คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ยุทธการที่เอาส์เทอร์ลิทซ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ยุทธการที่เอาส์เทอร์ลิทซ์ (อังกฤษ: Battle of Austerlitz) หรือเป็นที่รู้จักกันว่า ยุทธการสามจักรพรรดิ (อังกฤษ: Three Emperor Battle) เป็นหนึ่งในชัยชนะครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของนโปเลียน โดยสามารถทำลายกลุ่มประเทศที่ต่อต้านฝรั่งเศสลงได้
2 ธันวาคม 1805 กองทัพฝรั่งเศสนำโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 สามารถเอาชนะอย่างเด็ดขาดต่อกองทัพผสมระหว่างรัสเซียกับออสเตรียที่นำโดยซาร์อเล็กซานเดอร์ ที่ 1 หลังจากสู้รบประจัญบานกันอย่างหนักเกือบ 9 ชั่วโมง สมรภูมิรบเกิดขึ้นที่บริเวณใกล้เคียงเอาส์เทอร์ลิทซ์ ประมาณ 10 กิโลเมตรห่างไปทางตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองเบอร์โนในมอเรเวีย (ปัจจุบันคือประเทศเช็กเกีย) นับเป็นจุดเปลี่ยนของสงครามโดยออสเตรียหันมาจับมือกับฝรั่งเศสทำให้ปรัสเชียประกาศสงครามกับประเทศฝรั่งเศสเนื่องจากเกิดความกังวลว่าฝรั่งเศสจะมีอำนาจเหนือบรรดาราชรัฐในเยอรมัน
หลังจากที่ออสเตรียยอมแพ้จักรพรรดินโปเลียนพยายามรวบรวมบรรดาราชรัฐเยอรมันภาคใต้มาไว้ในอาณัติฝรั่งเศส จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์จึงต้องล่มสลายไป นับเป็นการยุติความเป็นมหาอำนาจของราชวงศ์ฮาพส์บวร์คแห่งออสเตรีย
Remove ads
การรบ
สรุป
มุมมอง
เช้าวันที่ 2 ธันวาคม 1805 หมอกหนาทึบซึ่งปกคลุมเนินเขาและหมู่บ้านรอบใกล้เคียงเอาส์เทอร์ลิทซ์ หมอกนั้นช่วยพรางสายตาและทำให้จังหวะการเคลื่อนที่ของทั้งสองฝ่ายคลาดเคลื่อนจากที่คาดไว้เล็กน้อย กองทัพพันธมิตรรัสเซีย–ออสเตรียเริ่มขยับกำลังลงทางใต้ตามแผนมุ่งโจมตีปีกขวาของฝรั่งเศสบริเวณเทลนิทซ์และโซโกลนิทซ์ ตรงจุดที่ดูเหมือนแนวฝรั่งเศสเบาบางที่สุด กองระวังหลังและหน่วยรบเบาของฝรั่งเศสถูกผลักดันให้ถอยร่นเป็นระยะ แต่ก็ยังตั้งตัวตีสกัดตามแนวลำธารและสะพานเพื่อซื้อเวลารอกำลังเสริม ในช่วงนั้นเอง จอมพลดาวูเร่งเดินทัพทางไกลจากเวียนนา และมาทันเสริมกำลังปีกขวา ทำให้การรุกของกองทัพพันธมิตรต้องติดพันการรบระดับหมู่บ้าน แย่งกันเข้ายึดถอยจากบ้านและสวนในโซโกลนิทซ์หลายรอบโดยไม่มีฝ่ายใดเด็ดขาดในทันที

ขณะเดียวกัน บนสันเขาแพรตเซินซึ่งเป็นพื้นที่ครองภูมิศาสตร์ของสนามรบกลับเกิดช่องว่างขึ้นเมื่อกำลังหลักของกองทัพพันธมิตรจำนวนมากไหลลงใต้ หมอกที่ค่อย ๆ จางเผยให้เห็นแนวกลางของข้าศึกที่บางลง นโปเลียนรอจังหวะนี้อยู่แล้ว เขาสั่งจอมพลซูลต์ให้รุดเข้ายึดแนวที่สูงทันที กองพลของเซนต์-อิเลอาร์และว็องดามม์จึงไต่ขึ้นสู่ยอดแพรตเซินแบบประชิดรวดเร็ว การปะทะบนสันเขารุนแรงสั้น ๆ ก่อนที่แนวพันธมิตรซึ่งเหลือกำลังไม่มากจะถูกผลักแตกถอยลงไปด้านตะวันออกและตะวันตก การยึดแพรตเซินได้เท่ากับคว้า “หัวใจของสนามรบ” และผ่ากองทัพพันธมิตรออกเป็นสองส่วน ทำให้กลุ่มที่มุ่งลงใต้โจมตีปีกขวาฝรั่งเศสถูกตัดขาดจากศูนย์บัญชาการและกำลังหนุน
ทางปีกซ้ายของฝรั่งเศส จอมพลลานร่วมกับจอมพลมูว์ราควบคุมพื้นที่กว้างด้านเหนือ เผชิญหน้ากับพลโทปิออตร์ บากราตีออน กองทหารม้าจำนวนมากเข้าปะทะไล่ต้อนกันบนทุ่งโล่ง การรบม้าดวลดาบแทงหอกเกิดขึ้นต่อเนื่องสลับกับการยิงปืนใหญ่ใส่กระบวนทัพที่กำลังก่อตัวใหม่ แม้ไม่มีการทะลวงได้ลึก แต่การยื้อรุนแรงนี้บีบให้ฝ่ายพันธมิตรต้องตรึงกำลังไว้จำนวนมาก ไม่อาจดึงกลับไปช่วยศูนย์กลางได้ทันเวลา บทบาทของปีกซ้ายจึงเป็นตะขอที่เกี่ยวข้าศึกไว้ให้การโจมตีบนแพรตเซินดำเนินไปโดยไม่ต้องกังวลทางเหนือ
เมื่อสันเขาแพรตเซินอยู่ในมือฝรั่งเศสแล้ว ช่องทางลงจากที่สูงเปิดกว้างสู่นาและถนนด้านหลังของพันธมิตร กองพลฝรั่งเศสจากแพรตเซินเทลงมาเป็นคลื่น ตัดเส้นทางติดต่อระหว่างกองกำลังทางใต้กับส่วนเหนือและขู่ล้อมวงหน่วยที่กำลังรบในหมู่บ้านลุ่มน้ำ เทลนิทซ์และโซโกลนิทซ์กลายเป็นกระเป๋าแคบ ๆ ที่ฝ่ายพันธมิตรต้องดิ้นรนถอยออกให้ได้ การยิงปืนใหญ่จากที่สูงของฝรั่งเศสกวาดแนวถอย กระสุนตกใส่ถนนและคันนา สร้างความโกลาหลต่อขบวนรถลำเลียงและปืนใหญ่ของฝ่ายถอย
ในช่วงสำคัญของการยึดศูนย์กลาง กองทัพพันธมิตรพยายามโต้กลับด้วยหน่วยทหารรักษาพระองค์รัสเซีย นำโดยแกรนด์ดยุกคอนสแตนติน ปาฟโลวิช หน่วยของเขาพุ่งขึ้นสู่เนินเพื่อทวงคืนแพรตเซิน เกิดการรบประชิดอัดแน่นระหว่างทหารรัสเซียกับทหารแนวหน้าและปืนใหญ่สนามของฝรั่งเศส แนวฝรั่งเศสบางช่วงอ่อนลง แต่การสวนกลับด้วยทหารม้าระดับยอดฝีมือของฝรั่งเศส รวมถึงทหารม้ารักษาพระองค์ บวกการผลักดันของกองพลว็องดามม์ทำให้การโต้ของรัสเซียสะดุดและถอยทิ้งพื้นที่ไว้ การพยายามตั้งแนวใหม่บนสันเขาจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้อีก
ในเวลาบ่ายแก่ การถอยของกองทัพพันธมิตรทางใต้เปลี่ยนจากเป็นระเบียบไปสู่ความยุ่งเหยิง หลายหน่วยมุ่งไปยังบึงและสระน้ำแถบซัทชานซึ่งมีผิวน้ำบางส่วนจับตัวน้ำแข็งเพื่อข้ามทางลัด ฝรั่งเศสฉวยโอกาสนี้ด้วยการตั้งหมู่ปืนใหญ่ยิงใส่แนวข้าม น้ำแข็งแตกและทำให้กำลังพลบางส่วนตกลงในบึง แม้จำนวนที่แท้จริงจะเป็นที่ถกเถียง แต่ผลเชิงยุทธวิธีเป็นที่ชัดเจน กล่าวคือ การถอนกำลังของพันธมิตรแตกกระจายเป็นกลุ่มเล็ก กลายเป็นเชลยและทิ้งปืนใหญ่จำนวนมากไว้ตามทาง ขณะเดียวกัน ทางเหนือของพลโทบากราตีออนซึ่งต่อสู้กับจอมพลลานและจอมพลมูว์ราตตลอดวันก็ค่อย ๆ ถอยอย่างเป็นระเบียบเพื่อเลี่ยงการถูกอ้อมลึกจากการที่ฝ่ายตนที่ศูนย์กลางที่แตกพ่ายแล้ว การรบค่อย ๆ ซาลงเหลือเพียงการยิงกวนและปะทะหลังระยะสั้น ๆ ขณะที่ท้องทุ่งและเนินเขาถูกทิ้งไว้ให้ฝรั่งเศสครอง การควบคุมที่สูงแพรตเซินทำให้ฝรั่งเศสมองเห็นการเคลื่อนที่ของข้าศึกเกือบทั้งสนาม จึงปรับแนวรับรุกได้ตามสบายและคุมเส้นทางไล่ตัดตามสมควรโดยไม่เสี่ยงเกินไป
สุดท้ายเมื่อแสงวันจางหาย ฝ่ายพันธมิตรก็หมดความสามารถจะรวมกำลังเพื่อโต้กลับอีกต่อไป หน่วยที่ยังคงระเบียบถอยไปทางตะวันออก ทิ้งชิ้นส่วนกองทัพมากมายไว้เบื้องหลัง ฝรั่งเศสยืนอยู่บนสนามรบพร้อมปืนใหญ่และธงรบที่ยึดได้ บนสันเขาแพรตเซินที่ตอนเช้ายังเป็นของอีกฝ่าย “ดวงอาทิตย์แห่งเอาส์เทอร์ลิทซ์” ซึ่งถูกกล่าวขานในเวลาต่อมา จึงไม่ใช่เพียงภาพท้องฟ้าที่เปิดจากหมอก แต่หมายถึงจังหวะที่ฝรั่งเศสยึดศูนย์กลางของสนามรบได้และผ่ากองทัพศัตรูออกเป็นสองส่วน ตั้งแต่บัดนั้นผลลัพธ์ของวันก็ถูกชี้ขาดแล้ว—ปีกขวาที่ถูกล่อให้บุกลึกไม่อาจได้รับการคุ้มครองจากศูนย์ ปีกซ้ายถูกตรึงด้วยการรบม้าต่อเนื่อง และกองกำลังโต้กลับที่แข็งแกร่งที่สุดถูกทำลายโมเมนตัมบนเนินสูง เมื่อทุกชิ้นส่วนประกอบเข้าที่ ชัยชนะในสนามรบจึงตกเป็นของฝรั่งเศสอย่างเด็ดขาดในเย็นวันนั้นเอง
Remove ads
ผลที่ตามมา

ชัยชนะของฝรั่งเศสในยุทธการที่เอาส์เทอร์ลิทซ์ ส่งผลสะเทือนอย่างรุนแรงต่อดุลอำนาจในยุโรป การพ่ายแพ้ของรัสเซียและออสเตรียทำให้ “สหสัมพันธมิตรครั้งที่สาม” แตกสลาย กองทัพออสเตรียสูญเสียกำลังหลัก ขณะที่รัสเซียจำต้องถอนทัพกลับประเทศเพื่อรักษากำลังที่เหลือ ฝรั่งเศสจึงครองความเหนือชั้นบนภาคพื้นทวีปโดยไร้คู่แข่งทันที
ออสเตรียยอมลงนามในสนธิสัญญาเพรสบวร์คเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 1805 ยกดินแดนหลายแห่งให้ฝรั่งเศสและบริวาร พร้อมจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม การสูญเสียดินแดนและอำนาจทางการเมืองครั้งนี้ทำให้ออสเตรียอ่อนแอลงอย่างมาก จักรพรรดินโปเลียนใช้โอกาสนี้จัดตั้งสมาพันธรัฐลุ่มน้ำไรน์ในปีถัดมา ดึงราชรัฐเยอรมันจำนวนมากเข้าสู่อิทธิพลฝรั่งเศส และเร่งให้จักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งดำรงอยู่มากว่าพันปีล่มสลายลงในปี 1806
Remove ads
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads