คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

ศิลปะอินเดีย

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

ศิลปะอินเดีย
Remove ads

ศิลปะอินเดียประกอบด้วยงานศิลปะหลายรูปแบบ ทั้งจิตรกรรม, ประติมากรรม, เครื่องปั้นดินเผา และศิลปะผ้า เช่นผ้าไหมทอ ตามลักษณะทางภูมิศาสตร์นั้นศิลปะอินเดียกินพื้นที่ทั้งอนุทวีปอินเดีย ซึ่งปัจจุบันประกอบด้วยประเทศอินเดีย, ประเทศปากีสถาน, ประเทศบังกลาเทศ, ประเทศศรีลังกา, ประเทศเนปาล, ประเทศภูฏาน และประเทศอัฟกานิสถานตะวันออก ลักษณะการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์นี้ยังคงเห็นได้ในศิลปะสมัยใหม่ของอินเดีย

ศิลปะอินเดีย
Thumb
ยักษีประดับโตรณะของสถูปสาญจี 100 ปีก่อนคริสต์กาล
Thumb
นางระบำสตรีและ tanpura ศิลปะหลังโมกุล ศตวรรษที่ 18 สีแปะทองคำบนกระดาษ

จุดเริ่มต้นของศิลปะอินเดียนั้นย้อนกลับไปได้ถึงยุคก่อนประวัติศาสตร์ในราว 3000 ปีก่อนคริสต์กาลมาจนถึงปัจจุบัน ศิลปะอินเดียได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมและศาสนา เช่นฮินดู, พุทธ, ไชนะ, ซิกข์ และอิสลาม จึงมีการผสมผสานกันอย่างซับซ้อนของประเพณีและความเชื่อของศานาต่าง ๆ ปรากฏในศิลปะอินเดีย

Remove ads

ศิลปะยุคแรก

สรุป
มุมมอง

ศิลปะบนหิน

Thumb
The ธิดาร่ายรำ ประติมากรรมจากโมเหนโจดาโร"

ศิลปะบนหิน (Rock art) ในอินเดียนั้นมีทั้งการแกะสลักบนหิน และจิตรกรรมบนฝาผนังหิน มีการประมาณว่ามีแหล่งงานศิลปะบนหินในอินเดียกว่า 1300 แห่ง และประติมากรรมหรือหุ่นมากกว่า 2.5 ล้านชิ้น[1] งานแกะสลักหินเก่าแก่ที่สุดที่พบในอินเดียนั้นค้นพบโดย Archibald Carlleyle[2] ที่ซึ่งได้รับการนำเสนอโดย J Cockburn (1899) ในอีกหลายปีต่อมา[3]

ดร. V. S. Wakankar ค้นพบที่อยู่อาศัยหินที่มีงานจิตรกรรมจำนวนหนึ่งในแถบอินเดียกลาง ตั้งอยู่รายล้อมเทือกเขาวินธย หนึ่งในพื้นที่ที่มีชื่อเสียงมากคือที่อยู่อาศัยถ้ำภิมเพตกาซึ่งได้สมัครเข้าเป็นแหล่งมรดกโลก; จิตรกรรมที่เก่าแก่ที่สุดที่พบนั้นอายุมากกว่า 10,000 ปี[4][5][6][7][8] ลักษณะต่าง ๆ นั้นมีความแตกต่างกันไปตามอายุ แต่มีลักษณะร่วมอยู่ประการหนึ่งคือการใช้สีล้างสีแดง (red wash) โดยใช้ผงแร่ geru ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของออกไซด์เหล็ก (เฮมาไทต์).[9]

อารยธรรมลุ่มแม่น้ำสินธุ (ป.3300 ปีก่อน ค.ศ. 1750 ปีก่อน ค.ศ.)

ศิลปะเมารยะ (ป.322 ปีก่อน ค.ศ. 185 ปีก่อน ค.ศ.)

จักรวรรดิเมารยะทางตอนเหนือของอินเดียนั้นเจริญรุ่งเรืองตั้งแต่ปี 322 ปีก่อนคริสต์กาล จนถึง 185 ปีก่อนคริสต์กาล อาณาจักรนี้ได้รับอิทธิพลมาจากอาณาจักรเปอร์เซียโบราณ[10] ดังที่พบเห็นอิทธิพลนี้ผสมผสานในหัวเสาปาฏลีบุตร (Pataliputra capital)

พระเจ้าอโศกมหาราช (สวรรคต 232 ปีก่อนคริสต์กาล) เป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชูศาสนาพุทธ และทรงดำริให้มีการสร้างสถูป ตามพื้นที่ที่มีความสำคัญในสมัยพระชนมชีพของพระโคตมพุทธเจ้า อย่างไรก็ตามงานประดับต่าง ๆ จากยุคเมารยะที่ยังหลงเหลือมาจนปัจจุบันนั้นมีน้อยมาก หรืออาจเป็นไปได้ว่าไม่ได้มีมามากตั้งตั้งแต่ต้นก็ได้

ในบรรดาชิ้นงานที่หลงเหลือน้อยนั้นที่มีชื่อเสียงที่สุดคือเสาอโศก[11] ส่วนหัวของเสาที่เรียกว่าหัวเสาอโศกรูปสิงห์ประดับด้วยสัตว์สี่ตัวนั้นในปัจจุบันใช้เป็นตราประจำชาติของประเทศอินเดีย นับตั้งแต่อินเดียได้รับเอกราช[12] นอกจากนี้ทั้งศิลปะและสถาปัตยกรรมเมารยะมีลักษณะสำคัญอีกประการคือการขัดเงาแบบเมารยะบนชิ้นงานหินซึ่งพบได้น้อยมากในงานศิลปะของยุคหลัง ๆ

รูปปั้นยักษะขนาดใหญ่โต (200 ปีก่อน ค.ศ.)

ศิลปะพุทธ (ป.150 ปีก่อน ค.ศ. ค.ศ. 500)

งานศิลปะพุทธจำนวนมากที่เหลือรอดมานั้นเริ่มมีในยุคหลังเมารยะล่มสลาย ที่ซึ่งมีประติมากรรมจำนวนมากที่เหลือรอดมาถึงปัจจุบัน พื้นที่ขุดค้นสำคัญเช่นสาญจี, ภารหุต และอมราวตี สถูปต่าง ๆ มีการประดับด้วยรั้วที่แกะสลักอย่างวิจิตรและมีซุ้มประตูโตรณะ ที่หันไปตามทิศหลักทั้งสี่ ในผนังหินต่าง ๆ ีการแกะสลักและตกแต่อย่างวิจิตร ส่วนมากเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระพุทธเจ้า และพระพุทธรูปในลักษณะเป็นองค์ลอยก็เริ่มมีวิวัฒนาการใาจากงานแกะสลักนูนต่ำที่คว้ายเข้าไปลึกขึ้นเรื่อย ๆ ในยุคนี้[13] เมืองมถุรา เป็นศูนย์กลางสำคัญที่สุดของศิลปะรูปแบบนี้ ที่ซึ่งมีการประยุกต์ในศิลปะของฮินดูและไชนะไปตามกัน[14]

จักรวรรดิศุงคะ (185 ปีก่อน ค.ศ. – 72 ปีก่อน ค.ศ.)

หลังการล่มสลายของจักรวรรดิเมารยะ อินเดียได้แตกออกเป็นแคว้นต่าง ๆ ที่มีการปกครองแบบเดิมในแต่ละภูมิภาค หนึ่งในแคว้นที่สำคัญที่สุดนั้นคือจักรวรรดิศุงคะ ในตอนกลางของประเทศอินเดีย เช่นเดียวกับจักรวรรดิสัตวาหนะ ทางตอนใต้ของอินเดียซึ่งเกิดขึ้นร่วมสมัยกัน ได้เริ่มมีการพัฒนาศิลปะพุทธยุคแรก ๆ ที่สำคัญมากเกิดขึ้น โดยเฉพาะการสร้างสถูปเพื่อเก็บอัฐิของพระพุทธเจ้าหรือพุทธสาวกผู้เกี่ยวข้อง[15] ตัวอย่างสำคัญที่สุดของสถูปจากจักรวรรดิศุงคะนั้นคือมหาสถูปแห่งสาญจี ที่ซึ่งเชื่อว่าเริ่มแรกสร้างโดยพระเจ้าอโศกมหาราชแห่งจักรวรรดิเมารยะ[16]

จักรวรรดิสาตวาหนะ (100-300 ปีก่อน ค.ศ. – ปี 300)

จักรวรรดิกุษาณะ (ปี 30 - 375)

ศิลปะคุปตะ (ป.ปี 320 550)

โดยทั่วไปแล้วมักนิยามว่ายุคคุปตะนั้นเป็นจุดสูงสุดของศิลปะอินเดียเหนือยุคคลาสสิก (classic peak of north Indian art) ในทุกกลุ่มศาสนาสำคัญ ถึงแม้จิตรกรรมจะแพร่หลาย ดังเช่นตัวอย่างที่พบในถ้ำอชันตา แต่ก็หลงเหลือมาถึงปัจจุบันไม่มาก ชิ้นงานที่หลงเหลือมาถึงปัจจุบันส่วนใหญ่ล้วนเป็นประติมากรรมทางศาสนา ศูนย์กลางสำคัญได้แก่ มถุรา สารนาถ และ คันธาระ นอกจากนี้ยังถือว่ายุคคุปตะเป็นยุคทองของศาสนาฮินดูยุคคลาสสิก (classical Hinduism)[17] และเริ่มมีหลักฐานของการสร้างสถาปัตยกรรมศาสนสถานของฮินดูเป็นครั้งแรก ๆ ถึงแม้จะมีหลงเหลืออยู่ไม่มากในปัจจุบันก็ตาม

Thumb
พระพุทธรูปประทับนั่ง, ศตวรรษที่ 5, พิพิธภัณฑ์สารนาถ
พระพุทธรูปประทับนั่ง, ศตวรรษที่ 5, พิพิธภัณฑ์สารนาถ 
Thumb
Mahishasuramardini, ทศาวาตารมนเทียร
Mahishasuramardini, ทศาวาตารมนเทียร 
Thumb
พระกฤษณะเอชนะปีศาจม้า Keshi, ca. ศตวรรษที่ 5, พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน
พระกฤษณะเอชนะปีศาจม้า Keshi, ca. ศตวรรษที่ 5, พิพิธภัณฑ์ศิลปะเมโทรโปลิตัน 
Thumb
เสาเหล็กแห่งเดลี, ca. ศตวรรษที่ 3 – 4
เสาเหล็กแห่งเดลี, ca. ศตวรรษที่ 3 – 4 
Remove ads

ยุคกลาง (ประมาณ 600 CE –  1300 CE)

จักรวรรดิแห่งอินเดียใต้ (ประมาณ3rd century CE 1300 CE)

หมู่มนเทียรที่ขชุราโห (ประมาณ800 CE 1000 CE)

เดกกัน

Remove ads

สมัยใหม่ตอนต้นและยุคอาณานิคม (ประมาณ 1400 CE –  1800 CE)

ศิลปะโมกุล

อาณาจักรอื่น ๆ

ยุคบริเตน (1841–1947)

ศิลปะร่วมสมัย

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads