คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

สโมสรฟุตบอลนอริชซิตี

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

สโมสรฟุตบอลนอริชซิตี
Remove ads

สโมสรฟุตบอลนอริชซิตี (อังกฤษ: Norwich City Football Club) เป็นสโมสรฟุตบอลอาชีพอังกฤษ ตั้งที่เมืองนอริชในเทศมณฑลนอร์ฟอล์ก ปัจจุบันลงแข่งขันในอีเอฟแอลแชมเปียนชิป หลังจากที่ตกชั้นจาก พรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2021–22 สโมสรก่อตั้งขึ้นใน ค.ศ. 1902 และได้ใช้งานแคร์โรว์โรดเป็นสนามเหย้านับตั้งแต่ ค.ศ. 1935 เป็นต้นมา สโมสรมีทีมคู่ปรับที่สำคัญคืออิปสวิชทาวน์ ซึ่งทั้งคู่พบกันมาแล้ว 134 ครั้งนับตั้งแต่ ค.ศ. 1902 และการพบกันของทั้งคู่ถูกเรียกว่าอีสต์แองกลิอันดาร์บี เพลงเชียร์ของแฟนบอลซึ่งมีชื่อว่า "ออนเดอะบอลซิตี" (On the Ball, City) ถือเป็นเพลงเชียร์ฟุตบอลที่เก่าแก่ที่สุดในโลก เพลงนี้แต่งขึ้นใน ค.ศ. 1890 และยังมีการร้องมาจนถึงปัจจุบัน

ข้อมูลเบื้องต้น ชื่อเต็ม, ฉายา ...

นอริชชนะเลิศลีกคัพสองสมัยในปี 1962 และ 1985 ผลงานที่ดีที่สุดในลีกของสโมสรคืออันดับที่สามในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 1992–93

ชุดเหย้าของสโมสรคือชุดสีเหลืองและเขียว สโมสรมีฉายาว่า นกขมิ้น ซึ่งเป็นนกที่พบในพื้นที่นี้ (มีการพูดถึงนกชนิดนี้ครั้งแรกในศตวรรษที่ 16 โดยกลุ่มผู้อพยพที่ชื่อว่า "กลุ่มคนแปลกหน้า")[2]

Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง
Thumb
ภาพสนามแคร์โรว์โรด ถัดไปเป็นทิวทัศน์ของเมืองนอริช

สโมสรฟุตบอลนอริช ซิตี้ ก่อตั้งขึ้นโดยการประชุมกันที่ คริเตเรียน คาเฟ่ (Criterion Cafe) นอริช เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 1902 และจากนั้นก็มีการประชุมย่อยอีกครั้งในวันที่ 2 กรกฎาคม 1902 โดยกลุ่มเพื่อนนำโดยอดีต 3 ผู้เล่นของนอริช ซีอีวายเอ็มเอส (Norwich CEYMS F.C. (CEYMS being an acroynm for Church of England Young Men's Society) โรเบิร์ต เว็บสเตอร์, โจเซฟ คาวเปอร์และแบรด สเคลลี่[3][4] และได้เล่นแมทช์อย่างเป็นทางการครั้งแรกพบกับ ฮาร์วิชแอนด์พาร์คสตัน ที่สนามนิวมาร์เก็ต โรดเมื่อวันที่ 6 กันยายน 1902[5] และในปี 1905 ตามมติของคณะกรรมการเอฟเอ สโมสรก็ได้เปลี่ยนจากสโมสรสมัครเล่นกลายเป็นองค์กรอาชีพ ไม่กี่ปีหลังจากนั้น สโมสรได้ถูกเลือกให้ลงเล่นในเซาท์เทิร์น ลีก (Southern League) ประกอบกับผู้ชมที่เข้ามาชมเป็นจำนวนมากทำให้พวกเขาต้องย้ายจากสนามนิวมาร์เก็ต โรดไปสู่สนามเดอะเนสท์ในปี 1908 ซึ่งเคยเป็นเหมืองหินมาก่อน สำหรับฉายาของสโมสร เมื่อก่อนเคยมีฉายาว่า เดอะ ซิติเซนส์ (the Citizens) และได้เปลี่ยนมาเป็น เดอะ คานารี่ส์ (Canaries) แทนในปี 1907 ฉายานี้ถูกตั้งโดยประธานสโมสร(ผู้มีความเชี่ยวชาญด้านการเพาะพันธ์นก Canaries) โดยขนานนามชื่อผู้เล่นของเขาว่า เดอะ คานารี่ส์ และเปลี่ยนสีชุดแข่งเป็นแถบสีเหลืองและเขียวแทน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 1 ในช่วงที่การแข่งขันฟุตบอลถูกระงับและสโมสรต้องประสบกับภาวะหนี้สิน ทำให้สโมสรต้องเข้าสู่กระบวนการชำระหนี้โดยสมัครใจ (voluntary liquidation) เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม 1917

สโมสรได้ก่อตั้งอย่างเป็นทางการอีกครั้งเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1919 บุคคลผู้มีส่วนสำคัญคือ ชาร์ลส์ เฟรเดริก วัตลิ่ง ผู้ซึ่งต่อมาจะได้เป็นนายกเทศมนตรีเมืองนอริชและเป็นบิดาของประธานสโมสรในอนาคตอย่าง เจฟฟรี่ วัตลิ่ง[6] ในปี 1920 สมาพันธ์ฟุตบอลลีกได้จัดการแข่งขันฟุตบอลลีกดิวิชั่น 3 ขึ้นมา นอริชจึงได้เข้าร่วมการแข่งขันในฤดูกาลนั้น[7]

ปีแห่งการเลื่อนชั้นและตกชั้น (2009–ปัจจุบัน)

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 โรเดอร์ถูกปลดจากตำแหน่งผู้จัดการทีม[8] และไม่นานหลังจากนั้น ไบรอัน กันน์ อดีตผู้รักษาประตูของนอริช ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมจนจบฤดูกาล[9] อย่างไรก็ตาม เขาไม่สามารถป้องกันไม่ให้สโมสรตกชั้นในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2009 ได้ หลังจากที่แพ้ 4–2 ให้กับชาร์ลตันแอทเลติกที่ตกชั้นไปแล้ว[10] หลังจากที่พวกเขาตกชั้น เกมแรกของฤดูกาลจบลงด้วยการแพ้ในบ้านให้กับคู่แข่งจากอีสต์แองเกลียอย่างโคลเชสเตอร์ยูไนเต็ด 7–1 นี่คือความพ่ายแพ้ในบ้านที่มากที่สุดของสโมสร และกันน์ก็ถูกปลดออกจากตำแหน่งในอีกหกวันต่อมา[11]

ในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 2009 พอล แลมเบิร์ตได้รับการประกาศให้เป็นผู้จัดการทีมคนใหม่ โดยลาออกจากตำแหน่งผู้จัดการทีมที่โคลเชสเตอร์ยูไนเต็ด และเก้าเดือนต่อมา เขาก็พานอริชเลื่อนชั้นกลับสู่แชมเปียนชิปในฐานะแชมป์ลีกวันหลังจากอยู่ในลีกวันได้เพียงฤดูกาลเดียว[12][13] ฤดูกาลถัดมา นอริชเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก หลังจากจบในตำแหน่งรองแชมป์ ถือเป็นการเลื่อนชั้นติดต่อกันครั้งแรกจากระดับที่สามไปสู่ระดับที่สอง และเลื่อนชั้นสู่ระดับหนึ่ง นับตั้งแต่แมนเชสเตอร์ซิตีในปี ค.ศ. 2000[14][15]

สโมสรจบอันดับที่ 12 ในฤดูกาลแรกที่พวกเขากลับมาเล่นในพรีเมียร์ลีก[16] อย่างไรก็ตาม แลมเบิร์ตได้ลาออกภายในเวลาหนึ่งเดือนหลังจากปิดฤดูกาลเพื่อรับตำแหน่งผู้จัดการทีมที่ว่างลงที่แอสตันวิลลา ทีมคู่แข่งร่วมลีก และถูกแทนที่โดยคริส ฮิวจ์ตัน[17] ฮิวจ์ตันพานอริชจบอันดับที่ 11 รวมถึงไม่แพ้ใคร 10 นัดในลีก แต่พวกเขาก็ตกชั้นกลับไปสู่แชมเปียนชิปหลังจบฤดูกาล 2013–14 ฮิวจ์ตันถูกปลดออกจากตำแหน่งและถูกแทนที่โดยนีล แอดัมส์ อดีตผู้เล่นของนอริช[18][19]

หลังจากครึ่งแรกของฤดูกาล 2014–15 ที่ทำผลงานได้ไม่ดีนัก แอดัมส์ก็ลาออกในเดือนมกราคม ค.ศ. 2015 และอเล็กซ์ นีล ผู้จัดการทีมแฮมิลตันอะคาเดมิคัล ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการทีมนอริชในอีกสี่วันต่อมา[20][21] การแต่งตั้งดังกล่าวทำให้นอริชกลับมาคึกคักอีกครั้ง และชัยชนะในรอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟแชมเปียนชิปปี 2015 ช่วยให้พวกเขาสามารถกลับสู่ลีกสูงสุดของฟุตบอลอังกฤษได้ทันที[22] การเลื่อนชั้นครั้งนี้เกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เนื่องจากเมื่อจบฤดูกาลถัดมา พวกเขาตกชั้นอีกครั้งเพื่อลงไปเล่นในแชมเปียนชิปฤดูกาล 2016–17[23]

ฤดูกาลถัดมา สโมสรเริ่มต้นได้อย่างยอดเยี่ยมโดยรั้งตำแหน่งจ่าฝูงของแชมเปียนชิปในช่วงกลางเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม ด้วยผลงานที่ย่ำแย่ทำในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2017 นีลถูกปลดจากตำแหน่ง[24] แอลัน เออร์ไวน์ โค้ชทีมชุดใหญ่ได้รับการแต่งตั้งให้คุมทีมชั่วคราวตลอดช่วงที่เหลือของฤดูกาล โดยพาทีมจบฤดูกาลในอันดับที่แปด[25][26]

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2017 สโมสรได้แต่งตั้งดานีเอล ฟาร์เคอ โค้ชชาวเยอรมันเป็นหัวหน้าโค้ช ซึ่งถือเป็นหัวหน้าโค้ชคนแรกในประวัติศาสตร์ 114 ปีของสโมสรที่ไม่ได้มาจากบริติชไอลส์

อย่างไรก็ตามในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2025 สโมสรได้ปลดโธร์ปจากตำแหน่งหลังจากชนะเพียง 14 นัดจาก 47 เกม โดยมีแจ็ค วิลเชียร์ อดีตกองกลางของอาร์เซนอลและทีมชาติอังกฤษ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งให้เป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2024 เข้ามาคุมทีมในช่วงที่เหลือของฤดูกาล[27]

Remove ads

สนามแข่ง

สรุป
มุมมอง
Thumb
บรรยากาศภายในสนามแคร์โรว์โรด

สโมสรฟุตบอลนอริช ซิตี้ เคยใช้สนามนิวมาร์เก็ตโรดในช่วงปี 1902 - 1908 มีสถิติผู้เข้าชม 10,366 คน ในการแข่งขันเอฟเอ คัพ รอบสอง ปี 1908 กับทีมเชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์[28] ภายหลังมีข้อพิพาทเกี่ยวกับเงื่อนไขในการเช่าสนามนิวมาร์เก็ต โรด สโมสรจึงได้ย้ายไปยังรังเหย้าแห่งใหม่ในปี 1908 ที่บริเวณเหมืองหินชอล์กเก่าที่โรซารี่ โรดซึ่งต่อมาเป็นที่รู้จักกันในชื่อ เดอะเนสท์ (รังนก)[29] ในช่วงทศวรรษที่ 1930 สนามเริ่มมีความจุไม่เพียงพอและในปี 1935 สโมสรจึงได้ย้ายมายังแคร์โรว์โรด รังเหย้าปัจจุบัน[30] ในช่วงแรกสร้าง สนามถูกบรรยายว่าเป็นงานก่อสร้างที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองนับตั้งแต่สร้างปราสวาทนอริชเลยทีเดียว เป็นสิ่งมหัศจรรย์ที่สร้างเพียง 82 วัน และถูกเรียกโดยสโมสรว่าเป็น 8 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก[31][32] ภาพถ่ายทางอากาศเมื่อเดือนสิงหาคม ปี 1935 เปิดเผยให้เห็นถึงอัฒจันทร์ 3 ด้านที่ไม่มีหลังคา และอีกด้านเป็นอัฒจันทร์มีหลังคา และมีโฆษณาของโคลแมน มัสตาร์ดพ่นอยู่บนหลังคา ซึ่งมองเห็นได้ทางอากาศเท่านั้น[33] สปอตไลท์ที่ถูกติดตั้งในสนามเมื่อปี 1956 ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 9,000 ปอนด์ เกือบทำให้สโมสรต้องล้มละลาย แต่ความสำเร็จในเอฟเอ คัพ เมื่อปี 1959 ช่วยให้สโมสรมีสถานะทางการเงินที่ดีขึ้นและยังสามารถนำไปสร้างหลังคาบนสแตนด์ฝั่งใต้ได้อีกด้วย สแตนด์ฝั่งใต้นี้ได้สร้างใหม่เมื่อปี 2003 มีขนาดความจุ 7,000 ที่นั่ง และตั้งชื่อใหม่ว่า จาร์โรลด์ สแตนด์[30]

ในปี 1963 สถิติผู้ชมการแข่งขันในแคร์โรว์โรดสูงถึง 43,984 คน เป็นการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอคัพรอบ 6 กับทีมเลสเตอร์ซิตี แต่เหตุหายนะที่ไอบรอกซ์ สเตเดี้ยมIbrox stadium disaster เมื่อปี 1971, สโมสรเลยต้องคำนึงถึงความปลอดภัยทำให้จำนวนความจุของสนาม ลดลงเหลือประมาณ 20,000 ที่นั่ง อัฒจันทร์สองชั้นถูกสร้างขึ้นที่ฝั่งริเวอร์เอนด์และในไม่ช้าก็ได้ติดตั้งที่นั่งลงไป ในปี 1979 สนามมีความจุ 28,392 มีที่นั่ง 12,675 ที่ เหตุไฟไหม้ในปี 1984 ทำให้อัฒจันทร์ฝั่งหนึ่งถูกทำลายนำไปสู่​​การรื้อถอนอย่างสมบูรณ์และถูกแทนที่โดยซิตีสแตนต์ในปี 1987 ซึ่งประธานสโมสร โรเบิร์ต เชส บรรยายว่า "มาชมการแข่งขันฟุตบอลที่ฝั่งซิตีสแตนด์ให้ความรู้สึกเหมือนมาดูภาพยนตร์ แตกต่างเพียงแค่เวทีของเราปกคลุมไปด้วยหญ้าแค่นั้น"[30] หลังจากเกิดโศกนาฏกรรมที่ ฮิลส์โบโร่ ในปี 1989 และผลที่ตามมาในรายงานของเทย์เลอร์ (Taylor Report)ในปี 1990 สนามถูกปรับปรุงให้เป็นแบบติดตั้งเก้าอี้หมดทุกพื้นที่ ปัจจุบัน สนามแคร์โรว์โรดเป็นที่นั่งทั้งหมดมีความจุ 27,000 ที่นั่ง.[34]

Remove ads

ผู้เล่น

ผู้เล่นชุดปัจจุบัน

ณ วันที่ 4 กรกฎาคม 2023 [35]

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

ข้อมูลเพิ่มเติม เลข, ตำแหน่ง ...

ผู้เล่นถูกยืมตัว

หมายเหตุ: ธงชาติที่ปรากฏบ่งบอกให้ทราบว่าผู้เล่นคนนั้นสามารถเล่นให้กับชาติใดตามกฎของฟีฟ่าตามความเหมาะสม เพราะผู้เล่นบางคนอาจถือสองสัญชาติ

ข้อมูลเพิ่มเติม เลข, ตำแหน่ง ...
Remove ads

เกียรติประวัติ

สรุป
มุมมอง

นอริช ซิตี้ มีเกียรติประวัติ ดังต่อไปนี้:[36]

ลีก

พรีเมียร์ลีก (ระดับ 1)

  • อันดับ 3 (1) (1992–93)

ลีกดิวิชั่น 2/แชมเปียนชิป (ระดับ 2)

  • แชมป์ (5) : 1971–72, 1985–86, 2003–04, 2018–19, 2020–21
    • รองแชมป์ (1) : 2010–11

ลีกดิวิชั่น 3/ลีกวัน (ระดับ 3)

  • แชมป์ (2) : 1933–34, 2009–10
    • รองแชมป์ (1) : 1959–60

บอลถ้วย

เอฟเอ คัพ

  • รอบรองชนะเลิศ (3): 1959, 1989, 1992

ฟุตบอลลีกคัพ

  • แชมป์ (2) : 1962, 1985
    • รองแชมป์ (2) : 1973, 1975


นักเตะแห่งปี

For a more detailed list of these winners of the Barry Butler trophy, see Norwich City Players of the Year.
ข้อมูลเพิ่มเติม Year, Winner ...
Remove ads

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads