คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
เกลือหิมาลัย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
เกลือหิมาลัย (อังกฤษ: Himalayan salt) เป็นเกลือเม็ด (เฮไลต์) ที่สกัดจากแคว้นปัญจาบ ประเทศปากีสถาน บางประเภทมีผิวสีชมพูเนื่องจากแร่ธาตุรอง (trace mineral) ที่ประสมอยู่ มักใช้เป็นสารเติมแต่งอาหารแทนเกลือแกงประเภทอื่น และยังใช้ในการประกอบอาหาร การนำเสนออาหาร การประดับตกแต่ง และการทำสปา แต่มักได้รับการอ้างว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งยังไม่มีข้อพิสูจน์ในเรื่องนี้[1]

ภูมิศาสตร์
เกลือหิมาลัยสกัดจากเทือกเขาเกลือ (Salt Range)[2] ซึ่งเป็นชายขอบทางทิศใต้ของแนวชั้นหินคดโค้งและรอยเลื่อนย้อนมุมต่ำ (fold and thrust belt) อันอยู่เบื้องใต้ที่ราบสูง Pothohar ในตอนใต้ของเทือกเขาหิมาลัย ประเทศปากีสถาน เกลือหิมาลัยนั้นกำเนิดขึ้นจากปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ผลึกแร่เฮไลต์ถูกเกลือโพแทชเข้าแทรกซึม แล้วถูกทับถมอยู่ด้านบนด้วยแร่มาร์ลที่มียิปซัม ก่อนถูกเสียดแทรกเป็นชั้น ๆ ด้วยยิปซัมและโดโลไมต์ที่มีหินน้ำมันปนอยู่เป็นชั้นบาง ๆ โดยสั่งสมพอกพูนอยู่เช่นนี้ในช่วง 600–540 ล้านปีที่ผ่านมา ซึ่งตรงกับยุคอีดีแอคารันไปจนถึงต้นยุคแคมเบรียน จนเกิดเป็นเทือกเขาเกลือที่ใช้สกัดเกลือ[3][4][5]
Remove ads
ประวัติ
ตำนานพื้นถิ่นว่า กองทัพของอะเล็กซานเดอร์มหาราช (ครองราชย์ 332–323 ปีก่อนคริสตกาล) ค้นพบเกลือหิมาลัย[6] แต่หลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรแรกสุดเกี่ยวกับการสกัดเกลือนั้นระบุว่า ตระกูล Janjua ในปากีสถานค้นพบเกลือนี้ในคริสต์ทศวรรษ 1200[7] เกลือนี้สกัดกันชุกชุมในเขตเหมืองเกลือ Khewra ที่นคร Khewra ของแคว้นปัญจาบ ซึ่งเป็นเขตเหมืองบริเวณเชิงเขาในเทือกเขาเกลือระหว่างแม่น้ำสินธุกับที่ราบปัญจาบ[2][8][9] โดยมักส่งออกปริมาณมาก ๆ แล้วไปผ่านกรรมวิธีอื่น ๆ ในต่างประเทศเพื่อส่งให้ตลาดของผู้บริโภคต่อไป[6]
Remove ads
ส่วนประกอบทางแร่
เกลือหิมาลัยเป็นเกลือแกงประเภทหนึ่ง การวิเคราะห์ตัวอย่างเกลือจำนวนหนึ่งจากเขต Khewra พบว่า เกลือเหล่านี้มีแร่ธาตุหลักเป็นโซเดียมคลอไรด์ราวร้อยละ 96–99 และมีแร่ธาตุรอง เช่น แคลเซียม โครเมียม ซัลเฟต แมกนีเซียม สังกะสี และเหล็ก ในปริมาณต่างกันไป แต่โดยรวมแล้วอยู่ในปริมาณที่ไม่เป็นอันตราย คือ ต่ำว่าร้อยละ 1[2][10][11][12] เกลือบางประเภทที่สกัดได้จากปากีสถานก็ไม่เหมาะจะใช้ในการประกอบอาหารหรืออุตสาหกรรม หากไม่ทำให้บริสุทธิ์ก่อน[2] ผลึกเกลือจากภูมิภาคนี้ บางประเภทมีเนื้อสีขาวไปจนถึงสีใส บางประเภทมีเนื้อสีชมพู แดง หรือแดงก่ำ เนื่องจากแร่ธาตุรองที่มีอยู่ดังกล่าว[13][14]
เกลือหิมาลัยมีคุณค่าทางโภชนาการเหมือนเกลือแกงทั่วไป[12][1] ยกเว้นเรื่องไอโอดีน เกลือทั่วไปมักเสริมไอโอดีนเพื่อช่วยลดโรคภัยจากการขาดไอโอดีน[15] แต่เกลือหิมาลัยไม่เสริมไอโอดีน จึงขาดคุณประโยชน์ในด้านนี้[16][17]
การใช้
สรุป
มุมมอง
เกลือหิมาลัยใช้ปรุงแต่งอาหาร และเนื่องจากมีค่าใช้จ่ายในการตลาด เกลือหิมาลัยที่มีสีชมพูจึงมักแพงกว่าเกลือแกงหรือเกลือสมุทรทั่วไปราว 20 เท่า[18] การที่มีสีชมพูเพราะมีแร่ธาตุอื่นเจือปนอยู่ รวมถึงการที่ปราศจากสารป้องกันการจับตัวเป็นก้อน (anti-caking agent) ก่อให้เกิดความเชื่อว่า เกลือหิมาลัยดีต่อสุขภาพยิ่งกว่าเกลือธรรมดาสามัญ[1][17][19] แต่เรื่องนี้ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ[16][12][19][20][21] ในสหรัฐเอง องค์การอาหารและยาก็ได้เตือนผู้ผลิตอาหารเสริมซึ่งรวมถึงรายที่ใช้เกลือหิมาลัยเป็นส่วนประกอบว่า ให้เลิกทำการตลาดโดยใช้ข้ออ้างอันปราศจากการพิสูจน์เกี่ยวกับประโยชน์ทางสุขภาพ[22]
นอกเหนือไปจากข้างต้นแล้ว เกล็ดเกลือหิมาลัยยังใช้เป็นจานอาหาร เป็นจานอบ (baking stone) และเป็นกระทะสำหรับนาบ (girdle)[23] ทั้งยังใช้ทำเป็นจอก (shot glass) สำหรับดื่มเตลิกา[24] แต่ในการใช้งานเช่นนั้น เกลือจำนวนหนึ่งย่อมส่งผ่านไปยังอาหารหรือเครื่องดื่ม และแปลงเปลี่ยนรสชาติไปเสีย[25]
เกลือหิมาลัยยังใช้ทำตะเกียงเกลือ (salt lamp) ซึ่งสะท้อนแสงสีชมพูหรือสีส้ม[26] และมีการอ้างว่าการใช้เกลือหิมาลัยทำตะเกียงจะส่งผลให้ตะเกียงแผ่ไอออนซึ่งมีผลดีต่อสุขภาพ แต่เรื่องนี้ก็ไร้หลักฐานทางวิทยาศาสตร์รองรับ[1][27] ทว่าตะเกียงเกลือดังกล่าวสามารถเป็นอันตรายต่อสัตว์เลี้ยง เพราะเมื่อสัตว์เลี้ยงเลียเข้าไปแล้วอาจเกิดภาวะเป็นพิษจากเกลือ[28]
การใช้เกลือหิมาลัยทำสปา หรือทำกำแพงอาคารสปา ก็ได้รับการอ้างว่าจะมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่เรื่องนี้ก็ยังไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์เช่นกัน[1]
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads