คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

จูกัดเจี๋ยม

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

จูกัดเจี๋ยม
Remove ads

จูกัดเจี๋ยม (ค.ศ. 227 – ป. พฤศจิกายน ค.ศ. 263)[a] มีชื่อในภาษาจีนกลางว่า จูเก่อ จาน (จีน: 諸葛瞻; พินอิน: Zhūgě Zhān) ชื่อรอง ซือ-ยฺเหวี่ยน (จีน: 思遠; พินอิน: Sīyuǎn) เป็นขุนพลและขุนนางของรัฐจ๊กก๊กในยุคสามก๊กของจีน เป็นบุตรชายของจูกัดเหลียงอัครมหาเสนาบดีคนแรกของจ๊กก๊ก

ข้อมูลเบื้องต้น จูกัดเจี๋ยม (จูเก่อ จาน), ขุนพลพิทักษ์ (衛將軍 เว่ย์เจียงจฺวิน) (รักษาการ) ...
Remove ads

ประวัติช่วงต้น

เมื่อจูกัดเจี๋ยมมีอายุ 16 ปี ได้สมรสกับเจ้าหญิงแห่งจ๊กก๊ก (พระธิดาของเล่าเสี้ยนจักรพรรดิจ๊กก๊ก) และได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกองทหารม้า (騎都尉 ฉีตูเว่ย์) หนึ่งปีถัดมา จูกัดเจี๋ยมได้เลื่อนเป็นขุนพลราชองครักษ์ (中郎將 จงหลางเจี้ยง) ในหน่วยยฺหวี่หลิน (羽林) แห่งกองกำลังราชองครักษ์ ภายหลังได้ดำรงตำแหน่งในราชสำนักจ๊กก๊ก ได้แก่ ขุนนางมหาดเล็ก (侍中 ชื่อจง), รองราชเลขาธิการ (尚書僕射 ช่างชูผูเช่อ) และขุนพลที่ปรึกษาทัพ (軍師將軍 จฺวินชือเจียงจฺวิน)

นอกจากการรับราชการเป็นขุนนางแล้ว จูกัดเจี๋ยมยังมีทักษะด้านการวาดภาพและการเขียนอักษรวิจิตร เนื่องจากผู้คนในจ๊กก๊กคิดถึงจูกัดเหลียงที่เสียชีวิตใน ค.ศ. 234 เป็นอย่างมาก จึงชื่นชอบจูกัดเจี๋ยมเป็นพิเศษในเรื่องความสามารถของจูกัดเจี๋ยม เพราะจูกัดเจี๋ยมทำให้ผู้คนนึกถึงจูกัดเหลียงผู้เป็นบิดา[2] เมื่อใดก็ตามที่ราชสำนักจ๊กก๊กดำเนินนโยบายซึ่งเป็นที่เห็นชอบ ผู้คนก็จะยกให้เป็นผลงานของจูกัดเจี๋ยม แม้ว่าเรื่องนั้น ๆ อาจไม่เกี่ยวข้องกับจูกัดเจี๋ยมเลยก็ตาม[3] เนื่องจากจูกัดเหลียงไม่เคยจัดตั้งสำนักประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการใด ๆ ในราชสำนักจ๊กก๊ก จึงยากที่จะแยกแยะว่าจูกัดเจี๋ยมมีส่วนเกี่ยวข้องกับนโยบายใดบ้าง แม้ว่าเป็นที่ชัดเจนว่าชื่อเสียงของจูกัดเจี๋ยมยิ่งใหญ่กว่าผลงานจริง ๆ ที่จูกัดเจี๋ยมกระทำ[4]

Remove ads

จุดสูงสุดของอำนาจ

สรุป
มุมมอง

การเลื่อนตำแหน่งบ่อยครั้งของจูกัดเจี๋ยมดำเนินต่อไปจนกระทั่งจูกัดเจี๋ยมขึ้นมามีตำแหน่งสูงสุดของระบบบริหารของราชสำนักคือเป็นราชเลขาธิการ ในช่วงเวลาเดียวกันนั้น จูกัดเจี๋ยมยังได้รับการแต่งตั้งให้เป็นรักษาการผู้พิทักษ์นครหลวง (都護 ฮู่จฺวิน) และรักษาการขุนพลพิทักษ์ (衛將軍 เว่ย์เจียงจฺวิน)[5]

จูกัดเจี๋ยมได้เห็นการที่จูกัดเหลียงบิดาของคนใช้นโยบายแข็งกร้าวต่อวุยก๊กที่เป็นรัฐอริของจ๊กก๊กในรูปของการศึก 5 ครั้งระหว่างปี ค.ศ. 228 ถึงปี ค.ศ. 234 จูกัดเจี๋ยมจึงตระหนักถึงอันตรายโดยเนื้อแท้ของการใช้กำลังทหารมากเกินไป โดยเฉพาะสำหรับจ๊กก๊กที่มีกำลังด้อยกว่าวุยก๊กในแง่ของกำลังทางการทหารและกำลังทางเศรษฐกิจ หลังเกียงอุยขึ้นเป็นผู้บัญชาการทัพทั้งหมดของจ๊กก๊กโดยพฤตินัย จูกัดเจี๋ยมพยายามทัดทานไม่ให้เกียงอุยทำศึกกับวุยก๊กต่อไปแต่ไม่เป็นผล เกียงอุยยกทัพไปทำศึกกับวุยก๊กทั้งหมด 11 ครั้งระหว่างปี ค.ศ. 240 ถึง ค.ศ. 262 หลังเกียงอุยประสบความพ่ายแพ้ยับเยินจากการรบกับทัพวุยก๊ก จูกัดเจี๋ยมจึงเขียนฎีกาถึงเล่าเสี้ยนจักรพรรดิจ๊กก๊ก ทูลเสนอให้ปลดเกียงอุยจากอำนาจบัญชาการทหารและตั้งเงียมอูซึ่งเป็นสหายของขันทีฮุยโฮขึ้นแทนที่ ฎีกาของจูกัดเจี๋ยมถึงเล่าเสี้ยนได้รับการเก็บรักษาไว้และยังมีอยู่ในยุคราชวงศ์จิ้น[6] แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่าเล่าเสี้ยนทรงปฏิบัติตามคำแนะนำของจูกัดเจี๋ยมหรือไม่ เพราะเกียงอุยไม่ได้กลับไปเซงโต๋ (成都 เฉิงตู) นครหลวงของจ๊กก๊ก หลังจากความล้มเหลวในการทำศึกครั้งสุดท้ายจากทั้งหมด 11 ครั้ง อาจเป็นเพราะว่าเกียงอุยรู้ว่าผู้คนในจ๊กก๊กไม่พอใจตนมากขึ้น เล่าเสี้ยนยังทรงประนีประนอมกับข้อเสนอของจูกัดเจี๋ยมที่จะเปลี่ยนจากท่าทีเชิงโจมตีต่อวุยก๊กให้เป็นท่าทีเชิงป้องกัน เนื่องจากก่อนหน้านี้พระองค์ให้เปลี่ยนรูปแบบป้องกันที่ลองและทดสอบแล้วของอุยเอี๋ยน แทนที่ด้วยยุทธวิธีที่มีความเสี่ยงสูงแต่ก็ให้ผลตอบแทนสูงของเกียงอุย

ก่อนหน้านี้ อุยเอี๋ยนขุนพลจ๊กก๊กคิดค้นยุทธวิธีเชิงป้องกันเพื่อขัดขวางและขับไล่ทัพที่รุกราน โดยการการสร้าง "ค่ายคุ้มกัน" ไว้บริเวณชานเมืองและทางออกของเส้นทางที่นำไปสู่เมืองฮันต๋ง (漢中 ฮั่นจง) อันเป็นจุดยุทธศาสตร์บนถนนที่นำไปสู่ใจกลางของจ๊กก๊ก แม้ภายหลังการเสียชีวิตของอุยเอี๋ยน เล่าเสี้ยนก็ยังทรงให้ปฏิบัติตามแนวทางนี้ซึ่งทำให้ทัพจ๊กก๊กสามารถป้องการการบุกของทัพวุยก๊กได้ทุกครั้ง แต่เกียงอุยโต้แย้งว่ายุทธวิธีของอุยเอี๋ยนนั้น "ทำได้เพียงขับไล่ข้าศึกเท่านั้น แต่ไม่อาจเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ใหญ่ได้" เกียงอุยคาดหวังชัยชนะที่เด็ดขาด จึงเสนอให้ละทิ้งค่ายที่อุยเอี๋ยนสร้างขึ้นและถอนกำลังทหารออกจากด่านต่าง ๆ ในเทือกเขาฉินหลิ่ง (秦岭) ทั้งหมด เพื่อที่จะสามารถลวงทัพวุยก๊กที่บุกเข้ามาให้ยกล่วงเข้าไปในแดนเมืองฮันต๋ง ที่ซึ่งกำลังทหารวุยก๊กที่เหนื่อยล้าจะถูกสกัด และถูกทัพจ๊กก๊กตีแตกพ่ายระหว่างล่าถอยได้โดยง่าย[7] เกียงอุยอ้างว่าการจัดการของตนจะสามารถบรรลุชัยชนะเด็ดขาดอย่างที่ไม่เคยคิดมาก่อนขณะเพิ่งสร้างแนวป้องกันตามแนวเทือกเขาฉินหลิ่ง เนื่องจากการวิเคราะห์ของเกียงอุยฟังมีเหตุผลและมีคุณค่า จูกัดเจี๋ยมจึงไม่คัดค้านการรื้อป้อมปราการที่เชื่อมโยงกันของอุยเอี๋ยน

Remove ads

ความพยายามในการปกป้องจ๊กก๊กที่ไร้ผล

สรุป
มุมมอง

ในช่วงต้นปี ค.ศ. 263 เกียงอุยขอกำลังเสริมจากเซงโต๋หลังได้ยินว่าราชสำนักวุยก๊กตั้งให้ขุนพลจงโฮยรับผิดชอบราชการทหารตามแนวชายแดนวุยก๊ก-จ๊กก๊ก แต่เล่าเสี้ยนทรงเชื่อคำทำนายของแม่มดหมอผีที่ฮุยโฮแนะนำ ซึ่งทำนายว่าวุยก๊กจะไม่โจมตีจ๊กก๊ก เล่าเสี้ยนจึงไม่ทรงแจ้งจูกัดเจี๋ยมเกี่ยวกับคำทูลเตือนของเกียงอุย[8] แต่เล่าเสี้ยนก็ทรงส่งกำลังเสริมก่อนที่วุยก๊กจะเริ่มการบุก[9]

เมื่อทัพวุยก๊กเริ่มเคลื่อนพลมายังจ๊กก๊กในเดือนกันยายน ค.ศ. 263 แผนในครึ่งแรกของเกียงอุยได้ผล คือเมื่อทัพวุยก๊กยกมาโดยไม่มีการต่อต้านจนมาถึงอำเภอฮั่นเสีย (漢城縣 ฮั่นเฉิงเซี่ยน; ปัจจุบันคืออำเภอเหมี่ยน มณฑลฉ่านซี) และอำเภอก๊กเสีย (樂城縣 เล่อเฉิงเซี่ยน; ปัจจุบันคืออำเภอเฉิงกู้ มณฑลฉ่านซี) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อเพื่อบั่นทอนกำลังข้าศึก แต่จงโฮยส่งกองกำลังแยกที่เล็กกว่า 2 กองเข้าโจมตี 2 อำเภอ ตัวจงโฮยนำทัพหลักของวุยก๊กรุดหน้าเข้าอาณาเขตของจ๊กก๊ก ใน ช่วงเวลาเดียวกัน เกียงอุยพ่ายแพ้ให้กับขุนพลวุยก๊กอองกิ๋น (王頎 หวาง ฉี) และเอียวหัว (楊欣 หยาง ซิน) และต้องล่าถอยไปยังด่านภูเขาที่มีป้อมปราการป้องกันแน่นหนาที่เกียมโก๊ะ (劍閣 เจี้ยนเก๋อ; ในอำเภอเจี้ยนเก๋อ มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน)[10] เมื่อจูกัดเจี๋ยมรู้ว่าแผนของเกียงอุยล้มเหลวและความหายนะของจ๊กก๊กกำลังใกล้เข้ามา จูกัดเจี๋ยมจึงรีบรวบรวมกำลังทหารในเซงโต๋และยกไปยังอำเภอโปยเสีย (涪縣 ฝูเซี่ยน; ในนครเหมียนหยาง มณฑลเสฉวนในปัจจุบัน) เพื่อเตรียมการป้องกันครั้งสุดท้าย

การรบกับเตงงายและการเสียชีวิต

ความเคลื่อนไหวทางการทหารดังกล่าวเกิดขึ้นภายในไม่กี่สัปดาห์ การรุดหน้าอย่างรวดเร็วของจงโฮยทำให้ขุนพลจ๊กก๊กส่วนใหญ่ตกตะลึง เมื่อตระหนักถึงอันตรายของการปล่อยให้ข้าศึกยกล่วงเข้ามา เกียงอุยและขุนพลคนอื่น ๆ จึงยังคงตั้งมั่นอยู่ที่เกียมโก๊ะ จูกัดเจี๋ยมรู้ว่าเกียงอุยป้องกันได้เป็นอย่างดี จึงไม่ส่งกำลังเสริมไปที่เกียมโก๊ะ แต่ตั้งมั่นในอำเภอโปยเสีย เมื่อเตงงายขุนพลวุยก๊กปรากฏพร้อมกำลังทหารอย่างกะทันหันที่อิวกั๋ง (江由 เจียงโหยว) หลังใช้ทางลัดอันตรายข้ามภูมิประเทศภูเขา ข้าราชการที่รักษาอิวกั๋งยอมจำนนโดยไม่ต่อสู้ หฺวาง ฉง (黃崇) บุตรชายของอุยก๋วน (黃權 หฺวาง เฉฺวียน) โน้มน้าวหลายครั้งให้จูกัดเอี๋ยนเคลื่อนพลอย่างรวดเร็วและเข้ายึดภูมิประเทศที่ได้เปรียบก่อนที่เตงงายจะยึดได้[11] แต่จูกัดเอี๋ยนเห็นว่าแผนการของหฺวาง ฉงเสี่ยงเกินไป จึงใช้แนวทางที่ "รอบคอบ" มากกว่าแทน เมื่อหฺวาง ฉงโน้มน้าวจูกัดเจี๋ยมหลายครั้งให้ยกเข้าโจมตีเตงงาย จูกัดเจี๋ยมจึงยอมให้และส่งกองหน้าไปลองโจมตีข้าศึกแต่ถูกตีแตกพ่าย จากนั้นจูกัดเจี๋ยมจึงออกจากอำเภอโปยเสียไปยังอำเภอกิมก๊ก (綿竹 เหมียนจู๋) ซึ่งมีป้อมปราการดีกว่า ที่ซึ่งจูกัดเจี๋ยมวางแผนจะยืนหยัดต่อต้านเตงงายเป็นครั้งสุดท้าย[12]

เมื่อเตงงายล้อมจูกัดเจี๋ยมที่กิมก๊ก เตงงายเสนอโอกาสให้จูกัดเจี๋ยมยอมจำนนและให้คำมั่นว่าจะเสนอกับราชสำนักวุยก๊กให้ตั้งจูกัดเจี๋ยมเป็นหลงเสอ้อง (琅邪王 หลางหยาหวาง) หรืออ๋องแห่งลองเอี๋ยหากจูกัดเจี๋ยมยอมจำนน แต่จูกัดเจี๋ยมปฏิเสธและให้นำตัวคนนำสารของเตงงายไปประหารชีวิต จากนั้นจึงสั่งให้กำลังทหารเตรียมการรบนอกด่าน ในเวลานั้นมีบุคคลสำคัญอื่น ๆ ของจ๊กก๊กอยู่กับจูกัดเจี๋ยมที่กิมก๊ก ได้แก่ เตียวจุ๋น (張遵 จาง จุน; หลานปู่ของเตียวหุย), หลี่ ฉิว (李球; นายกองราชองครักษ์), หฺวาง ฉง รวมถึงจูกัดสงบุตรชายคนโตของจูกัดเจี๋ยม หลังจากที่หฺวาง ฉงกล่าวต่อทหารจ๊กก๊กเพื่อเพิ่มขวัญกำลังใจ ทั้งสองฝ่ายก็เริ่มเข้ารบกัน เตงงายสั่งให้เตงต๋ง (鄧忠 เติ้ง จง) บุตรชายและสุเมา (師纂 ชือ จฺว่าน) นายทหารอีกคนให้ตีขนาบตำแหน่งของจูกัดเจี๋ยม ทั้งสองเคลื่อนกำลังไปทางซ้ายและทางขวาของกระบวนทัพจ๊กก๊ก แต่ทัพจ๊กก๊กสกัดไว้และขับไล่กลับไป มีเพียงทัพหลักของเตงงายที่ยังตั้งมั่นอยู่ เมื่อเตงต๋งและสุเมากล่าวว่าไม่มีทางทำลายกระบวนทัพและเสนอให้ล่าถอย เตงงายพูดด้วยโกรธว่าทั้งคู่จะต้องชนะหากต้องการมีชีวิตต่อไป และขู่ว่าจะประหารชีวิตใครก็ตามที่พูดให้ล่าถอย เตงต๋งและสุมาจึงนำทหารเข้าโจมตีกระบวนทัพของจ๊กก๊กอีกครั้งและตีแตกเป็นผลสำเร็จ[13] จูกัดเจี๋ยม, จูกัดสง, เตียวจุ๋น, หลี่ ฉิว, หฺวาง ฉง และนายทหารจ๊กก๊กคนอื่น ๆ ถูกสังหารในที่รบ

Remove ads

ในนิยายสามก๊ก

ในนวนิยายอิงประวัติศาสตร์ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เรื่องสามก๊ก (ซานกั๋วเหยี่ยนอี้) ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์ก่อนและระหว่างยุคสามก๊ก ล่อกวนตงผู้เขียนนวนิยายบรรยายถึงการป้องกันนครหลวงเซงโต๋ที่จบลงด้วยความล้มเหลวในลักษณะที่เร้าอารมณ์ เมื่อเล่าเสี้ยนจักรพรรดิจ๊กก๊กขอความเห็นจากจูกัดเจี๋ยมว่าจะขับไล่ทัพวุยก๊กที่บุกเข้ามาอย่างไร จูกัดเจี๋ยมคิดจะแต่งกายให้เหมือนกับจูกัดเหลียงบิดาผู้ล่วงลับเพื่อขู่ให้ข้าศึกหนีไป อุบายของจูกัดเจี๋ยมได้ผลในช่วงแรกเมื่อทหารวุยก๊กแตกตื่นเพราะคิดว่าจูกัดเหลียงฟื้นจากความตาย แต่เตงงายชี้ให้เห็นอย่างรวดเร็วว่าเป็นเพียงใครบางคนที่ปลอมตัวเป็นจูกัดเหลียง จากนั้นเตงงายจึงสั่งให้ทหารจัดกำลังใหม่และเข้าโจมจี จูกัดเจี๋ยมเสียชีวิตในยุทธการที่กิมก๊กพร้อมด้วยจูกัดสงบุตรชายคนโต, หฺวาง ฉง และคนอื่น ๆ ในขณะที่ทัพเตงงายมีกำลังทหารเหนือกว่าเป็นอย่างมาก

Remove ads

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. บทชีวประวัติของจูกัดเจี๋ยมในสามก๊กจี่บันทึกว่าจูกัดเจี๋ยมเสียชีวิตในฤดูหนาว (เดือน 10 ถึง 12) ของศักราชจิ่งเย่า (景耀) ปีที่ 6 ในรัชสมัยของเล่าเสี้ยน เทียบได้กับช่วงเวลาระหว่างวันที่ 19 พฤศจิกายน ค.ศ. 263 ถึง 14 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 264 ในปฏิทินจูเลียน อย่างไรก็ตาม จูกัดเจี๋ยมเสียชีวิตก่อนการยอมจำนนของจ๊กก๊ก ดังนั้น จูกัดเจี๋ยมน่าจะเสียชีวิตในช่วงปลายเดือนพฤศจิกายนหรือต้นเดือนธันวาคม ค.ศ. 263 จูกัดเจี๋ยมเสียชีวิตขณะมีอายุ 37 ปี (ตามการนับอายุแบบเอเชียตะวันออก)[1] เมื่อคำนวณแล้ว ปีเกิดของจูกัดเจี๋ยมควรเป็นปี ค.ศ. 227
Remove ads

อ้างอิง

บรรณานุกรม

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads