คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

สัญลักษณ์โอลิมปิก

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สัญลักษณ์โอลิมปิก
Remove ads

สัญลักษณ์โอลิมปิก (อังกฤษ: Olympic symbols) เป็นสิ่งที่ใช้แทนความหมายของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกสมัยใหม่ ได้แก่ รูป ธง และสัญลักษณ์อื่นๆ ที่ใช้โดยคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) เพื่อยกระดับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก แต่มีบางสิ่งที่มักใช้กันมากในระหว่างการแข่งขันโอลิมปิก เช่น เพลิงโอลิมปิก เพลงประโคมแตรและธีม แต่อย่างอื่น ๆ เช่น ธง นั้นสามารถเห็นได้ตลอดทั้งปีที่

ธงโอลิมปิกถูกสร้างขึ้นภายใต้การแนะนำของ ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง ในปี พ.ศ. 2456 และเปิดตัวใน พ.ศ. 2457 มันเป็นครั้งแรก และธงถูกเชิญครั้งแรกในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 ที่แอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ในสนามกีฬาหลัก รูปห่วงวงกลมห้าวงคล้องกันบนผืนธงแสดงถึงทวีปทั้ง 5 ของโลก

Remove ads

คติพจน์และความเชื่อ

สรุป
มุมมอง

คติพจน์ของโอลิมปิกดั้งเดิมเป็นเฮนดีอาทริส ความว่า Citius, Altius, Fortius ซึ่งเป็นภาษาละติน หมายความว่า "เร็วขึ้น สูงขึ้น แข็งแรงขึ้น"[1] ซึ่งถูกเสนอขึ้นโดยปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็งเมื่อครั้งการก่อตั้งคณะกรรมการโอลิมปิกสากลในปี 2437 จากนั้นจึงมีการเติมคำว่า "ด้วยกัน" (together) ในปี 2564 โดยกูแบร์แต็งยืมประโยคดังกล่าวมาจากอ็องรี ดีดง นักบวชในคณะดอมินิกันซึ่งเป็นนักกีฬากรีฑาและเพื่อนของเขา[2] กูแบร์แต็งกล่าวว่า "คำสามคำนี้แสดงถึงความดีงามทางศีลธรรม สุนทรียศาสตร์ของกีฬานั้นยากเกินกว่าจะอธิบาย"[2] คติพจน์นี้ถูกนำมาใช้ในปี 2467 ในการแข่งขันโอลิมปิกที่ปารีส[3] อุดมคติโอลิมปิกของกูแบร์แต็งนั้นได้แสดงถึงความเชื่อในโอลิมปิกว่า

สิ่งที่สำคัญที่สุดในกีฬาโอลิมปิกนั้น หาใช่แค่การเอาชนะไม่ แต่เป็นการมีส่วนร่วม เช่นเดียวกับสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต หาใช่ชัยชนะไม่ แต่เป็นการต่อสู้ดิ้นรน สิ่งสำคัญที่สุดจึงหาใช่การได้มาซึ่งชัยชนะ แต่คือการต่อสู้ให้ดี[4]

กูแบร์แต็งได้รับข้อความนี้มาจากเทศนาธรรมของเอเธลเบิร์ท ทาลบอต บาทหลวงแห่งเพนซิลเวเนียกลาง ในช่วงโอลิมปีที่ลอนดอนปี 2451[5]

ในปี 2564 คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) ได้อนุมัติให้มีการเพิ่มคำว่า "ด้วยกัน" (together) เข้าไปในคติพจน์ จึงเป็น "Citius, Altius, Fortius - Communiter" ในภาษาละติน ในความหมายว่า "เร็วขึ้น สูงขึ้น แข็งแรงขึ้นไปด้วยกัน"[6] จากคำกล่าวของนักละตินวิทยาชาวอิตาลีบางคน เช่น ศาสตราจารย์มารีโอ เด นอนโน, ศาสตราจารย์จีออร์จีโอ ปีราส และแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ให้ความเห็นว่าการใช้คำว่า "communiter" หรือ "communis" เป็นการใช้คำผิดในประโยคอย่างแน่นอน โดยเป็นข้อผิดพลาดทางภาษาศาสตร์[7][8]

Remove ads

ห่วง

สรุป
มุมมอง
Thumb
สัญลักษณ์ห้าห่วงของกีฬาโอลิมปิก

ห่วงเป็นห่วงที่คล้องอยู่ด้วยกันห้าห่วง ห่วงนั้นมีสี ได้แก่ สีน้ำเงิน สีเหลือง สีดำ สีเขียวและสีแดงโดยวางอยู่บนพื้นขาว เรียกว่า "ห่วงโอลิมปิก" สัญลักษณ์นี้ถูกประดิษฐ์ขึ้นในปี 2456 โดยกูแบร์แต็ง[9] ซึ่งดูเหมือนว่าเขาจะตั้งใจให้ห่วงต่าง ๆ นั้นเป็นตัวแทนของทวีปทั้งห้า ได้แก่ ทวีปยุโรป ทวีปแอฟริกา ทวีปเอเชีย ทวีปอเมริกา และทวีปโอเชียเนีย[10] โดยกูแบร์แต็งระบุว่าสีของห่วงพร้อมกับพื้นหลังสีขาวนั้นเป็นสีที่ประกอบกันขึ้นเป็นสีของธงชาติประเทศต่าง ๆ ที่เข้าร่วมการแข่งขันในขณะนั้น เมื่อมีการนำสัญลักษณ์มาใช้ กูแบร์แต็งได้ระบุไว้ในวารสาร Olympique ฉบับเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1913 ความว่า[11]

... สีทั้งหก [รวมสีขาวซึ่งเป็นสีพื้นของธงด้วย] รวมกันในลักษณะนี้ เป็นการจำลองสีของประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีข้อยกเว้น สีน้ำเงินและสีเหลืองของประเทศสวีเดน สีน้ำฟ้าและสีขาวของประเทศกรีซ สีทั้งสามของประเทศฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สหรัฐ ประเทศเยอรมนี ประเทศเบลเยียม ประเทศอิตาลี และประเทศฮังการี และสีเหลืองและสีแดงของประเทศสเปน รวมถึงธงใหม่ของประเทศบราซิลและประเทศออสเตรเลีย และรวมถึงญี่ปุ่นโบราณและประเทศจีนยุคใหม่ นี่จึงเป็นสัญลักษณ์สากลอย่างแท้จริง

Thumb
สัญลักษณ์ของ USFSA

ในบทความที่ตีพิมพ์ลงในนิตยสาร Olympic Revue ซึ่งเป็นนิตยสารทางการของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ฉบับเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1992 โบเบิร์ต บาร์นีย์ นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันได้อธิยายเกี่ยวกับแนวคิดห่วงที่คล้องกันไว้นั้น กูแบร์แต็งได้มาเมื่อครั้งที่เขาดูแลรับผิดชอบ USFSA ซึ่งเป็นสมาคมที่ก่อตั้งขึ้นโดยสหพันธ์กีฬาฝรั่งเศสสองสหพันธ์ และจนกระทั่งในปี 2468 จึงได้รับหน้าที่เป็นตัวแทนของฝรั่งเศสในคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ซึ่งตราของของสหพันธ์นั้นเป็นห่วงคล้องกันสองห่วง (คล้ายกับเวสิกา ปิสกิสของแหวนแต่งงานทั่วไป) และเติมเป็นแนวคิดของคาร์ล ยุง จิตแพทย์ชาวสวิส ซึ่งสำหรับเขาแล้ว ห่วงเป็นสัญลักษณ์ของความต่อเนื่องและความเป็นมนุษย์[12]

แม้ว่าในปี 2457 สภาคองเกรสถูกระงับไปเนื่องจากการแพร่ขยายของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง แต่สัญลักษณ์และธงได้ถูกนำมาใช้ต่อมาในภายหลัง โดยได้รับการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในโอลิมปิกฤดูร้อน 1920แอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม[13]

ความนิยมของสัญลักษณ์และการใช้นั้นเริ่มเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายในช่วงก่อนกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1936เบอร์ลิน โดยคาร์ล เดียม ประธานคณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 มีความต้องการที่จะจัดพิธีถือคบเพลิงขึ้นในสนามกีฬา ณ เดลฟี ซึ่งเป็นจุดที่มีผู้พยากรณ์ที่มีชื่อเสียง และเป็นสถานที่ที่จัดการแข่งขันกีฬาปีเทียขึ้น ด้วยเหตุนี้ดอง เขาจึงสั่งการให้มีการสร้างหลักหินขึ้นโดยมีห่วงโอลิมปิกสลักอยู่ด้านข้าง และให้ผู้ถือคบเพลิงนำพาเพลิงพร้อมผู้คุ้มกันสามคนจากสถานที่ดังกล่าวนี้ไปยังเบอร์ลิน มีการจัดพิธีเฉลิมฉลองขึ้น แต่ตัวหินไม่เคยถูกนำออกไป ต่อมา ลินน์และเกรย์ พูล นักเขียนชาวอเมริกันสองคน เมื่อครั้งไปเยือนเมืองเดลฟีในช่วงปลายคริสต์ทศวรรษที่ 1950 พวกเขาได้เห็นหินดังกล่าว และได้บันทึกลงไปในหนังสือ History of the Ancient Games[14] ของพวกเขา ว่าการออกแบบห่วงโอลิมปิกนั้นมาจากกรีกโบราณ และหินดังกล่าวหลายมาเป็นที่รู้จักในชื่อ "หินของคาร์ล เดียม"[15] สิ่งนี้ทำให้เกิดตำนานว่าสัญลักษณ์นี้มีต้นกำเนิดมาจากกรีกโบราณ

มุมมองปัจจุบันของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (IOC) นั้นมองว่า สัญลักษณ์นั้น "สนับสนุนแนวคิด" ว่าขบวนการโอลิมปิกนั้นเป็นขบวนการสากลและยินดีต้อนรับทุกประเทศทั่วโลกให้เข้าร่วม[16] ดังที่สามารถอ่านได้จากกฎบัตรโอลิมปิกว่า สัญลักษณ์โอลิมปิกนั้นแสดงถึงการรวมกันของ "ทวีปทั้งห้า" ของโลก และการพบปะกันของนักกีฬาจากทั่วโลกในกีฬาโอลิมปิก อย่างไรก็ตาม ไม่มีการระบุว่าห่วงใดนั้นเป็นตัวแทนของทวีปใด โดย "สมุดเขียว" ของคณะกรรมการโอลิมปิกสากลฉบับปี 1949–50 นั้นระบุว่าแต่ละสีนั้นสอดคล้องกับทวีปใดทวีปหนึ่ง โดยหนังสือดังกล่าวระบุว่า "สีน้ำเงินเป็นตัวแทนของทวีปยุโรป สีเหลืองเป็นตัวแทนของทวีปเอเชีย สีดำเป็นตัวแทนของทวีปแอฟริกา สีเขียวเป็นตัวแทนของออสเตรเลีย และสีแดงเป็นตัวแทนของอเมริกา"[17] โดยการกล่าวนี้ "ถูกยกเลิก" ไปในปี 2497 เนื่องจากไม่ปรากฏหลักฐานยืนยันว่ากูแบร์แต็งเจตนาเช่นนั้น โดยระบุว่า "แม้ว่าอย่างมากที่สุดแล้ว เขาอาจยอมรับมันในภายหลังก็ตาม"[18] แต่ถึงอย่างไรก็ตาม สัญลักษณ์ของสมาคมคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งชาติในช่วงก่อนปี 2557 นั้นมีการวางสัญลักษณ์ของแต่ละสมาคมของแต่ละทวีปไว้ในห่วงที่มีสีตรงกับสอดคล้องกันซึ่งระบุไว้ข้างต้น[19]

อีโมจิห่วงโอลิมปิกถูกเพิ่มเข้าไปในแอพพลิเคชันวอทส์แอพพ์เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559 ในรุ่น 2.16.7 ของแอพ จากนั้นได้ถูกนำออกไปในวันที่ 15 สิงหาคม 2559 ในรุ่น 2.16.9 ของแอพ[20] อีโมจิดังกล่าวประกอบด้วยตัวสัญลักษณ์ U+25EF large circle ห้าตัวรวมเข้าด้วยกันกับ U+200D zero width joiner เกิดเป็นตัวอักษรที่เชื่อมกันตามลำดับขึ้น โดยมีการสันนิษฐานว่าอีโมจิดังกล่าวเป็นข้อตกลงชั่วคราวกับคณะกรรมการโอลิมปิกสากล[21] โดยบนแป้นพิมพ์อีโมจิแอนดรอยด์ของวอทส์แอพพ์ มีสัญลักษณ์ห่วงอยู่ท้ายสุดของส่วนกีฬา อย่างไรก็ตาม วอทส์แอพพ์ในรุ่นไอโอเอสนั้นไม่มีแป้นพิมพ์อีโมจิ ผู้ใช้จึงต้องคัดลอกและวางอีโมจิเอาเอง[21]

Remove ads

ธงแต่ละประเภท

สรุป
มุมมอง
ข้อมูลเบื้องต้น การใช้, สัดส่วนธง ...
Thumb
ธงโอลิมปิกปลิวไสวในวิกตอเรีย รัฐบริติชโคลัมเบีย ประเทศแคนาดา ในวาระการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 2010แวนคูเวอร์

ธงโอลิมปิกถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็งเมื่อปี 2456

"สัญลักษณ์นั้นคัดเลือกมาเพื่อแสดงและเป็นตัวแทนของการประชุมคองเกรสโลก 2457 ซึ่งเป็นการประทับตราสุดท้ายในการบูรณะการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเริ่มปรากฎบนเอกสารเบื้องต้นต่าง ๆ ได้แก่ ห่วงห้าห่วงเชื่อมต่อกันไปเป็นระยะ สีต่าง ๆ ได้แก่ สีน้ำเงิน สีเหลือง สีดำ สีเขียว และสีแดงแสดงอยู่เด่นด้านหน้าพื้นกระดาษขาว ห่วงทั้งห้านี้เป็นตัวแทนของส่วนทั้งห้าของโลกซึ่งขณะนั้นได้รับชัยชนะเหนือโอลิมปิก และพร้อมที่จะยอมรับผลการแข่งขัน นอกจากนี้ รวมกันในลักษณะนี้ เป็นการจำลองสีของประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีข้อยกเว้น สีน้ำเงินและสีเหลืองของประเทศสวีเดน สีน้ำฟ้าและสีขาวของประเทศกรีซ สีทั้งสามของประเทศฝรั่งเศส สหราชอาณาจักร สหรัฐ ประเทศเยอรมนี ประเทศเบลเยียม ประเทศอิตาลี และประเทศฮังการี และสีเหลืองและสีแดงของประเทศสเปน รวมถึงธงใหม่ของประเทศบราซิลและประเทศออสเตรเลีย และรวมถึงญี่ปุ่นโบราณและประเทศจีนยุคใหม่ นี่จึงเป็นสัญลักษณ์สากลอย่างแท้จริง สัญลักษณ์นี้ถูกนำมาประดิษฐ์เป็นธง และรูปลักษณ์ของธงนั้นจะสมบูรณ์แบบ เป็นธงที่เบา น่าดึงดูด และสุขใจที่ได้เห็นธงนั้นปลิวไสวไปในสายลม ความหมายของธงคือในทางสัญลักษณ์เสียเป็นส่วนมาก ความสำเร็จของธงนี้นั้นแน่นอน จนถึงจุดที่หลังจากการประชุมคองเกรสแล้ว ธงนี้จะยังคงได้รับการดูแลอย่างเป็นพิธีการเมื่อจัดโอลิมปีกต่อไป

— ปีแยร์ เดอ กูแบร์แต็ง (2456)[22]

ธงเฉพาะ

ธงโอลิมปิกเฉพาะจะถูกจัดแสดงโดยเมืองที่จะเป็นเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกครั้งถัดไป ในระหว่างพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกแต่ละครั้งในพิธีที่เรียกว่าพิธีแอนต์เวิร์ป[23] โดยธงจะถูกส่งผ่านจากนายกเทศมนตรีของเมืองเจ้าภาพปัจจุบันไปยังเมืองเจ้าภาพครั้งถัดไป จากนั้นธงจะถูกนำไปยังเจ้าภาพใหม่และถูกจัดแสดงไว้ ณ ศาลากลาง ธงเหล่านี้ไม่ควรถูกสับสนกับธงโอลิมปิกที่มีขนาดใหญ่กว่า และถูกสร้างขึ้นเฉพาะสำหรับในแต่ละการแข่งขัน ซึ่งจะถูกเชิญขึ้นในสนามกีฬาของเมืองเจ้าภาพและจากนั้นจึงจะถูกปลดระวางไป เนื่องจากไม่มีธงเฉพาะสำหรับในจุดประสงค์นี้ ดังนั้น ธงที่ถูกเชิญอยู่ในสนามกีฬาจึงอาจมีความแตกต่างกันได้เล็กน้อย ซึ่งรวมไปถึงความแตกต่างของค่าสี และที่เห็นได้ชัดคือการมี (หรือไม่มี) เส้นขอบสีขาวรอบห่วงแต่ละห่วง

ธงแอนต์เวิร์ป

ในระหว่างพิธีปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1920แอนต์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม ธงโอลิมปิกพร้อมห่วงทั้งห้าซึ่งแสดงถึงความเป็นสากลของกีฬาโอลิมปิกนั้นถูกเชิญขึ้นเป็นครั้งแรกในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก[24] เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันไปแล้ว ธงดังกล่าวนั้นไม่สามารถพบได้ จึงต้องมีการสร้างธงโอลิมปิกขึ้นในสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1924ปารีส ประเทศฝรั่งเศส แม้ว่าสิ่งนี้จะเป็นการสร้างธงแทนที่ แต่คณะกรรมการโอลิมปิกสากลยังคงเรียกธงนี้ว่า "ธงแอนต์เวิร์ป" แทนที่จะเป็น "ธงปารีส"[25] โดยธงนี้จะถูกส่งต่อไปยังเมืองเจ้าภาพการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งถัดไป จนกระทั่งในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 1952ออสโล ประเทศนอร์เวย์ มีการแยกธงโอลิมปิกเพื่อสำหรับใช้เฉพาะในการแช่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว (ดูด้านล่าง) ธงแอนต์เวิร์ปนี้ถูกใช้ในการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อนมาอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1988โซล ประเทศเกาหลีใต้ ธงดังกล่าวจึงถูกปลดระวางลง

ในปี 2540 ในงานเลี้ยงซึ่งจัดโดยคณะกรรมการโอลิมปิกสหรัฐ ขณะที่นักข่าวคนหนึ่งกำลังสัมภาษณ์ฮาล เฮก พรีสต์ ผู้ชนะเหรียญทองแดงในกีฬากระโดดน้ำและเป็นสมาชิกของทีมโอลิมปิกสหรัฐในปี 2463 นักข่าวผู้นั้นกล่าวว่า คณะกรรมการโอลิมปิกสากลนั้นไม่สามารถค้นหาได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับธงโอลิมปิกต้นฉบับ "ผมช่วยคุณได้" พรีสต์กล่าว "มันอยู่ในกระเป๋าของผมเอง" ซึ่งในตอนท้ายของการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกที่แอนต์เวิร์ป ดุก คาฮานาโมกูเพื่อนของเขาได้ปีนเสาธงขึ้นไปและขโมยธงโอลิมปิกมา เป็นเวลากว่า 77 ปี ที่ธงนั้นถูกเก็บไว้ที่ก้นกระเป๋าเดินทางของพรีสต์ โดยธงนี้ถูกส่งมอบคืนกลับไปยังคณะกรรมการโอลิมปิกสากล ขณะนั้นพรีสต์มีอายุได้ 103 ปีในพิธีการพิเศษซึ่งถูกจัดขึ้นในโอลิมปิกฤดูร้อน 2000ซิดนีย์[26] ปัจจุบันธงแอนต์เวิร์ปถูกจัดแสดงไว้ ณ พิพิธภัณฑ์โอลิมปิกในโลซาน ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ พร้อมแผ่นสลักข้อความขอบคุณพรีสต์ที่บริจาคธงดังกล่าวให้[27]

ธงออสโล

ธงออสโลถูกเสนอให้คณะกรรมการโอลิมปิกสากลโดยนายกเทศมนตรีออสโล ประเทศนอร์เวย์ ในระหว่างการแข่งขันโอลิมปิกฤดูหนาว 1952 กระทั่งปี 2557 ธงนี้ถูกส่งต่อให้กับเมืองเจ้าภาพถัดไปของโอลิมปิกฤดูหนาว ปัจจุบัน ธงออสโลถูกเก็บรักษาไว้ในกล่องพิเศษ และมีการใช้ธงจำลองในระหว่างพิธีปิดการแข่งขันแทน[28]

ธงโซล

Thumb
ธงชาติเกาหลีใต้เคียงคู่กับธงโอลิมปิกในอุทยานโอลิมปิกโซล

เป็นธงสืบต่อจากธงแอนต์เวิร์ป[29] ธงโซลถูกนำเสนอให้คณะกรรมการโอลิมปิกสากลในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1988 โดยกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ และถูกส่งต่อไปยังเมืองเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งถัดไปนับแต่นั้นมา

ธงรีโอเดจาเนโร

เป็นธงสืบต่อจากธงโซล[30] ธงรีโอเดจาเนโรถูกนำเสนอให้คณะกรรมการโอลิมปิกสากลในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 2016 โดยนครรีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล และได้ถูกส่งต่อไปยังเมืองเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อนครั้งถัดไป นั่นคือ โตเกียว

ธงพย็องชัง

เป็นธงสืบต่อจากธงออสโล[31] ธงพย็องชังถูกนำเสนอให้คณะกรรมการโอลิมปิกสากลในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาว 2018 โดยนครพย็องชัง ประเทศเกาหลีใต้ และได้ถูกส่งต่อไปยังเมืองเจ้าภาพการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูหนาวครั้งถัดไป นั่นคือ ปักกิ่ง

ธงสิงคโปร์

ในการเปิดตัวการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชน ธงโอลิมปิกถูกประดิษฐ์ขึ้นสำหรับการแข่งขันสำหรับเยาวชน โดยเป็นธงที่คล้ายกับธงโอลิมปิก โดยธงถูกเสนอต่อประเทศสิงคโปร์เป็นครั้งแรกโดยฌัก โรคเคอ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกสากล[32][33] ในระหว่างพิธีปิดการแข่งขันวันที่ 26 สิงหาคม 2553 ประเทศสิงคโปร์ได้ส่งต่อธงดังกล่าวให้กับคณะกรรมการจัดการแข่งขันครั้งถัดไป นั่นคือ หนานจิง 2014[34]

ธงอินส์บรุค

ในการเปิดตัวการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว ธงโอลิมปิกถูกนำเสนอให้คณะกรรมการโอลิมปิกสากลในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาว 2012 โดยนครอินส์บรุค ประเทศออสเตรีย และได้ถูกส่งต่อไปยังเมืองเจ้าภาพการแข่งขันกีฬากีฬาโอลิมปิกเยาวชนฤดูหนาวครั้งถัดไปต่อไป

Remove ads

เพลิงและการวิ่งคบเพลิง

Thumb
เพลิงโอลิมปิก ณ เอเธนส์ 2004 ในช่วงพิธีเปิดการแข่งขัน

ประเพณีการเคลื่อนย้ายเพลิงโอลิมปิกผ่านการวิ่งคบเพลิงจากประเทศกรีซไปยังสนามกีฬาโอลิมปิกนั้นเริ่มต้นขึ้นในการแข่งขันที่เบอร์ลิน 1936 โดยหลายเดือนก่อนการแข่งขัน จะมีพิธีจุดเพลิงโอลิมปิกขึ้นจากแสดงอาทิตย์ด้วยจานสะท้อนแบบพาราโบลา ณ โบราณสถานโอลิมปิกในเมืองโอลิมเปีย ประเทศกรีซ โดยคบเพลิงจะถูกนำออกจากประเทศกรีซ และมักถูกนำไปยังทวีปหรือประเทศที่เป็นเจ้าภาพการแข่งขัน คบเพลิงโอลิมปิกมักถูกวิ่งโดยนักกีฬา ผู้นำ บุคคลที่มีชื่อเสียง และบุคคลทั่วไป และในบางครั้งในสภาพที่ไม่ใช่ทั่วไป เช่น การส่งผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ไปยังดาวเทียมในโอลิมปิกมอนทรีออล 1976 นำเพลิงลงวิ่งใต้น้ำโดยไม่ดับในโอลิมปิกซิดนีย์ 2000 หรือนำออกไปในอวกาศและไปยังขั้วโลกเหนือในโอลิมปิกโซซี 2014 ในวันสุดท้ายของการวิ่งคบเพลิง ซึ่งเป็นวันพิธีเปิดการแข่งขัน เพลิงโอลิมปิกจะมาถึงยังสนามกีฬาหลัก และจะถูกนำไปจุดยังกระถางคบเพลิงซึ่งตั้งอยู่ในส่วนที่โดดเด่นของสนาม เพื่อแสดงถึงการเริ่มต้นการแข่งขัน

Remove ads

เหรียญรางวัลและประกาศนียบัตร

เหรียญรางวัลโอลิมปิกเป็นรางวัลที่มอบให้กับผู้ชนะและเป็นสัญลักษณ์หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ตัวเหรียญรางวัลนั้นทำให้จากเงินชุบทองสำหรับเหรียญทอง ขณะที่เหรียญเงินและเหรียญทองแดงเป็นรางวัลที่มอบให้กับรองชนะสองอันดับในการแข่งขัน เหรียญแต่ละเหรียญสำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกนั้นเป็นการออกแบบโดยทั่วไป ซึ่งการออกแบบนั้นจะถูกเลือกโดยคณะผู้จัดงานในแต่ละครั้ง ตั้งแต่ปี 2471 ถึง 2543 ด้านตรงข้ามของเหรียญจะมีรูปของเทพีไนกีซึ่งเป็นเทพีแห่งชัยชนะถือปาล์มในมือซ้ายและมงกุฎของผู้ชนะในมือขวา การออบแบบนี้ได้รับการออกแบบโดยกีอุสเซปเป คัสซีโอลี ในอีกด้านของเหรียญมักจะเป็นส่วนแสดงถึงการแข่งขันในแต่ละครั้ง ซึ่งจะสะท้อนถึงเจ้าภาพการแข่งขัน

ในปี 2547 ด้านตรงข้ามของเหรียญถูกเปลี่ยนเพื่อให้มีการอ้างอิงกับตัวอักษรกรีกที่ชัดเจนขึ้น ในการออกแบบนี้ เทพีไนกีอยู่ในลักษณะบินไปยังสนามกีฬาพานาเทนาอิก ซึ่งสะท้อนถึงการเวียนใหม่ของการแข่งขัน ซึ่งออกแบบโดยเอเลนา โวตซี นักออบแบบอัญมณีชาวกรีก[35]

ส่วนประกาศนียบัตรโอลิมปิกเป็นสิ่งที่มอบให้กับผู้จบการแข่งขันในอันดับที่สี่ ห้า และหก ตั้งแต่ปี 2492 และผู้จบอันดับที่เจ็ดและแปดตั้งแต่ปี 2524

Remove ads

เพลงประจำการแข่งขัน

สรุป
มุมมอง

"เพลงสดุดีโอลิมปิก" หรือชื่อทางการคือ "เพลงประจำการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก" เป็นเพลงที่บรรเลงเมื่อเชิญธงโอลิมปิกขึ้นสู่ยอดเสา ประพันธ์ทำนองโดยสปีรีโดน ซามาราส และประพันธ์คำร้องในรูปแบบบทกวีโดยโคสติส ปาลามาส นักกวีและนักเขียนชาวกรีก โดยทั่งทำนองและคำร้องได้รับเลือกโดยดีมีตรีโอส วีเกลัส ชาวกรีกฝ่ายยุโรปนิยมและประธานคณะกรมการโอลิมปิกสากลคนแรก เพลงนี้ถูกใช้เป็นครั้งแรกในพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1896เอเธนส์ แต่ขณะนั้นยังไม่ได้รับการประกาศให้เป็นเพลงทางการโดยคณะกรรมการโอลิมปิก กระทั่งปี 2501 จึงมีการประกาศให้เป็นเพลงทางการ ทำให้ในทุกการจัดการแข่งขันจะมีการเล่นเพลงนี้

เพลงโอลิมปิกและเพลงประโคมแตรที่มีชื่อเสียงอื่น ๆ ได้แก่

Thumb
อาร์เร เมรีกันโต นักประพันธ์เพลงประโคมแตรของโอลิมปิกฤดูร้อน 1952สนามกีฬาโอลิมปิกเฮลซิงกิในระหว่างการแข่งขัน
  • "โอลิมพิสเช ฮึมเน" (Olympische Hymne) เป็นเพลงสำหรับออร์เคสตราและคอรัสผสม ประพันธ์โดยริชชาร์ท ชเตราส์ ในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1936 ณ เบอร์ลิน
  • "เพลงประโคมแตรโอลิมปิก" (Olympic Fanfare) สำหรับโอลิมปิกฤดูร้อน 1952 ณ เฮลชิงกี ต้นฉบับประพันธ์โดยอาร์เร เมรีกันโตสำหรับโอลิมปิกฤดูร้อน 1940 ซึ่งถูกยกเลิกไป โดยเพลงประโคมแตรของเมรีกันโตชนะการประกวดเพลงประโคมแตรในประเทศฟินแลนด์ในปี 2482 แต่การชนะของเมรีกันโตนั้นถูกยืดไปกว่าทศวรรษ กระทั่งเพลงประโคมแตรของเขาถูกค้นพบอีกครั้งในปี 2494 และได้มีการตัดสินใจใช้เป็นเพลงการแข่งขันในปี 2495 และมีการบันทึกเสียงในปี 2496[36]
  • "บีกเลอร์สดรีม" (Bugler's Dream) ประพันธ์ขึ้นในปี 2495 โดยลีโอ อาร์โนด์ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Charge Suite เพลงนี้ถูกนำมาใช้เป็นเพลงธีมประกอบการแข่งขันในฐานะ "เพลงธีมโอลิมปิก" โดยสถานีโทรทัศน์สหรัฐ ได้แก่ เอบีซี และ เอ็นบีซี โดยเริ่มใช้ครั้งแรกในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก 1964 ณ โตเกียว
  • "มาร์ชโอลิมปิก" (Olympic March) เป็นเพลงธีมที่ประพันธ์ขึ้นโดยยูจิ โคเซกิ เป็นเพลงธีมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1964 ณ โตเกียว
  • "เพลงประโคมแตรโอลิมปิก 1972" (Olympic Fanfare 1972) เป็นเพลงชนะการคัดเลือกใช้ประกอบเป็นเพลงธีมการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1972 ณ มิวนิก และถูกใช้เป็นเพลงสัญญาณโทรทัศน์ของศูนย์โอลิมปิกเยอรมัน (Deutsches Olympia-Zentrum, DOZ) และเป็นเพลงบรรเลงนำในพิธีมอบเหรียญรางวัล เพลงนี้ประพันธ์โดยแฮร์แบร์ท เรไบน์[37] บรรเลงโดยวิทยุซิมโฟนีออร์เคสตราบาวาเรีย (Orchester des Bayerischen Rundfunks) และสมาชิกของวงดุริยางค์ทหารอากาศนอยบีแบร์ก และวิลลี แมตเทสเป็นวาทยกร[ต้องการอ้างอิง]
  • "เพลงธีมและเพลงประโคมแตรโอลิมปิก" (Olympic Fanfare and Theme) ประพันธ์โดยจอห์น วิลเลียมส์ ใช้สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1984 ณ ลอสแองเจลิส โดยเพลงถูกบรรเลงในพิธีเปิดการแข่งขันโดยวงดุริยางค์ทหารบกเฮรัลด์ทรัมเป็ตของสหรัฐกำกับโดยร้อยเอกเดวิด เดทริก[38] การบันทึกเสียงครั้งแรกถูกดำเนินการโดยวงออร์เคสตราของลอสแองเจลิส-แอเรียมิวซิเชียน และถูกปล่อยออกมาในรูปแบบแผ่นเสียงแอลพีและตลับเทป อัลบั้ม The Official Music of the XXIIIrd Olympiad Los Angeles 1984 พร้อมทั้งรูปแบบแผ่นซีดีในประเทศญี่ปุ่นเท่านั้น (ซึ่งได้รับรางวัลแกรมมีในปี 2528)[39] ส่วนการจัดเรียงเพลงที่แตกต่างกันเล็กน้อยถูกปล่อยออกมาในอัลบั้มของฟิลิปส์ By Request: The Best of John Williams and the Boston Pops Orchestra ในปี 2539 เพลงอีกเวอร์ชันของ "เพลงธีมและเพลงประโคมแตรโอลิมปิก" ถูกปล่อยออกมาในอัลบั้ม Summon the Heroes เพื่อใช้ประกอบการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 1996 โดยมีการแทนที่ตอนแรกด้วยเพลง "บีกเลอร์สดรีม" ของอาร์โนด์ เพลงธีมนี้ยังถูกใช้ในพิธีปิดการแข่งขันโอลิมปิกฤดูร้อน 2010ด้วย ในฐานะเพลงประกอบเมื่อผู้นำถือธงชาติเข้าสู่สนามกีฬาบีซีเพลซล้อมรอบเพลิงโอลิมปิก และเมื่อธงโอลิมปิกถูกเชิญเข้าสู่สนามโดยเกรเกอร์ โบเบิร์ตสัน นายกเทศมนตรีเมืองแวนคูเวอร์
  • "ดิโอลิมปิกสปีริต" (The Olympic Spirit) เป็นเพลงธีมที่ประพันธ์โดยจอห์น วิลเลียมส์ สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1988โซล และใช้ในการถ่ายทอดสดการแข่งขันของเอ็นบีซีด้วย
  • "ซัมมอนเดอะฮีโร่" เป็นเพลงธีมที่ประพันธ์โดยจอห์น วิลเลียม สำหรับการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1996แอตแลนตา
  • ํ"เพลงธีมจากดิแอดเวนเจอร์ออฟบริสโกเคาท์ตีจูเนียร์" เพลงธีมในรายการโทรทัศน์ ประพันธ์โดยแรนดี เอเดลแมน ถูกใช้ครั้งแรกสำหรับเป็นตัวอย่างเชิงการค้าและโปรโมตกีฬาในการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกฤดูร้อน 1996ของเอ็นบีซี โดยยกเลิกไปหลังจากโอลิมปิกฤดูร้อน 2016[40]
  • "คอลออฟเดอะแชมเปียนส์" (Call of the Champions) เพลงธีมซึ่งประพันธ์โดยจอห์น วิลเลียมส์ สำหรับโอลิมปิกฤดูหนาว 2002

โดยมีนักประพันธ์เพลงอีกหลายคนที่มีส่วนในเพลงที่เกี่ยวข้องกับโอลิมปิก ได้แก่ เฮนรี แมนซินี ฟร็องซิส เล มาร์วิน แฮมลิช ฟิลิป กลาส เดวิด ฟอสเตอร์ มิไคล เทโอโดราคิส รีวอิจิ ซากาโมโตะ แวนเจลิส เบซิล โพเลโดริส ไมเคิล เคเมน และมาร์ก วอเทอร์ส

Remove ads

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads