คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ภาษาย่อย

รูปแบบทางภาษาที่ต่างกันด้วยปัจจัยทางภูมิศาสตร์หรือปัจจัยทางสังคม จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Remove ads

ศัพท์ ภาษาย่อย[1] (อังกฤษ: dialect) มีที่ใช้แตกต่างกันสองลักษณะเพื่อกล่าวถึงปรากฏการณ์ทางภาษาศาสตร์ที่แตกต่างกันสองประเภท ดังนี้

  • การใช้งานลักษณะแรกหมายถึงวิธภาษาหนึ่ง ๆ ของภาษาหนึ่ง ๆ ที่เป็นลักษณะเฉพาะของกลุ่มผู้พูดกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งของภาษานั้น[2] ตามบทนิยามนี้ บรรดาภาษาย่อยหรือวิธภาษาของภาษาใดภาษาหนึ่งจะมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด และแม้จะมีความแตกต่างกัน แต่ส่วนใหญ่มักเข้าใจกันและกันได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอยู่ใกล้กันในแนวต่อเนื่องภาษาย่อย ศัพท์ ภาษาย่อย มักใช้กับรูปแบบการพูดต่าง ๆ ในระดับภูมิภาค แต่ภาษาย่อยหนึ่ง ๆ ยังอาจได้รับการนิยามด้วยปัจจัยอื่น เช่น ชั้นสังคมหรือกลุ่มชาติพันธุ์ เป็นต้น[3] ภาษาย่อยที่มีความสัมพันธ์กับชั้นสังคมชั้นใดชั้นหนึ่งอาจเรียกว่า สังคมภาษณ์ (sociolect) ภาษาย่อยที่มีความสัมพันธ์กับกลุ่มชาติพันธุ์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอาจเรียกว่า ภาษณ์ชาติพันธุ์ (ethnolect) และภาษาย่อยภูมิศาสตร์หรือภาษาถิ่นอาจเรียกว่า ภาษณ์ภูมิภาค (regiolect,[4] regionalect)[5] หรือ ภูมิภาษณ์ (geolect,[6] topolect)[7] ตามบทนิยามนี้ เราสามารถจัดวิธภาษาใด ๆ ของภาษาหนึ่ง ๆ ให้เป็น "ภาษาย่อย" ได้ทั้งสิ้น รวมถึงวิธภาษามาตรฐานด้วย ในกรณีนี้ ความแตกต่างระหว่าง "ภาษามาตรฐาน" (กล่าวคือ ภาษาย่อย "มาตรฐาน" ของภาษาใดภาษาหนึ่ง) กับภาษาย่อย "ไม่มาตรฐาน" ของภาษาเดียวกันมักเป็นไปโดยนิรเกณฑ์ (arbitrariness) และอิงตามข้อพิจารณาหรือความแพร่หลายและความโดดเด่นทางสังคม การเมือง วัฒนธรรม หรือประวัติศาสตร์[8][9][10] ในทำนองเดียวกัน บทนิยามของศัพท์ ภาษา และ ภาษาย่อย อาจเหลื่อมซ้อนกันและมักตกเป็นประเด็นการถกเถียง โดยการจำแนกความต่างระหว่างสองประเภทนี้มักมีพื้นฐานมาจากเหตุจูงใจที่เป็นนิรเกณฑ์หรือเหตุจูงใจทางสังคมและการเมือง[11] อย่างไรก็ตาม ศัพท์ ภาษาย่อย บางครั้งถูกจำกัดความให้หมายถึง "วิธภาษาไม่มาตรฐาน" โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสถานการณ์ไม่เฉพาะทางและธรรมเนียมดั้งเดิมทางภาษาศาสตร์นอกภาษาอังกฤษ[12][13][14][15]
  • การใช้งานอีกลักษณะของศัพท์ ภาษาย่อย ซึ่งปรากฏเฉพาะในสถานการณ์ที่ไม่เป็นทางการในไม่กี่ประเทศ เช่น อิตาลี[16] ฝรั่งเศส ฟิลิปปินส์[17][18] เป็นต้น มีความหมายเชิงดูหมิ่นแฝงอยู่และเน้นย้ำสถานะที่เป็นรองทางการเมืองและทางสังคมของภาษาที่ไม่ใช่ภาษาประจำชาติต่อภาษาทางการภาษาเดียวของประเทศ กล่าวอีกนัยหนึ่ง "ภาษาย่อย" เหล่านี้ไม่ใช่ภาษาย่อยที่แท้จริงในความหมายเดียวกันกับในการใช้ในลักษณะแรก เพราะไม่ได้สืบเนื่องมาจากภาษาที่มีอิทธิพลทางการเมืองเหนือกว่า ดังนั้น "ภาษาย่อย" เหล่านี้จึงไม่ใช่วิธภาษาของภาษาดังกล่าว หากแต่มีวิวัฒนาการในลักษณะแยกจากกันและขนานกัน ด้วยเหตุนี้จึงอาจเข้าเกณฑ์การจัดเป็นภาษาเอกเทศของหลายฝ่าย "ภาษาย่อย" เหล่านี้ในอดีตอาจมีความสัมพันธ์ทางเชื้อสายในตระกูลย่อยเดียวกันกับภาษาประจำชาติซึ่งเด่นกว่า และอาจมีความเข้าใจซึ่งกันและกัน (ในระดับที่แตกต่างกันไป) กับภาษาประจำชาติด้วยซ้ำ ตามนัยนี้ (ซึ่งต่างกับการใช้งานในลักษณะแรก) ภาษาประจำชาติจะไม่จัดว่าเป็น "ภาษาย่อย" เนื่องจากตัวมันเองเป็นภาษาเด่นในรัฐหนึ่ง ๆ ไม่ว่าในแง่เกียรติภูมิทางภาษา สถานะทางสังคมหรือการเมือง (เช่น สถานะทางการ) ความเด่นหรือความแพร่หลาย หรือทั้งหมดข้างต้น ศัพท์ ภาษาย่อย ที่ใช้ในลักษณะนี้โดยปริยายมีความหมายแฝงทางการเมือง ส่วนใหญ่ใช้เพื่ออ้างถึงภาษาที่มีเกียรติภูมิต่ำ (ไม่เกี่ยวข้องกับระดับความใกล้ไกลจากภาษาประจำชาติที่แท้จริง) ภาษาที่ขาดการสนับสนุนจากสถาบัน หรือภาษาที่ถูกมองว่า "ไม่เหมาะสมสำหรับการเขียน"[19] ศัพท์ ภาษาย่อย ยังนิยมใช้เพื่ออ้างถึงภาษาที่ไม่มีระบบการเขียนเป็นมาตรฐานหรือไม่ได้ผ่านกระบวนการจัดประมวลในประเทศกำลังพัฒนาหรือพื้นที่โดดเดี่ยว[20][21] ในกรณีนี้ ศัพท์ ภาษาท้องถิ่น (vernacular language) จะเป็นที่นิยมใช้มากกว่าในหมู่นักภาษาศาสตร์[22]

คุณลักษณะที่แยกภาษาย่อยต่าง ๆ ออกจากกันสามารถพบได้ในคลังศัพท์ (วงศัพท์) และไวยากรณ์ เช่นเดียวกับในการออกเสียง (สัทวิทยา ซึ่งรวมถึงสัทสัมพันธ์) ในกรณีที่สามารถสังเกตความต่างที่เด่นชัดได้ในการออกเสียงเพียงอย่างเดียวหรือเป็นส่วนใหญ่ อาจใช้ศัพท์ สำเนียง ซึ่งมีความเจาะจงมากกว่าแทนศัพท์ ภาษาย่อย วิธภาษาประเภทอื่น ๆ ได้แก่ ภาษาเฉพาะวงการ (ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันไปในแง่คลังศัพท์), สแลง, ภาษาชนบท (patois), ภาษาผสมแก้ขัด และสแลงเฉพาะกลุ่ม (argot) ส่วนรูปแบบการพูดรูปแบบหนึ่ง ๆ ที่แต่ละบุคคลใช้ เรียกว่า เอกัตภาษณ์ (idiolect)

Remove ads

ภาษาย่อยหรือต่างภาษา

สรุป
มุมมอง

ความเข้าใจซึ่งกันและกัน

เกณฑ์อย่างหนึ่งซึ่งมักถูกมองว่ามีความเป็นภาษาศาสตร์ล้วน ๆ คือความเข้าใจซึ่งกันและกัน วิธภาษาสองวิธภาษาจัดเป็นภาษาย่อยของภาษาเดียวกันหากการเป็นผู้พูดวิธภาษาหนึ่งส่งผลให้ผู้พูดวิธภาษานั้นมีความรู้เพียงพอที่จะเข้าใจและสื่อสารให้ผู้พูดอีกวิธภาษาหนึ่งเข้าใจได้ ไม่เช่นนั้น วิธภาษาทั้งสองจะจัดเป็นภาษาที่แตกต่างกัน[23] อย่างไรก็ตาม บทนิยามนี้ไม่สามารถกำหนดความเป็นภาษาได้เสมอไปในกรณีของแนวต่อเนื่องภาษาย่อย (หรือโซ่ภาษาย่อย) ซึ่งประกอบด้วยวิธภาษาต่าง ๆ เกี่ยวเนื่องกันไปเป็นลำดับ แต่ละวิธภาษามีความเข้าใจซึ่งกันและกันกับวิธภาษาที่อยู่ถัดไป แต่วิธภาษาที่อยู่ห่างกันมากอาจไม่สามารถเข้าใจซึ่งกันและกันเลยก็ได้[23] ปัญหาเพิ่มเติมเกี่ยวกับเกณฑ์นี้คือความเข้าใจซึ่งกันและกันนั้นเกิดขึ้นในระดับที่แตกต่างกัน และเป็นการยากที่จะแยกความแตกต่างจากความคุ้นเคยที่มีอยู่ก่อนแล้วกับวิธภาษาอื่น ความเข้าใจซึ่งกันและกันที่มีการรายงานยังอาจได้รับผลกระทบจากทัศนคติของผู้พูดที่มีต่อชุมชนภาษาอื่น ๆ[24][25]

บทนิยามทางภาษาศาสตร์สังคม

Thumb
วิธภาษาท้องถิ่นในแนวต่อเนื่องภาษาย่อยเจอร์แมนิกตะวันตกจะลู่เข้าหาภาษามาตรฐานใด (ระหว่างภาษาดัตช์มาตรฐานกับภาษาเยอรมันมาตรฐาน) ก็ขึ้นอยู่กับว่าวิธภาษานั้นมีผู้พูดอยู่ฝั่งใดของพรมแดนเนเธอร์แลนด์–เยอรมนี[26]

อีกเกณฑ์หนึ่งที่มีการใช้เป็นครั้งคราวในการคัดจำแนกภาษาย่อยออกจากภาษาต่างหากคือหัวเรื่องทางภาษาศาสตร์สังคมว่าด้วยอำนาจของภาษา ตามบทนิยามนี้ วิธภาษาสองวิธภาษาถือเป็นภาษาย่อยของภาษาเดียวกันหากวิธภาษาเหล่านั้นคล้อยตามอำนาจเดียวกันในบางประเด็น (อย่างน้อยก็ในบางสถานการณ์) ตัวอย่างเช่น หากต้องการทราบชื่อสิ่งประดิษฐ์ใหม่หรือชื่อพรรณไม้ต่างถิ่นที่ไม่ค่อยเป็นที่รู้จัก ผู้พูดภาษาเว็สท์ฟาเลินและภาษาเยอรมันฟรังโคเนียตะวันออกอาจค้นในพจนานุกรมภาษาเยอรมันหรือสอบถามผู้เชี่ยวชาญที่พูดภาษาเยอรมัน จึงกล่าวได้ว่าวิธภาษาเหล่านี้ขึ้นกับภาษาเยอรมันมาตรฐานซึ่งกล่าวได้ว่ามีสถานะเอกเทศ[26] ในทางตรงกันข้าม ผู้พูดวิธภาษาแซกซันต่ำในเนเธอร์แลนด์ซึ่งมีความคล้ายคลึงกับภาษาเว็สท์ฟาเลินจะค้นในพจนานุกรมภาษาดัตช์มาตรฐานแทน ในทำนองเดียวกัน แม้ว่านักภาษาศาสตร์จะจัดภาษายิดดิชเป็นภาษาในกลุ่มภาษาเยอรมันสูงกลาง แต่ผู้พูดภาษายิดดิชจะค้นในพจนานุกรมอื่น ๆ ในกรณีเช่นนี้

ภายในกรอบนี้ วิลเลียม อเล็กซานเดอร์ สจวร์ต นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน นิยาม ภาษา ว่าเป็นวิธภาษาที่มีความเป็นเอกเทศร่วมกับวิธภาษาทั้งหมดที่ขึ้นกับมัน โดยให้ข้อสังเกตว่าชาลส์ แอลเบิร์ต เฟอร์กัสสัน และจอห์น โจเซฟ กัมเพิร์ซ นักภาษาศาสตร์ชาวอเมริกัน ได้เคยให้บทนิยามที่มีสาระสำคัญเท่าเทียมกันไว้แล้วเมื่อ ค.ศ. 1960[27][28] ในทำนองเดียวกัน อาจถือได้ว่าวิธภาษาที่ไม่มีความเป็นเอกเทศเป็น ภาษาย่อย ของภาษาที่ได้รับการนิยามในลักษณะนี้[27] ตามเงื่อนไขเหล่านี้ แม้ว่าภาษาเดนมาร์กและภาษานอร์เวย์จะสามารถเข้าใจซึ่งกันและกันได้ในระดับสูง แต่ก็ถือว่าทั้งสองเป็นภาษาแยกกันต่างหาก[29] ในกรอบของไฮนทซ์ โคลส นักภาษาศาสตร์ชาวเยอรมัน ภาษาทั้งสองได้รับการอธิบายว่าเป็นภาษาตามเกณฑ์ เอาส์เบา ("การเจริญ", "การขยาย") มากกว่าจะเป็นภาษาตามเกณฑ์ อัพชตันท์ ("การแยกออก", "ระยะห่าง")[30]

ในสถานการณ์อื่น ๆ กลุ่มของวิธภาษาที่เกี่ยวข้องกันอย่างใกล้ชิดจะมีความเข้าใจซึ่งกันและกันในระดับสูง (แม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม) แต่จะไม่มีวิธภาษาใดครอบงำวิธภาษาอื่น เพื่ออธิบายสถานการณ์เช่นนี้ บรรณาธิการบทความ Handbook of African Languages ได้เริ่มใช้ศัพท์ กลุ่มของภาษาย่อย (dialect cluster) เป็นหน่วยจำแนกในระดับเดียวกันกับภาษา[31] ส่วนสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกันแต่มีระดับความไม่เข้าใจซึ่งกันและกันมากยิ่งขึ้น ถูกเรียกว่า กลุ่มของภาษา (language cluster)[32]

ปัจจัยทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม ในหลายสังคม ภาษาย่อยภาษาใดภาษาหนึ่ง (ซึ่งมักเป็นสังคมภาษณ์ของอติชน) จะได้รับการกำหนดให้เป็นรูปแบบ "มาตรฐาน" หรือ "เหมาะสม" ของภาษาหนึ่ง ๆ โดยผู้ที่ต้องการสร้างความแตกต่างทางสังคม และมีการเปรียบต่างกับวิธภาษาอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้ ศัพท์ ภาษาย่อย ในบางบริบทจึงหมายถึงวิธภาษาที่มีสถานภาพทางสังคมต่ำอย่างเจาะจง ในความหมายรองของ "ภาษาย่อย" นี้ วิธภาษาต่าง ๆ มักถูกจัดให้เป็น ภาษาย่อย แทนที่จะเป็น ภาษา หาก:

  • วิธภาษาเหล่านั้นไม่มีรูปแบบมาตรฐานหรือรูปแบบที่ผ่านกระบวนการจัดประมวล
  • วิธภาษาเหล่านั้นไม่ค่อยหรือไม่เคยมีการใช้ในภาษาเขียน (นอกเหนือจากภาษาพูดที่มีการรายงาน)
  • ผู้พูดวิธภาษาเหล่านั้นไม่มีรัฐเป็นของตนเอง
  • วิธภาษาเหล่านั้นมีเกียรติภูมิน้อยเมื่อเทียบกับวิธภาษาอื่นซึ่งมักเป็นวิธภาษามาตรฐาน

สถานะความเป็น "ภาษา" ไม่ได้ถูกกำหนดโดยเกณฑ์ทางภาษาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นผลมาจากพัฒนาการทางประวัติศาสตร์และการเมืองด้วย ภาษารูมันช์ได้กลายมาเป็นภาษาเขียนภาษาหนึ่ง ดังนั้นจึงได้รับการยอมรับว่าเป็นภาษาแม้จะมีความใกล้เคียงกับกลุ่มภาษาย่อยแอลป์ลอมบาร์ดมากก็ตาม ตัวอย่างที่ตรงกันข้ามคือกรณีของภาษาจีน วิธภาษาของภาษานี้อย่างภาษาจีนกลางและภาษาจีนกวางตุ้งมักถูกจัดว่าเป็นภาษาย่อยและไม่ใช่ภาษาต่างหากในจีน แม้ว่าจะไม่มีความเข้าใจซึ่งกันและกันก็ตาม

ศัพท์เฉพาะ

ตามบทนิยามที่นักภาษาศาสตร์ใช้กันมากที่สุด วิธภาษาใด ๆ ก็ตามถือว่าเป็น "ภาษาย่อย" ของบางภาษา กล่าวคือ "ทุกคนล้วนพูดภาษาย่อยภาษาใดภาษาหนึ่ง" จากการตีความดังกล่าว เกณฑ์ต่าง ๆ ข้างต้นจึงเป็นเพียงการจำแนกว่า วิธภาษาสองวิธภาษาเป็นภาษาย่อยของภาษาเดียวกัน หรือเป็นภาษาย่อยของภาษาที่แตกต่างกัน

ศัพท์ ภาษา และศัพท์ ภาษาย่อย ไม่จำเป็นต้องปรากฏในลักษณะสับหลีกกัน แม้จะเป็นที่รับรู้กันเช่นนั้นบ่อยครั้งก็ตาม[33] ดังนั้นจึงไม่มีอะไรขัดแย้งในข้อความ "ภาษาของชาวเยอรมันเพนซิลเวเนียเป็นภาษาย่อยภาษาหนึ่งของภาษาเยอรมัน"

มีศัพท์หลายศัพท์ที่นักภาษาศาสตร์อาจใช้เพื่อหลีกเลี่ยงการแสดงจุดยืนว่าการพูดของชุมชนหนึ่ง ๆ นั้นเป็นภาษาเอกเทศหรือเป็นภาษาย่อยของภาษาอื่น ศัพท์ที่พบบ่อยที่สุดอาจจะเป็น วิธภาษา (variety)[34] ส่วน ภาษณ์ (lect) ก็เป็นอีกศัพท์หนึ่ง ศัพท์ที่มีนัยทั่วไปกว่าคือ หน่วยคล้ายภาษา (languoid) ซึ่งไม่จำแนกความแตกต่างระหว่างภาษาย่อย ภาษา และกลุ่มภาษา ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์กันทางเชื้อสายหรือไม่ก็ตาม[35]

Remove ads

ภาษาย่อยกับสำเนียง

จอห์น ไลอันส์ นักภาษาศาสตร์ชาวอังกฤษ เขียนว่า "นักภาษาศาสตร์หลายคน [... ] สรุปรวมความแตกต่างของสำเนียงไว้ภายใต้ความแตกต่างของภาษาย่อย"[9] โดยทั่วไป สำเนียง หมายถึงการแปรในด้านการออกเสียง ในขณะที่ ภาษาย่อย ยังครอบคลุมถึงการแปรที่เฉพาะเจาะจงในด้านไวยากรณ์และวงศัพท์ด้วย[36]

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads