คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
อาร์เทอร์ คอมป์ตัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
อาร์เทอร์ ฮอลลี คอมป์ตัน (Arthur Holly Compton) (10 กันยายน พ.ศ. 2435 – 15 มีนาคม พ.ศ. 2505) เป็นนักฟิสิกส์ชาวอเมริกัน ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ พ.ศ. 2470 ในฐานะที่เขาค้นพบการกระเจิงของโฟตอนจากอิเล็กตรอน อันเป็นการพิสูจน์สมบัติความเป็นอนุภาคของคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า อาร์เทอร์ คอมป์ตัน รู้จักกันดีในฐานะหัวหน้าห้องปฏิบัติการโลหิงยาวิทยาของโครงการแมนฮัตตัน และนายกสภามหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์ระหว่าง พ.ศ. 2488 - 2496 และเป็นผู้ศึกษารังสีทุกชนิดบนโลก
Remove ads
ชีวิตวัยเยาว์และชิวิตครอบครัว
สรุป
มุมมอง

อาร์เทอร์ คอมป์ตัน เกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2435 เป็นบุตรคนที่ของเอเลียส คอมป์ตัน (Elias Compton) และโอเทลเลีย แคเทอรีน คอมป์ตัน (Otelia Catherine Compton) (สกุลเดิม ออกซเพอร์เกอร์ (Augspurger)) [1] โดยเอเลียสผู้เป็นบิดา ได้เคยเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยวูสเตอร์ ส่วนคาร์ล คอมป์ตัน (Karl Compton) พี่ชายของอาร์เทอร์ ได้ปริญญาเอกสาขาฟิสิกส์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน เมื่อ พ.ศ. 2455 และเป็นอธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ ระหว่างปี พ.ศ. 2473 - 2491 พี่ชายคนรอง วิลสัน คอมป์ตัน (Wilson Compton) ได้รับปริญญาเอกสาขาเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน เมื่อ พ.ศ. 2456 และได้เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยวอชิงตันสเตต ยิ่งไปกว่านั้น มารดาตระกูลคอมป์ตันเป็นแม่ดีเด่นประจำปี 2475 ของสหรัฐอเมริกาด้วย[2] ในส่วนน้องสาว แมรี คอมป์ตัน (Mary Compton) สมรสกับศาสนาจารย์ซี เฮอร์เบิร์ต ไรซ์ (C Herbert Rice) ครูใหญ่โรงเรียนคริสเตียนลาฮอร์[3]
ในชั้นแรก อาร์เทอร์สนใจวิชาดาราศาสตร์ โดยได้ถ่ายภาพดาวหางฮัลเลย์ครั้งที่โคจรผ่านโลกเมื่อ พ.ศ. 2455[4] ปีถัดมา อาร์เทอร์ก็เริ่มทำการทดลองเพื่อศึกษาผลของการหมุนของโลกที่มีต่อน้ำที่บรรจุในหลอดทบเป็นวงกลม[5] ในที่สุดปีเดียวกันนั้นเองเขาก็จบการศึกษาได้รับปริญญาวิทยาศาสตรบัณฑิตจากวิทยาลัยวูสเตอร์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2457 อาร์เทอร์ได้รับปริญญาศิลปศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน[6] ไม่เพียงเท่านั้น เขายังศึกษาต่อปริญญาเอกกับเฮเรเวิร์ด คูก ในหัวข้อ ความเข้มของการสะท้อนรังสีเอกซ์และการจัดเรียงอิเล็กตรอนในอะตอม[7] จนได้รับปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตใน พ.ศ. 2459 พี่น้องตระกูลคอมป์ตันถือได้ว่าเป็นพี่น้องกลุ่มแรกที่เข้ามหาวิทยาลัยพร้อมกัน และจบปริญญาเอกไล่เลี่ยกัน[8] หลังจบปริญญาเอกได้ทำงานเป็นอาจารย์สอนฟิสิกส์ที่มหาวิทยาลัยมินนิโซตา แต่เป็นได้เพียงหนึ่งปี [9] จากนั้นจึงได้ย้ายไปทำงานเป็นวิศวกรวิจัยที่บริษัทเวสติงเฮาส์ที่เมืองพิตสเบิร์ก งานหลักของเขาในขณะนั้นคือการพัฒนาหลอดไฟไอโซเดียม (sodium-vapour lamp) ครั้นสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาถึง อาร์เทอร์ได้ช่วยพัฒนาระบบสื่อสารอากาศยานที่กองทหารสื่อสารสหรัฐอีกด้วย[3]
ในปี พ.ศ. 2462 อาร์เทอร์ได้รับทุนการศึกษาจากสภาวิจัยแห่งชาติสหรัฐให้เดินทางไปศึกษาที่ห้องปฏิบัติการคาเวนดิช มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ โดยทำงานวิจัยกับจอร์จ แพเจต ทอมสัน บุตรของโจเซฟ จอห์น ทอมสัน ในหัวข้อการกระเจิงและการดูดกลืนรังสีแกมมา[9][10] ในการศึกษาเขาสังเกตว่ารังสีที่กระเจิงสามารถดูดกลืนได้ง่ายกว่ารังสีจากแหล่งกำเนิด[6] ณ ที่นั้น เขาได้พบกับนักวิทยาศาสตร์ที่มีชื่อเสียงหลายท่าน อาทิ เออร์เนสต์ รัทเทอร์ฟอร์ด ชาลส์ แกลตัน ดาร์วิน และอาร์เทอร์ เอดดิงตัน ซึ่งสองชื่อได้กลายเป็นชื่อบุตรของอาร์เทอร์เองในเวลาต่อมา[10]
ทางด้านชีวิตครอบครัว อาร์เทอร์สมรสกับเบตตี แชริตี แมคคลอสกีย์ (Betty Charity McCloskey) ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชั้นในคราวที่เรียนปริญญาตรี มีบุตรด้วยกันสองคน คือ อาร์เทอร์ อลัน คอมป์ตัน และจอห์น โจเซฟ คอมป์ตัน[11]
Remove ads
ชีวิตการงาน
สรุป
มุมมอง

ปรากฏการณ์คอมป์ตัน
หลังจากที่ได้ทำวิจัยที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นเวลาหนึ่งปีมาแล้ว อาร์เทอร์ได้เดินทางกลับมารับตำแหน่งศาสตราจารย์สาขาฟิสิกส์ เวย์แมน คราว (Wayman Crow Professor of Physics) และหัวหน้าภาควิชาฟิสิกส์มหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์[6] สองปีต่อมาเขาได้ค้นพบการกระเจิงของควอนตารังสีเอกซ์จากอิเล็กตรอนอิสระ โดยสังเกตได้ว่ารังสีเอกซ์หลังกระเจิงมีความยาวคลื่นยาวกว่าก่อนกระเจิง เขาจึงอธิบายว่า รังสีเอกซ์สูญเสียพลังงานส่วนหนึ่งให้กับอิเล็กตรอนขณะพุ่งเข้าชน ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า ปรากฏการณ์คอมป์ตัน[12][13]
ต่อมา ในปี พ.ศ. 2466 อาร์เทอร์ตีพิมพ์บทความลงในวารสาร ฟิสิกัลรีวิว ว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงความถี่ของรังสีเอกซ์ โดยเสนอว่าแสงประกอบด้วยอนุภาคที่เรียกว่าโฟตอน โฟตอนแต่ละตัวมีพลังงานขึ้นกับความถี่ อันเป็นแนวคิดของมักซ์ พลังค์ ที่เสนอไว้เมื่อ 23 ปีก่อน นอกจากนี้ อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ใช้แนวคิดเดียวกันอธิบายปรากฏการณ์โฟโตอิเล็กทริก[14] ในบทความดังกล่าวมีความสัมพันธ์ทางคณิตศาสตร์ระหว่างความยาวคลื่นที่เปลี่ยนแปลงไป กับมุมกระเจิงของรังสีเอกซ์ โดยสมมติให้โฟตอนหนึ่งตัวชนกับอิเล็กตรอนอิสระหนึ่งตัว จากนั้นจะได้ว่า
โดยที่
- แทนความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์ก่อนกระเจิง
- แทนความยาวคลื่นของรังสีเอกซ์หลังกระเจิง
- แทน ค่าคงตัวพลังค์
- แทนมวลนิ่งของอิเล็กตรอน
- แทนอัตราเร็วแสง
- แทนมุมกระเจิง[13]
ค่าคงตัว hmec เรียกว่า ความยาวคลื่นคอมป์ตันของอิเล็กตรอน ซึ่งมีค่า 2.43×10−12 m ความต่างความยาวคลื่น λ′ − λ มีค่าได้ตั้งแต่ศูนย์ (เมื่อ θ = 0°) จนถึงสองเท่าของความยาวคลื่นคอมป์ตัน (เมื่อ θ = 180°))[15] ในการทดลองจริง รังสีเอกซ์บางลำอาจไม่ได้เปลี่ยนแปลงความยาวคลื่นเลยแม้จะกระเจิงเป็นมุมกว้าง และบางกรณีโฟตอนอาจไม่กระเจิงออกจากอิเล็กตรอนเลย อย่างไรก็ดี การกระเจิงคอมป์ตันสามารถเกิดที่ระดับอะตอม ซึ่งใหญ่กว่าอิเล็กตรอนถึง 10,000 เท่า[13]
จากปรากฏการณ์ดังกล่าว ได้ยืนยันสมบัติความเป็นอนุภาคของรังสีเอกซ์ และคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดอื่น ทำให้เจ้าของผลงานได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ ประจำปี พ.ศ. 2470 ร่วมกับอัลเฟรด ไซมอน ซึ่งคิดค้นวิธีการสังเกตการกระเจิงโฟตอนพร้อม ๆ กับอิเล็กตรอนที่ถูกเร่ง อันเป็นวิธีที่คล้ายกับวิธีของวอลเทอร์ โบเทอ (Walther Bother) และฮันส์ ไกเกอร์ นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน[12] อาร์เทอร์เคยกล่าวไว้ว่า "ตอนที่ผมเสนอผลงานในสมาคมฟิสิกส์อเมริกัน ราว ๆ ปี 2466 เรื่องนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ถกกันได้ยาวทีเดียวเท่าที่ผมเคยเห็นมาในชีวิต"[16]
การทดลองรังสีเอกซ์

ในปี พ.ศ. 2466 อาร์เทอร์ย้ายไปทำงานที่มหาวิทยาลัยชิคาโก โดยทำงานเป็นอาจารย์สอนฟิสิกส์[6] โดยเขาได้ทำงานนานถึง 22 ปีทีเดียว.[12] สองปีหลังจากเข้าทำงาน เขาได้สาธิตการกระเจิงรังสีเอกซ์พลังงาน 130,000 โวลต์ กับอะตอมธาตุ 16 ธาตุแรกในตารางธาตุ (ไฮโดรเจน จนถึง กำมะถัน) โดยรังสีเอกซ์ที่ได้เป็นคลื่นโพลาไรซ์ ตามผลที่จอห์น ทอมสันได้เคยระบุไว้ ทางด้านมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด วิลเลียม ดูแอน (William Douane) ได้พยายามทำการทดลองเพื่อหักล้างงานที่อาร์เทอร์ทำ แต่ไม่เป็นผล[12] นอกจากปรากฏการณ์คอมป์ตันแล้ว อาร์เทอร์ยังได้ศึกษาผลของรังสีเอกซ์ที่มีต่อนิวเคลียสโซเดียมกับคลอรีน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของเกลือแกง ในการศึกษานี้ได้ใช้รังสีเอกซ์ศึกษาภาวะเฟอร์โรแมกเนติก ซึ่งเป็นผลมาจากการจัดตัวของสปินอิเล็กตรอน[17] ในปี พ.ศ. 2469 อาร์เทอร์เขียนหนังสือ รังสีเอกซ์และอิเล็กตรอน ซึ่งเป็นหนังสือว่าด้วยการศึกษาสมบัติวัสดุด้วยรังสีเอกซ์ มีหัวข้อว่าด้วยการคำนวณความหนาแน่นของวัสดุซึ่งเลี้ยวเบนรังสีได้[17] เก้าปีต่อมาได้ร่วมกับแซมมวล แอลิสัน (Samuel Alison) เขียนหนังสือชื่อ รังสีเอกซ์ในทฤษฎีและการทดลอง นับเป็นมาตรฐานในขณะนั้น[18]
ต่อมาในปี พ.ศ. 2477 อาร์เทอร์รับเป็นที่ปรึกษาแผนกหลอดไฟของบริษัทเจเนอรัลอิเล็กทริก แปดปีให้หลังเขาเดินทางไปยังประเทศอังกฤษเพื่อไปดูแลห้องปฏิบัติการของบริษัทฯ ที่ตำบลเวมบลีย์ อำเภอเบรนต์ ชานกรุงลอนดอนด้านตะวันตกเฉียงเหนือ รวมถึงเป็นศาสตราภิชานอีสต์แมนที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ระหว่างนั้น เขาได้สนใจทำวิจัยเรื่องหลอดวาวแสง (หลอดฟลูออเรสเซนต์) อีกด้วย[19][20]
การทดลองรังสีคอสมิก
นอกจากรังสีเอกซ์แล้ว อาร์เทอร์สนใจรังสีคอสมิกซึ่เป็นรังสีจากนอกโลกและไม่มีผู้ได้ทราบถึงธรรมชาติที่แน่นอนของรังสี นอกเสียจากจะตรวจวัดด้วยทรงกลมโลหะบรรจุแก๊สอาร์กอน ต่อกับตัวตรวจวัดความนำไฟฟ้า ด้วยความสนใจนี้เองเขาได้เดินทางไปในหลายประเทศ อาทิ ทวีปยุโรป อินเดีย เม็กซิโก เปรู และออสเตรเลีย เพื่อตรวจวัดปริมาณรังสีคอสมิกตามตำแหน่งและความสูงที่แตกต่างกัน เมื่อนำข้อมูลมารวมกับกลุ่มวิจัยอื่นพบว่า รังสีคอสมิกที่ขั้วโลกมีความแรงมากกว่าที่เส้นศูนย์สูตร 15% เขาอธิบายว่ารังสีคอสมิกประกอบด้วยอนุภาคที่มีประจุ แทนที่จะเป็นแสงเฉย อย่างที่โรเบิร์ต มิลลิแกน ได้อธิบายไว้ และเนื่องจากสนามแม่เหล็กโลกที่ความเข้มต่างกันก็ทำให้ความแรงของรังสีคอสมิกไม่เท่ากัน[21]
Remove ads
โครงการแมนฮัตตัน
สรุป
มุมมอง
ราวเดือนเมษายน พ.ศ. 2484 วันเนวาร์ บุช หัวหน้าสภาวิจัยกลาโหม ได้จัดให้มีคณะอนุกรรมการว่าด้วยโครงการยูเรเนียม โดยมีอาร์เทอร์เป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งเขาก็ได้ทำรายงานเมื่อเดือนพฤษกาคมปีเดียวกัน ระบุถึงคามเป็นไปได้ในการพัฒนาอาวุธรังสี อาวุธนิวเคลียร์ทำจากยูเรเนียม-235 หรือพลูโตเนียม และเครื่องยนต์นิวเคลียร์สำหรับเรือรบ[22] ในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง อาร์เทอร์และเอนริโก แฟร์มี ร่วมกันเขียนรายงานว่าด้วยระเบิดนิวเคลียร์ โดยทั้งสองได้คำนวณมวลวิกฤตของยูเรเนียม-235 ได้ที่ค่าระหว่าง 20 กิโลกรัม จนถึง 2 ตัน หากทำได้ตามที่กำหนดย่อมสามารถสร้างระเบิดทำลายล้างสูงด้วย นอกจากนี้ยังได้ทำงานร่วมกับแฮโรลด์ อูเรย์ (Harold Urey) ยูจีน วิกเนอร์ (Eugene Wigner) มาร์ก โอลิฟันต์ (Mark Oliphant) และโรเบิร์ต เซอร์เบอร์ (Robert Serber) ว่าด้วยการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม การผลิต และแยกพลูโตเนียมออกจากยูเรเนียมในเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์ [23]
ต่อมา เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ (Ernest Lawrence) ได้เสนอว่าสามารถสร้างระเบิดพลูโตเนียมขึ้นได้ เช่นเดียวกันระเบิดยูเรเนียม ทำให้ในเดือนธันวาคมปีนั้นเองอาร์เทอร์เข้าร่วมโครงการพลูโตเนียม[24] เขาหวังว่าจะสามารถควบคุมปฏิกิริยาลูกโซ่wได้ภายในต้นปี พ.ศ. 2486 และต้องได้ระเบิดนิวเคลียร์ภายในต้นปี พ.ศ. 2488 ในการนี้เขาได้อยู่ในกลุ่มวิจัยด้านพลูโตเนียมและเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์หลายกลุ่มที่มีที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มหาวิทยาลัยปรินซ์ตัน มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเบิร์กเลย์ เพื่อรวบรวมสรรพกำลังที่มีอยู่ทั้งหมด โดยมีห้องปฏิบัติการโลหวิทยาที่มหาวิทยาลัยชิคาโกเป็นศูนย์กลาง[25]
ครั้นถึงเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2485 กองทหารช่างสหรัฐอเมริกาได้รวมโครงการอาวุธนิวเคลียร์กับห้องปฏิบัติการโลหวิทยาของเขาไว้กับโครงการแมนฮัตตัน[26] เดือนเดียวกันนั้นเองอาร์เทอร์มอบหมายให้โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ มีหน้าที่ออกแบบระเบิด ส่วนตัวอาร์เทอร์เองเป็นผู้เลือกแบบเตาปฏิกรณ์[27]ต่อมาได้มีการสร้างเตาปฏิกรณ์ชิคาโกไพล์-1 (Chicago Pile-1) ที่สนามกีฬามหาวิทยาลัยชิคาโกตามคำแนะนำของเอนริโก แฟร์มี ในที่สุดเตาปฏิกรณ์ที่สร้างก็สัมฤทธิ์ผลเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2485 การทดลองเสริมความบริสุทธิ์ของยูเรเนียมก็ได้เริ่มต้นขึ้น นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับบริษัทดูปองต์ (DuPont) สร้างโรงงานพลูโตเนียมขนาดลำลองที่เมืองโอ๊กริดจ์ รัฐเทนเนสซี[28] ทางด้านเอมิลิโอ เซกเร (Emilio Segrè) ก็มีเตาปฏิกรณ์แกรไฟต์ X-10 ที่เมืองโอ๊กริดจ์ ซึ่งสามารถผลิตพลูโตเนียม-240 ได้ในปริมาณสูง และมีสมบัติการแตกตัวเอง (spontaneous fission) ทำให้สามารถนำไปทำอาวุธนิวเคลียร์ได้ ส่วนโรเบิร์ต ออปเฟนไฮเมอร์ก็พยายามทำวิจัยว่าด้วยอาวุธนิวเคลียร์แบบยุบตัวเข้า แทนที่จะระเบิดออก[23]

ราวเดือนกันยายน พ.ศ. 2487 อาร์เทอร์สร้างตัวเตาปฏิกรณ์ที่นิคมแฮนฟอร์ดเสร็จ อีกสองเดือนถัดมาแท่งยูเรเนียมชุดแรกได้ถูกใส่เข้าไปในเตา อีกสามเดือนถัดมาก็สามารถผลิตเป็นยูเรเนียมส่งไปยังลอสอะลามอส (Los Alamos) ภายใต้การควบคุมของเขาเอง[29] ด้วยความสำเร็จของโครงการ ทำให้เขา โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ เออร์เนสต์ ลอว์เรนซ์ และเอ็นรีโก แฟร์มี เสนอให้ใช้ระเบิดนิวเคลียร์ทำสงครามกับญี่ปุ่น[30] จนได้รับเหรียญอิสริยาภรณ์ Medal of Merit [31]
Remove ads
กลับสู่มหาวิทยาลัยวอชิงตันครั้งที่สอง
หลังสิ้นสงคราม อาร์เทอร์ลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยชิคาโก แล้วเดินทางกลับสู่มหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์ ก่อนได้รับตำแหน่งนายกสภาคนที่เก้า เมื่อปี พ.ศ. 2489[31] ระหว่างดำรงตำแหน่ง มหาวิทยาลัยได้ยกเลิกข้อห้ามรับอาจารย์หญิงรวมทั้งรับนักศึกษาที่เป็นทหารผ่านศึก ถึงกระนั้นมหาวิทยาลัยก็ยังปฏิเสธไม่รับนักศึกษาผิวดำเข้าเรียน แต่แล้วก็ได้ยกเลิกกฎดังกล่าวไปหลังจากที่สถาบันอื่นเลิกกฎข้อนี้ไปนานแล้ว[32]
ในที่สุด เมื่อปี พ.ศ. 2497 อาร์เทอร์พ้นจากตำแหน่งนายกสภา แต่ยังคงเป็นอาจารย์ในตำแหน่งศาสตราจารย์อุปการคุณจนกระทั่งเกษียณในเจ็ดปีต่อมา หนังสืออะตอมิกเควส (Atomic Quest) ถูกเขียนขึ้นโดยเขาเอง โดยเล่าประวัติการทำงานในโครงการแมนฮัตตัน หนังสือเล่มนี้วางขายเมื่อ พ.ศ. 2508[31]
Remove ads
ปรัชญาชีวิต
สรุป
มุมมอง
อาร์เทอร์ คอมป์ตัน เป็นนักวิทยาศาสตร์ส่วนน้อยที่เคยเสนอแบบจำลองเจตจำนงเสรีสองขั้น (two-stage model of free will) ร่วมกับวิลเลียม เจมส์ (William James) อองรี ปวงกาเร (Henri Poincaré) คาร์ล พอปเพอร์ (Karl Popper) และเฮนรี มาร์เกอเนา (Henry Margenau) และแดเนียล เดนเนตต์ (Daniel Dennett)[33] อนึ่ง อาร์เทอร์เคยกล่าวในวารสารแอตแลนติดมันท์ลี (Atlantic Monthly) ฉบับหนึ่งของปี พ.ศ. 2498 ไว้ว่า[34]
เงื่อนไขที่ทราบดีแล้ว ไม่เพียงพอที่จะทำให้ทราบเหตุการณ์ที่จะเกิดต่อไป ชนิดที่มีความแแน่นอนและไม่ผิดเพี้ยน อย่างไรก็ดีเงื่อนไขที่เราทราบแล้วเหล่านั้นทำให้เกิดซึ่งเหตุการณ์ย่อยเรียงต่อกันหลายแบบต่อจากเหตุการณ์หนึ่ง ๆ จึงทำให้มีความไม่แน่นอนเกิดขึ้น หากคน ๆ หนึ่งใชเความเสรีภาพอย่างแท้จริง เขาจะต้องไม่เป็นส่วนหนึ่งของเงื่อนไขเหล่านั้น เพื่อให้สามารถเลือกว่าจะเอาเหตุการณ์อย่างใดดี ความคิดดังกล่าวรู้ได้ก็แต่เฉพาะตัวเขา แต่คนภายนอกเห็นได้แค่เพียงการกระทำของเขาตามหลักการ ส่วนสิ่งที่บังคับเขาให้กระทำคือ เจตจำนง ของเขาเอง[34]
นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2474 อาร์เทอร์เป็นผู้เสนอแนวคิดความโลเลทางควอนตัม (quantum indeterminacy) รวมทั้งได้เชื่อมโยงแนวคิดความน่าจะเป็นทางควอนตัมสู่โอกาสในการเกิดเหตุการณ์และความไม่แน่นอนในโลกแห่งความเป็นจริง โดยยกตัวอย่างของไดนาไมต์ผูกติดกับลำโพงเครื่องเสียงของเขาเอง ทำนองเดียวกันกับ แมวของชเรอดิงเงอร์ (Schrödinger's cat)[35]
Remove ads
มรณกรรมและมรดก
อาร์เทอร์ถึงแก่กรรมเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2505 ด้วยโรคเลือดออกในสมอง บุตรภริยาของเขาได้นำศพไปฝังที่สุสานเมืองวูสเตอร์ บ้านเกิดของเขาเอง[11][36] บ้านของเขาในปัจจุบันกลายเป็นมรดกแห่งชาติ[37]
ในช่วงที่มีชีวิต เขาได้รับเกียรติยศต่าง ๆ อาทิ รางวัลโนเบลสาขาฟิสิกส์ พ.ศ. 2470 เหรียญทองมัตเตอุชชี พ.ศ. 2476 เหรียญฮิวก์ราชวิทยสมาคมอังกฤษ และเหรียญเบนจามิน แฟรงคลิน พ.ศ. 2483[38] รวมถึงมีการนำชื่อของเขาไปตั้งเป็นชื่อสถานที่ต่าง ๆ อาทิ หลุมอุกกาบาตคอมป์ตันบนดวงจันทร์[39] ห้องปฏิบัติการวิจัยที่มหาวิทยาลัยวอชิงตันเซนต์หลุยส์[40] หอพักคอมป์ตันของมหาวิทยาลัยฯ[41] เซ็นต์หลุยวอล์กออฟเฟม (St Louis Walf of Fame)[42] และห้องปฏิบัติการรังสีแกมมาที่นาซ่า[43]
Remove ads
ผลงานวิชาการ
- Compton, Arthur (1926). X-Rays and Electrons: an Outline of Recent X-Ray Theory. New York: D. Van Nostrand Company, Inc. OCLC 1871779.
- Compton, Arthur; with Allison, S. K. (1935). X-Rays in Theory and Experiment. New York: D. Van Nostrand Company, Inc. OCLC 853654.
- Compton, Arthur (1935). The Freedom of Man. New Haven: Yale University Press. OCLC 5723621.
- Compton, Arthur (1940). The Human Meaning of Science. Chapel Hill: University of North Carolina Press. OCLC 311688.
- Compton, Arthur (1949). Man's Destiny in Eternity. Boston: Beacon Press. OCLC 4739240.
- Compton, Arthur (1956). Atomic Quest. New York: Oxford University Press. OCLC 173307.
- Compton, Arthur (1967). Johnston, Marjorie (บ.ก.). The Cosmos of Arthur Holly Compton. New York: Alfred A. Knopf. OCLC 953130.
- Compton, Arthur (1973). Shankland, Robert S. (บ.ก.). Scientific Papers of Arthur Holly Compton. Chicago: University of Chicago Press. ISBN 9780226114309. OCLC 962635.
Remove ads
เชิงอรรถ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads