คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ซุนนี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ซุนนี (อาหรับ: سُنِّي, ภาษาไทยในอดีตเรียก สุหนี่[1])[a] เป็นนิกายที่มีขนาดใหญ่สุดในศาสนาอิสลามและนิกายที่มีผู้นับถือมากที่สุดในโลก โดยมีมุมมองว่ามุฮัมมัดไม่ได้แต่งตั้งผู้สืบทอดคนใด และอะบูบักร์ (ค. 632 – 634) เศาะฮาบะฮ์ที่ใกล้ชิดที่สุด ขึนครองเป็นเคาะลีฟะฮ์ของชุมชนมุสลิมโดยชอบธรรม โดยได้รับการแต่งตั้งในการประชุมซะกีฟะฮ์ สิ่งนี้ตรงข้ามกับมุมมองชีอะฮ์ที่ถือว่ามุฮัมมัดแต่งตั้งอะลี อิบน์ อะบีฏอลิบ (ค. 656 – 661) เป็นผู้สืบทอด กระนั้น ซุนนีก็ยกย่องอะลีร่วมกับอะบูบักร์ อุมัร (ค. 634 – 644) และอุษมาน (ค. 644 – 656) ในฐานะ 'เคาะลีฟะฮ์ผู้ทรงธรรม'
คำว่า ซุนนี หมายถึงผู้ที่ทำตามซุนนะฮ์ หลักปฏิบัติของมุฮัมมัด อัลกุรอานร่วมกับฮะดีษ (โดยเฉพาะอัลกุตุบุสซิตตะฮ์) และอิจญ์มาอ์ (ฉันทามติทางวิชาการ) เป็นรากฐานของนิติศาสตร์แบบดั้งเดิมทั้งหมดในนิกายซุนนี คำวินิจฉัยตามกฎหมายชะรีอะฮ์ได้มาจากแหล่งข้อมูลพื้นฐานเหล่านี้ ร่วมกับการพิจารณาถึงสวัสดิการสาธารณะและการใช้ดุลยพินิจทางกฎหมาย โดยใช้หลักการนิติศาสตร์ที่พัฒนาโดยสำนักกฎหมาย 4 สำนัก ได้แก่ ฮะนะฟี ฮันบาลี มาลิกี และชาฟิอี
Remove ads
ศัพทมูลวิทยา
สรุป
มุมมอง
ซุนนะฮ์
คำว่าซุนนะฮ์ในภาษาอาหรับที่เป็นที่มาของคำว่าซุนนี[6][7] สืบไปถึงภาษาก่อนการมาของอิสลาม เคยใช้เรียก "แนวทางอันถูกต้องที่ติดตามไปเสมอ" (the right path that has always been followed)[8] คำนี้เพิ่มความสำคัญทางการเมืองมากขึ้นหลังการสังหารอุษมาน (ค. 644 – 656) เคาะลีฟะฮ์องค์ที่สาม กล่าวกันว่ามาลิก อัลอัชตัร ผู้ติดตามที่มีชื่อเสียงของอะลี ให้กำลังใจระหว่างการรบที่ศิฟฟีนด้วยคำพูดที่ว่า "มุอาวิยะฮ์ คู่แข่งทางการเมืองของอะลี สังหารซุนนะฮ์" หลังสงคราม จึงมีการยอมรับว่า "ซุนนะฮ์อันเที่ยงธรรม [คือ]การรวมเป็นหนึ่ง ไม่ใช่การแบ่งแยก" ("as-Sunna al-ʿādila al-ǧāmiʿa ġair al-mufarriqa") ควรปรึกษาหารือกันเพื่อแก้ไขข้อขัดแย้ง ไม่มีใครทราบช่วงที่คำว่า ซุนนะฮ์ กลายเป็นรูปสั้นของ "ซุนนะฮ์ของท่านศาสดา" (ซุนนะตุนนะบี)[9] ในสมัยรัฐเคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ ขบวนการทางการเมืองบางส่วน รวมถึงชีอะฮ์และเคาะวาริจญ์ ก่อกบฏต่อการสถาปนารัฐ พวกเขานำการสู้รบด้วยนาม "คัมภีร์ของอัลลอฮ์ (กุรอาน) และซุนนะฮ์ของท่านศาสดา"[10] ในช่วงสงครามกลางเมืองครั้งที่สอง (ค.ศ. 680–92) คำว่าซุนนะฮ์ได้รับความหมายที่วิพากษ์วิจารณ์หลักคำสอนของชีอะฮ์ (Tashayyu') บันทึกโดย Masrūq ibn al-Adschdaʿ (เสียชีวิตใน ค.ศ. 683) ซึ่งเป็นมุฟตีในกูฟะฮ์ จำเป็นต้องรักเคาะลีฟะฮ์สององค์แรก คือ อะบูบักร์ และอุมัร อิบน์ อัลค็อฏฏอบ และยอมรับความสำคัญของพวกเขา (Fadā'il) ash-Shaʿbī (เสียชีวิตช่วง ค.ศ. 721 ถึง 729) นักวิชาการผู้เป็นศิษย์ของ Masrūq ที่เข้าข้างชีอะฮ์ที่กูฟะฮ์ในช่วงสงครามกลางเมือง แต่กลับเปลี่ยนใจเพราะความคลั่งไคล้ของพวกเขา และในที่สุดก็ตัดสินใจเข้าร่วมกับอับดุลมะลิก เคาะลีฟะฮ์อุมัยยะฮ์ผู้ทำให้แนวคิดซุนนะฮ์แพร่หลาย[11] นอกจากนั้น ash-Shaʿbī ยังถ่ายทอดให้เห็นว่าเขารู้สึกขุ่นเคืองต่อความเกลียดชังที่มีต่ออาอิชะฮ์ บินต์ อะบีบักร์ และถือว่าเป็นการละเมิดซุนนะฮ์[12]
การใช้คำว่า ซุนนะฮ์ แทนสำนวนยาวว่า อะฮ์ลุสซุนนะฮ์ หรือ อะฮ์ลุสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ เป็นชื่อกลุ่มของชาวซุนนี ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ค่อนข้างใหม่ อาจเป็นอิบน์ ตัยมียะฮ์ที่ใช้คำย่อนี้เป็นครั้งแรก[13] ต่อมานักวิชาการอิสลามอย่างมุฮัมมัด เราะชีด ริฎอได้เผยแพร่ข้อความนี้ในศาสตรนิพนธ์ as-Sunna wa-š-šiʿa au al-Wahhābīya wa-r-Rāfiḍa: Ḥaqāʾiq dīnīya taʾrīḫīya iǧtimaʿīya iṣlaḥīya ("ซุนนะฮ์และชีอะฮ์ หรือลัทธิวะฮาบีย์และลัทธิรอฟิฎี: ประวัติศาสตร์ศาสนา ข้อเท็จจริงทางสังคมวิทยาและการปฏิรูป") ซึ่งตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1928–29[14] คำว่า ซุนนะฮ์ มักใช้ในบทสนทนาภาษาอาหรับเพื่อเรียกชาวมุสลิมนิกายซุนนี เมื่อพวกเขาต้องการเปรียบเทียบพวกเขากับชีอะฮ์ คำคู่ ซุนนะฮ์–ชีอะฮ์ ยังใช้ในวรรณกรรมวิจัยของตะวันตกเพื่อแสดงถึงความแตกต่างระหว่างซุนนี–ชีอะฮ์[15]
อะฮ์ลุสซุนนะฮ์
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
อะฮ์ลุสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์
การปรากฏของแนวคิดอะฮ์ลุสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ครั้งแรกนั้นชัดเจน ในพระบรมราชโองการมิห์นะฮ์ของอัลมะอ์มูน (ครองราชย์ ค.ศ. 813–33) เคาะลีฟะฮ์อับบาซียะฮ์ ทรงวิจารณ์ถึงกลุ่มคนที่เชื่อมโยงตนเองเข้ากับซุนนะฮ์ (nasabū anfusa-hum ilā s-sunna) และอ้างว่าพวกเขาคือ "ประชาชาติแห่งความจริง ศาสนา และชุมชน" (ahl al-ḥaqq wa-d-dīn wa-l-jamāʿah)[16] คำว่าซุนนะฮ์และญะมาอะฮ์มีความเชื่อมโยงกันอยู่แล้ว คำศัพท์ในแบบรวมกันเหล่านี้ปรากฏให้เห็นในคริสต์ศตวรรษที่ 9 มีบันทึกว่า Harb ibn Ismail as-Sirjdshani (เสียชีวิตใน ค.ศ. 893) ลูกศิษย์ของอะห์มัด อิบน์ ฮันบัล ได้ประพันธ์งานเขียนที่มีชื่อว่า อัสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ซึ่ง Abu al-Qasim al-Balchi นักมัวะอ์ตะซิละฮ์ ได้เขียนข้อโต้แย้งในภายหลัง[17] อัลญุบบาอี (เสียชีวิต ค.ศ. 916) กล่าวไว้ใน Kitāb al-Maqālāt ว่า อะห์มัด อิบน์ ฮันบัลได้ให้คำเรียกศิษย์ของเขาว่า ซุนนีญะมาอะฮ์ ("ชุมชนซุนนี").[18] ซึ่งบ่งชี้ว่าฝ่านฮันบะลีเป็นกลุ่มแรกที่ใช้วลี อะฮ์ลุสซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ เพื่อเรียกตนเอง[19]
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง

ความผิดพลาดทั่วไปประการหนึ่งคือการคิดว่าศาสนาอิสลามนิกายซุนนีเป็นศาสนาอิสลามเชิงบรรทัดฐานที่เกิดขึ้นในช่วงหลังการเสียชีวิตของศาสดามุฮัมมัด และศูฟีกับชีอะฮ์พัฒนามาจากอิสลามนิกายซุนนี[20] การรับรู้เช่นนี้เกิดจากการพึ่งพาแหล่งข้อมูลที่มีแนวคิดทางอุดมการณ์สูงซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นงานประวัติศาสตร์ที่เชื่อถือได้ และเนื่องมาจากประชากรส่วนใหญ่นับถือนิกายซุนนี ทั้งซุนนีและชีอะฮ์ล้วนเป็นผลจากการแข่งขันระหว่างอุดมการณ์หลายศตวรรษ นิกายทั้งสองใช้ข้อมูลซึ่งกันและกันเพื่อเสริมสร้างอัตลักษณ์และหลักคำสอนของตนเอง[21]
เคาะลีฟะฮ์สี่องค์แรกเป็นที่รู้จักในบรรดาซุนนีเป็น รอชิดูน หรือ "ผู้ทรงธรรม" ซุนนียอมรัให้อะบูบักร์เป็นคนแรก อุมัรคนที่สอง อุษมานคนที่สาม และอะลีคนที่สี่[22][23][24][22][25] ชาวซุนนียอมรับผู้ปกครองที่แตกต่างกันว่าเป็นเคาะลีฟะฮ์ แม้ว่าพวกเขาจะแทบไม่เคยรวมใครไว้ในรายชื่อผู้ได้รับการชี้นำอย่างถูกต้องหรือ รอชิดูน หลังจากการฆาตกรรมอะลี[26] จนกระทั่งระบอบเคาะลีฟะฮ์ถูกยุบเลิกในประเทศตุรกีเมื่อวันที่ 3 มีนาคม ค.ศ. 1924
การเปลี่ยนผ่านรัฐเคาะลีฟะฮ์ไปเป็นราชาธิปไตยแบบราชวงศ์ของบะนูอุมัยยะฮ์
ในสมัยการปกครองของยะซีด บินมุอาวิยะฮ์ ฟิกฮ์ คำสั่งสอนแห่งอัลกุรอานและแห่งศาสนทูตถูกละทิ้ง ชาวมะดีนะฮ์ผู้เคร่งครัดถูกได้รับความกดดันจากตระกูลอุมัยยะฮ์ผู้ปกครองอาณาจักรอิสลาม และภายใต้ความกดดันนั้นได้เกิดหล่อหลอมเป็นกลุ่มผู้ยึดมั่นในแนวทางอิสลามแบบเดิม เพื่อต่อต้านตระกูลอุมัยยะฮ์ โดยเฉพาะหลังจากที่กองทัพจากชาม ในสมัยการปกครองของยะซีด บินมุอาวิยะฮ์ฟิกฮ์ ได้สังหารฮุเซน หลานตาศาสนทูตมุฮัมมัด (ศ) พร้อมกับญาติพี่น้อง ที่กัรบะลาอ์ 73 คนในปี ค.ศ. 680 และต่อมาในปี ค.ศ. 683 ยะซีดส่งกองทัพเพื่อโจมตีพระนครมะดีนะฮ์ที่อับดุลลอฮ์ บินอุมัร อิบนุลคอฏฏอบ เป็นผู้นำในการต่อต้านการปกครองของยะซีด และโจมตีมักกะฮ์ ที่อับดุลลอฮ์ อินนุซซุเบรสถาปนาตนเองเป็นเคาะลีฟะฮ์แห่งอาณาจักรอิสลาม ชาวเมืองมะดีนะฮ์ร่วมกันออกต้านทัพของยะซีด ที่นำโดยอุกบะหฟิกฮ์ ณ สถานที่ที่มืชื่อว่า อัลฮัรเราะฮ์ แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ จนกองทัพของยะซีดสามารถเข้าปล้นสะดมเมืองมะดีนะฮ์ เป็นเวลาสามวันสามคืนตามคำสั่งของยะซีด ทหารชาม เข่นฆ่าผู้คน และข่มขืนสตรี จนกระทั่งมีผู้คนล้มตายประมาณ 10,000 คน ในจำนวนนั้นมีบุคคลสำคัญ 700 คน นอกจากนั้นมีผู้หญิงตั้งท้องเนื่องจากถูกข่มขืนชำเราอีก 500 คน หลังจากนั้นกองทัพชามก็มุ่งสู่มักกะฮ์เพื่อปราบปรามอิบนุซซุเบร โดยเข้าเผากะอ์บะฮ์ และเข่นฆ่าผู้คน ประชาชนชาวมุสลิมต่อต้านการปกครองตลอดมา แต่แล้วในปี ค.ศ. 692 อับดุลมะลิก บินมัรวานก็ส่ง ฮัจญาจญ์ บินยูสุฟ อัษษะกอฟี มาโจมตีมักกะฮ์อีกครั้ง ครั้งนี้อับดุลลอฮ์ อิบนุซซุเบร ถูกสังหารและศพถูกตรึงที่ไม้ ปักไว้หน้ากะอ์บะฮ์ ส่วนกะอ์บะฮ์ก็ถูกทำลาย
ตั้งแต่นั้นมา ผู้คนในอาณาจักรอิสลามแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มชนใหญ่ ๆ พวกที่ฝักใฝ่ทางโลกก็สนับสนุนการปกครองของตระกูลอุมัยยะฮ์ พวกที่ต่อต้านการปกครองระบอบเคาะลีฟะฮ์ ยึดถือบุตรหลานศาสนทูตเป็นผู้นำก็คือพวกชีอะฮ์ พวกที่เชื่อว่าบรรดาสาวกคือผู้นำและสานต่อสาส์นแห่งอิสลามหลังจากท่านนบีมุฮัมมัด (ศ) พวกนี้คือ อะฮ์ลุสซุนนะฮ์ ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่ได้มีการบัญญัติศัพท์นี้ เพราะคำว่า ซุนนะฮ์วัลญะมาอะฮ์ ถูกบัญญัติขึ้นมาจริง ๆ โดยอะฮ์มัด บินฮันบัล (ค.ศ. 780-855 / ฮ.ศ.164-241) นอกจากนี้ยังมีพวกคอวาริจญ์ ที่เป็นกบฏและแยกตัวออกจากอำนาจการปกครองของอิมามอะลี เมื่อครั้งที่เป็นเคาะลีฟะฮ์ที่ 4
ในฮิจญ์เราะหฟิกฮ์ศตวรรษที่ 3 และที่ 4 ได้มีการรวบรวมฮะดีษขึ้นมา จัดเป็นอนุกรมและหมวดหมู่ เรียกในภาษาไทยว่า พระวจนานุกรม ในสายอะฮ์ลุสซุนนะฮ์ มีมากกว่า 10 พระวจนานุกรม ที่สำคัญคือ 6 พระวจนานุกรม ที่ผู้รวบรวมโดยอัลบุคอรี, มุสลิม, อัตตัรมีซี, อะบูดาวูด, อิบนุมาญะฮ์ และอันนะซาอี นอกจากนี้ยังมีพระวจนานุกรมที่รวบรวมโดย มาลิก บินอะนัส (เจ้าสำนักมาลิกีย์) , อะฮหมัด บินฮันบัล (เจ้าสำนักฮันบะลีย์), อิบนุคุซัยมะฮ์, อิบนุฮิบบาน และอับดุรรอซซาก ในยุคหลังนี้ได้มีการตรวจสอบสายรายงานอย่างถี่ถ้วน พระวจนานุกรมอัลบุคอรีและมุสลิมได้รับการยอมรับมากที่สุดในสังคมมุสลิมซุนนี
Remove ads
ผู้นับถือ
สรุป
มุมมอง

ซุนนี
ซุนนีเชื่อว่าผู้ติดตามของมุฮัมมัดเป็นผู้ส่งสารที่เชื่อถือได้ของศาสนาอิสลาม เนื่องจากอัลลอฮ์และมุฮัมมัดยอมรับความซื่อสัตย์ของพวกเขา แหล่งข้อมูลสมัยกลางถึงขั้นห้ามไม่ให้สาปแช่งหรือใส่ร้ายพวกเขาด้วยซ้ำ[28] ความเชื่อนี้มาจากธรรมเนียมของศาสดา เช่น สายรายงานจากอับดุลลอฮ์ อิบน์ มัสอูดระบุว่า มุฮัมมัดกล่าวว่า: "กลุ่มชนที่ดีที่สุดได้แก่รุ่นของฉัน ถัดไปก็เป็นพวกที่มาภายหลังพวกเขา ถัดไปก็เป็นพวกที่มาภายหลังพวกเขา" ตามคำกล่าวของชาวซุนนี การสนับสนุนมุมมองนี้ยังพบได้ในอัลกุรอาน[29] ดังนั้น สายรายงานของผู้ติดตามจึงได้รับการพิจารณาอย่างน่าเชื่อถือสำหรับความรู้เกี่ยวกับศรัทธาอิสลาม ชาวซุนนียังเชื่อว่าผู้ติดตามเป็นผู้ศรัทธาที่แท้จริง เนื่องจากผู้ติดตามเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายให้รวบรวมคัมภีร์อัลกุรอาน
อิสลามนิกายซุนนีไม่มีลำดับชั้นอย่างเป็นทางการ ผู้นำอยู่ในรูปแบบไม่เป็นทางการ และได้รับอิทธิพลจากการศึกษาจนกลายเป็นนักวิชาการด้านกฎหมายอิสลาม (ชะรีอะฮ์) หรือเทววิทยาอิสลาม (กะลาม) ผู้นำทั้งด้านศาสนาและการเมืองล้วนเปิดกว้างสำหรับมุสลิมทุกคน[30] ตามข้อมูลของศูนย์อิสลามแห่งโคลัมเบีย รัฐเซาท์แคโรไลนา ใครก็ตามที่มีสติปัญญาและความตั้งใจสามารถเป็นนักวิชาการอิสลามได้ ในระหว่างพิธีละหมาดเที่ยงวันในวันศุกร์ ผู้เข้าร่วมพิธีจะเลือกบุคคลที่มีการศึกษาดีเป็นผู้นำพิธี ซึ่งเรียกว่าเคาะฏีบ (ผู้พูด)[31]
การศึกษาวิจัยที่ดำเนินการโดย Pew Research Center ใน ค.ศ. 2010 และเผยแพร่เดือนมกราคม ค.ศ. 2011[32] พบว่ามีมุสลิมประมาณ 1.62 พันล้านคนทั่วโลก และประมาณกว่าร้อยละ 85–90 นับถือนิกายซุนนี[33]
สำนักหรือทัศนะนิติศาสตร์อิสลาม
ชะรีอะฮ์ (شريعة) หรือนิติบัญญัติอิสลามตามทัศนะของซุนนีนั้น มีพื้นฐานมาจากอัลกุรอานและซุนนะฮ์ (อิจย์มาอ์) มติฉันท์ของเหล่าผู้รู้ และกิยาส (การเปรียบเทียบกับบทบัญญัติที่มีอยู่แล้ว) นิกายซุนนีมีในอดีตมี 17 สำนัก แต่ได้สูญหายไปกับกาลเวลา ในปัจจุบันนิกายซุนนีมี 4 สำนัก ที่เป็นสำนักเกี่ยวกับฟิกฮ์ (นิติศาสตร์อิสลาม) ได้แก่
- ฮะนะฟี (ทัศนะของอะบูฮะนีฟะหฟิกฮ์ นุอฟิกฮ์มาน บินษาบิต) -
- มาลีกี (ทัศนะของมาลิก บินอะนัส)
- ชาฟีอี (ทัศนะของมุฮัมมัดมัด บินอิดริส อัชชาฟิอีย์) - ผู้ที่ยึดถือทัศนะนี้คือ คนส่วนใหญ่ในไทย มาเลเซีย อินโดนีเซีย
- ฮันบะลี (ทัศนะของท่านอะฮ์มัด บินฮันบัล)
ปัจจุบันมีอีกกลุ่มที่สำคัญคือ กลุ่มที่ไม่ได้ยึดถือหรือสังกัดตนอยู่ใน 4 กลุ่มข้างต้น แต่การวินิจฉัยหลักการศาสนาจะใช้วิธีศึกษาทัศนะของทั้ง 4 กลุ่มแล้ววิเคราะห์ดูว่าทัศนะใดที่มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากที่สุด โดยยึดอัลกุรอานและซุนนะฮฟิกฮ์เป็นธรรมนูญสำคัญในการวินิจฉัยเรื่องต่าง ๆ ในศาสนา
Remove ads
สำนักหรือทัศนะเกี่ยวกับอุศูลุดดีน (ปรัชญาศาสนา)
สรุป
มุมมอง
นอกจากนี้ยังมีสำนักเกี่ยวกับอุศูลุดดีน (ปรัชญาศาสนา) อีกหลายสำนัก ที่สำคัญได้แก่ 4 สำนักคือ
- สำนักมุอ์ตะซิละฮ์ (معتزلة) จัดตั้งขึ้นโดยวาศิล บินอะฏออ์ (ค.ศ. 699-749) ศิษย์ที่มีความคิดแตกต่างจากฮะซัน อัลบัศรี (ค.ศ. 642-728) ผู้เป็นอาจารย์
- สำนักอัชอะรี มาจากแนวคิดของอะบุลฮะซัน อัลอัชชะรี (ค.ศ. 873-935) แต่ผู้ที่พัฒนาแนวคิดนี้ คือ อัลฆอซาลี นักวิชาการศาสนาและปรมาจารย์ศูฟีย์
- สำนักมาตุรีดี เป็นทัศนะของอะบูมันศูร อัลมาตุรีดี (มรณะ ค.ศ. 944) ในตอนแรกเป็นสำนักปรัชญาของชนกลุ่มน้อย ต่อมาเมื่อเป็นที่ยอมรับของเผ่พันธุ์เติร์ก และพวกออตโตมานมีอำนาจ ก็ได้ทำให้สำนักนี้แพร่หลายในเอเชียกลาง
- สำนักอะษะรี เป็นทัศนะของอะฮ์มัด บินฮันบัล ผู้เป็นเจ้าสำนักฟิกฮ์ดังกล่าวมาแล้ว
หากมุอฟิกฮ์ตะซิละหฟิกฮ์แยกตัวออกจากสำนักของฮะซัน อัลบัศรี ย่อมแสดงว่าก่อนหน้านั้นต้องมีสำนักปรัชญามาก่อนแล้ว ฮะซัน อัลบัศรี เองก็มีแนวคิดของตนเช่นกัน นั่นก็เพราะ ฮะซัน อัลบัศรี เป็นปรมาจารย์ของสำนักศูฟีที่ภายหลังแตกขยายเป็นหลายสาย
ภายใต้การปกครองของราชวงศ์อุมัยยะฮ์ระหว่างปี ค.ศ. 661 ถึงปี ค.ศ. 750 ผู้คงแก่เรียนอิสลามเน้นการศึกษาที่เกี่ยวกับอัลกุรอาน แต่ราชวงศ์อับบาซียะฮ์ที่ตามมาสนับสนุนการศึกษาของกรีกและมนุษย์วิทยาตามแนวคิดของตระกูลปรัชญามุอ์ตะซีลี (Mu'tazili) ของอิสลาม ตระกูลความคิดนี้ก่อตั้งขึ้นในบาสราโดยวะศีล อิบุน อะฏอ (واصل بن عطاء - Wasil ibn Ata) (ค.ศ. 700–ค.ศ. 748) ที่อยู่บนพื้นฐานที่ว่าอัลกุรอานมาจากอัลลอฮ์และอัลลอฮฺมีพระประสงค์อย่างเดียวคือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับมนุษย์ ปรัชญานี้ไม่เป็นที่ยอมรับกันโดยตระกูลปรัชญาอัชชาริยยะห์ (الأشاعرة - Ash'ariyyah) และ อาษาริยยะห์ (Athariyyah) ซึ่งเป็นตระกูลปรัชญาของซุนนีย์
ดังนั้น “ประตูแห่งอิญฏีหะ” (Gates of Ijtihad (اجتهاد) ) จึงเปิดขึ้นที่ทำให้เกิดการโต้แย้งกันภายในแวดวงระหว่างความคิดของปรัชญาตระกูลต่างๆ ของอิสลาม
Remove ads
อ้างอิง
อ่านเพิ่ม
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads