คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

พระรัตนธัชมุนี (ม่วง รตนทฺธโช)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

พระรัตนธัชมุนี (ม่วง รตนทฺธโช)
Remove ads

พระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช นามเดิม ม่วง ฉายา รตนทฺธโช เป็นพระราชาคณะชั้นธรรมพิเศษ ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย เจ้าอาวาสรูปที่ 7 ของวัดท่าโพธิ์วรวิหาร[1] ผู้มีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษาในภาคใต้ โดยก่อตั้งและร่วมก่อตั้งโรงเรียนขึ้น 21 แห่ง รวมทั้งโรงเรียนเบญจมราชูทิศ นครศรีธรรมราช[2]

ข้อมูลเบื้องต้น พระรัตนธัชมุนี (ม่วง รตนทฺธโช), คำนำหน้าชื่อ ...
Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

วัยเยาว์

พระรัตนธัชมุนี มีนามเดิม ม่วง เกิดเมื่อวันพุธที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2396 ตรงกับวันขึ้น 6 ค่ำ เดือน 9 ปีฉลู[3] เป็นบุตรคนสุดท้องในบรรดาบุตรทั้งหมด 8 คน (หญิง 2 ชาย 6) ของนายแก้วกับนางทองคำ ชาติภูมิอยู่บ้านหมาก ตำบลบ้านเพิง อำเภอปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช[4]

การศึกษา

เมื่ออายุ 9 ขวบ ได้ศึกษาภาษาไทยและภาษาบาลีตามลำดับในสำนักของพระอาจารย์เพ็ชร วัดแจ้ง จนอายุ 15 จึงบรรพชาเป็นสามเณรที่วัดแจ้ง จนอายุได้ 17 ปีจึงย้ายไปอยู่วัดมเหยงคณ์ ศึกษาภาษาบาลีในสำนักของพระครูการาม (จู) จนอายุ 20 ปีในปี พ.ศ. 2416 จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุโดยมีพระครูการาม (จู) เป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อพระครูการามย้ายมาเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าโพธิ์ในปีต่อมา ท่านได้ตามมาอยู่ด้วย จนพระครูการามมรณภาพในปี พ.ศ. 2427 ท่านจึงได้เป็นเจ้าอาวาสแทน[3]

ปีฉลู พ.ศ. 2432 พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส เสด็จมาตรวจการพระศาสนาในหัวเมืองปักษ์ใต้ พระอธิการม่วงได้เข้าเฝ้าและตามเสด็จกลับมาศึกษาพระปริยัติธรรมที่กรุงเทพมหานคร ทรงให้ท่านอยู่วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร และในปีฉลูนั้นทรงให้ท่านทำทัฬหีกรรมบวชใหม่ในคณะธรรมยุตโดยมีพระพรหมมุนี (แฟง กิตฺติสาโร) เป็นพระอุปัชฌาย์ ส่วนพระองค์เองเป็นพระกรรมวาจาจารย์ บวชแล้วศึกษากับพระองค์ต่อ จนปีขาล พ.ศ. 2433 ได้เข้าสอบที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ได้เป็นเปรียญธรรม 4 ประโยค ปีต่อมาได้ทูลลากลับไปอยู่วัดท่าโพธิ์ตามเดิม[3]

ศาสนกิจ

พ.ศ. 2441 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จฯ ประพาสปักษ์ใต้ พระมหาม่วงได้เข้าเฝ้าและถวายรายงานเรื่องการพระศาสนาในเมืองนครศรีธรรมราชเป็นที่พอพระทัย และทรงเห็นว่าท่านมีคุณธรรมและอุตสาหะ จึงแต่งตั้งท่านเป็นพระราชาคณะเจ้าคณะใหญ่เมืองนครศรีธรรมราช[3][5] ต่อมาวันที่ 19 กรกฎาคม ร.ศ. 121 ได้รับโปรดเกล้าฯ ตั้งเป็นเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราช[6] และโปรดเกล้าฯ ให้พระยาวุฒิการบดีส่งสัญญาบัตรไปพระราชทาน[7] ต่อมาวันที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2469 ทรงประกาศให้รวมมณฑลสุราษฎ์และจังหวัดสตูลเข้ากับมณฑลนครศรีธรรมราช โดยโปรดให้ท่านเป็นเจ้าคณะมณฑลต่อตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2469 เป็นต้นไป[8]

ในระหว่างดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑล นอกจากการปกครองสังฆมณฑลให้เรียบร้อย ท่านยังได้ทำงานสนองนโยบายของราชการโดยจัดการศึกษาแบบใหม่ขึ้นทั่วทั้งมณฑลนับแต่เมืองนครศรีธรรมราชไปจนถึงเมืองกลันตัน จนกระทั่งปี พ.ศ. 2472 ท่านจึงขอลาออกจากตำแหน่งเพราะชราภาพ[9] แต่ปรากฏว่าเกิดความไม่สงบขึ้น ท่านจึงได้รับโปรดเกล้าฯ ให้กลับมาดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลอีกครั้งตั้งแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2467[10] เมื่อสะสางปัญหาต่าง ๆ เรียบร้อยท่านจึงขอลาออกอีกครั้งด้วยเหตุผลเดิม จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตและให้พระธรรมโกษาจารย์ (เซ่ง อุตฺตโม) เจ้าคณะมณฑลภูเก็ต ดำรงตำแหน่งเจ้าคณะมณฑลนครศรีธรรมราชด้วยอีกตำแหน่งหนึ่งตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2471[11]

Remove ads

สมณศักดิ์

  • 4 กรกฎาคม ร.ศ. 117 ได้รับพระราชทานสัญญาบัตรตั้งเป็นพระราชาคณะที่ พระศิริธรรมมุนี เจ้าคณะใหญ่เมืองนครศรีธรรมราช มีนิตยภัตรเดือนละ 4 ตำลึง[5]
  • 25 มกราคม ร.ศ. 129 ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นเทพที่ พระเทพกวี ศรีวิสุทธิดิลก ตรีปิฎกบัณฑิต ยติคณิศร บวรสังฆารามคามวาสี มีนิตยภัตรเดือนละ 26 บาท[12]
  • 10 พฤศจิกายน ร.ศ. 131 ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมที่ พระธรรมโกษาจารย์ สุนทรญาณดิลก ตรีปิฎกธรรมภูษิต ยติคณิศร บวรสังฆารามคามวาสี มีนิตยภัตรเดือนละ 28 บาท[13]
  • 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2466 ได้รับโปรดเกล้าฯ ให้เลื่อนเป็นพระราชาคณะชั้นธรรมพิเศษที่ พระรัตนธัชมุนีศรีธรรมราช สังฆนายกตรีปิฎกคุณาลังการ ศีลสมาจารวินัยสุนทร ยติคณิศรบวรสังฆาราม คามวาสี[14]
Remove ads

มรณภาพ

พระรัตนธัชมุนี ถึงแก่มรณภาพด้วยโรคชราเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2477 เวลา 4.20 น. ณ วัดท่าโพธิ์ สิริอายุได้ 81 ปี 42 วัน ได้รับพระราชทานเพลิงศพเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2478[15]

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads