระต่าย ได้กระโดดเข้ากองไฟเพื่อสละร่างกายตนเป็นอาหารของพราหมณ์คนหนึ่ง[279] อย่างไรก็ตามผู้ฆ่าตัวตายด้วยความโกรธ ย่อมไปเกิดในอบายภูมิ เช่น นรกภูมิ เพราะความโกรธนั้น[280]

ศาสนาคริสต์

ศาสนาคริสต์ส่วนใหญ่มองว่าการฆ่าตัวตายเป็นบาป อ้างอิงจากแนวคิดของนักเทววิทยาคริสเตียนคนสำคัญในยุคกลาง เช่น นักบุญออกัสติน และนักบุญทอมัส อะไควนัส อย่างไรก็ตาม ภายใต้ประมวลกฎหมายของจักรพรรดิจัสติเนียนในจักรวรรดิไบแซนไทน์ การฆ่าตัวตายไม่ได้ถือว่าเป็นบาปแต่อย่างใด[281][282] ตามหลักคำสอนของนิกายโรมันคาธอลิกและออร์โธดอกซ์ การฆ่าตัวตายถือเป็นการฆาตกรรม ซึ่งละเมิดพระบัญญัติข้อ "อย่าฆ่าคน" และในอดีต คริสตจักรทั้งสองนิกายมักไม่จัดพิธีฝังศพให้กับผู้ที่เสียชีวิตจากการฆ่าตัวตาย โดยถือว่าการกระทำนั้นเป็นบาปมหันต์ และผู้กระทำจะต้องตกนรกเพราะเสียชีวิตในสภาพของบาปมหันต์[283] แนวคิดพื้นฐานคือ ชีวิตเป็นของขวัญจากพระเจ้าที่ไม่ควรถูกปฏิเสธ การฆ่าตัวตายจึงถือเป็นการละเมิด "ระเบียบธรรมชาติ" และเป็นการแทรกแซงแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อโลก[284] อย่างไรก็ตาม มีความเชื่อว่าภาวะเจ็บป่วยทางจิต หรือความกลัวต่อความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรง อาจลดระดับความรับผิดชอบของผู้ที่ฆ่าตัวตายลงได้[285]

ศาสนายิว

ศาสนายิวให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับการให้คุณค่าต่อชีวิต และมองว่าการฆ่าตัวตายเทียบได้กับการปฏิเสธความดีงามของพระเจ้าที่ทรงสร้างโลกนี้ อย่างไรก็ตาม ในบางสถานการณ์ที่เลวร้ายและไร้ทางเลือก เช่น เมื่อถูกบังคับให้ทรยศต่อศาสนา หรือเผชิญกับการถูกสังหาร ชาวยิวบางกลุ่มได้เลือกที่จะจบชีวิตตนเอง ทั้งแบบรายบุคคลและเป็นกลุ่ม เพื่อปกป้องความศรัทธาของตนเอง โดยมีบทสวดในพิธีกรรมยิวที่เรียกว่า "เมื่อมีดอยู่ที่คอ" ซึ่งเป็นคำภาวนาสำหรับผู้ที่กำลังจะสละชีวิต "เพื่อถวายเกียรติแด่พระนามของพระเจ้า" การกระทำเหล่านี้ได้รับการตีความที่แตกต่างกันในหมู่นักวิชาการและผู้นำศาสนายิว บางฝ่ายยกย่องว่าเป็นตัวอย่างของการพลีชีพอย่างกล้าหาญ ขณะที่บางฝ่ายเห็นว่าเป็นการตัดสินใจที่ผิด ที่เลือกจบชีวิตตนเองแม้ด้วยเจตนาเพื่อความศักดิ์สิทธิ์ก็ตาม[286][ต้องการแหล่งอ้างอิงดีกว่านี้]

ศาสนาอิสลาม

ทัศนะทางศาสนาอิสลามประณามการฆ่าตัวตาย และถือว่าเป็นฮะรอม (ต้องห้าม)[31] ต้นฉบับหะดีษระบุไว้อย่างชัดเจนว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิ่งผิดกฎหมายและเป็นบาป[31] ขณะเดียวกัน อัลกุรอานก็มีข้อห้ามเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอย่างชัดเจนเช่นกัน[287][288] ในประเทศมุสลิม การฆ่าตัวตายมักถูกมองในแง่ลบและเป็นที่รังเกียจทางสังคม[288] โดยมีความเชื่อว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายสำเร็จจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่ญันนะฮ์ (สวรรค์)

ศาสนาฮินดูและศาสนาเชน

Thumb
หญิงม่ายชาวฮินดูเผาตัวเองพร้อมศพสามีของเธอ ในช่วงทศวรรษ 1820

ในศาสนาฮินดู การฆ่าตัวตายโดยทั่วไปถือว่าไม่เป็นที่ยอมรับ และในสังคมฮินดูร่วมสมัยมองว่าเป็นบาปไม่ต่างจากการฆ่าผู้อื่น ตามที่ระบุไว้ในคัมภีร์ฮินดู ผู้ที่จบชีวิตตนเองจะไม่ได้ไปสู่ภพภูมิใหม่ทันที แต่จะกลายเป็นวิญญาณเร่ร่อนอยู่บนโลกมนุษย์ จนกว่าจะถึงเวลาที่เขาควรจะเสียชีวิตตามธรรมชาติ หากไม่ได้ฆ่าตัวตายด้วยตนเอง[289] อย่างไรก็ตาม ศาสนาฮินดูยอมรับสิทธิของมนุษย์ในการยุติชีวิตตนเองได้ผ่านวิธีการที่ไม่ใช้ความรุนแรง นั่นคือการอดอาหารจนเสียชีวิต ซึ่งเรียกว่า ปราโยปเวส (Prayopavesa)[290] ทั้งนี้ การปฏิบัติปราโยปเวสมีข้อกำหนดที่เข้มงวด และสงวนไว้เฉพาะสำหรับผู้ที่หมดสิ้นความปรารถนาในชีวิต ไม่มีความทะเยอทะยาน และไม่มีพันธะหรือความรับผิดชอบใด ๆ เหลืออยู่ในโลกนี้อีกต่อไป[290]

ศาสนาเชนมีแนวทางปฏิบัติที่คล้ายกับปราโยปเวส เรียกว่า สันธารา (Santhara) ซึ่งเป็นการละชีวิตตนเองด้วยการอดอาหารอย่างมีสติและสงบ ส่วนสตี (Sati) หรือการเผาตัวเองของหญิงม่าย ถือเป็นพิธีกรรมที่พบได้น้อยมากในปัจจุบัน และถูกระบุว่าเป็นสิ่งผิดกฎหมายในสังคมฮินดูแล้ว[291]

ศาสนาไอนุ

ในศาสนาไอนุ มีความเชื่อว่าผู้ที่ฆ่าตัวตายจะกลายเป็นผี หรือ ตูกัป (tukap) ที่จะกลับมาหลอกหลอนผู้มีชีวิต[292] เพื่อเติมเต็มสิ่งที่พวกเขาไม่อาจบรรลุได้ในช่วงที่ยังมีชีวิตอยู่[293] นอกจากนี้ หากมีผู้ใดดูหมิ่นหรือทำให้ผู้อื่นรู้สึกด้อยค่า จนอีกฝ่ายตัดสินใจฆ่าตัวตาย บุคคลผู้นั้นจะถูกมองว่ามีส่วนรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตนั้นด้วย[294] ตามที่นอร์เบิร์ต ริชาร์ด อาดามีอธิบาย จริยธรรมในลักษณะนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของความเป็นปึกแผ่นในชุมชน ซึ่งถือเป็นคุณค่าหลักในวัฒนธรรมไอนุ มากกว่าที่จะพบได้ในสังคมโลกตะวันตก[294]

ปรัชญา

ในปรัชญาว่าด้วยการฆ่าตัวตาย มีคำถามสำคัญหลายประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมา เช่น อะไรที่นับว่าเป็นการฆ่าตัวตาย การฆ่าตัวตายสามารถเป็นทางเลือกที่มีเหตุผลได้หรือไม่ และการฆ่าตัวตายสามารถยอมรับได้ในทางศีลธรรมหรือไม่[295] ข้อถกเถียงเกี่ยวกับความชอบธรรมของการฆ่าตัวตายในแง่ศีลธรรมและสังคมนั้นมีตั้งแต่มุมมองที่เห็นว่าการฆ่าตัวตายเป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรมโดยเนื้อแท้และไม่อาจยอมรับได้ไม่ว่ากรณีใด ๆ ไปจนถึงแนวคิดที่ถือว่าการฆ่าตัวตายเป็น สิทธิอันศักดิ์สิทธิ์ ของบุคคล หากเขาหรือเธอได้ไตร่ตรองอย่างมีเหตุผลและด้วยมโนธรรมแล้ว แม้ผู้นั้นจะยังอายุน้อยและมีสุขภาพแข็งแรงก็ตาม

ผู้ที่คัดค้านการฆ่าตัวตายรวมถึงนักปรัชญาคนสำคัญ เช่น ออกัสตินแห่งฮิปโป ทอมัส อไควนัส[295] อิมมานูเอล คานต์[296] และในบางแง่มุมอาจนับรวมจอห์น สจ๊วร์ต มิลล์ด้วยก็ได้ โดยมิลล์เน้นย้ำถึงคุณค่าของเสรีภาพและความเป็นอิสระของปัจเจกบุคคล ซึ่งทำให้เขาปฏิเสธการเลือกใด ๆ ที่จะเป็นการตัดโอกาสไม่ให้บุคคลนั้นสามารถใช้เสรีภาพในการตัดสินใจด้วยตนเองในอนาคตได้[297] อีกฝ่ายหนึ่งมองว่าการฆ่าตัวตายเป็นสิทธิส่วนบุคคลที่ชอบธรรม ผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ให้เหตุผลว่าไม่ควรมีใครถูกบังคับให้ทนทุกข์โดยไม่สมัครใจ โดยเฉพาะในกรณีของโรคร้ายที่รักษาไม่หาย ความเจ็บป่วยทางจิต หรือความเสื่อมถอยจากวัยชรา ซึ่งไม่มีแนวโน้มจะดีขึ้น พวกเขาปฏิเสธความเชื่อที่ว่าการฆ่าตัวตายเป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลเสมอไป และเสนอว่าในบางกรณี การฆ่าตัวตายอาจเป็นทางออกสุดท้ายที่มีเหตุผลและสมควรแก่สถานการณ์ สำหรับผู้ที่เผชิญกับความเจ็บปวดหรือความทุกข์ทรมานอย่างรุนแรง[298] จุดยืนที่เข้มข้นยิ่งขึ้นเสนอว่ามนุษย์ควรมีสิทธิ์เลือกที่จะจบชีวิตตนเองได้อย่างอิสระ แม้จะไม่ได้อยู่ในภาวะทุกข์ทรมานก็ตาม ผู้สนับสนุนแนวคิดนี้ที่มีชื่อเสียง ได้แก่ เดวิด ฮูม นักปรัชญาสายประสบการณ์นิยมชาวสก็อต[295] ซึ่งยอมรับการฆ่าตัวตายตราบใดที่ไม่ได้ก่อให้เกิดอันตราย หรือละเมิดต่อหน้าที่ที่มีต่อพระเจ้า ผู้อื่น หรือต่อตนเอง[252] และจาค็อบ แอปเพิล นักชีวจริยธรรมชาวอเมริกัน[261][299] ซึ่งเป็นอีกหนึ่งเสียงสนับสนุนสิทธิในการเลือกตายอย่างมีสติและอิสระของแต่ละบุคคล

ทัศนคติที่ไม่พึงประสงค์

สังคมมักมีทัศนคติเชิงลบต่อการฆ่าตัวตาย ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ที่มีความคิดฆ่าตัวตายต้องเผชิญกับการเลือกปฏิบัติ การตีตรา การถูกกีดกัน การถูกมองว่าเป็นผู้มีความผิดปกติทางจิต หรือแม้กระทั่งถูกกักขัง พวกเขาอาจถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลหรือได้รับยาโดยไม่ได้ให้ความยินยอม และอาจประสบความยากลำบากในการหางานทำหรือที่อยู่อาศัย รวมถึงการถูกเพิกถอนสิทธิความเป็นผู้ปกครอง การฆ่าตัวตายไม่ได้ถูกมองว่าเป็นสิทธิมนุษยชนเชิงบวก หรือเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผลแม้จะพิจารณาจากบริบทแวดล้อม และผู้ที่มีแนวโน้มฆ่าตัวตายก็มักไม่ได้รับการยอมรับว่าอาจมีข้อคิดหรือข้อความอันมีคุณค่าที่ควรได้รับการรับฟัง[300][301][302]

การสนับสนุน

Thumb
ในภาพวาดของอาแล็กซ็องดร์-กาเบรียล เดอค็องป์ นี้ จานสี ปืนพก และโน้ตที่วางอยู่บนพื้นแสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้น ศิลปินคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตาย[303]

การส่งเสริมและยอมรับการฆ่าตัวตายปรากฏในหลากหลายวัฒนธรรมและวัฒนธรรมย่อย ตัวอย่างหนึ่งคือกองทัพญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสนับสนุนและยกย่องการโจมตีแบบคามิกาเซะ — การโจมตีแบบพลีชีพของนักบินทหารแห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นที่พุ่งชนเรือรบของฝ่ายสัมพันธมิตรในช่วงท้ายของสงครามในสมรภูมิแปซิฟิก สังคมญี่ปุ่นโดยรวมยังเคยถูกอธิบายว่าเป็น "สังคมที่มีทัศนคติอดทนต่อการฆ่าตัวตาย" อีกด้วย[304]

จากการศึกษาวิจัยในปี 2008 พบว่า เมื่อค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายทางอินเทอร์เน็ต เว็บไซต์ที่ปรากฏขึ้นประมาณ 50% ให้ข้อมูลเกี่ยวกับ วิธีการ ฆ่าตัวตาย ขณะที่การศึกษาที่คล้ายกันพบว่า 11% ของเว็บไซต์เหล่านั้นมีเนื้อหาที่ ส่งเสริม หรือสนับสนุนการพยายามฆ่าตัวตาย[305] มีความกังวลว่าเว็บไซต์บางประเภทอาจกระตุ้นหรือผลักดันให้ผู้ที่มีแนวโน้มจะฆ่าตัวตายอยู่แล้วตัดสินใจลงมือจริง โดยเฉพาะในกรณีที่มีการให้ข้อมูลหรือสนับสนุนการกระทำดังกล่าว บางคนถึงขั้นตกลงทำ สัญญาฆ่าตัวตายร่วมกันทางออนไลน์ ไม่ว่าจะกับเพื่อนที่รู้จักมาก่อน หรือกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งพบกันผ่านห้องสนทนาหรือกระดานข้อความ อย่างไรก็ตาม อินเทอร์เน็ตก็อาจมีบทบาทเชิงบวกในการ ป้องกัน การฆ่าตัวตายได้เช่นกัน โดยการเปิดพื้นที่ให้ผู้ที่รู้สึกโดดเดี่ยวหรือถูกแยกออกจากสังคมได้เข้าร่วมกลุ่ม พูดคุย และได้รับการสนับสนุนทางอารมณ์จากผู้อื่น[306]

สถานที่

สถานที่สำคัญบางแห่งทั่วโลกกลายเป็นที่รู้จักในฐานะจุดที่มีความพยายามฆ่าตัวตายสูง[307] เช่น สะพานแม่น้ำแยงซีหนานจิงในจีน[308]สะพานโกลเดนเกตในซานฟรานซิสโก ป่าอาโอกิงาฮาระในญี่ปุ่น[309] หน้าผาบีชีเฮดในอังกฤษ[307] และสะพานบลัวร์สตรีตไวอะดักต์ ในโทรอนโต[310] ข้อมูล ณ ปี 2010 ระบุว่า สะพานโกลเดนเกตมีผู้เสียชีวิตจากการกระโดดมากกว่า 1,300 ราย นับตั้งแต่เริ่มใช้งานในปี 1937[311] เพื่อลดจำนวนเหตุการณ์เหล่านี้ หลายพื้นที่ได้ดำเนินการติดตั้งสิ่งกีดขวาง เช่น ลูมินัสเวลในโตรอนโต[310]หอไอเฟลในปารีส สะพานเวสต์เกตในเมลเบิร์น และตึกเอ็มไพร์สเตตในนิวยอร์กซิตี้[312] ซึ่งโดยรวมแล้วมาตรการเหล่านี้พบว่า ได้ผลค่อนข้างดี ในการป้องกันการฆ่าตัวตาย[313]

กรณีที่โดดเด่น

ตัวอย่างหนึ่งของการฆ่าตัวตายหมู่คือเหตุการณ์ ฆาตกรรมหมู่/ฆ่าตัวตายหมู่ที่โจนส์ทาวน์ ในปี 1978 ซึ่งมีสมาชิกของกลุ่มพีเพิลส์เทมเพิลส์ (Peoples Temple) จำนวน 909 คน จบชีวิตของตนเองโดยการดื่มเครื่องดื่มรสองุ่นยี่ห้อเฟลเวอร์เอด ที่ผสมไซยาไนด์และยาหลายชนิดตามใบสั่งแพทย์ กลุ่มนี้เป็นขบวนการศาสนาใหม่ในสหรัฐอเมริกา นำโดยจิม โจนส์ ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในการชักจูงสมาชิกให้ร่วมกระทำการดังกล่าว[314][315][316]

พลเรือนชาวญี่ปุ่นหลายพันคนได้ฆ่าตัวตายในช่วงท้ายของยุทธการที่ไซปัน เมื่อปี 1944 โดยบางคนกระโดดลงจาก "ผาฆ่าตัวตาย" และ "ผาบันไซ"[317] ส่วนในปี 1981 การอดอาหารประท้วงของนักโทษชาวไอริชซึ่งนำโดย บ็อบบี แซนด์ส ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 10 ราย เดิมเจ้าหน้าที่ชันสูตรระบุสาเหตุการเสียชีวิตว่า "อดอาหารโดยสมัครใจ" แทนคำว่า "ฆ่าตัวตาย" แต่ภายหลังจากครอบครัวของผู้เสียชีวิตประท้วง คำระบุในใบมรณบัตรจึงถูกแก้ไขเป็นเพียง "อดอาหาร"[318] ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แอร์วีน ร็อมเมิล ถูกพบว่ารับรู้ล่วงหน้าเกี่ยวกับ แผนลอบสังหารฮิตเลอร์เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม เขาถูกขู่ว่าจะถูกนำตัวขึ้นพิจารณาคดีต่อหน้าสาธารณชน ถูกประหารชีวิต และครอบครัวของเขาจะต้องเผชิญกับการตอบโต้ เว้นแต่เขาจะเลือกจบชีวิตตัวเอง[319]

Remove ads

สายพันธุ์อื่น

สรุป
มุมมอง

เนื่องจากการฆ่าตัวตายต้องอาศัยความตั้งใจในการยุติชีวิต บางคนจึงมองว่าไม่สามารถกล่าวได้ว่าการฆ่าตัวตายเกิดขึ้นในสัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์[246] อย่างไรก็ตาม ได้มีการสังเกตพฤติกรรมคล้ายการฆ่าตัวตายในแบคทีเรีย Salmonella ซึ่งพยายามเอาชนะแบคทีเรียคู่แข่งโดยการกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ตอบสนองต่อแบคทีเรียเหล่านั้น[320] นอกจากนี้ ยังพบพฤติกรรมการป้องกันตัวเองที่คล้ายการเสียสละในมดงาน Forelius pusillus ของบราซิล โดยมดจำนวนเล็กน้อยจะออกจากรังในช่วงเย็นหลังจากปิดทางเข้าจากภายนอก เพื่อปกป้องความปลอดภัยของรัง[321]

เพลี้ยถั่ว (pea aphids) เมื่อเผชิญกับภัยคุกคามจากเต่าทอง สามารถระเบิดตัวเองเพื่อขับไล่และปกป้องเพลี้ยตัวอื่นในฝูง และในบางกรณีสามารถฆ่าเต่าทองได้ พฤติกรรมการเสียสละตนเองเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นลักษณะนี้เรียกว่า ออโตไทซิส (autothysis)[322] สำหรับปลวกบางชนิด (เช่น Globitermes sulphureus)[323] จะมีปลวกทหารที่สามารถระเบิดตัวเองและปล่อยสารเหนียวออกมาเพื่อปกคลุมและยับยั้งศัตรู[324][323]

มีรายงานแบบไม่เป็นทางการเกี่ยวกับสุนัข ม้า และปลาโลมาที่แสดงพฤติกรรมคล้ายการฆ่าตัวตาย[325] อย่างไรก็ตาม งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับการฆ่าตัวตายในสัตว์ยังมีน้อยมาก[326] พฤติกรรมเหล่านี้มักถูกมองว่าเป็นการตีความในเชิงโรแมนติกโดยมนุษย์ มากกว่าที่จะเป็นการกระทำโดยเจตนาโดยแท้จริง สาเหตุที่สัตว์อาจแสดงพฤติกรรมฆ่าตัวตายโดยไม่ตั้งใจอาจเกิดจาก ความเครียดทางจิตใจ การติดเชื้อจากปรสิตหรือเชื้อราบางชนิด หรือการสูญเสียความสัมพันธ์ทางสังคมที่แน่นแฟ้น เช่น การสูญเสียเจ้าของจนไม่ยอมรับอาหารจากผู้อื่น[327]

อ้างอิง

ดูเพิ่ม

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads