คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ควีนแมรี 2
เรือเดินสมุทรสัญชาติบริติช จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
อาร์เอ็มเอส ควีนแมรี 2 (อังกฤษ: RMS Queen Mary 2; ย่อ: QM2) เป็นเรือเดินสมุทรสัญชาติบริติช เธอทำหน้าที่เป็นเรือธงของสายการเดินเรือคูนาร์ดมาตั้งแต่เดือนเมษายน ค.ศ. 2004[9] และ ณ ค.ศ. 2025 นี้ ถือเป็นเรือเดินสมุทรที่สร้างขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์เฉพาะเพียงลำเดียวที่ยังคงให้บริการอยู่[10][11] ควีนแมรี 2 ให้บริการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นประจำระหว่างเซาแทมป์ตันและนครนิวยอร์ก นอกเหนือจากการล่องเรือระยะสั้นและการเดินทางรอบโลกประจำปี[12][13]
เธอได้รับการออกแบบโดยคณะนาวาสถาปนิกชาวบริติชนำโดยสตีเฟน เพย์น และสร้างขึ้นในบริตทานีโดยช็องตีเอร์เดอลัตล็องติก (Chantiers de l'Atlantique) ขณะที่เธอกำลังก่อสร้าง ควีนแมรี 2 เป็นเรือโดยสารที่ยาวที่สุด ด้วยความยาว 1,131.99 ฟุต (345.03 เมตร) และใหญ่ที่สุด ด้วยระวางบรรทุกรวม 148,528 ตัน ในบรรดาเรือโดยสารที่เคยสร้างมา เธอไม่ได้ครองสถิติเหล่านี้อีกต่อไปหลังการสร้างเรือฟรีดอมออฟเดอะซีส์ของรอยัลแคริบเบียนอินเตอร์เนชันแนล ซึ่งเป็นเรือสำราญขนาด 154,407 ตัน ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2006 แต่เธอยังคงเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา
ควีนแมรี 2 ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเป็นหลัก โดยมีค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างขั้นสุดท้ายอยู่ที่ประมาณ 300,000 ดอลลาร์ต่อหนึ่งที่นอน ค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นผลมาจากวัสดุคุณภาพสูงที่ใช้ในการก่อสร้าง เนื่องจากได้รับการออกแบบให้เป็นเรือเดินสมุทร ทำให้ต้องใช้เหล็กมากกว่าเรือสำราญทั่วไปถึงร้อยละ 40[14] ควีนแมรี 2 มีความเร็วสูงสุดมากกว่า 30 นอต (56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 35 ไมล์ต่อชั่วโมง) และความเร็วในการเดินทางปกติที่ 26 นอต (48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 30 ไมล์ต่อชั่วโมง) ซึ่งเร็วกว่าเรือสำราญในปัจจุบัน แทนที่จะใช้ระบบขับเคลื่อนดีเซล-ไฟฟ้าที่พบได้ทั่วไป ควีนแมรี 2 ใช้ระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบบูรณาการเพื่อให้ได้ความเร็วสูงสุด โดยเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งเสริมด้วยกังหันก๊าซ จะถูกใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าเพื่อการขับเคลื่อนและสำหรับการใช้งานบนเรือ
สิ่งอำนวยความสะดวกของควีนแมรี 2 ประกอบด้วยห้องอาหารและบาร์สิบห้าแห่ง สระว่ายน้ำห้าสระ กาสิโน ห้องเต้นรำ โรงละคร และท้องฟ้าจำลองแห่งแรกในทะเล
Remove ads
ข้อมูลจำเพาะ
สรุป
มุมมอง
ควีนแมรี 2 เป็นเรือธงของคูนาร์ดไลน์ เธอถูกสร้างขึ้นเพื่อทดแทนควีนเอลิซาเบธ 2 ที่กำลังเก่า ซึ่งเป็นเรือธงของคูนาร์ดตั้งแต่ ค.ศ. 1969 ถึง 2004 และเป็นเรือเดินสมุทรขนาดใหญ่ลำสุดท้ายที่สร้างขึ้นก่อนหน้าควีนแมรี 2 ควีนแมรี 2 ได้รับคำนำหน้าชื่อว่าเรือไปรษณีย์หลวง (RMS) ซึ่งมอบให้โดยไปรษณีย์หลวงเมื่อเธอเริ่มให้บริการใน ค.ศ. 2004 เพื่อเป็นเกียรติและแสดงความเคารพต่อประวัติศาสตร์ของคูนาร์ด[15]
ควีนแมรี 2 ไม่ใช่เรือกลไฟเหมือนเรือหลายลำก่อนหน้านี้ แต่ขับเคลื่อนเป็นหลักด้วยเครื่องยนต์ดีเซลสี่เครื่อง โดยมีกังหันก๊าซเพิ่มอีกสองเครื่องที่ให้กำลังเสริมเมื่อจำเป็น การกำหนดค่าระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบบูรณาการ (integrated electric propulsion) นี้ใช้เพื่อผลิตพลังงานในการขับเคลื่อนฝักขับเคลื่อนไฟฟ้าทั้งสี่ของเธอตลอดจนบริการต่าง ๆ ของโรงแรมบนเรือ[16] พื้นที่สำหรับเครื่องจักรหลักเหล่านี้ยังถูกแยกออกจากกัน และมีการสำรองระบบควบคุมด้วย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันไม่ให้ความล้มเหลวเพียงครั้งเดียวทำให้เรือไม่สามารถใช้งานได้[17]
เช่นเดียวกับเรือรุ่นก่อนหน้าของเธออย่างควีนเอลิซาเบธ 2 เธอถูกสร้างขึ้นสำหรับการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก และยังถูกใช้เป็นประจำสำหรับการล่องเรือ ในช่วงฤดูหนาวเธอจะล่องเรือจากนิวยอร์กไปยังแคริบเบียน ความเร็ว 30 นอต (56 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 35 ไมล์ต่อชั่วโมง) ทำให้เรือลำนี้ต่างจากเรือสำราญทั่วไป เช่น เอ็มเอส โอเอซิสออฟเดอะซีส์ ซึ่งมีความเร็วปกติ 22.6 นอต (41.9 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 26.0 ไมล์ต่อชั่วโมง) โดยความเร็วปกติของควีนแมรี 2 คือ 26 นอต (48 กิโลเมตรต่อชั่วโมง; 30 ไมล์ต่อชั่วโมง)[16] ขณะที่โดยทั่วไปแล้วตัวเรือของเรือสำราญมีค่าสัมประสิทธิ์บล็อกอยู่ที่ 0.73 (1.0 หมายถึงบล็อกสี่เหลี่ยมผืนผ้า) แต่ควีนแมรี 2 มีรูปร่างเพรียวบางกว่า โดยมีค่าสัมประสิทธิ์บล็อกอยู่ที่ 0.61[17]
Remove ads
การออกแบบและการสร้าง
สรุป
มุมมอง
วันที่ 8 มิถุนายน ค.ศ. 1998 คูนาร์ดออกแบบเรือโดยสารชั้นใหม่ขนาด 84,000 ตันกรอสซึ่งรองรับผู้โดยสารได้ 2,000 คนสำเร็จ แต่ปรับปรุงการออกแบบใหม่หลังนำข้อมูลจำเพาะไปเปรียบเทียบกับเรือสำราญชั้นเดสตินีของคาร์นิวัลครูซไลน์ที่มีขนาด 100,000 ตันกรอส และชั้นวอยเอเจอร์ของรอยัลแคริบเบียนอินเตอร์เนชันแนลที่มีขนาด 137,276 ตันกรอส[18]
ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1998 คูนาร์ดเปิดเผยรายละเอียดของโครงการควีนแมรี (Project Queen Mary) โครงการพัฒนาเรือเดินสมุทรที่จะมาเสริมทัพกับควีนเอลิซาเบธ 2 บริษัทที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมประมูลโครงการนี้ ได้แก่ ฮาร์แลนด์แอนด์โวล์ฟจากไอร์แลนด์เหนือ, อาเกอร์คแวร์เนอร์ จากนอร์เวย์, ฟินกันตีเอรีจากอิตาลี, ไมอาร์แวร์ฟท์จากเยอรมนี และช็องตีเอร์เดอลัตล็องติกจากฝรั่งเศส ในที่สุด สัญญาได้ลงนามกับช็องตีเอร์เดอลัตล็องติก บริษัทในเครือของอัลสตอม ในวันที่ 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 2000 อู่ต่อเรือแห่งนี้เป็นอู่เดียวกันกับที่เคยต่อเรือคู่แข่งเก่าของคูนาร์ด ได้แก่ แอ็สแอ็ส นอร์ม็องดีและแอ็สแอ็ส ฟร็องส์ของกงเปญีเฌเนราลทร็องซัตล็องติก[18]
กระดูกงูของควีนแมรี 2 ถูกวางในวันที่ 4 กรกฎาคม ค.ศ. 2002 ในอู่ต่อเรือที่แซ็ง-นาแซร์ ประเทศฝรั่งเศส โดยมีหมายเลขตัวเรือ G32 ช่างฝีมือประมาณ 3,000 คนใช้เวลาทำงานไปประมาณแปดล้านชั่วโมงในการสร้างเรือลำนี้ และมีผู้คนประมาณ 20,000 คนที่เกี่ยวข้องโดยตรงหรือโดยอ้อมในการออกแบบ การก่อสร้าง และการตกแต่งเรือ รวมแล้ว ชิ้นส่วนเหล็ก 300,000 ชิ้นถูกประกอบเป็น 94 "บล็อก" นอกอู่แห้ง ซึ่งจากนั้นก็ถูกจัดวางและเชื่อมเข้าด้วยกันเพื่อประกอบเป็นตัวเรือและโครงสร้างบนให้สมบูรณ์[19] หลังการลอยเรือในวันที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2003 ควีนแมรี 2 ได้รับการตกแต่งภายในที่อ่างขนาดใหญ่ ("Bassin C") ถือเป็นเรือลำแรกที่ใช้อู่แห้งขนาดใหญ่นี้ตั้งแต่ที่อู่ต่อเรือแห่งนี้เคยสร้างเรือบรรทุกน้ำมันขนาดใหญ่ในช่วงทศวรรษ 1970 เช่น เอ็มวี แก็สเตอร์ การทดลองเดินเรือของเธอดำเนินการระหว่างวันที่ 25–29 กันยายน และ 7–11 พฤศจิกายน 2003 ระหว่างแซง-นาแซร์ และหมู่เกาะนอกชายฝั่ง อีล-ดีเยอและเบล-อีล[20]
ในช่วงสุดท้ายของการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงขึ้นในวันที่ 15 พฤศจิกายน ค.ศ. 2003 เมื่อสะพานขึ้นเรือพังถล่มลงมาขณะมีกลุ่มคนงานอู่ต่อเรือและญาติของพวกเขาที่ได้รับเชิญให้มาเยี่ยมชมเรืออยู่บนนั้น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตรวม 16 คนและบาดเจ็บอีก 32 คน หลังตกลงไปในอู่แห้งเป็นระยะทาง 15 เมตร (49 ฟุต)[21]
การก่อสร้างแล้วเสร็จตามกำหนดเวลา[22] วันที่ 22 ธันวาคม ค.ศ. 2003 ควีนแมรี 2 ออกจากแซ็ง-นาแซร์และเดินทางมาถึงาท์แทมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ในวันที่ 26 ธันวาคม ค.ศ. 2003[23] วันที่ 8 มกราคม ค.ศ. 2004 เรือได้รับการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการโดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2[24][25]
ภายนอก


นาวาสถาปนิกหลักของควีนแมรี 2 คือสตีเฟน เพย์น นักออกแบบภายในของคาร์นิวัล[26] เขาตั้งใจออกแบบหลายแง่มุมของเรือให้คล้ายกับจุดเด่นของเรือเดินสมุทรในอดีต เช่น ควีนเอลิซาเบธ 2 เรือรุ่นก่อนหน้า รวมถึงควีนแมรีและควีนเอลิซาเบธ เรือรุ่นก่อนหน้าของเรือควีนเอลิซาเบธ 2 ด้วย สิ่งเหล่านี้รวมถึงเส้นสีดำหนาสามเส้นที่เรียกว่า "มือ" ที่พันรอบขอบหน้าต่างสะพานเดินเรือของเรือแต่ละด้าน และที่ส่วนท้ายของโครงสร้างบน ซึ่งมีไว้เพื่อรำลึกถึงลักษณะทางเดินเชื่อมระหว่างดาดฟ้าหน้าของควีนแมรีลำแรก[27]
ควีนแมรี 2 มีพื้นที่ดาดฟ้าภายนอก 14,164 ตารางเมตร (152,460 ตารางฟุต) พร้อมฉากกันลมเพื่อป้องกันผู้โดยสารจากคลื่นลมแรง เดิมทีเรือถูกสร้างขึ้นโดยมีสระว่ายน้ำห้าสระ อย่างไรก็ตาม "สระสแปลชพูล" ตื้น ๆ บนดาดฟ้า 13 ถูกรื้อออกในระหว่างการปรับปรุงใน ค.ศ. 2016 เพื่อเพิ่มพื้นที่สำหรับห้องพักเพิ่มเติม สระว่ายน้ำสี่สระที่เหลืออยู่ของเรือเป็นแบบกลางแจ้งสองสระ มีสระว่ายน้ำในร่มบนดาดฟ้า 7 ในแคนยอนแรนช์สปาคลับ และบนดาดฟ้า 12 สระพาวิลเลียนพูลบนดาดฟ้า 12 มีหลังคาแบบเลื่อนเปิด-ปิดได้
เหมือนกับเรือเดินสมุทรลำอื่น ๆ อย่างอาร์เอ็มเอส ควีนแมรี เรือมีดาดฟ้าเดินเล่นแบบเดินได้รอบ (ดาดฟ้า 7) ที่ต่อเนื่องกัน ดาดฟ้านี้ทอดผ่านด้านหลังสะพานเดินเรือและช่วยให้ผู้โดยสารสามารถเดินรอบดาดฟ้าได้โดยได้รับการป้องกันจากลม การเดินหนึ่งรอบมีความยาว 620 เมตร (2,030 ฟุต) ทางเดินเล่นด้านข้างเหล่านี้เกิดขึ้นเนื่องจากความจำเป็นในการปรับโครงสร้างบนให้มีพื้นที่สำหรับเรือชูชีพ ตามมาตรฐาน SOLAS เรือชูชีพเหล่านี้ควรอยู่ต่ำลงบนตัวเรือ (15 เมตร (49 ฟุต) เหนือระดับน้ำ) แต่เพื่อความสวยงามและเพื่อเลี่ยงอันตรายจากคลื่นขนาดใหญ่ที่อาจสร้างความเสียหายให้กับเรือ เพย์โน้มน้าวเจ้าหน้าที่ SOLAS ให้ยกเว้นข้อกำหนดนี้สำหรับควีนแมรี 2 และเรือชูชีพจึงอยู่ที่ 25 เมตร (82 ฟุต) เหนือระดับน้ำ[28]
เพย์นตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกว่าท้ายเรือจะมีรูปทรงเหมือนช้อนคล้ายกับเรือเดินสมุทรรุ่นก่อน ๆ ส่วนใหญ่ แต่การติดตั้งฝักใบจักรทำให้จำเป็นต้องมีท้ายเรือแบบเรียบ ซึ่งเป็นท้ายเรือที่ตัดตรง การประนีประนอมที่ได้คือท้ายเรือแบบกอสตันซี ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างทั้งสองแบบ โดยให้ท้ายเรือที่เรียบซึ่งจำเป็นสำหรับฝักใบจักรแบบปรับทิศทางได้และมีคุณสมบัติทรงตัวในทะเลดีกว่าเมื่อเจอคลื่นตามหลังเรือ[29] เช่นเดียวกับเรือสมัยใหม่หลายลำ ควีนแมรี 2 มีหัวเรือแบบกระเปาะเพื่อลดแรงต้าน ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเร็ว ระยะทาง และประสิทธิภาพการใช้เชื้อเพลิง[30]

แม้การออกแบบจะคล้ายกับควีนเอลิซาเบธ 2 แต่ปล่องไฟของควีนแมรี 2 มีรูปทรงต่างกันเล็กน้อย เนื่องจากหากปล่องไฟสูงกว่านี้ จะทำให้เรือไม่สามารถลอดใต้สะพานเวเรซาโน-แนร์โรส์ในนครนิวยอร์กได้ในเวลาน้ำขึ้น การออกแบบขั้นสุดท้ายของเรือทำให้มีระยะห่างอย่างน้อย 13 ฟุต (4.0 เมตร) ใต้สะพาน[31]
ด้วยควีนแมรี 2 มีขนาดใหญ่เกินกว่าจะเทียบท่าในหลาย ๆ ท่าเรือ ผู้โดยสารจึงมักถูกขนส่งขึ้นลงจากเรือด้วยเรือพี่เลี้ยง ซึ่งสามารถใช้เป็นเรือชูชีพได้ด้วย เรือเหล่านี้จะถูกเก็บไว้กลางทะเลในเสาห้อยเรือควบคู่ไปกับเรือชูชีพอื่น ๆ สำหรับการขนส่งผู้โดยสารขึ้นฝั่ง เรือพี่เลี้ยงจะเทียบท่าที่จุดรับผู้โดยสารสี่แห่ง แต่ละจุดมีประตูขนาดใหญ่ที่ตัวเรือที่เปิดออกด้วยระบบไฮดรอลิกเพื่อสร้างเป็นสะพานขึ้นลงเรือ พร้อมด้วยราวกันตกและพื้นทางเดิน[16]
ควีนแมรี 2 เป็นเรือที่มีขนาดใหญ่กว่าเกณฑ์โพสต์-ปานาแม็กซ์ หมายความว่าเธอมีความกว้างเกินกว่าจะใช้คลองปานามาก่อนการขยายคลองใน ค.ศ. 2016 ด้วยเหตุนี้ เธอจึงต้องเดินเรืออ้อมทวีปอเมริกาใต้เพื่อเดินทางระหว่างมหาสมุทรแอตแลนติกและแปซิฟิก การตัดสินใจไม่จำกัดความกว้างของเรือเพื่อให้ผ่านคลองปานามาได้นั้นเป็นเพราะควีนเอลิซาเบธ 2 เรือรุ่นก่อนหน้า ใช้คลองปานามาเพียงปีละครั้งเท่านั้นในช่วงการเดินทางรอบโลก ทางคูนาร์ดไลน์จึงตัดสินใจสละความสะดวกสบายในการผ่านคลองเป็นครั้งคราวเพื่อแลกกับการเพิ่มขีดความสามารถการรองรับผู้โดยสารให้มากขึ้น[32]

ภายใน
ตามกรณีที่พบในเรือโดยสารสมัยใหม่หลายลำ ห้องส่วนกลางหลักหลายแห่งบนควีนแมรี 2 จะอยู่บนดาดฟ้าสาธารณะชั้นล่างสุดของเรือ โดยมีห้องโดยสารเรียงซ้อนกันอยู่ด้านบน[33] ดาดฟ้า 2 เป็นดาดฟ้าผู้โดยสารที่ต่ำที่สุด ประกอบด้วยโรงละครอิลลูมิเนชันส์ โรงภาพยนตร์และท้องฟ้าจำลอง (แห่งแรกในทะเล);[34] โรงละครรอยัลคอร์ต; แกรนด์ล็อบบี; "เอ็มไพร์กาสิโน"; "โกลเดนไลออนผับ"; และชั้นล่างของ "ภัตตาคารบริแทนเนีย" ดาดฟ้า 3 มีชั้นบนของ "อิลลูมิเนชันส์" โรงละคร "รอยัลคอร์ต" และ "ภัตตาคารบริแทนเนีย" ตลอดจนศูนย์การค้าขนาดเล็ก "เวิฟคลิโกต์แชมเปญบาร์" "ชาร์ตรูม" ไวน์บาร์ "เซอร์ซามูลเอล" "ควีนส์รูม" และไนต์คลับ "G32" ดาดฟ้าสาธารณะหลักอีกแห่งคือดาดฟ้า 7 ซึ่งมี "แคนยอนแรนช์สปา" "คารินเทียเลานจ์" "คิงส์คอร์ต" "ควีนส์กริลเลานจ์" และร้านอาหาร "ควีนส์กริล" และ "พรินเซสกริล" สำหรับผู้โดยสารที่จ่ายค่าโดยสารสูง ห้องส่วนกลางบนดาดฟ้า 8 รวมถึงร้านอาหาร "เวอแรนดาห์" แบบอะลาคาร์ต ห้องสมุดขนาด 8,000 เล่ม[35] (ใหญ่ที่สุดในบรรดาเรือสำราญ[36]) ร้านหนังสือและส่วนบนของแคนยอนแรนช์สปา บนดาดฟ้า 8 ยังมีสระว่ายน้ำกลางแจ้งขนาดใหญ่และระเบียงที่ท้ายเรือ[33] กรงสุนัขซึ่งตั้งอยู่ท้ายเรือฝั่งกราบขวาของดาดฟ้า 12 ให้บริการเฉพาะการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกเท่านั้น โดยสามารถรองรับสุนัขได้สูงสุด 22 ตัว (ยังรับแมวด้วย) ทั้งในกรงขนาดเล็กและใหญ่[37]
พื้นที่คิงส์คอร์ตบนเรือเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ทำหน้าที่เป็นห้องอาหารบุฟเฟต์สำหรับมื้อเช้าและกลางวัน พื้นที่โดยรวมแบ่งออกเป็นสี่ส่วนย่อย โดยแต่ละส่วนได้รับการตกแต่งตามธีมของร้านอาหารทางเลือกทั้งสี่แห่งที่ "ถูกสร้างสรรค์ขึ้น" ในแต่ละเย็นผ่านการจัดแสง ภาชนะบนโต๊ะอาหาร และเมนู: โลตัส ซึ่งเชี่ยวชาญอาหารเอเชีย; เดอะคาร์เวอรี ร้านสเต็กแบบบริติช; ลาปิอัซซา ที่เสิร์ฟอาหารอิตาลี; และเดอะเชฟส์แกลลีย์ ซึ่งมอบประสบการณ์การเตรียมอาหารเชิงโต้ตอบ[38][39]
การจัดการเรื่องการรับประทานอาหารของผู้โดยสารบนเรือขึ้นอยู่กับประเภทห้องพักที่พวกเขาเลือก ประมาณร้อยละ 85% ของผู้โดยสารจะพักในชั้นบริแทนเนีย และด้วยเหตุนี้จึงรับประทานในห้องอาหารหลัก อย่างไรก็ตาม ผู้โดยสารสามารถเลือกอัปเกรดเป็น "จูเนียร์สวีต" เพื่อรับประทานอาหารใน "พรินเซสกริล" หรือสวีต เพื่อรับประทานอาหารใน "ควีนส์กริล"[40][41] ผู้โดยสารในสองประเภทหลังนี้ทางคูนาร์ดจะจัดกลุ่มไว้เป็น "ผู้โดยสารกริล" และได้รับอนุญาตให้ใช้ "ควีนส์กริลเลานจ์" รวมถึงพื้นที่กลางแจ้งส่วนตัวบนดาดฟ้า 11 ที่มีอ่างน้ำวน[33][42] คุณสมบัตินี้มีอยู่ในเรือควีนวิกทอเรียและควีนเอลิซาเบธเช่นกัน อย่างไรก็ตาม พื้นที่สาธารณะอื่น ๆ ทั้งหมดสามารถใช้ได้โดยผู้โดยสารทุกคน[43]
เนื่องจากภัตตาคารบริแทนเนียกินพื้นที่ตลอดความกว้างของเรือทั้งสองชั้น จึงมีการออกแบบ "ชั้นคั่นกลาง" ที่เรียกว่าดาดฟ้า 3L ขึ้นมา เพื่อให้ผู้โดยสารสามารถเดินจากแกรนด์ล็อบบีไปยังควีนส์รูมได้โดยไม่ต้องเดินผ่านห้องอาหารกลางคันระหว่างมื้ออาหาร ดาดฟ้า 3L ประกอบด้วยทางเดินสองทางที่ทอดยาวอยู่ใต้ระเบียงด้านบนของห้องอาหารบนดาดฟ้า 3 และอยู่เหนือพื้นที่รับประทานอาหารหลักบนดาดฟ้า 2 นี่คือสาเหตุที่ระเบียงของภัตตาคารบริแทนเนียมีลักษณะเป็นขั้นบันไดลดหลั่นกันไปทางด้านข้างตัวเรือ การจัดเรียงนี้สามารถเห็นได้จากด้านนอกตัวเรือซึ่งมีหน้าต่างสามแถวซ้อนกันในบริเวณที่ห้องอาหารหลักตั้งอยู่ หน้าต่างแถวบนและล่างสุดจะให้แสงสว่างแก่ห้องอาหาร ส่วนหน้าต่างแถวกลางจะสำหรับดาดฟ้า 3L นอกจากนี้ยังมีการจัดเรียงที่คล้ายกันในส่วนของโรงละครรอยัลคอร์ตด้วยเช่นกัน ตลอดจนทางเดินที่อยู่สองข้างของอิลลูมิเนชันส์บนดาดฟ้า 3 จะเป็นทางลาดขึ้นเพื่อชดเชยการเปลี่ยนแปลงระดับความสูงของดาดฟ้าระหว่างทางเข้าอิลลูมิเนชันส์กับกลุ่มลิฟต์ที่อยู่ด้านหน้าห้อง[33]

งานศิลปะกว่า 5,000 ชิ้นสามารถมองเห็นได้ในห้องส่วนกลาง ทางเดิน ห้องพัก และล็อบบีของควีนแมรี 2 สร้างสรรค์โดยศิลปิน 128 คนจาก 16 ประเทศ[44] งานชิ้นเด่นที่สุดสองชิ้นคือพรมผนังของบาร์บารา โบรกแมน เป็นภาพนามธรรมเรือเดินสมุทร สะพาน และเส้นขอบฟ้านิวยอร์กซึ่งกินพื้นที่เต็มความสูงของภัตตาคารบริแทเนีย และจิตรกรรมฝาผนังนูนต่ำโลหะแผ่นทองสัมฤทธิ์ของจอห์น แมกเคนนา ประติมากรชาวบริติชในแกรนด์ล็อบบี เป็นภาพเรือขนาดเจ็ดตารางเมตรที่สร้างจากทองสัมฤทธิ์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากจิตรกรรมฝาผนังแบบอาร์ตเดโคในห้องอาหารหลักของควีนแมรีลำเดิม[45] พาวิลเลียนบนดาดฟ้า 10 มีประติมากรรมรูปวงรีแก้วโดยโตมัส อูร์บาโนวิชชื่อ "Blue Sun Setting in the Ocean"[46]
Remove ads
ข้อมูลทางเทคนิค
สรุป
มุมมอง
ต้นกำลังและระบบขับเคลื่อน
ต้นกำลังของควีนแมรี 2 ประกอบด้วยเครื่องยนต์ดีเซลทางทะเลวาร์ทซิลา 16V46CR EnviroEngine สิบหกกระบอกสูบ จำนวนสี่เครื่อง ให้กำลังรวม 67,200 กิโลวัตต์ (90,100 แรงม้า) ที่ 514 รอบต่อนาที และกังหันก๊าซเจเนรัลอิเล็กทริก LM2500+ สองเครื่อง ให้กำลังเพิ่มเติมอีก 50,000 กิโลวัตต์ (67,000 แรงม้า) ทั้งหมดนี้ขับเคลื่อนเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ซึ่งจ่ายพลังงานให้กับมอเตอร์ไฟฟ้าอัลสตอมขนาด 21,500 กิโลวัตต์ (28,800 แรงม้า) สี่ตัวที่ติดตั้งอยู่ภายในชุดขับเคลื่อนแบบฝัก (ซึ่งอยู่ภายนอกตัวเรือทั้งหมด)[16] การจัดเรียงเช่นนี้เรียกว่าระบบขับเคลื่อนไฟฟ้าแบบบูรณาการ (integrated electric propulsion - IEP) ช่วยให้ประหยัดเชื้อเพลิงในการเดินเรือด้วยความเร็วต่ำโดยยังสามารถรักษาความเร็วที่สูงขึ้นได้เมื่อจำเป็น และเป็นระบบที่นิยมใช้ในเรือนาวีมานานหลายทศวรรษ[16] กังหันก๊าซของควีนแมรี 2 ไม่ได้ติดตั้งอยู่ร่วมกับเครื่องยนต์ดีเซลในห้องเครื่องที่อยู่ลึกเข้าไปในตัวเรือ แต่กลับอยู่ในห้องเก็บเสียงใต้ปล่องไฟโดยตรง การจัดเรียงเช่นนี้ช่วยให้กังหันได้รับอากาศเพียงพอโดยไม่ต้องติดตั้งท่ออากาศขนาดใหญ่สูงเท่าตัวเรือ ซึ่งจะทำให้เสียพื้นที่ภายในอันมีค่าไป[16]
เครื่องขับเคลื่อนคือชุดขับเคลื่อนแบบฝักชนิดแอซิมัททรัสเตอร์รุ่น Mermaid ของโรลส์-รอยซ์[47][48] แต่ละชุดมีใบจักรแบบสั่นสะเทือนต่ำหันไปข้างหน้าพร้อมพวงใบจักรที่ยึดแยกกัน เครื่องขับเคลื่อนคู่หน้าถูกติดตั้งแบบตายตัว แต่คู่หลังสามารถหมุนได้ 360 องศา ทำให้ไม่จำเป็นต้องมีหางเสือ[16] ควีนแมรี 2 เป็นเรือโดยสารลำแรกที่มีใบจักรสี่เพลาที่สร้างเสร็จนับตั้งแต่แอ็สแอ็ส ฟร็องส์ใน ค.ศ. 1961[49] ควีนแมรี 2 บรรทุก พวงใบจักรสำรองแปดใบไว้ที่ดาดฟ้าหน้า อยู่ด้านหน้าสะพานเดินเรือทันที นอกจากเครื่องขับเคลื่อนหลักแล้ว เรือยังติดตั้งทรัสเตอร์หัวเรือสามตัว แต่ละตัวมีกำลังขับ 3.2 เมกะวัตต์ สิ่งเหล่านี้ช่วยให้เรือสามารถหมุนในความยาวของตัวเองขณะอยู่ในท่าเรือ เพื่อความคล่องตัวในการเทียบท่าที่ซับซ้อนมากขึ้น[16]
ฝักใบจักรที่ติดตั้งกับควีนแมรี 2 มีแนวโน้มจะขัดข้อง เกิดจากปัญหาที่ตลับลูกปืนกันรุนของมอเตอร์ ซึ่งยังคงแสดงให้เห็นแนวโน้มจะล้มเหลวแม้จะมีความพยายามออกแบบใหม่หลายครั้งก็ตาม ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2009 คาร์นิวัล ผ่านทางแผนกคูนาร์ด ยื่นฟ้องร้องโรลส์-รอยซ์ในสหรัฐ สายการเดินเรืออ้างว่าระบบขับเคลื่อนแบบฝัก Mermaid ที่ติดตั้งบนควีนแมรี 2 มีข้อบกพร่องโดยกำเนิดในการออกแบบ และโรลส์-รอยซ์ทราบถึงข้อบกพร่องในการออกแบบดังกล่าวและสมคบคิดกันโดยเจตนาที่จะทำให้เข้าใจผิด หลอกลวงและฉ้อโกงในระหว่างการทำสัญญา[50] ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2011 ศาลตัดสินให้คาร์นิวัลได้รับเงิน 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 15 ล้านปอนด์สเตอร์ลิงขณะมีคำตัดสิน)[51]

ระบบนำร่อง
ควีนแมรี 2 มีระบบสะพานเดินเรือแบบรวมศูนย์อย่างสมบูรณ์ซึ่งเดิมได้รับการออกแบบโดยบริษัทสัญชาติบริติช เคลวิน ฮิวส์ โดยระบบนี้ควบคุมระบบนำทางของเรือ เรดาร์ ระบบกำหนดตำแหน่งอัตโนมัติ และระบบเฝ้าระวังเครื่องยนต์ เคลวิน ฮิวส์เป็นผู้จัดหาชิ้นส่วนหลายอย่างให้กับเรือ รวมถึงระบบแสดงผลและข้อมูลแผนที่อิเล็กทรอนิกส์ (ECDIS) และหน้าจอแสดงผลแบบมัลติฟังก์ชันจำนวนแปดเครื่อง[52] ระบบนี้ถูกเปลี่ยนเป็นชุดระบบวาร์ทซิลา NACOS Platinum ใน ค.ศ. 2023 เพื่อให้เรือมีมาตรฐานเดียวกับเรือลำอื่นในกองเรือ
ระบบประปา
น้ำจืดบนควีนแมรี 2 ได้รับการผลิตจากเครื่องระเหยแบบหลายขั้นตอนชนิดแผ่น (multiple effect plate - MEP) ของอัลฟาลาวัลจำนวนสามเครื่อง แต่ละเครื่องมีความสามารถในการผลิต 630,000 ลิตร (170,000 แกลลอนสหรัฐ) ต่อวัน[53] พลังงานสำหรับโรงผลิตเหล่านี้ส่วนใหญ่ได้มาจากไอน้ำและน้ำหล่อเย็นจากกังหันก๊าซและเครื่องยนต์ดีเซลของเรือ หรือหากจำเป็นก็ใช้ไอน้ำจากหม้อไอน้ำที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงสองเครื่องของเรือ เทคโนโลยีการกลั่นแบบหลายขั้นตอนแบบดั้งเดิมได้รับการปรับปรุงสำหรับโรงผลิตบนเรือ เพื่อลดการสะสมของตะกรันบนแผ่น ทำให้ลดการบำรุงรักษาที่จำเป็นลงอย่างมาก น้ำที่ผ่านการแยกเกลือมีความเค็มต่ำมาก น้อยกว่าห้าส่วนในล้านส่วน โดยเฉลี่ยแล้วการผลิตน้ำทั้งหมดอยู่ที่ 1,100,000 ลิตร (290,000 แกลลอนสหรัฐ) ต่อวัน ด้วยกำลังการผลิต 1,890,000 ลิตร (500,000 แกลลอนสหรัฐ) ทำให้มีกำลังการผลิตสำรองเหลือเฟือ เรือสามารถผลิตน้ำได้เพียงพอแม้ใช้โรงผลิตเพียงสองในสามเครื่องเท่านั้น[54] ถังเก็บน้ำดื่มมีความจุ 3,830,000 ลิตร (1,010,000 แกลลอนสหรัฐ) เพียงพอสำหรับการใช้งานมากกว่าสามวัน[53] หากเครื่องยนต์ทำงานด้วยภาระต่ำ (เมื่อเรือแล่นด้วยความเร็วช้า) อุณหภูมิน้ำหล่อเย็นเสื้อสูบเครื่องยนต์จะไม่เพียงพอที่จะทำให้น้ำทะเลร้อนเพื่อใช้ในโรงกำจัดเกลือ ในกรณีนั้นจะใช้ไอน้ำจากหม้อไอน้ำที่ใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงในการทำให้น้ำทะเลร้อน วิธีนี้ไม่ประหยัดเนื่องจากการผลิตไอน้ำมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น อาจถูกกว่าหากซื้อน้ำในท่าเรือบางแห่งมากกว่าการผลิตบนเรือ ช่องรับน้ำทะเลตั้งอยู่ที่ตัวเรือของเรือ สารละลายเกลือเข้มข้น (น้ำเกลือเข้มข้น) จะถูกปล่อยลงสู่ทะเลใกล้กับท้ายเรือพร้อมน้ำหล่อเย็นจากเครื่องยนต์[55]
Remove ads
ประวัติศาสตร์
สรุป
มุมมอง
วันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2004 ควีนแมรี 2 ออกเดินทางครั้งแรกจากเซาแทมป์ตัน ประเทศอังกฤษ ไปยังฟอร์ตลอเดอร์เดล รัฐฟลอริดา สหรัฐอเมริกา พร้อมผู้โดยสาร 2,620 คน เรืออยู่ภายใต้บัญชาการของกัปตันโรนัลด์ วอริก ซึ่งเคยบัญชาการเรือควีนอลิซาเบธ 2 มาก่อน วอริกเป็นบุตรของวิลเลียม (บิล) วอริก อดีตเจ้าหน้าที่อาวุโสของคูนาร์ดและเป็นกัปตันคนแรกของควีนอลิซาเบธ 2 เรือกลับถึงเซาท์แธมป์ตันล่าช้าจากการเดินทางครั้งแรกหลังประตูหัวเรือที่ปิดทรัสเตอร์ไม่สามารถปิดได้ในโปรตุเกส[56]
ควีนแมรี 2 ได้เดินทางไปยังเอเธนส์ในช่วงโอลิมปิกฤดูร้อน 2004 และเทียบท่าที่ในไพรีอัสเป็นเวลาสองสัปดาห์เพื่อใช้เป็นโรงแรมลอยน้ำ โดยให้บริการแก่นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรในขณะนั้น โทนี แบลร์ และภริยา เชอรี, ประธานาธิบดีฝรั่งเศส ฌัก ชีรัก, ประธานาธิบดีสหรัฐในขณะนั้น จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และทีมบาสเกตบอลชายโอลิมปิกของสหรัฐ[57][58] ตามข้อมูลของคูนาร์ดผู้โดยสารของควีนแมรี 2 ยังรวมถึงนักดนตรีแจ๊ส เดฟ บรูเบก และนักร้อง ร็อด สจ๊วต, คาร์ลี ไซมอน และเจมส์ เทย์เลอร์[59]

การเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งหนึ่งใน ค.ศ. 2005 ควีนแมรี 2 บรรทุกหนังสือ แฮร์รี่ พอตเตอร์กับเจ้าชายเลือดผสม ของเจ.เค. โรว์ลิง ฉบับแรกของสหรัฐที่ลงนามโดยผู้เขียน ซึ่งถูกเก็บไว้ในหีบเดินทางที่ล็อกไว้ ในข่าวประชาสัมพันธ์เพื่อส่งเสริมกิจกรรม คูนาร์ดระบุว่านี่เป็นครั้งแรกที่หนังสือถูกขนส่งไปยังการเปิดตัวระดับนานาชาติด้วยเรือเดินสมุทร หนังสือฉบับที่ลงนามนี้ได้มอบให้กับห้องสมุดเวสต์แอชวิลล์ ในแอชวิลล์ รัฐนอร์ทแคโรไลนา[60][61]
ในเดือนมกราคม ค.ศ. 2006 ควีนแมรี 2 ออกเดินทางไปล่องเรือที่อเมริกาใต้ ขณะออกจากฟอร์ตลอเดอร์เดล หนึ่งในฝักใบจักรใต้ท้องเรือของเธอได้รับความเสียหายจากการชนกับผนังช่องเดินเรือ ทำให้เรือต้องเดินเรือด้วยความเร็วที่ลดลง ซึ่งส่งผลให้ผู้บัญชาการเรือวอร์กตัดสินใจงดการแวะพักหลายแห่งในการเดินทางไปยังรีโอเดจาเนโร ผู้โดยสารจำนวนมากขู่ว่าจะนั่งประท้วงเนื่องจากการงดแวะพัก ก่อนที่คูนาร์ดจะเสนอคืนเงินค่าใช้จ่ายการเดินทางให้ ควีนแมรี 2 ยังคงให้บริการด้วยความเร็วลดลง และจำเป็นต้องเปลี่ยนกำหนดการเดินทางหลายครั้งกระทั่งการซ่อมแซมเสร็จสิ้นหลังเรือกลับมายังยุโรปในเดือนมิถุนายน ที่ซึ่งควีนแมรี 2 ได้เข้าอู่แห้งและถอดฝักใบจักรที่เสียหายออก[62] ในเดือนพฤศจิกายน ควีนแมรี 2 เข้าอู่แห้งอีกครั้งที่อู่เรือโบลมอุนท์ฟ็อสในฮัมบวร์ค (อู่แห้งเอลเบ 17) เพื่อติดตั้งฝักใบจักรที่ซ่อมแซมแล้วกลับคืนไป ในเวลาเดียวกัน มีการติดตั้งระบบหัวกระจายน้ำดับเพลิงในระเบียงเรือทุกแห่งเพื่อให้เป็นไปตามกฎระเบียบด้านความปลอดภัยใหม่ที่เริ่มมีผลบังคับใช้หลังเหตุเพลิงไหม้เรือเอ็มเอส สตาร์พรินเซส นอกจากนี้ ปีกสะพานเดินเรือทั้งสองข้างยังได้รับการขยายออกไปข้างละสองเมตรเพื่อปรับปรุงทัศนวิสัย[63]

หลังเสร็จสิ้นการเดินทางรอบทวีปอเมริกาใต้ วันที่ 23 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2006 ควีนแมรี 2 พบกับเรือชื่อเดียวกันคือ อาร์เอ็มเอส ควีนแมรีลำดั้งเดิม ซึ่งเทียบท่าถาวรอยู่ที่ลองบีช รัฐแคลิฟอร์เนีย โดยมีเรือเล็กจำนวนมากลอยลำคุ้มกัน เรือควีนทั้งสองลำแลกเปลี่ยน "หวูดคำนับ" ซึ่งได้ยินไปทั่วทั้งลองบีช[64] ควีนแมรี 2 พบกับเรือเดินสมุทรของคูนาร์ดลำอื่น ๆ ที่ยังคงให้บริการอยู่ ได้แก่ ควีนวิกทอเรีย และควีนเอลิซาเบธ 2 ในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2008 ใกล้เทพีเสรีภาพในท่าเรือนิวยอร์ก พร้อมกับการแสดงดอกไม้ไฟเฉลิมฉลอง โดยควีนเอลิซาเบธ 2 และควีนวิกทอเรียเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาพร้อมกันเพื่อการพบปะครั้งนี้ ถือเป็นครั้งแรกที่เรือควีนของคูนาร์ดสามลำมารวมตัวกันในสถานที่เดียวกัน คูนาร์ดระบุว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เรือทั้งสามลำนี้ได้พบกัน[65] เนื่องด้วยการปลดระวางของควีนเอลิซาเบธ 2 ที่กำลังจะเกิดขึ้นในช่วงปลาย ค.ศ. 2008[66] อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น เมื่อเรือควีนทั้งสามลำมาพบกันที่เซาแทมป์ตันอีกครั้งในวันที่ 22 เมษายน ค.ศ. 2008[67][68] ควีนแมรี 2 พบกับควีนเอลิซาเบธ 2 ที่ดูไบในวันเสาร์ที่ 21 มีนาคม ค.ศ. 2009 หลังเรือลำหลังเกษียณไปแล้ว[69] ขณะที่ทั้งสองลำเทียบท่าอยู่ที่ท่าเรือราชิด[70] ด้วยการถอนควีนเอลิซาเบธ 2 ออกจากกองเรือของคูนาร์ดและการเทียบท่าที่ดูไบ ทำให้ควีนแมรี 2 กลายเป็นเรือเดินสมุทรเพียงลำเดียวที่ยังคงให้บริการผู้โดยสารอยู่
วันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2007 ชายสามคนถูกตำรวจเข้าจับกุมขณะกำลังนำร่องและควบคุมเรือจำลองของเรือดำน้ำรบอเมริกันลำแรกภายในระยะ 200 ฟุต (61 เมตร) จากควีนแมรี 2 ซึ่งจอดอยู่ที่ท่าเรือสำราญในเรดฮุก บรุกลิน เรือจำลองดังกล่าวสร้างขึ้นโดยศิลปินชาวนิวยอร์ก ฟิลิป "ดุก" ไรลีย์และอีกสองคนที่มาจากนอกเมือง หนึ่งในนั้นอ้างว่าเป็นทายาทของเดวิด บุชเนล ผู้ประดิษฐ์เรือดำน้ำลำดังกล่าว ยามฝั่งออกใบสั่งให้กับไรลีย์ในข้อหาครอบครองเรือที่ไม่ปลอดภัย และละเมิดเขตหวงห้ามรอบควีนแมรี 2[71][72]
วันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2011 ควีนแมรี 2 เปลี่ยนการจดทะเบียนเรือไปที่แฮมิลตัน ประเทศเบอร์มิวดา จากเดิมที่เคยใช้เซาแทมป์ตันเป็นท่าเรือต้นทาง การเปลี่ยนแปลงนี้มีขึ้นเพื่อให้เรือสามารถจัดพิธีแต่งงานบนเรือได้ ถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ 171 ปีของคูนาร์ดที่ไม่มีเรือลำใดจดทะเบียนในสหราชอาณาจักร[73] เบอร์มิวดาเป็นสมาชิกของกลุ่มธงแสดงสัญชาติสีแดงและเรือยังคงใช้ธงสีแดงแบบไม่มีตรา แทนการใช้ธงสีแดงของเบอร์มิวดา[74]
ถ้วยบอสตัน

สิ่งของที่อยู่บนเรือควีนแมรี 2 คือถ้วยบอสตัน (Boston Cup) บางครั้งถูกเรียกว่า ถ้วยบริแทนเนีย สิ่งประดิษฐ์นี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อเซอร์ ซามูเอล คูนาร์ดในบอสตัน สหรัฐ เพื่อรำลึกถึงการมาถึงของเรือลำแรกของเขา อาร์เอ็มเอส บริแทนเนีย[75] คูนาร์ดได้เลือกบอสตันเป็นท่าเรือฝั่งอเมริกาสำหรับบริการเดินเรือข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของเขา ซึ่งส่งผลให้เกิดความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างบอสตันและคูนาร์ดไลน์[76] เชื่อกันว่าถ้วยนี้ถูกมอบให้เซอร์ ซามูเอล คูนาร์ดในราว ค.ศ. 1840 แต่เป็นเวลาส่วนใหญ่ในชีวิตของมัน ถ้วยนี้ได้หายไป มันถูกค้นพบในร้านขายของเก่าใน ค.ศ. 1967 และถูกส่งคืนให้กับคูนาร์ด ซึ่งถูกนำไปไว้บนเรือควีนเอลิซาเบธ 2 ใน ค.ศ. 2004 เมื่อควีนแมรี 2 กลายเป็นเรือธง ถ้วยบอสตันก็ถูกนำไปไว้บนเรือควีนแมรี 2[75] มันอยู่ในตู้กระจก ท้ายห้องชาร์ตรูมเลานจ์[77]
ล่องเรือพิเศษ

วันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2007 ควีนแมรี 2 เริ่มต้นการล่องเรือรอบโลกครั้งแรก โดยแล่นรอบโลกภายใน 81 วัน วันที่ 20 กุมภาพันธ์ เธอพบกับเพื่อนร่วมกองเรืออย่างควีนเอลิซาเบธ 2 ซึ่งกำลังล่องเรือรอบโลกใน ค.ศ. 2007 เช่นกันในท่าเรือซิดนีย์[78] นี่เป็นครั้งแรกที่เรือควีนของคูนาร์ดทั้งสองลำมาอยู่ด้วยกันในซิดนีย์นับตั้งแต่ควีนแมรีและควีนเอลิซาเบธลำดั้งเดิมเคยใช้เป็นเรือลำเลียงพลใน ค.ศ. 1941[79] แม้จะมาถึงก่อนเวลาคือ 05:42 น. การปรากฏตัวของควีนแมรี 2 ก็ดึงดูดผู้คนจำนวนมากจนสะพานซิดนีย์ฮาร์เบอร์และสะพานแอนแซกเกิดจราจรติดขัด[80] ด้วยผู้โดยสาร 1,600 คนลงจากเรือในซิดนีย์ คูนาร์ดประมาณการว่าการแวะพักครั้งนี้อัดฉีดเงินกว่า 3 ล้านดอลลาร์เข้าสู่เศรษฐกิจท้องถิ่น[81]
วันที่ 10 มกราคม ค.ศ. 2012 เรือเริ่มการล่องเรือรอบโลกสามเดือนจากเซาแทมป์ตัน โดยเดินทางไปทางใต้แล้วเลี้ยวไปทางตะวันออกอ้อมทวีปแอฟริกา เป็นการเดินทางรอบออสเตรเลียเป็นครั้งแรก จากนั้นไปยังประเทศญี่ปุ่น แล้วเดินทางกลับมายังเซาแทมป์ตันตามแนวชายฝั่งทางใต้ของทวีปยูเรเชียและผ่านคลองสุเอซ[82]
สามปีหลังการรวมตัวครั้งแรกของเรือคูนาร์ด ในวันเดียวกันนั้น ควีนแมรี 2 พบกับควีนวิกทอเรียและเอ็มเอส ควีนเอลิซาเบธที่เพิ่งสร้างใหม่สำหรับการรวมตัวครั้งยิ่งใหญ่ (Royal Rendezvous) อีกครั้งในนครนิวยอร์กในวันที่ 13 มกราคม ค.ศ. 2011 ควีนวิกทอเรียและควีนเอลิซาเบธเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกมาพร้อมกันเพื่องานนี้ ทั้งสามลำมาพบกันหน้าเทพีเสรีภาพในเวลา 18:45 น. เพื่อชมการแสดงดอกไม้ไฟของกรูชชี ตึกเอ็มไพร์สเตตถูกเปิดไฟสีแดงเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของงานนี้[65] วันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 2012 ทั้งสามลำพบกันอีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นที่เซาแทมป์ตันเพื่อเฉลิมฉลองเนื่องในวาระพระราชพิธีพัชราภิเษกในสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2[83]
ควีนแมรี 2 พบกับทีมนักพายเรือในมหาสมุทรกลางมหาสมุทรแอตแลนติกในวันที่ 30 กรกฎาคม ค.ศ. 2010 เธอพบกับทีม Artemis Investments ซึ่งลูกเรือพายคือดอน เลนน็อกซ์, ลีวาร์ นีสเตด, เรย์ แคร์โรล และเลเวิน บราวน์ แคร์โรลซึ่งเคยเป็นวิศวกรได้รับการเชื่อมต่อผ่านวิทยุ VHF ทางทะเลและระบบเสียงสาธารณะของควีนแมรี 2 เพื่อพูดคุยกับกัปตันและลูกเรือ[84][85][86] วันที่ 26 กันยายน ค.ศ. 2013 ควีนแมรี 2 จัดหาสิ่งของให้กับมีเลน ปาเกต์ นักพายเรือเดี่ยวและเรือของเธอชื่อเฮอร์เมิลโดยให้โทรศัพท์ดาวเทียมสำรอง สมอทุ่นลากและของชำ ควีนแมรี 2 เปลี่ยนเส้นทางเดินเรือไป 20 องศาและเพิ่มระยะทางรวมของการเดินทางข้ามมหาสมุทรเพียง 14 ไมล์ทะเล (26 กิโลเมตร)[87][88][89]

วันที่ 6 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 ควีนแมรี 2 ออกเดินทางจากนิวยอร์กมุ่งหน้าสู่เซาแทมป์ตันในการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งที่ 200 ของเธอ บนเรือมีวิทยากร สตีเฟน เพย์น OBE ผู้ออกแบบเรือ และผู้ประกาศข่าว นิก โอเวน ซึ่งบรรยายเกี่ยวกับการออกแบบเรือ[90] วันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เรือควีนทั้งสามลำมาพบกันอีกครั้งที่ลิเวอร์พูล เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 175 ปีของสายการเดินเรือ หลังมาถึงลิเวอร์พูลเมื่อวันก่อน ควีนแมรี 2 ออกเดินทางระยะสั้นไปยังปากแม่น้ำเมอร์ซีย์เพื่อต้อนรับเพื่อนร่วมกองเรือทั้งสองลำเข้าสู่ท่าเรือในช่วงบ่ายต้น ๆ จากนั้นเรือคูนาร์ดทั้งสามลำก็แล่นเข้าสู่ลิเวอร์พูลในรูปขบวน เรือใช้เวลาหลายชั่วโมงอยู่ด้วยกัน ก่อนที่ควีนแมรี 2 จะออกเดินทางต่อไปยังเซนต์ปีเตอร์พอร์ต เกิร์นซีย์[91][92][93]
วันที่ 2 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 ควีนแมรี 2 เริ่มการเดินทางฉลองครบรอบ 175 ปีในเซาแทมป์ตัน เธอแล่นเรือไปยังลิเวอร์พูลเป็นที่แรก โดยออกจากเมืองนั้นหลังมีการแสดงดอกไม้ไฟในวันที่ 4 กรกฎาคม วันครบรอบที่แท้จริงของการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกครั้งแรกของคูนาร์ด ควีนแมรี 2 แล่นไปตามเส้นทางเดิมของบริแทนเนีย โดยแวะที่แฮลิแฟกซ์ รัฐโนวาสโกเชีย เป็นที่แรก หลังจากอยู่ที่นั่นหนึ่งวัน เธอก็แล่นเรือทวนน้ำเข้าไปในท่าเรือ โดยใช้ทรัสเตอร์หัวเรือและมอเตอร์ฝักหมุนเพื่อเลี้ยวกลับอย่างแคบ ๆ เพื่อกลับมาใกล้กับริมน้ำของเมือง มีการยิงสลุต 21 นัดและวงปี่สกอตเพื่อเป็นเกียรติแก่เรือ จากแฮลิแฟกซ์ เรือแล่นไปยังบอสตันและจอดที่ท่าเรือสำราญตลอดทั้งวัน (บอสตันเป็นจุดสิ้นสุดของการเดินทางข้ามมหาสมุทรครั้งแรกใน ค.ศ. 1840) ในตอนเย็น เรือถอยออกจากท่าเรือบอสตัน ซึ่งมีการแสดงดอกไม้ไฟก่อนที่ควีนแมรี 2 จะแล่นออกไป[94] หลังหนึ่งคืนกับหนึ่งวันที่ทะเล เรือเข้าสู่ท่าเรือนิวยอร์กในช่วงเช้าตรู่ของวันที่ 14 กรกฎาคม และจอดที่ท่าเรือสำราญบรุกลิน ในช่วงเย็น เรือแล่นไปยังท่าเรือตอนล่าง ระหว่างเทพีเสรีภาพและเดอะแบตเตอรี เพื่อชมการแสดงแสงสี Forever Cunard Queen Mary 2 Light Show
การปรับปรุง ค.ศ. 2016
ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016 ควีนแมรี 2 เข้ารับการปรับปรุงด้วยมูลค่า 132 ล้านดอลลาร์/หรือ 90 ล้านปอนด์ที่อู่เรือโบลมอุนท์ฟ็อสเป็นระเวลา 25 วัน[95][96] การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญได้แก่การเพิ่มห้องพักแบบเดี่ยว 15 ห้อง ห้องพักแบบมีระเบียงเพิ่มเติม และกรงสำหรับสัตว์เลี้ยงอีก 10 กรงเพื่อขยายพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยง[97] ตามข้อมูลของโบลมอุนท์ฟ็อส การปรับปรุงครั้งนี้รวมถึงการติดตั้งเครื่องฟอกไอเสียและตัวกรองเพื่อลดการปล่อยมลพิษ[98] มีการสร้างห้องโดยสารใหม่ 35 ห้องเพิ่มขึ้นไปบนส่วนบนของเรือแทนที่พื้นที่ดาดฟ้าที่ไม่ค่อยได้ใช้งานที่เดิมมีสนามเทนนิส สระน้ำตื้นและอ่างน้ำวน 2 แห่ง[99] เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่ในพื้นที่สาธารณะถูกเปลี่ยนใหม่ การปรับเปลี่ยนอื่น ๆ รวมถึงการถอดลิฟต์กระจกแบบพาโนรามาในโถงกลาง การปรับเปลี่ยนห้องอาหารคิงส์คอร์ต การถมพื้นที่แกลเลอรีภาพถ่ายทางเดินเล่นกราบซ้ายด้วยห้องพักแบบเดี่ยว และการเพิ่มห้องพักแบบเดี่ยวในส่วนหนึ่งของคาสิโน

โควิด-19
เมื่อโควิด-19 เริ่มแพร่ระบาดไปทั่วโลกใน ค.ศ. 2020 ควีนแมรี 2 กำลังอยู่ระหว่างการล่องเรือรอบโลก ในช่วงต้นเดือนกุมภาพันธ์ คูนาร์ดยกเลิกเส้นทางเดินเรือในเอเชีย และเรือจอดแวะที่สิงคโปร์เพียงเพื่อเติมเชื้อเพลิงและเดินทางต่อไปยังออสเตรเลีย[100][101] วันที่ 15 มีนาคม คูนาร์ดยกเลิกการเดินทางที่เหลือทั้งหมด โดยให้ผู้โดยสารทั้งหมดลงจากเรือที่ฟรีแมนเทิล จากนั้นเรือก็เดินทางกลับไปเซาแทมป์ตัน[102][103] เรือจอดแวะพักหนึ่งในวันที่ 2 เมษายนที่เดอร์บันเพื่อให้ลูกเรือชาวแอฟริกาใต้หกคนลงจากเรือก่อนจะเดินทางต่อไปยังท่าเรือต้นทาง[104][105]
ด้วยการระบาดทั่ว คูนาร์ดระงับการเดินทางทั้งหมดของควีนแมรี 2 จนถึงเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2021[106] ในเดือนสิงหาคม 2021 คูนาร์ดประกาศว่าเรือจะเข้าอู่แห้งที่แบรสต์ ประเทศฝรั่งเศส ก่อนจะกลับมาให้บริการอีกครั้ง[107]
กลับมาให้บริการ
วันที่ 28 พฤศจิกายน ค.ศ. 2021 ควีนแมรี 2 กลับมาให้บริการอีกครั้งในระหว่างช่วงการระบาดทั่ว[108]
การปรับปรุง ค.ศ. 2023
ใน ค.ศ. 2023 ควีนแมรี 2 ได้รับการปรับปรุงในรอตเทอร์ดาม ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนพรมและวัสดุตกแต่งในพื้นที่ส่วนกลางหลายแห่ง[109]

Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads