คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
อีซูซุ มิว-เอ็กซ์
รถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดกลางที่ผลิตและพัฒนาโดยอีซูซุ จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
อีซูซุ มิว-เอ็กซ์ (อังกฤษ: Isuzu MU-X) เป็นประเภทของรถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดกลาง (Mid-size SUV) ของอีซูซุ ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก อีซูซุ มิว-เซเว่น โดยเริ่มผลิตครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2556 โดยได้ใช้โครงสร้างเดียวกันกับ อีซูซุ ดีแมคซ์
![]() | ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
Remove ads
รุ่นก่อนหน้า อีซูซุ มิว-7 (พ.ศ. 2547 - 2555)
ปี พ.ศ. 2547 “อีซูซุ มิว-7” (Isuzu MU-7) รถเอนกประสงค์ 7 ที่นั่ง ที่พัฒนาจากแพลทฟอร์มของรถปิกอัพออกสู่ตลาด
รุ่นที่ 1 (พ.ศ. 2556 - 2563)
สรุป
มุมมอง

อีซูซุ มิว-เอ็กซ์ ได้เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 31 ตุลาคม 2556 และเริ่มจำหน่ายในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2556 ที่ประเทศไทย โดยรุ่นนี้ แม้จะใช้โครงสร้างเดียวกันกับอีซูซุ ดีแมคซ์ แต่ได้รับความร่วมมือกับ ซึ่งเป็นผู้ผลิตรถ ทำให้โครงสร้างบางส่วน ได้มาจากรถ เทรลเบลเซอร์ ในรุ่นที่ 2 ที่เปิดตัวก่อนหน้านี้อีกด้วย
เครื่องยนต์
Isuzu MU-X ในรหัส RF10 , RF20 มีเครื่องยนต์ 3 รุ่น คือ
- เครื่องยนต์ 4JK1-TCX ขนาด 2,499 ซีซี (2.5 Ddi VGS) พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ มีพละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,800 รอบ/นาที รองรับมาตรฐานไอเสีย EURO 6 มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด (วางจำหน่ายในรุ่นปี 2556 - 2558)
- เครื่องยนต์ RZ4E-TC ขนาด 1,898 ซีซี (1.9 Ddi Blue Power) พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ มีพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,600 รอบ/นาที รองรับมาตรฐาน(UN) EURO 6 มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (วางจำหน่ายในรุ่นปี 2559 เป็นต้นไป แทนที่เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร)
- เครื่องยนต์ 4JJ1-TC ขนาด 2,999 ซีซี (3.0 Ddi VGS / Ddi VGS Blue Power) พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ มีพละกำลังสูงสุด 177 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 380 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,800 รอบ/นาที รองรับมาตรฐานไอเสีย EURO 4 มาพร้อมเกียร์ธรรมดา 5 สปีด , เกียร์อัตโนมัติ 5 สปีด (ในรุ่นปี 2556 - 2558) และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด (ในรุ่นปี 2559 ขึ้นไป)
รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย
ในรุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีทั้งหมด 7 รุ่นย่อย โดยมีรุ่นและราคาเปิดตัวดังนี้
- รุ่น 2.5 4×2 CD AT ซึ่งเป็นตัวเริ่มต้น ราคา 1,044,000 บาท
- รุ่น 2.5 4×2 DVD AT ราคา 1,204,000 บาท
- รุ่น 2.5 4×2 DVD Navi MT ราคา 1,219,000 บาท
- รุ่น 2.5 4×2 DVD Navi AT ราคา 1,269,000 บาท
- รุ่น 3.0 4×2 DVD Navi AT ราคา 1,319,000 บาท
- รุ่น 3.0 4×4 DVD Navi AT ราคา 1,419,000 บาท
หลังจากนั้น ในวันที่ 25 มีนาคม 2559 ได้ทำการปรับโฉมใหม่ และทั้งนี้ ในรุ่นเครื่องยนต์ 2.5 ลิตร ได้ถูกเปลี่ยนเป็นเครื่องยนต์ 1.9 ลิตรใหม่ และยังเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติใหม่ เป็น 6 สปีด จากนั้น ก็ได้ออกมาในรุ่นพิเศษในแต่ละปี โดยเริ่มจากรุ่น The ICONIC ที่เปิดตัวในปี 2561[1] , The Onyx ในปี 2562[2] และ The New Onyx ในปี 2563[3]
Remove ads
รุ่นที่ 2 (พ.ศ. 2563 - ปัจจุบัน)
สรุป
มุมมอง
ในรุ่นที่ 2 ของอีซูซุ มิว-เอ็กซ์ ได้เปิดตัวครั้งแรกในวันที่ 28 ตุลาคม 2563 ที่ รอยัล พารากอน ฮอลล์ ประเทศไทย โดยรุ่นนี้ ยังใช้โครงสร้างเดียวกัน กับอีซูซุ ดีแมคซ์ ในรุ่นที่ 3 ด้วยแนวคิด ISUZU Symmetric Mobility[5]
เครื่องยนต์
Isuzu MU-X ในรุ่นใหม่ปี 2563 มีเครื่องยนต์ 3 รุ่น คือ
- เครื่องยนต์ RZ4E-TC (1.9 Ddi Blue Power GEN 2) ขนาด 1,898 ซีซี พร้อมเทอร์โบแปรผัน VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ มีพละกำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 350 นิวตัน-เมตร ที่ 1,800 - 2,600 รอบ/นาที รองรับมาตรฐานไอเสีย EURO 4 และ EURO 5 มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด โดยสิ้นสุดทำตลาดในเดือนพฤศจิกายน 2567 โดยใช้เครื่องยนต์ 2.2 Ddi MAX FORCE ทำตลาดแทน
- เครื่องยนต์ RZ4F-TC (2.2 Ddi MAX FORCE) ขนาด 2,164 ซีซี พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบไฟฟ้า Electronic VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ มีพละกำลังสูงสุด 163 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 400 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 - 2,600 รอบ/นาที รองรับมาตรฐานไอเสีย EURO 5 มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด โดยเริ่มทำตลาดในเดือนพฤศจิกายน 2567
- เครื่องยนต์ 4JJ3-TCX (3.0 Ddi Blue Power / 3.0 Ddi MAXFORCE) ขนาด 2,999 ซีซี พร้อมเทอร์โบแปรผันแบบไฟฟ้า Electronic VGS และอินเตอร์คูลเลอร์ มีพละกำลังสูงสุด 190 แรงม้า ที่ 3,600 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุดที่ 450 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 - 2,600 รอบ/นาที รองรับมาตรฐานไอเสีย EURO 4 และ EURO 5 มาพร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด
รุ่นแรก ก่อนปรับโฉม
รุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย
ในรุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะมีทั้งหมด 4 เกรด โดยมีรุ่นดังนี้
- รุ่น ACTIVE เป็นรุ่นเริ่มต้น โดยได้ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว , ไฟหน้า Projector Lens และไฟ Daytime Running Lights แบบ LED , เครื่องเสียง วิทยุ AM / FM / Bluetooth พร้อม CD 1 จุด , ไฟท้าย LED พร้อมไฟหรี่ Winglet Signature LED และกุญแจรีโมท แบบ Integrated Key
- รุ่น LUXURY จะได้เพิ่มเติมคือ ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว , มาตรวัดเรืองแสง แบบ Super Vision พร้อมจอ TFT 4.3 นิ้ว , หน้าจอเครื่องเสียงขนาด 7 นิ้ว , ช่อง USB 2 ตำแหน่ง , มือจับภายในรถ 8 ตำแหน่ง , กุญแจรีโมทชนิดฝังชิพ (Immobilizer) , ระบบ Cruise Control และเบาะนั่งคนขับ ปรับด้วยไฟฟ้า 8 ทิศทาง
- รุ่น ELEGANCE จะได้เพิ่มเติมคือ ระบบกุญแจ Smart Keyless Entry พร้อม Push Start Button , ช่องชาร์จไฟบ้าน AC 220V , หน้าจอเครื่องเสียงขนาด 9 นิ้ว , เครื่องเล่น DVD 1 แผ่น , ลำโพง 8 ตำแหน่ง , ระบบปิด-เปิดท้ายรถด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันหนีบฝาท้าย , เซนเซอร์กะระยะด้านหน้า 4 ตำแหน่ง และด้านหลัง 4 ตำแหน่ง , ระบบ Blind Spot Monitor พร้อม Rear Cross Traffic Alert และถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง
- รุ่น ULTIMATE เป็นรุ่นท็อปสุดในรุ่นจะได้ ล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว , กระจังบังลมหน้า IR Cut , ไฟผู้โดยสารตอนหน้าแบบ Dome Light , ระบบเปิด-ปิดไฟหน้า แบบอัตโนมัติ , ระบบสตาร์ทรถด้วยรีโมท Engine Remote Start , ระบบช่วยเหลือผู้ขับขี่ ADAS พร้อมเรดาร์ 2 จุด[6]
ในรุ่น LUXURY จะมีเกียร์ธรรมดาเป็นรุ่นต่างหาก และรุ่น ULTIMATE จะมีเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อเป็นรุ่นย่อยเพิ่มเติม
รุ่นย่อยและเกรดเพิ่มเติมในรุ่นปี 2022
ในวันที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2564 ที่ผ่านมา Isuzu MU-X ได้ออกรุ่นย่อยใหม่ 3.0 ELEGANCE AT เป็นรุ่นล่างลงมาจากรุ่น 3.0 ULTIMATE AT ในเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร และเพิ่ม 2 ออพชั่นใหม่คือ
- ระบบเตือนเมื่อเข้าศูนย์บริการ Service Assist ทุกรุ่น
- ระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อมีรถสวนทางขณะเลี้ยวขวา Turn Assist with AEB ในรุ่น ULTIMATE
อีกทั้ง ยังได้ทำการยุติการจำหน่ายในรุ่น 1.9 LUXURY MT 2WD[7][8]
รุ่นย่อยและเกรดเพิ่มเติมในรุ่นปี 2023
ในวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2565 ได้เพิ่มออพชั่น ระบบปิด-เปิดท้ายรถด้วยไฟฟ้า พร้อมระบบป้องกันหนีบฝาท้าย แบบ Smart Tailgate พร้อมเซ็นเซอร์ Kick Stand ในรุ่น ELEGANCE ขึ้นไป และได้ติดตั้งเครื่องเสียงใหม่ เป็นหน้าจอเครื่องเสียงขนาด 7 นิ้ว ในรุ่น ACTIVE และ หน้าจอเครื่องเสียงขนาด 9 นิ้ว ในรุ่น ELEGANCE ขึ้นไป
อุปกรณ์ที่แตกต่างจากเดิม
- เปลี่ยน กระจังหน้า ดีไซน์ใหม่ Black Chrome พร้อมด้วยชุดแต่งรอบคันสี Magnetite Gray และ ไฟท้าย LED ดีไซน์ใหม่ Winglet Signature โคมสีรมดำ
- ล้ออัลลอย ขนาด 17 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Aeroscrew (รุ่น Active)
- ล้ออัลลอย ขนาด 18 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Dynamic Design สี Magnetite Gray (รุ่น Elegant)
- ล้ออัลลอย ขนาด 20 นิ้ว ดีไซน์ใหม่ Dynamic Rotor Blade สี Magnetite Gray ปัดเงา (รุ่น Ultimate)
- เปลี่ยน สีเบาะนั่งแบบลดการสะสมความร้อน Cool Max สี Macchiato Brown น้ำตาลเทา สลับ น้ำตาลเข้ม และ วัสดุตกแต่งภายในห้องโดยสาร สีดำเงา Piano Black / Chrome
- เปลี่ยน การตกแต่งภายในเป็นโทนสี Macchiato Brown (ยกเว้นรุ่น Active)
- สีตัวถังภายนอกมาใหม่ สีน้ำเงิน Glacier Blue Mica มาแทน น้ำตาล Marrakesh Brown
- เพิ่มฝาท้ายเปิด-ปิดด้วยระบบไฟฟ้า ทำงานร่วมกับระบบ Step Sensor
- ปรับอุปกรณ์ รุ่น 1.9 Active 6AT 2WD
- เพิ่ม หน้าจอเครื่องเสียง Touchscreen ขนาด 7 นิ้ว, กล้องมองภาพขณะถอยจอด และ สวิตซ์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
อีกทั้ง ยังได้ทำการยุติการจำหน่ายในรุ่น 1.9 LUXURY[9]
รุ่นปี 2024 กับมาตรฐานการปล่อยไอเสียตามมาตรฐาน EURO 5
จากการที่ประเทศไทย ได้บังคับให้ผู้ผลิตพาหนะที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซล ให้ผ่านมาตรฐาน EURO 5 ตั้งแต่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา หลังจากบังคับใช้มาตรฐาน EURO 4 มาตั้งแต่ปี 2555[10]
อีซูซุ จึงต้องปรับปรุงเครื่องยนต์ดีเซล ให้ผ่านข้อกำหนดมาตรฐานไอเสีย Euro 5 โดยได้เพิ่มระบบกรองเขม่าไอเสีย หรือ Diesel Particulate Filter เข้าไป โดยไม่ต้องเพิ่ม AdBlue ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนการผลิตสูงขึ้น ทางตรีเพชรอีซูซุเซลล์ จึงประกาศปรับราคารถเพิ่มขึ้นโดยมีผลตั้งแต่ วันที่ 1 เมษายน 2567 เป็นต้นไป[11][12]
ปรับโฉม
รุ่นปี 2024 (The Next Peak)
เปิดตัวในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2567 ซึ่งเป็นการปรับโฉมครั้งแรก โดยได้เพิ่มรุ่นย่อย RS เข้ามา และยกเลิกในรุ่น 3.0 ULTIMATE AT 4WD เป็นการเน้นการออกแบบตัวถังใหม่ พร้อมสีใหม่ สีเทานม Eiger Gray opaque โดยด้านหน้าออกแบบกันชนหน้าแบบ Fighter Jet พร้อมช่องรีดอากาศ Air Curtain เดียวกันกับ อีซูซุ ดี-แม็กซ์ , ออกแบบหน้าปัดใหม่ เป็นหน้าจอขนาด 7 นิ้ว , เปลี่ยนหน้าจอเครื่องเสียงใหม่ สูงสุดขนาด 9 นิ้วพร้อมรองรับ Android Auto และ Apple CarPlay แบบไร้สาย , พวงมาลัยไฟฟ้า และกล้อง 360 องศา
พร้อมทั้งนี้ ยังปรับปรุงระบบ ADAS โดยเพิ่มความปลอดภัยเพิ่มอีก 5 อย่างดังนี้
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKAS (Lane Keep Assist System)
- ระบบช่วยควบคุมทิศทางของรถตามรถคันหน้า TJA (Traffic Jam Assist)
- ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลนในสถานการณ์ฉุกเฉิน ELK (Emergency Lane Keeping)
- ระบบแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเลนพร้อม LDW (Lane Departure Warning) พร้อมระบบดึงพวงมาลัยกลับ LDP (Lane Departure Prevention)
- ระบบช่วยเตือนขณะถอย RCTA (Rear Cross Traffic Alert) พร้อมระบบช่วยเบรกฉุกเฉินอัตโนมัติ RCTB (Rear Cross Traffic Brake)[13][14]
- รุ่นปรับโฉม 2024 (3.0 Ultimate)
เปลี่ยนเครื่องยนต์จาก Isuzu 1.9 Ddi Blue Power เป็น Isuzu 2.2 Ddi MAXFORCE
ในวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567 อีซูซุส่งเครื่องยนต์ดีเซล 2.2 Ddi MAXFORCE (รหัสเครื่องยนต์ RZ4F-TC) พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด แบบ REV TRONIC มาแทนเครื่องยนต์ 1.9 Ddi Blue Power ในทุกรุ่นย่อย รวมถึงรุ่น RS ส่วนเครื่องยนต์ 3.0 Ddi Blue Power ได้เปลี่ยนชื่อทางการค้าเป็น 3.0 Ddi MAXFORCE โดยเปลี่ยนกล่องควบคุม ECM ใหม่ แบบ Multi-Core โดยไม่ได้มีการเพิ่มออปชั่นตัวรถแต่อย่างใด ส่วนเครื่องยนต์เดิม จะยังคงจำหน่ายต่อไปจนกว่าจะหมด[15][16]
ตารางรุ่นย่อยในรุ่นปรับโฉม ที่วางจำหน่ายในประเทศไทย
Remove ads
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads