คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ศรีศักร วัลลิโภดม
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ศาสตราจารย์พิเศษ ศรีศักร วัลลิโภดม (เกิด 2 มิถุนายน พ.ศ. 2481)[1] เป็นนักวิชาการด้านโบราณคดีและมานุษยวิทยาชาวไทย เจ้าของรางวัลวัฒนธรรมเอเชียฟูกูโอกะ (Fukuoka Prize) ประจำปี พ.ศ. 2550
เขาเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการศึกษาค้นคว้าและเรียบเรียงงานวิชาการที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ โบราณคดี และมานุษยวิทยาไว้อย่างหลากหลาย เป็นผู้ก่อตั้งภาควิชามานุษยวิทยา และสร้างหลักสูตรสาขาวิชามานุษยวิทยาที่คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร อีกทั้งยังดำรงตำแหน่งเป็นบรรณาธิการ นิตยสารเมืองโบราณ เมธีวิจัยอาวุโสของสำนักงานสนับสนุนการวิจัย เป็นกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิของศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร และเป็นที่ปรึกษามูลนิธิเล็ก–ประไพ วิริยะพันธุ์[2]
ศรีศักรมีความสนใจในการศึกษาแหล่งโบราณคดีในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยสามารถเขียนบทความและบรรยายเกี่ยวกับพัฒนาการของชุมชนในพื้นที่แอ่งอารยธรรมแห่งนี้ได้อย่างลึกซึ้ง ผ่านการวิเคราะห์จากภูมิศาสตร์ที่สัมพันธ์กับวัฒนธรรมท้องถิ่น
นอกจากนี้ เขายังมีผลงานตีพิมพ์ด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดี และมานุษยวิทยาเป็นจำนวนมาก[3]
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ศรีศักรเกิดเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2481 ที่กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรชายของมานิต วัลลิโภดม อดีตหัวหน้ากองโบราณคดี กรมศิลปากร และนางรจนา วัลลิโภดม
ในช่วงชีวิตวัยเยาว์ เขาศึกษาระดับประถมและมัธยมศึกษาที่โรงเรียนเซนต์คาเบรียล และโรงเรียนอัสสัมชัญ (บางรัก) ต่อมาเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษาที่คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สำเร็จการศึกษาด้านภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส
หลังสำเร็จการศึกษา เขาเริ่มต้นชีวิตวิชาการในตำแหน่งอาจารย์ประจำคณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร ก่อนจะได้รับทุนโคลัมโบ (Colombo Plan) ให้ไปศึกษาต่อในระดับปริญญาโท สาขามานุษยวิทยา ณ มหาวิทยาลัยเวสเทิร์นออสเตรเลีย (University of Western Australia) ประเทศออสเตรเลีย
เมื่อสำเร็จการศึกษา เขาเดินทางกลับประเทศไทยในปี พ.ศ. 2514 และเข้ารับตำแหน่งอาจารย์สอนวิชามานุษยวิทยาที่คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นจึงกลับมารับราชการเป็นอาจารย์ประจำในภาควิชามานุษยวิทยา คณะโบราณคดี มหาวิทยาลัยศิลปากร
ในปี พ.ศ. 2523 ได้รับเชิญให้ไปสอนวิชาโบราณคดีประเทศไทย ณ มหาวิทยาลัยคอร์เนล ประเทศสหรัฐอเมริกา และในปี พ.ศ. 2529 ได้รับเชิญให้ร่วมโครงการวิจัยเกี่ยวกับชุมชนโบราณในประเทศไทยและญี่ปุ่น กับนักวิชาการญี่ปุ่น ณ ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต
ตลอดเส้นทางวิชาการ ศาสตราจารย์ศรีศักรได้รับเชิญให้เข้าร่วมประชุมและนำเสนอผลงานในการประชุมวิชาการนานาชาติในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น อังกฤษ นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ เกาหลี อินโดนีเซีย และศรีลังกา
ในปี พ.ศ. 2548 เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นกรรมการใน “คณะกรรมการอิสระเพื่อความสมานฉันท์แห่งชาติ” และในปี พ.ศ. 2550 ได้รับรางวัล “วัฒนธรรมแห่งเอเชียเมืองฟูกูโอกะ” ประเภทผลงานวิชาการ (The 18th Fukuoka Asian Culture Prize, Academic Prize) โดยได้รับการยกย่องให้เป็นผู้มีผลงานเด่นด้านการศึกษาวิจัยทางประวัติศาสตร์ โบราณคดี และมานุษยวิทยาในภูมิภาคเอเชีย[4]
วันที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ได้รับโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งเป็นศาสตราจารย์พิเศษ สาขาวิชามานุษยวิทยา คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ตั้งแต่วันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2551[5]
ศรีศักรได้เป็นกรรมการปฏิรูปประเทศภายหลังการชุมนุมของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ พ.ศ. 2553 ยุติลงในช่วงเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2553 โดยทำหน้าที่ยกร่างแผนปฏิบัติการที่สามารถนำไปปฏิบัติ และแก้ไขปัญหาความอยุติธรรมและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้น คณะกรรมการดังกล่าวประกอบด้วยกรรมการ 19 คน ทำงานคู่ขนานไปกับสมัชชาปฏิรูปประเทศ[6]
Remove ads
แนวคิดทางประวัติศาสตร์และอิทธิพล
สรุป
มุมมอง
ศรีศักรให้ความสนใจอย่างยิ่งในการศึกษาแหล่งโบราณคดี โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย ศรีศักรมักตั้งคำถามและวิพากษ์วิจารณ์แนวทางของนักวิชาการที่รับเอากรอบความคิดแบบตะวันตกมาใช้อย่างไม่ผ่านการกลั่นกรองที่ลึกซึ้ง พร้อมทั้งตั้งข้อสงสัยต่อการตีความประวัติศาสตร์ไทยในแนวทางกระแสหลัก ซึ่งมักยึดตามลำดับเหตุการณ์ของรัฐชาติและราชวงศ์เป็นแกนกลาง
เขาเสนอแนวทางใหม่โดยเน้นการผสานข้อมูลจากการสำรวจภาคสนามและการตรวจสอบข้อเท็จจริงเชิงประจักษ์ เข้ากับการศึกษา "ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น" ซึ่งช่วยเปิดมุมมองใหม่ให้กับประวัติศาสตร์ไทยที่แตกต่างจากการมุ่งเน้นที่ศูนย์กลางอำนาจเพียงอย่างเดียว
ด้วยแนวทางการศึกษาที่เน้นการลงพื้นที่นอกมหาวิทยาลัยและการสังเคราะห์ข้อมูลเชิงประจักษ์นี้ ทำให้เขาได้รับความสนใจจากนักวิชาการต่างประเทศ หนึ่งในผู้ที่ให้ความสำคัญกับแนวทางของเขาคือ O.W. Wolters แห่งมหาวิทยาลัยคอร์เนล ซึ่งได้ใช้ข้อค้นพบของศรีศักรประกอบการพัฒนาแนวคิด “รัฐแบบมณฑล (Mandala)”—โครงสร้างอำนาจที่สัมพันธ์กันผ่านระบบเครือญาติ (cognatic relationship) โดย Wolters ให้เครดิตต่อผลงานของศรีศักรในงาน History, Culture, and Region in Southeast Asian Perspectives (1982, 1999)[7]
ผลงานวิจัยของศรีศักรครอบคลุมหลากหลายสาขา ที่สำคัญ ได้แก่ งานโบราณคดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทยยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งเขาใช้หลักฐานจากการลงพื้นที่แสดงให้เห็นว่าภูมิภาคนี้เคยมีระบบเกษตรกรรม การผลิตเกลือและเหล็ก รวมถึงพิธีกรรมทางศาสนา โดยมีหินสีมา—หลักฐานทางศาสนาเฉพาะถิ่น—เป็นองค์ประกอบสำคัญ การค้นพบนี้ช่วยลบภาพจำของ “ภาคอีสานที่ยากจน” และแทนที่ด้วยภาพของ “ภาคอีสานที่รุ่งเรืองในอดีต” ข้อมูลที่เขารวบรวมได้รับการเผยแพร่กว้างขวางและได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ
อีกหนึ่งผลงานสำคัญคือการศึกษาผังเมืองโบราณ โดยใช้ภาพถ่ายทางอากาศเพื่อตรวจสอบโครงสร้างเมืองในอาณาจักรโบราณของไทย อาทิ ทวารวดี, อาณาจักรสุโขทัย, และ อาณาจักรอยุธยา จากการวิจัยนี้ เขาเสนอว่าการแลกเปลี่ยนทางการค้าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีบทบาทสำคัญต่อการสถาปนาและพัฒนาอาณาจักรไทยโบราณ มากกว่าจะเป็นผลโดยตรงจากการรับอิทธิพลของอารยธรรมอินเดียเพียงฝ่ายเดียว[2]
ในงานของธงชัย วินิจจะกูล เรื่อง The Changing Landscape of the Past: New Histories in Thailand since 1973 (1995) ได้กล่าวถึงศรีศักรว่าเป็นหนึ่งในนักวิชาการผู้มีบทบาทสำคัญในการผลักดันแนวคิดประวัติศาสตร์แนวใหม่ในประเทศไทย โดยเฉพาะในกระแสการเปลี่ยนแปลงวาทกรรมประวัติศาสตร์หลังเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516 ซึ่งธงชัยจำแนกออกเป็นสี่แนว ได้แก่ การวิพากษ์ประวัติศาสตร์แบบราชสำนัก การเสนอประวัติศาสตร์เศรษฐกิจในแนวมาร์กซิสต์ การตั้งคำถามต่อประวัติศาสตร์ยุคต้นแบบเส้นตรง และการฟื้นคืนประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ธงชัยระบุว่า ศรีศักรเป็นหนึ่งในนักวิชาการที่มีบทบาทชัดเจนในกระแสเหล่านี้ และเป็นผู้เปิดพื้นที่ความคิดสำหรับนักวิชาการรุ่นถัดไป[7][8]
Remove ads
ผลงานหนังสือ
- โบราณคดีไทยในทศวรรษที่ผ่านมา (2525)
- กรุงศรีอยุธยาของเรา (2527)
- รายงานวิจัย เมืองโบราณในอาณาจักสุโทัย (2532)
- แอ่งอารยธรรมอีสาน: แฉหลักฐานโบราณคดีพลิกโฉมประวัติศาสตร์ไทย (2533)
- สยามประเทศ: ภูมิหลังของประเทศไทยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาราชอาณาจักรสยาม (2534)
- จ้วง: พี่น้องเผ่าไทยเก่าแก่ที่สุด (2536)
- เรือนไทย บ้านไทย (2537)
- พระเครื่องในเมืองสยาม (2537)
- สยามประเทศภูมิหลังของประเทศไทยตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์จนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยาอาณาจักรสยาม (2539)
- ความหมายของพระบรมธาตุในอารยธรรมสยามประเทศ (2539)
- มองอนาคต: บทวิเคราะห์เพื่อปรับเปลี่ยนทิศทางสังคมไทย นิธิ เอียวศรีวงศ์, ศรีศักร วัลลิโภดม, เอกวิทย์ ณ ถลาง (2538)
- พระที่นั่งสรรเพชรปราสาท (2538)
- ทัศนะนอกรีต: สังคม-วัฒนธรรม ปัจจุบันผันแปร (2543)
- กฎหมายตราสามดวงกับความเชื่อของไทย (2545)
- สังคมสองฝั่งโขงกับอดีตทางวัฒนธรรมที่ต้องลำเลิก (2545)
- อู่อารยยธรรมแหลมทอง คาบสมุทรไทย (2546)
- ความหมายพระบรมธาตุในอารยธรรมสยามประเทศ (2546)
- ลุ่มนํ้าน่าน: ประวัติศาสตร์โบราณคดี ของ พิษณุโลก "เมืองอกแตก (2546)
- รัฐปัตตานีใน "ศรีวิชัย" เก่าแก่ว่ารัฐสุโขทัยในประวัติศาสตร์ (ประชุมงานค้นคว้าและวิจัยทางวิชาการของ ศรีศักร วัลลิโภดม และคณะ) (2547)
- ประวัติศาสตร์ โบราณคดี เมืองอู่ทอง (2548)
- เหล็ก "โลหปฏิวัติ" เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว: ยุคเหล็กในประเทศไทย: พัฒนาการทางเทคโนโลยีและสังคม (2548)
- การเมือง "อุบายมารยา" แบบ มาคิอาเวลลี (Machiavelli) ของพระเจ้าปราสาททอง: พระราชกระทู้ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และคำสนองพระราชกระทู้ของพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) (2549)
- ไฟใต้ฤๅจะดับ ? (2550)
- เล่าขานตำนานใต้ (2550)
- กับดักสัตว์ไทยประดิษฐ์ ภูมิปัญญาชาวบ้าน กับดักวิถี (2550)
- เขาพระวิหาร: ระเบิดเวลาจากยุคอาณานิคม (2551)
- นครแพร่ จากอดีตมาปัจจุบัน: ภูมินิเวศวัฒนธรรม ระบบความเชื่อ และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (2551)
- พิพิธภัณฑ์และประวัติศาสตร์ท้องถิ่น: กระบวนการเรียนรู้ร่วมกัน (หนังสือชุดพิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น) (2551)
- ความหมายของภูมิวัฒนธรรม: การศึกษาจากภายในและสำนึกของท้องถิ่น (2551)
- เมืองโบราณในอาณาจักรสุโขทัย (2552)
- พัฒนาการทางสังคม-วัฒนธรรมไทย (2552)
- เพื่อแผ่นดินเกิด (2556)
- ผู้นำทางวัฒนธรรม (2556)
- คนไทยไม่มีใครทำร้ายก็ตายเอง (2556)
- ผู้มีบารมีผู้แพ้บารมี (2556)
- ความล้มเหลวในการศึกษาของชาติ (2556)
- เมืองหนองหารหลวง และภูพานมหาวนาสี (2556)
- เรียนรู้จากแผนที่เพื่อรู้จักท้องถิ่น (2557)
- ปฏิบัติการประวัติศาสตร์ท้องถิ่น (2557)
- ประวัติศาสตร์บอกเล่าเพื่อเด็กรักถิ่น (2557)
- สร้างบ้านแปงเมือง (2560)
- ลุ่มน้ำเจ้าพระยา: รากเหง้าแห่งสยามประเทศ (2560)
- พุทธศาสนาและความเชื่อในสังคมไทย (2560)
Remove ads
เครื่องราชอิสริยาภรณ์
- พ.ศ. 2537 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์ช้างเผือก (ป.ช.)[9]
- พ.ศ. 2534 –
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.)[10]
- พ.ศ. 2532 –
เหรียญจักรพรรดิมาลา (ร.จ.พ.)[11]
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads