คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

เทย์เลอร์ สวิฟต์

นักร้อง-นักประพันธ์เพลงชาวอเมริกัน (เกิด ค.ศ. 1989) จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

เทย์เลอร์ สวิฟต์
Remove ads

เทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์ (อังกฤษ: Taylor Alison Swift; เกิด 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989) เป็นนักร้องและนักแต่งเพลงชาวอเมริกัน เธอเป็นหนึ่งในศิลปินหญิงร่วมสมัยยอดนิยมที่เป็นที่รู้จักจากการแต่งเพลงเกี่ยวกับชีวิตส่วนตัวและเป็นที่สนใจของสื่ออย่างมาก สวิฟต์เกิดและเติบโตในเวสต์เรดิง รัฐเพนซิลเวเนีย เธอย้ายไปยังเมืองแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี ขณะอายุ 14 ปี เพื่อหางานทำเกี่ยวกับเพลงคันทรี เธอได้เซ็นสัญญากับบริษัทโซนี/เอทีวีมิวสิกพับบลิชชิง ใน ค.ศ. 2004 และเซ็นสัญญากับค่ายเพลงบิกแมชีนเรเคิดส์ ใน ค.ศ. 2005 และออกอัลบั้มแรกในชื่อเดียวกับตนเอง ใน ค.ศ. 2006

ข้อมูลเบื้องต้น เทย์เลอร์ สวิฟต์, เกิด ...

สวิฟต์ทำดนตรีคันทรีป็อปในอัลบั้มที่สองและสาม เฟียร์เลส (2008) และ สปีกนาว (2010) ความสำเร็จจากซิงเกิลในอัลบั้มที่สอง "เลิฟสตอรี" และ "ยูบีลองวิทมี" ในคลื่นวิทยุเพลงคันทรีและเพลงป็อปทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินข้ามแนวเพลงที่โดดเด่น เธอยังได้ทดลองดนตรีแนวป็อป ร็อก และอิเล็กทรอนิกส์ในอัลบั้มที่สี่ เรด (2012) อัลบั้มทีห้า 1989 (2014) เปลี่ยนสถานะสวิฟต์จากศิลปินคันทรีเป็นป็อปสตาร์ โดยมีแรงสนับสนุนจากซิงเกิลอันดับหนึ่งบนบิลบอร์ดฮอต 100 ได้แก่ "เชกอิตออฟ" "แบลงก์สเปซ" และ "แบดบลัด" การที่สื่อให้ความสนใจในชีวิตส่วนตัวของเธอมากขึ้นบันดาลใจให้เกิดอัลบั้มที่หก เรพิวเทชัน (2017) ซึ่งดนตรีเปลี่ยนเป็นแนวเออร์เบินร่วมสมัย

หลังจากแยกทางกับค่ายบิกแมชีน แล้วเซ็นสัญญากับรีพับลิกเรเคิดส์ ใน ค.ศ. 2018 สวิฟต์ออกอัลบั้มที่เจ็ด เลิฟเวอร์ ใน ค.ศ. 2019 หลังจากประสบความสำเร็จในทศวรรษ 2010 เธอก้าวเข้าสู่ดนตรีแนวอินดีโฟล์กและออลเทอร์นาทิฟร็อกในอัลบั้มสองชุดที่ออกใน ค.ศ. 2020 คือ โฟล์กลอร์ และเอฟเวอร์มอร์ ซึ่งเนื้อเพลงได้รับแรงบันดาลใจจากการเก็บตัวในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้รับคำชมในเรื่องการเล่าเรื่องที่คล้ายกัน เพื่อให้ได้สิทธิ์การครอบครองกลับคืนมา หลังเกิดข้อพิพาทเกี่ยวกับงานต้นฉบับของสวิฟต์ เธอออกอัลบั้มเพลงที่บันทึกเสียงใหม่ออกมาสองชุดใน ค.ศ. 2021 ได้แก่ เฟียร์เลส (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) และเรด (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) ทั้งสองอัลบั้มได้รับคำชมในด้านดนตรีที่มีคุณภาพมากขึ้น และเสียงร้องที่พัฒนาขึ้นจากเดิม นอกจากดนตรี สวิฟต์ได้รับบทในภาพยนตร์ต่าง ๆ เช่น วาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก (2010) และแคตส์ (2019) เธอออกภาพยนตร์สารคดีอัตชีวประวัติเรื่องมิสอเมริกานา (2020) และภาพยนตร์มิวสิคัลที่เธอกำกับเอง ได้แก่ โฟล์กลอร์: เดอะลองพอนด์สตูดิโอเซสชันส์ (2020) ออลทูเวล: เดอะชอร์ตฟิล์ม (2021) และดิเอราส์ทัวร์ (2023) ภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงที่สุด

สวิฟต์เป็นหนึ่งในศิลปินนักดนตรีที่ขายดีที่สุดตลอดกาล เธอขายอัลบั้มได้มากกว่า 400 ล้านชุดทั่วโลก เธอได้รับรางวัลแกรมมี 14 รางวัล (รวมรางวัลอัลบั้มแห่งปี 4 รางวัล) เอมมีอะวอดส์ 1 รางวัล รางวัลบิลบอร์ดมิวสิกอะวอดส์ 25 รางวัล รางวัลสมาคมเพลงคันทรี 12 รางวัล อเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 40 รางวัล (ศิลปินที่ได้รับมากที่สุด) และได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ 49 รายการ เธออยู่ในรายชื่อ 100 นักแต่งเพลงยอดเยี่ยมตลอดกาล จัดโดยนิตยสารโรลลิงสโตน เป็นอันดับที่แปดในรายชื่อศิลปินยอดเยี่ยมตลอดกาล จัดอันดับโดยบิลบอร์ด และอยู่ในการจัดอันดับอีกมากมาย เช่น ไทม์ 100 และคนดัง 100 คนของฟอบส์ บิลบอร์ดแต่งตั้งให้สวิฟต์เป็นสตรีแห่งทศวรรษ 2010 และอเมริกันมิวสิกอะวอดส์แต่งตั้งให้เป็นศิลปินแห่งทศวรรษ 2010 สวิฟต์เป็นที่จดจำในฐานะผู้สนับสนุนสิทธิและอำนาจสตรีในอุตสาหกรรมดนตรี

Remove ads

ชีวิตและการทำงาน

สรุป
มุมมอง

ค.ศ. 1989–2003: ชีวิตช่วงแรก

Thumb
บ้านในวัยเด็กของสวิฟต์ ในชานเมืองไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย

เทย์เลอร์ แอลิสัน สวิฟต์ เกิดเมื่อวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 1989 ที่เรดดิง รัฐเพนซิลเวเนีย[1] บิดาของเธอชื่อ สกอตต์ คิงสลีย์ สวิฟต์ เป็นที่ปรึกษาการเงิน ส่วนมารดาของเธอ แอนเดรีย การ์ดเนอร์ (สกุลเดิม ฟินเลย์) สวิฟต์ เป็นผู้รับจ้างทำงานบ้านที่เคยทำงานเป็นกรรมการบริหารกองทุนรวม[2] สวิฟต์มีน้องชายหนึ่งคนชื่อ ออสติน[3] สวิฟต์ใช้ชีวิตช่วงปีแรก ๆ ในไร่นาต้นคริสต์มาสทีพ่อซื้อต่อจากลูกค้าคนหนึ่ง[4][5] เธอเข้าโรงเรียนเตรียมอนุบาล และชั้นอนุบาลที่โรงเรียนอัลเวอร์เนียมอนเทสซอรีสกูล เปิดสอนโดยแม่ชีคณะฟรันซิสกัน[6] ก่อนย้ายเข้าโรงเรียนวินด์ครอฟต์สคูล[7] ต่อมา ครอบครัวย้ายไปที่บ้านเช่าหลังหนึ่งในชานเมืองไวโอมิสซิง รัฐเพนซิลเวเนีย[8] เธอเข้าเรียนที่โรงเรียนไวโอมิสซิงเอเรียจูเนียร์/ซีเนียร์ไฮสคูล[9]

เมื่ออายุ 9 ปี สวิฟต์เริ่มสนใจการละครเวที และแสดงในละครเวทีที่เบิกส์ยูธเธียเตอร์อะคาเดมี[10] เธอเดินทางไปบรอดเวย์เป็นประจำเพื่อเรียนร้องเพลงและการแสดง[11] ต่อมาสวิฟต์เริ่มเปลี่ยนความสนใจไปที่ดนตรีคันทรี เพลงของชะไนยา ทเวน ทำให้เธอ "อยากวิ่งรอบช่วงตึก 4 รอบและฝันกลางวันถึงทุกสิ่งทุกอย่าง"[12] เธอใช้เวลาสุดสัปดาห์แสดงตามงานเทศกาลในท้องถิ่น และอีเวนต์ต่าง ๆ[13][14] หลังจากชมสารคดีเกี่ยวกับเฟท ฮิลล์ สวิฟต์รู้สึกมั่นใจว่าเธอต้องการเดินทางไปสานฝันงานดนตรีที่แนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี[15] เมื่ออายุ 11 ปี เธอเดินทางไปแนชวิลล์กับแม่เพื่อส่งเดโมเพลง ซึ่งเป็นเพลงคาราโอเกะของดอลลี พาร์ตัน และดิกซีชิกส์ นำมาขับร้องใหม่[16] แต่เธอถูกปฏิเสธ ด้วยเหตุที่ว่า "ทุกคนในเมืองนั้นก็อยากทำสิ่งที่ฉันอยากทำเหมือนกัน ดังนั้น ฉันจึงกลับมาคิดกับตัวเองว่า ฉันต้องหาทางทำสิ่งที่แตกต่างออกไป"[17]

เมื่อสวิฟต์อายุ 12 ปี รอนนี เครเมอร์ ช่างซ่อมคอมพิวเตอร์และนักดนตรี สอนเธอเล่นกีตาร์ 3 คอร์ด บันดาลให้เธอเขียนเพลงแรก "ลักกียู"[18][19] ใน 2003 สวิฟต์และพ่อแม่ของเธอเริ่มทำงานกับผู้จัดการดนตรี แดน ดิมโทรว์ ในนิวยอร์ก ด้วยความช่วยเหลือของดิมโทรว์ สวิฟต์เป็นแบบให้แก่บริษัทเอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ เป็นส่วนหนึ่งในโครงการ "ไรซิงสตาส์" และมีเพลงต้นฉบับรวมในอัลบั้มรวมเพลงของตราสินค้าเมย์เบลลีน และเข้าร่วมประชุมกับค่ายเพลงหลักมากมาย[20] หลังจากแสดงเพลงที่งานมหรสพของสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์ สวิฟต์ที่ยังเรียนอยู่ชั้นเกรด 8 ได้รับโอกาสให้เป็นนักร้อง และเริ่มเดินทางไปแนชวิลล์กับแม่ของเธอบ่อยขึ้น[21][22]

พ่อของเธอย้ายไปทำงานออฟฟิศของเมร์ริลลินช์ที่แนชวิลล์เพื่อช่วยส่งเสริมสวิฟต์ทำงานดนตรีคันทรี ขณะที่เธออายุ 14 ปี และครอบครัวย้ายที่อยู่ไปที่บ้านริมทะเลสาบในเฮนเดอร์สันวิลล์ รัฐเทนเนสซี[4][23] สวิฟต์เข้าเรียนที่โรงเรียนเฮนเดอร์สันวิลล์ไฮสคูล[24] แต่เรียนได้สองปี เธอก็ย้ายไปเรียนที่สถาบันแอรอนอะคาเดมี โรงเรียนคริสต์เอกชนที่มีบริการเรียนที่บ้านได้ เพื่อให้สะดวกต่อการทัวร์ และเธอจบการศึกษาเร็วกว่ากำหนดหนึ่งปี[25]

ค.ศ. 2004–2008 : เริ่มต้นอาชีพนักร้อง และอัลบั้ม เทย์เลอร์ สวิฟต์

ที่แนชวิลล์ เธอร่วมงานกับนักแต่งเพลงย่านมิวสิกโรว์มากมาย เช่น ทรอย เวอร์จิส เบรตต์ บีเวอส์ เบรตต์ เจมส์ แม็ก แม็กอะแนลลี และเดอะวอร์เรนบราเธอส์[26][27] จนเธอได้สานสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานชื่อ ลิซ โรส[28] พวกเธอประชุมกันในคาบแต่งเพลงทุกวันอังคารตอนบ่ายหลังเรียน[29] โรสกล่าวว่า คาบแต่งเพลงนั้นเป็น "อะไรที่ง่ายที่สุดที่ฉันเคยได้ทำ พูดง่าย ๆ คือ ฉันเป็นบรรณาธิการของเธอ เธอจะเขียนเพลงเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในโรงเรียนในวันนั้น เธอมีวิสัยทัศน์ชัดเจนเกี่ยวกับสิ่งที่เธอต้องการจะพูด และเธอจะคิดท่อนสร้อยที่น่าเหลือเชื่อได้เสมอ" สวิฟต์ได้เซ็นสัญญากับโซนี/เอทีวีทรีพับลิชชิง[30] แต่ลาออกจากสังกัดอาร์ซีเอเรเคิดส์เมื่ออายุ 14 ปี[14] เธอระลึกได้ว่า "ฉันรู้สึกว่าฉันกำลังหมดเวลา ฉันอยากเก็บความทรงจำในชีวิตของฉันหลายปีมานี้ไว้ในอัลบั้มสักอัลบั้ม ขณะที่ความทรงจำเหล่านั้นยังคงแทนสิ่งที่ฉันเคยผ่านมาได้อยู่"[31]

Thumb
สวิฟต์แสดงที่สำนักงานใหญ่ ยาฮู! ในซันนีเวล รัฐแคลิฟอร์เนีย ใน ค.ศ. 2007

ณ งานมหรสพแห่งหนึ่งที่ร้านกาแฟบลูเบิร์ดคาเฟในเมืองแนชวิลล์เมื่อ ค.ศ. 2005 สวิฟต์เป็นที่ต้องตาต้องใจของสก็อตต์ บอร์เชตตา ผู้บริหารค่ายดรีมเวิกส์เรเคิดส์ที่กำลังเตรียมตัวก่อตั้งค่ายเพลงอิสระของตนในชื่อ บิกแมชีนเรเคิดส์ เธอเคยพบกับบอร์เชตตาแล้วใน ค.ศ. 2004[32] เธอได้เป็นหนึ่งในคนแรก ๆ ที่ได้เซ็นสัญญา โดยพ่อของเธอจ่ายเงินช่วยบริษัท 3% เป็นเงินจำนวนประมาณ 120,000 ดอลลาร์สหรัฐ[33][34]สวิฟต์เริ่มทำอัลบั้มแรกของเธอโดยตั้งชื่อเธอให้เป็นชื่ออัลบั้มไม่นานหลังเซ็นสัญญา สวิฟต์โน้มน้าวให้ค่ายบิกแมชีนจ้างโปรดิวเซอร์เพลงชื่อนาธาน แชปแมน ที่เธอรู้สึกว่ามีเคมีตรงกัน[14] สวิฟต์แต่งเพลงในอัลบั้มเอง 3 เพลง และร่วมแต่งเพลงที่เหลืออีกแปดเพลงกับนักแต่งเพลง เช่น โรส เอลลิส ออร์รอล ไบรอัน เมเฮอร์ และแอนเจโล เพทราเกลีย[35] อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ออกจำหน่ายในวันที่ 24 ตุลาคม ค.ศ. 2006[36] จอน คารามานิกา จากหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ พูดถึงอัลบั้มนี้ว่าเป็น "งานเล็ก ๆ ชิ้นเยี่ยมที่เป็นคันทรีผสมป็อป ทั้งเรียบง่ายและถากถาง รวมกันไว้ด้วยเสียงร้องที่อ้อนวอนและแน่วแน่ของคุณสวิฟต์"[37] อัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ขึ้นสูงสุดอันดับที่ห้าในชาร์ตบิลบอร์ด 200 และอยู่ในชาร์ตนาน 157 สัปดาห์ นานที่สุดในบรรดาอัลบั้มที่ออกในคริสต์ทศวรรษ 2000[38] นับถึงเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2016 อัลบั้มขายได้มากกว่า 7.75 ล้านชุดทั่วโลก[39]

บิกแมชีนเรเคิดส์เพิ่งเปิดค่ายใหม่ ขณะที่ออกซิงเกิลนำ "ทิม แม็กกรอว์" ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2006 สวิฟต์กับแม่ช่วยกัน "นำซีดีซิงเกิลใส่ซองจดหมายและส่งให้สถานีวิทยุ"[40] เธอใช้เวลาทั้ง ค.ศ. 2006 เดินสายส่งเสริมอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ ตามสถานีวิทยุและรายการโทรทัศน์[41][42] บอร์เชตตากล่าวว่า การที่เขาตัดสินใจให้เด็กผู้หญิงอายุ 16 ปี เซ็นสัญญา แรกเริ่มทำให้เพื่อนร่วมวงการเป็นกังวล แต่สวิฟต์ก้าวเข้าสู่กลุ่มตลาดดนตรีที่ไม่เคยมีมาก่อน นั่นคือ กลุ่มวัยรุ่นสาวที่ฟังเพลงคันทรี[4] หลังจากออกซิงเกิล "ทิม แม็กกรอว์" มีซิงเกิลออกตามมาอีกสี่ซิงเกิลตลอด ค.ศ. 2007-2008 ได้แก่ "เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์" "อาวเวอร์ซอง" "พิกเชอร์ทูเบิร์น" และ "ชูดัฟเซดโน" ทุกซิงเกิลประสบความสำเร็จบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอตเพลงคันทรี "อาวเวอร์ซอง" และ "ชูดัฟเซดโน" ขึ้นอันดับหนึ่ง เพลง "อาวเวอร์ซอง" ทำให้สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่แต่งเอง ร้องเพลงคันทรีเอง และขึ้นอันดับหนึ่งได้[43] "เทียร์ดรอปส์ออนมายกีตาร์" กลายเป็นเพลงแนวป็อปที่ได้รับความนิยมระดับหนึ่ง ขึ้นอันดับ 13 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[44] สวิฟต์ยังออกอัลบั้มวันหยุด ได้แก่ ซาวส์ออฟเดอะซีซัน: เดอะเทย์เลอร์ สวิฟต์ฮอลลิเดย์คอลเล็กชัน เมื่อเดือนตุลาคม ค.ศ. 2007 และอีพีชื่อ บิวตีฟูลอายส์ เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2008[45][46] เธอส่งเสริมอัลบั้มแรกเพิ่มเติมด้วยการพบปะทักทายกับแฟนเพลง ร้องเพลงที่ได้รับความนิยม และเป็นศิลปินเปิดคอนเสิร์ตให้ศิลปินคนอื่น ๆ[47]

สวิฟต์ได้รับรางวัลจากอัลบั้มเทย์เลอร์ สวิฟต์ หลายรางวัล เธอเป็นหนึ่งในผู้ที่รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี โดยสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ ใน ค.ศ. 2007 เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลนี้[48] เธอยังได้รางวัลฮอไรซันอะวอร์ดสาขาศิลปินหน้าใหม่โดยสมาคมดนตรีคันทรี[49] รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ สาขานักร้องนำหญิงคนใหม่ยอดเยี่ยม[50] และรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ดสาขาศิลปินคันทรีหญิงคนโปรด[51] เธอยังได้เข้าชิงรางวัลแกรมมีสาขาศิลปินหน้าใหม่ยอดเยี่ยม ค.ศ. 2008[52] ในเดือนกรกฎาคมปีนั้น เธอคบหากับโจ โจนาส แต่ความสัมพันธ์จบลงหลังจากนั้นสามเดือน[53][54]

ค.ศ. 2008–2010 : อัลบัมเฟียร์เลส และการแสดง

สตูดิโออัลบัมที่สองของสวิฟต์ชื่อ เฟียร์เลส วางจำหน่ายวันที่ 11 พฤศจิกายน ค.ศ. 2008[36] ซิงเกิลนำ "เลิฟสตอรี" ออกจำหน่ายในเดือนกันยายน ค.ศ. 2008 ขึ้นสูงสุดอันดับที่สี่บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[55] และอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย[56] มีซิงเกิลออกจำหน่ายอีกสี่ซิงเกิลตลอด ค.ศ. 2008–2009 ได้แก่ "ไวต์ฮอร์ส" "ยูบีลองวิทมี" "ฟิฟทีน" และ "เฟียร์เลส" เพลง "ยูบีลองวิทมี" เป็นซิงเกิลที่ขึ้นอันดับสูงที่สุดในอัลบัม ขึ้นถึงอันดับที่สองบนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[57] อัลบัมเปิดตัวที่อันดับหนึ่งบนชาร์ตบิลบอร์ด 200 เป็นอัลบัมที่ขายดีที่สุดในสหรัฐใน ค.ศ. 2009[58] สวิฟต์ออกทัวร์ของตนเองครั้งแรกส่งเสริมอัลบัมเฟียร์เลส ในทัวร์ชื่อเฟียร์เลสทัวร์[59] ทำรายได้ได้มากกว่า 63 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[60] ภาพยนตร์คอนเสิร์ต เทย์เลอร์ สวิฟต์: เจอร์นีย์ทูเฟียร์เลส ออกอากาศทางโทรทัศน์และจำหน่ายเป็นดีวีดีและบลูเรย์[61] สวิฟต์ยังแสดงรับเชิญในทัวร์ชื่อ เอสเคปทูเก็ตเทอร์เวิลด์ทัวร์ ของคีท เออร์เบิน[62]

Thumb
ภาพถ่ายในงานเปิดตัวภาพยนตร์แฮนนาห์ มอนทานา: เดอะมูฟวี สวิฟต์ปรากฏตัวในภาพยนตร์ และอัดเพลงประกอบสองเพลง[63][64]

ใน ค.ศ. 2009 มิวสิกวิดีโอเพลง "ยูบีลองวิทมี" ได้รางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ สาขาศิลปินหญิงยอดเยี่ยม[65] ขณะเธอกล่าวรับรางวัล แร็ปเปอร์ คานเย เวสต์ เข้ามาขัดจังหวะ[66] เหตุการณ์ดังกล่าวได้รับความสนใจจากสื่อบ่อยครั้ง ทำให้เกิดอินเทอร์เน็ตมีม[67] เจมส์ มอนต์โกเมอรี จากเอ็มทีวีเถียงว่า เหตุการณ์ดังกล่าวและความสนใจจากสื่อทำให้สวิฟต์กลายเป็น "คนดังตามกระแสอย่างแท้จริง"[68] ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 5 รางวัล รวมถึงรางวัลสาขาศิลปินแห่งปี และอัลบัมเพลงคันทรีชมเชย[69] บิลบอร์ดแต่งตั้งให้เธอเป็นศิลปินแห่ง ค.ศ. 2009[70] อัลบัมติดอันดับ 99 ในรายชื่ออัลบัมเพลงผู้หญิงยอดเยี่ยม จัดอันดับโดยเอ็นพีอาร์[71]

ใน ค.ศ. 2010 สวิฟต์ได้รับรางวัลมากมายจากอัลบัมเฟียร์เลส ในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 52 เฟียร์เลสได้รางวัลอัลบัมแห่งปี และอัลบัมเพลงคันทรียอดเยี่ยม ขณะที่เพลง "ไวต์ฮอร์ส" ได้รางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และการแสดงเพลงคันทรีหญิงยอดเยี่ยม เธอเป็นศิลปินที่อายุน้อยที่สุดที่ได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปี[72] ในงาน สวิฟต์ร้องเพลง "ยูบีลองวิทมี" และ "รีแอนนอน" กับสตีวี นิกส์ การแสดงของเธอได้รับคำวิจารณ์และปฏิกิริยาที่ไม่ดีจากสื่อ[68][73] จอน คารามานิกาจากเดอะนิวยอร์กไทมส์เห็นว่า "น่าชื่นใจที่เห็นคนบางคนมีพรสวรรค์จนบางครั้งก็มีผิดพลาดบ้าง" และพูดถึงสวิฟต์ว่าเป็น "ดาราป็อปคนสำคัญที่สุดคนใหม่ในรอบหลายปี"[74] สวิฟต์เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดที่สมาคมดนตรีคันทรีแต่งตั้งเป็นผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี[75] อัลบัมเฟียร์เลสได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปีจากสมาคมดังกล่าวด้วย[76]

สวิฟต์ร้องเบื้องหลังให้เพลง "ฮาล์ฟออฟมายฮาร์ต" ของจอห์น เมเยอร์ เป็นซิงเกิลจากอัลบัมที่สี่ แบตเทิลสตัดดีส์ (2009)[77] เธอร่วมแต่งและอัดเพลง "เบสต์เดส์ออฟยัวร์ไลฟ์" กับเคลลี พิกเลอร์[78] และร่วมแต่งเพลงประกอบภาพยนตร์แฮนนาห์ มอนทานา: เดอะมูฟวี สองเพลง ได้แก่ "ยูลออลเวส์ไฟนด์ยัวร์เวย์แบ็กโฮม" และ "เครซีเออร์"[64] สวิฟต์ร้องเพลงให้ซิงเกิล "ทูอิสเบ็ตเทอร์แดนวัน" ของบอยส์ไลก์เกิลส์ แต่งโดยมาร์ติน จอห์นสัน[79] เธอร้องเพลงประกอบภาพยนตร์วาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก หนึ่งในนั้นคือเพลง "ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล" กลายเป็นเพลงแรกที่ติดอันดับหนึ่งบนชาร์ตคะเนเดียนฮอต 100 [80][81] ขณะถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องวาเลนไทน์เดย์ หวานฉ่ำ วันรักก้องโลก ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2009 เธอเริ่มคบหากับนักแสดง เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์ แต่เลิกรากันในปีเดียวกัน[82][83] ภาพยนตร์รักตลกเรื่องดังกล่างออกฉายในปีต่อมา เธอแสดงเป็นแฟนสาวทึ่มของหนุ่มบ้านนอกนักเรียนไฮสกูล บทบาทที่ลอสแอนเจลิสไทมส์มองเห็น "ศักยภาพที่ทำให้ดูตลกอย่างจริงจัง"[84] ในบทสัมภาษณ์บทหนึ่ง นิตยสารวาไรตีมองว่าเธอ "ไม่ได้ถูกชี้นำชัดเจน" และแย้งว่า "เธอต้องหาผู้กำกับที่มีความสามารถคอยจำกัดขอบเขตพลังการแสดงที่มีมากเกินไป"[85]

สวิฟต์เริ่มงานแสดงในซีรีส์ ซีเอสไอ: ไครม์ซีนอินเวสติเกชัน ทางช่องซีบีเอส ตอนหนึ่งใน ค.ศ. 2009 รับบทเป็นวัยรุ่นหัวรั้น[86] เดอะนิวยอร์กไทมส์กล่าวว่าตัวละครดังกล่าวทำให้สวิฟต์ดู "ซนเล็กน้อย และซนอย่างเหลือเชื่อ"[87] ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์เป็นทั้งพิธีกรและเป็นแขกรับเชิญตอนหนึ่งในรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์[88] เอนเตอร์เทนเมนต์วีกลีพูดถึงเธอว่า "เป็นพิธีกรรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์ที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้เลย" จากที่เธอ "ดูท้าทายอยู่เสมอ ดูเหมือนจะสนุกสนาน และทำให้นักแสดงที่เหลือเล่นมุกตลกได้หลายมุก" ในปีเดียวกันนั้น สวิฟต์คบหากับนักแสดง เจค จิลเลินฮาล เป็นช่วงสั้น ๆ[89]

ค.ศ. 2010–2014 : อัลบัมสปีกนาว และ เรด

ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2010 สวิฟต์ออกเพลง "ไมน์" ซิงเกิลแรกจากอัลบัมที่สามชื่อ สปีกนาว เข้าชาร์ตที่สหรัฐอันดับที่สาม ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนที่สอง (ถัดจากมารายห์ แครี) ในประวัติศาสตร์ของชาร์ตฮอต 100 ที่เปิดตัวที่ห้าอันดับแรกถึงสองเพลงในปีเดียวกัน อีกเพลงหนึ่งคือ "ทูเดย์วอสอะเฟรีเทล"[90] สวิฟต์แต่งเพลงในอัลบัมเองและร่วมผลิตทุกเพลง[91] อัลบัมสปีกนาว วางจำหน่ายวันที่ 25 ตุลาคม ค.ศ. 2010 ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ เปิดตัวที่อันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 กลายเป็นอัลบัมที่ 16 ในประวัติศาสตร์สหรัฐที่มียอดขายถึง 1 ล้านชุดในสัปดาห์แรก[92] อัลบัมทำลายสถิติ "อัลบัมดิจิทัลที่ขายได้เร็วที่สุดโดยศิลปินหญิง" ด้วยยอดดาวน์โหลด 278,000 ครั้งในหนึ่งสัปดาห์ สวิฟต์จึงมีชื่อบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ เธอยังได้รับบันทึกอีกหนึ่งหัวข้อหลังจากเพลงในอัลบัมสปีกนาว 10 เพลง เปิดตัวในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 เป็นศิลปินหญิงคนแรกที่ทำได้[93][94] ซิงเกิลสามซิงเกิล "ไมน์" "แบ็กทูดีเซมเบอร์" และ "มีน" ขึ้นถึงสิบอันดับแรกในแคนาดา[81]

เพลง "มีน" ชนะรางวัลเพลงคันทรียอดเยี่ยม และแสดงเดี่ยวเพลงคันทรียอดเยี่ยมในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 54[95] เธอยังแสดงเพลงนี้ในงานด้วย แคลร์ ซัดดาท จากนิตยสารไทม์รู้สึกว่าเธอ "กลับมาร้องเพลงตรงคีย์และเป็นการแก้ตัว"[96] และเจมี เดียร์เวสเตอร์จากยูเอสเอทูเดย์ กล่าวว่า คำตำหนิเธอเมื่อ ค.ศ. 2010 ทำให้เธอ "เป็นนักแต่งเพลงและนักร้องร้องสดที่ดีกว่าเดิม"[97] สวิฟต์ยังได้รับรางวัลอื่น ๆ กับอัลบัมสปีกนาว เช่น รางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินแห่งปี จากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์ (2010 และ 2011)[98][99] ผู้หญิงแห่งปี จากนิตยสารบิลบอร์ด (2011)[100] และผู้ให้ความบันเทิงแห่งปี จากโรงเรียนดนตรีคันทรี (2011 และ 2012)[101] และสมาคมดนตรีคันทรีใน ค.ศ. 2011[102] สวิฟต์ได้รับรางวัลศิลปินแห่งปีและอัลบัมเพลงคันทรีชมเชยจากงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2011[103] อัลบัมสปีกนาวรวมในรายชื่อ "อัลบัมเพลงผู้หญิง 50 อัลบัมยอดเยี่ยมตลอดกาล" ของนิตยสารโรลลิงสโตน เมื่อ ค.ศ. 2012 อยู่ในอันดับที่ 45 นิตยสารเขียนว่า "เพลงของเธออาจเปิดในคลื่นวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอเป็นหนึ่งในร็อกสตาร์ที่แท้จริงไม่กี่คนที่เรามีในเวลานี้ ที่มีหูกำหนดสิ่งที่ทำให้เพลงมีคุณภาพอย่างไร้ตำหนิ"[104]

Thumb
สวิฟต์แสดงระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต สปีกนาวเวิลด์ทัวร์ ใน ค.ศ. 2012

สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อสปีกนาวเวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2011 ถึงมีนาคม ค.ศ. 2012 และทำรายได้ได้มากกว่า 123 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[105] ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2011 สวิฟต์ออกอัลบัมบันทึกการแสดงสด สปีกนาวเวิลด์ทัวร์: ไลฟ์[106] เดือนต่อมา สวิฟต์ร้องเพลงประกอบภาพยนตร์เกมล่าเกม "เซฟแอนด์ซาวด์" ร่วมแต่งและอัดเสียงกับเดอะซีวิลวอส์ และทีโบน เบอร์เน็ตต์ และเพลง "อายส์โอเพน" เพลง "เซฟแอนด์ซาวด์" ได้รับรางวัลแกรมมีสาขาเพลงที่แต่งประกอบสื่อภาพยนตร์ยอดเยี่ยม[107] หลังจากร้องเพลง "โบทออฟอัส" ให้แก่บี.โอ.บี. ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2012[108] สวิฟต์คบหากับทายาทนักการเมือง คอเนอร์ เคนเนดี ตั้งแต่เดือนกรกฎาคมถึงกันยายน ค.ศ. 2012[109] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ออกซิงเกิล "วีอาร์เนเวอร์เอเวอร์เกตติงแบ็กทูเกเตอร์" และเป็นซิงเกิลนำจากสตูดิโออัลบัมที่สี่ เรด ซิงเกิลประสบความสำเร็จในต่างประเทศ กลายเป็นซิงเกิลอันดับหนึ่งเพลงแรกในสหรัฐและนิวซีแลนด์[110][111] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งบนไอทูนส์หลังเพลงออกได้ 50 นาที เป็น "ซิงเกิลที่ขายได้เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์เพลงดิจิทัล" บันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์[112] จากนั้นสวิฟต์ออกซิงเกิลที่สอง "บีกินอะเกน" ในเดือนตุลาคม เพลงขึ้นอันดับที่เจ็ดในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[113] และได้เข้าชิงรางวัลแกรมมี[113] ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบัมออกตามมา ได้แก่ "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" "22" "เอเวอรีติงแฮสเชนจด์" "เดอะลาสต์ไทม์" และ "เรด" ซิงเกิล "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล" ประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์ครั้งใหญ่[114] ขึ้นอันดับที่สองในสหรัฐ[113]

อัลบัมเรดเป็นจุดเปลี่ยนแปลงแนวเพลงของสวิฟต์[36] โดยเธอทดลองแนวเพลงฮาร์ตแลนด์ร็อก ดั๊บสเตป และแดนซ์ป็อป[12] อัลบัมออกจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2012 ประสบความสำเร็จในด้านคำวิจารณ์และเชิงพาณิชย์ อัลบัมเปิดตัวอันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายสัปดาห์แรก 1.21 ล้านชุด เป็นยอดขายเปิดอัลบัมที่สูงที่สุดในทศวรรษ และทำให้สวิฟต์เป็นผู้หญิงคนแรกที่มีอัลบัมขายสัปดาห์แรกได้ถึงล้านชุดถึงสองอัลบัม บันทึกโดยบันทึกสถิติโลกกินเนสส์[115][116] ในการส่งเสริมอัลบัม สวิฟต์เริ่มทัวร์ชื่อ เดอะเรดทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม ค.ศ. 2013 ถึงมิถุนายน ค.ศ. 2014 และทำรายได้ได้มากกว่า 150 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[117] อัลบัมเรดได้รับรางวัลหลายรางวัล ได้แก่ เข้าชิงรางวัลแกรมมีในงานประกาศรางวัลแกรมมีครั้งที่ 56 จำนวน 4 รางวัล[118] ซิงเกิล "ไอนูว์ยูเวอร์ทรับเบิล ได้รับรางวัลวิดีโอผู้หญิงยอดเยี่ยม" จากงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2013[119] สวิฟต์ได้ชื่อว่าศิลปินคันทรีหญิงยอดเยี่ยมในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2012 และศิลปินแห่งปีในงานของ ค.ศ. 2013[120][121] สมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์มอบรางวัลนักแต่งเพลง/ศิลปินให้สวิฟต์ติดต่อกันเป็นปีที่ห้าและหกใน ค.ศ. 2012 และ 2013 ตามลำดับ[122] สวิฟต์ยังได้รับรางวัล พินนาเคิลอะวอร์ด จากสมาคม สำหรับความสำเร็จระดับ "ไม่เหมือนใคร" สวิฟต์เป็นผู้รับรางวัลดังกล่าวเป็นคนที่สองถัดจากการ์ท บรุกส์[123]

ใน ค.ศ. 2013 สวิฟต์ร่วมแต่งเพลง "สวีเทอร์แดนฟิกชัน" กับแจ็ก แอนโตนอฟฟ์ ประกอบภาพยนตร์เรื่องขอสักครั้งให้ดังเป็นพลุแตก และได้เข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำครั้งที่ 71 สาขาเพลงประกอบยอดเยี่ยม[124] เธอร้องรับเชิญให้แม็กกรอว์ ในเพลง "ไฮเวย์โดนต์แคร์" บรรเลงกีตาร์โดยคีท เออร์เบิน[125] สวิฟต์ร้องเพลง "แอสเทียส์โกบาย" กับเดอะโรลลิงสโตนส์ ที่ชิคาโก รัฐอิลลินอยส์ในทัวร์ชื่อ 50 แอนด์เคาน์ติง[126] ต่อมาเธอกล่าวว่าวงนี้มีอิทธิพลหลักต่อภาพลักษณ์งานเพลงของเธอ[127] เธอแสดงกับฟลอริดาจอร์เจียไลน์ในงานคันทรีเรดิโอเซมินาร์ 2013 ในเพลง "ครูส"[128] นอกจากร้องเพลง สวิฟต์พากย์เสียงให้ออเดรย์ คนรักต้นไม้ ในภาพยนตร์แอนิเมชัน คุณปู่โลแรกซ์ มหัศจรรย์ป่าสีรุ้ง[129] ปรากฏในซิตคอม นิวเกิร์ล (2013)[130] เล่นบทรองในภาพยนตร์ พลังพลิกโลก (2014)[131] ในระหว่างนี้ เธอคบหากับนักร้องชาวบริติช แฮร์รี สไตลส์[132]

ค.ศ. 2014–2018 : 1989 และ เรพิวเทชัน

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 สวิฟต์ย้ายมาอาศัยที่แมนฮัตตัน นครนิวยอร์ก[133] ช่วงนี้เธอกำลังทำสตูดิโออัลบัมที่ห้า 1989 ร่วมกับนักแต่งเพลง แอนโทนอฟฟ์ มาร์ติน เชลล์แบ็ก อิโมเจน ฮีป ไรอัน เท็ดเดอร์ และอาลี พายามี[134] สวิฟต์ส่งเสริมอัลบัมผ่านโครงการรณรงค์ต่าง ๆ รวมถึงการเชิญชวนแฟนเพลงให้มาฟังเพลงในอัลบัมแบบลับ ๆ เรียกว่า "1989 ซีเคร็ตเซสชัน" ด้วย[135] อัลบัมดูแตกต่างจากอัลบัมเพลงคันทรีชุดก่อนหน้า สวิฟต์ยกให้เป็น "อัลบัมแรกที่ถูกบันทึกให้เป็นอัลบัมเพลงป็อปอย่างเป็นทางการ"[136] อัลบัมวางจำหน่ายในวันที่ 27 ตุลาคม ค.ศ. 2014 ได้รับคำวิจารณ์ด้านบวกมากมาย[36][137] อัลบัม 1989 ขายได้ 1.28 ล้านชุดในสหรัฐในสัปดาห์แรกที่วางจำหน่าย และเปิดตัวสูงสุดในชาร์ตบิลบอร์ด 200 ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนแรกที่มีอัลบัมที่ขายในสัปดาห์แรกเกินหนึ่งล้านชุดถึงสามอัลบัม ทำให้เธอได้รับการบันทึกในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์[138][139] นับถึงเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 อัลบัม 1989 ขายได้มากกว่า 10 ล้านชุดทั่วโลก[140] ซิงเกิลนำของอัลบัม "เชกอิตออฟ" จำหน่ายในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2014 และเปิดตัวที่อันดับหนึ่งในชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[141] ซิงเกิลอื่น ๆ ประกอบด้วยซิงเกิลอันดับหนึ่งได้แก่ "แบลงก์สเปซ" "แบดบลัด" (ร้องรับเชิญโดยเคนดริก ลามาร์) และซิงเกิลที่ขึ้นสิบอันดับแรก ได้แก่ "สไตล์" และ "ไวล์ดิสต์ดรีมส์" และมีซิงเกิล "เอาต์ออฟเดอะวุดส์" และ "นิวโรแมนติกส์"[142] "เชกอิตออฟ" "แบลงก์สเปซ" และ "แบดบลัด" ติดอันดันหนึ่งในออสเตรเลียและแคนาดาด้วย[56][81] หลังจากเพลง "แบลงก์สเปซ" ขึ้นอันดับหนึ่งในสหรัฐตามเพลง "เชกอิตออฟ" สวิฟต์กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่มีเพลงอันดันหนึ่งแทนที่เพลงของตนเองในประวัติศาสตร์ชาร์ตฮอต 100[143] มิวสิกวิดีโอเพลง "แบลงก์สเปซ" เคยเป็นวิดีโอที่มียอดผู้ชมขึ้นถึงหนึ่งพันล้านครั้งเร็วที่สุดในวีโว[144] "แบลงก์สเปซ" และวิดีโอเพลง "แบดบลัด" ได้รับรางวัลสี่รางวัลที่งานเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2015 โดยเพลง "แบดบลัด" ได้รับรางวัลวิดีโอแห่งปี และเพลงร่วมขับร้องยอดเยี่ยมด้วย[145] ในทัวร์เดอะ 1989 เวิลด์ทัวร์ เริ่มตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงธันวาคม ค.ศ. 2015 ทัวร์ยังคงทำรายได้ต่อไปได้ถึง 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนึ่งในทัวร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในทศวรรษ[146]

Thumb
สวิฟต์ระหว่างทัวร์คอนเสิร์ต 1989 เวิลด์ทัวร์ ทำรายได้ได้ 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนึ่งในทัวร์คอนเสิร์ตที่มีรายได้สูงที่สุดในทศวรรษ

ก่อนออกอัลบัม 1989 สวิฟต์เน้นเกี่ยวกับความสำคัญของอัลบัมเพลงที่มีต่อศิลปินและแฟนเพลง[147] และในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2014 เธอลบเพลงทั้งอัลบัมออกจากสปอทิฟาย โดยแย้งว่าบริการฟรีที่มีโฆษณาสนับสนุนของบริษัทสตรีมมิงบ่อนทำลายบริการระดับพรีเมียมที่ให้ค่าลิขสิทธิ์กับนักแต่งเพลงมากกว่า[148] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 สวิฟต์ตำหนิแอปเปิลมิวสิกผ่านจดหมาย เนื่องจากไม่จ่ายค่าลิขสิทธิ์แก่ศิลปินระหว่างบริการสตรีมมิงในช่วงทดลองฟรีสามเดือน และกล่าวว่าเธอจะถอดอัลบัม 1989 ออกจากรายการ[149] วันถัดมา แอปเปิลประกาศว่าพวกเขาจะจ่ายเงินให้ศิลปินในช่วงทดลองฟรี[150] สวิฟต์จึงยอมให้สตรีมอัลบัม 1989 ในบริการสตรีมอีกครั้ง[151] บริษัทที่ดูแลการจัดการสิทธิในทรัพย์สินทางปัญญาของสวิฟต์ชื่อ ทีเอเอสไรส์แมเนจเมนต์ ฟ้องเครื่องหมายการค้า 73 รายการที่เกี่ยวข้องกับตัวนักร้องเองและมีมต่าง ๆ จากอัลบัม 1989[152] เธอกลับมาเพิ่มเพลงทั้งหมดมาใส่ในสปอติฟาย อเมซอนมิวสิก และกูเกิล เพลย์ ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017[153]

สวิฟต์ได้เป็นผู้หญิงแห่งปีของนิตยสารบิลบอร์ดใน ค.ศ. 2014 กลายเป็นศิลปินคนแรกที่ได้ชื่อนี้ถึงสองครั้ง[154] ในปีเดียวกันนั้น เธอได้รับรางวัลดิก คลาร์ก อะวอร์ดสำหรับความดีเลิศที่งานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอดส์[155] ที่งานประกาศรางวัลแกรมมี 2015 "เชกอิตออฟ" ได้เข้าชิงสามรางวัล รวมถึงรางวัลแผ่นเสียงแห่งปี และเพลงแห่งปี ขณะที่ในงานประกาศรางวัลบริตอะวอดส์ 2015 สวิฟต์ได้รับรางวัลบริตอะวอดส์สาขาศิลปินเดี่ยวหญิงต่างชาติ[156][157] สวิฟต์เป็นหนึ่งในแปดศิลปินที่ได้รับรางวัลครบรอบ 50 ปีของอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ใน ค.ศ. 2015[158] ใน ค.ศ. 2016 สวิฟต์ได้รับรางวัลแกรมมีสามรางวัลจากอัลบัม 1989 ได้แก่ อัลบัมแห่งปี อัลบัมเพลงป็อปยอดเยี่ยม และมิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม จากเพลง "แบดบลัด" เธอเป็นผู้หญิงคนแรกและเป็นศิลปินคนที่ห้าจากทั้งหมดที่ได้รับรางวัลอัลบัมแห่งปีถึงสองครั้ง[159]

ในเดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 สวิฟต์เริ่มคบหากับดีเจและโปรดิวเซอร์เพลงชาวสก็อต แคลวิน แฮร์ริส[160] ก่อนเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2015 ทั้งคู่ได้รับการจัดให้เป็นคู่รักคนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุดในรอบปีโดยนิตยสารฟอบส์ โดยมีรายได้รวมกันมากกว่า 146 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[161] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์กล่าวว่าแม่ของเธอตรวจพบมะเร็ง และเชิญชวนให้ทุกคนเข้ารับการตรวจสุขภาพทั่วไป[162] ก่อนสวิฟต์กับแฮร์ริสประกาศจบความสัมพันธ์ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2016[163] ทั้งคู่ร่วมแต่งเพลง "ดิสอิสวอตยูเคมฟอร์" (ร้องรับเชิญโดยรีแอนนา) ซึ่งมีชื่อเธอระบุในนามแฝงว่า Nils Sjöberg[164] ในเดือนตุลาคม เธอแต่งเพลง "เบตเทอร์แมน" ให้วงลิตเทิลบิกทาวน์ ให้แก่อัลบัมที่เจ็ด เดอะเบรกเกอร์[165] สองเดือนต่อมา สวิฟต์และเซย์น แมลิก ออกซิงเกิลร่วมกันชื่อ "ไอโดนต์วอนนาลิฟฟอร์เอฟเวอร์" เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ ฟิฟตีเชดส์ดาร์กเกอร์ (2017)[166] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในประเทศสวีเดน และอันดับสองในสหรัฐ[167][168] ในงานประกาศรางวัลเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2017 ทั้งคู่ได้รับรางวัลร่วมขับร้องเพลงยอดเยี่ยมจากมิวสิกวิดีโอเพลงดังกล่าว[169] ต้น ค.ศ. 2017 สวิฟต์คบหากับนักแสดงชาวอังกฤษ โจ อัลวิน[170] ในเดือนสิงหาคม สวิฟต์ฟ้องร้องและชนะคดีแพ่งต่อเดวิด มูเอลเลอร์ อดีตนักจัดรายการวิทยุคลื่นไคโกเอฟเอ็ม ใน ค.ศ. 2013 สวิฟต์เคยชี้แจงหัวหน้าของมูเอลเลอร์ว่าเขาเคยล่วงละเมิดเธอโดยการลูบคลำตัวเธอในงานงานหนึ่ง หลังจากเขาถูกไล่ออก มูเอลเลอร์กล่าวหาเธอว่าโกหกและฟ้องร้องเธอจากเหตุที่ทำให้เขาตกงาน หลังจากนั้นไม่นาน สวิฟต์ฟ้องร้องกลับคดีละเมิดทางเพศ ผู้พิพากษาปฏิเสธข้อเรียกร้องของเขาและยกผลประโยชน์ให้สวิฟต์[171] ในเดือนเดียวกันนั้น สวิฟต์ล้างบัญชีสื่อสังคมของเธอทั้งหมด[172] และออกซิงเกิล "ลุกวอตยูเมดมีดู" เป็นซิงเกิลแรกจากอัลบั้มที่หก เรพิวเทชัน[173] เพลงขึ้นอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ สหราชอาณาจักร และสหรัฐ[174][175] มิวสิกวิดีโอในยูทูบมีผู้ชมมากกว่า 43.2 ล้านครั้งในวันแรก ทำลายสถิติมิวสิกวิดีโอที่มีผู้ชมมากที่สุดภายใน 24 ชั่วโมง[176] ในเดือนตุลาคม สวิฟต์ออกซิงเกิลที่สองจากอัลบั้ม "เรดีฟอร์อิต"[177] เพลงขึ้นอันดับที่สามในออสเตรเลีย และอันดับที่สี่ในสหรัฐ[178][175]

Thumb
สวิฟต์แสดงเรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2018

อัลบั้มวางจำหน่ายในวันที่ 10 พฤศจิกายน และขายได้ 1.216 ล้านหน่วยภายในสี่วันในสหรัฐ กลายเป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในประเทศใน ค.ศ. 2017 และขายได้ 2 ล้านชุดทั่วโลกในสัปดาห์แรก[179] ด้วยความสำเร็จนี้ ทำให้เธอเป็นศิลปินคนแรกที่มีอัลบั้มขายได้มากกว่าหนึ่งล้านอัลบั้มในสัปดาห์แรกในสหรัฐถึงสี่อัลบั้ม[180] อัลบั้มขึ้นอันดับหนึ่งในหลายประเทศ เช่น สหรัฐ สหราชอาณาจักร แคนาดา และออสเตรเลีย[181][182] หลังจากนั้น สวิฟต์แสดงเพลง "เรดีฟอร์อิต" และ "คอลอิตวอตยูวอนต์" ในรายการแซเทอร์เดย์ไนต์ไลฟ์[183] "เอนด์เกม" ร้องรับเชิญโดยเอ็ด ชีแรน และฟิวเชอร์ ตามมาเป็นซิงเกิลที่สามในเดือนพฤศจิกายน และขึ้นสูงสุดที่อันดับ 18 ในสหรัฐ[184] ซิงเกิลอื่น ๆ จากอัลบั้ม ได้แก่ "นิวเยียส์เดย์" และ "เดลิเคต" เพลง "นิวเยียส์เดย์" ถูกเปิดตามสถานีวิทยุเพลงคันทรี[185]

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 2018 มีการยืนยันว่าสวิฟต์จะร้องรับเชิญในเพลง "เบบ" ของชูการ์แลนด์ จากอัลบั้ม บิกเกอร์ [a] สวิฟต์ทัวร์คอนเสิร์ตในชื่อ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เรพิวเทชันสเตเดียมทัวร์ ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2018 เพื่อส่งเสริมอัลบั้มเรพิวเทชัน[187] ทัวร์ทำลายสถิติยอดผู้ชมและรายได้จากหลายสถานที่ในสหรัฐ ทำรายได้ได้ 266.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขายบัตรได้มากกว่าสองล้านใบ สวิฟต์ทำลายสถิติของตนเองในฐานะผู้หญิงที่ทัวร์ในประเทศได้รายได้สูงที่สุด รายได้ทั่วโลกอยู่ที่ 345.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[188] เป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่มีรายได้สูงที่สุดอันดับสองของปี[189] ในงานประกาศรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด 2018 สวิฟต์ได้รับรางวัลทัวร์แห่งปีจากทัวร์ล่าสุด ศิลปินแห่งปี ศิลปินป็อป/ร็อกหญิงชมเชย และอัลบั้มเพลงป็อป/ร็อกชมเชยจากอัลบั้มเรพิวเทชัน จากจำนวนรางวัล 23 รางวัล สวิฟต์จึงเป็นผู้ชนะรางวัลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของรางวัลอเมริกันมิวสิกอะวอร์ด สถิติเดิมคือวิตนีย์ ฮิวสตัน[190]

ค.ศ. 2018–2020: เลิฟเวอร์, โฟล์กลอร์ และ เอฟเวอร์มอร์

ในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2018 เธอเซ็นสัญญากับค่ายยูนิเวอร์แซลมิวสิกกรุป ซึ่งทำให้ผลงานอัลบั้มต่อมาของเธอได้รับการโปรโมตภายใต้ชื่อรีพับลิกเรเคิดส์[191] ข้อตกลงฉบับนี้ระบุให้สวิฟต์ยังคงเป็นเจ้าของมาสเตอร์เสียงของตัวเอง และในกรณีที่ยูนิเวอร์แซลขายหุ้นบางส่วนในสปอทิฟาย บริษัทตกลงจะแบ่งรายได้ส่วนหนึ่งให้กับศิลปินในสังกัด โดยไม่หักลบกลบหนี้ใด ๆ ทั้งสิ้น[192][193]

Thumb
สวิฟต์ในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2019 ซึ่งเธอได้ชื่อว่าศิลปินแห่งทศวรรษ

อัลบั้มแรกของเทย์เลอร์ สวิฟต์ภายใต้ค่ายรีพับลิกเรเคิดส์ คือ เลิฟเวอร์ ซึ่งออกวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม ปี ค.ศ. 2019[194] โดยเธอร่วมทำอัลบั้มนี้กับแอนโทนอฟฟ์ ลุยส์ เบลล์ แฟรงก์ ดู๊กส์ และโจเอล ลิตเทิล[195] เลิฟเวอร์ ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตในหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย แคนาดา ไอร์แลนด์ เม็กซิโก นอร์เวย์ สวีเดน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกา[196] อัลบั้มนี้มีซิงเกิลทั้งหมด 5 เพลง ได้แก่ "มี!", "ยูนีดทูคาล์มดาวน์", "เลิฟเวอร์", "เดอะแมน" และ "ครูลซัมเมอร์" ซึ่งสองเพลงแรกขึ้นสูงสุดที่อันดับ 2 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ส่วน "ครูลซัมเมอร์" กลายเป็นเพลงฮิตอีกครั้งในปี ค.ศ. 2023 และขึ้นอันดับ 1 ได้สำเร็จ[197] เลิฟเวอร์ เป็นอัลบั้มที่ขายดีที่สุดในสหรัฐอเมริกา ปี ค.ศ. 2019 และเป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดของศิลปินเดี่ยวทั่วโลกในปีเดียวกัน[198] อัลบั้มและซิงเกิลจากอัลบั้มนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิง 3 รางวัลในงานประกาศรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 62 ปี ค.ศ. 2020[199] นอกจากนี้ ในงาน เอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ 2019 สวิฟต์คว้ารางวัล 3 รางวัล รวมถึงวิดีโอแห่งปีจากเพลง "ยูนีดทูคาล์มดาวน์" ทำให้เธอกลายเป็นศิลปินหญิงคนแรก และเป็นศิลปินคนที่สองโดยรวมที่ชนะรางวัลในสาขานี้จากมิวสิกวิดีโอที่กำกับเอง[200]

ขณะโปรโมตอัลบั้มเลิฟเวอร์ ในปี ค.ศ. 2019 เทย์เลอร์ สวิฟต์เข้าไปพัวพันกับข้อพิพาทสาธารณะกับผู้จัดการศิลปินชื่อดัง สกูตเตอร์ บราวน์ หลังเขาเข้าซื้อกิจการของบิกแมชีนเรเคิดส์ ซึ่งรวมถึงสิทธิ์ในมาสเตอร์ของอัลบั้มเก่าทั้งหมดของเธอที่ออกกับค่ายนี้[201] สวิฟต์เปิดเผยว่าเธอเคยพยายามซื้อสิทธิ์ในมาสเตอร์เหล่านั้น แต่บิกแมชีนยื่นเงื่อนไขว่าเธอจะได้มาสเตอร์เก่าก็ต่อเมื่อยอมทำอัลบั้มใหม่หนึ่งชุดแลกกับอัลบั้มเก่าแต่ละชุดภายใต้สัญญาใหม่ ซึ่งเธอปฏิเสธที่จะลงนาม[201] ในเดือนพฤศจิกายน ปี ค.ศ. 2020 สวิฟต์เริ่มอัดเสียงใหม่ในผลงานชุดเก่าของตนเอง เพื่อให้เธอได้เป็นเจ้าของมาสเตอร์ชุดใหม่อย่างถูกต้อง และสามารถควบคุมการอนุญาตใช้งานเพลงในเชิงพาณิชย์ แทนที่มาสเตอร์ต้นฉบับที่เป็นของบิกแมชีน[202]

ในเดือนกุมภาพันธ์ ปี ค.ศ. 2020 เทย์เลอร์ สวิฟต์เซ็นสัญญาเผยแพร่ผลงานระดับโลกกับยูนิเวอร์แซลมิวสิกพับบลิชชิงกรุป หลังจากสัญญาเดิม 16 ปีของเธอกับโซนี/เอทีวีสิ้นสุดลง[203] ในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19 ปีเดียวกัน สวิฟต์สร้างความประหลาดใจด้วยการออกอัลบั้ม "พี่น้อง" สองชุด ได้แก่ โฟล์กลอร์ ในเดือนกรกฎาคม และ เอฟเวอร์มอร์ ในเดือนธันวาคม[204] ซึ่งเธอร่วมแต่งและโปรดิวซ์กับแอนโทนอฟฟ์ และแอรอน เดสเนอร์ โดยมีโจ อัลวิน ร่วมแต่งและทำบางเพลงภายใต้นามแฝงวิลเลียม บาวเวอรี[205] ทั้งสองอัลบั้มมีแนวเพลงอินดี้โฟล์กที่เรียบขรึม และแต่ละชุดมีซิงเกิลหลัก 3 เพลง ซึ่งมุ่งเจาะกลุ่มผู้ฟังแนวป๊อป คันทรี และวิทยุแนวทริปเปิลเอ ในสหรัฐ ได้แก่ "คาร์ดิแกน", "เบตตี" และ "เอกไซล์" จากอัลบั้มโฟล์กลอร์ และ "วิลโลว์", "โนบอดี, โนไครม์" และ "โคนีไอส์แลนด์" จากอัลบั้มเอฟเวอร์มอร์[206] โฟล์กลอร์เป็นอัลบั้มที่มียอดขายสูงสุดในสหรัฐอเมริกา ประจำปี ค.ศ. 2020[207] และเมื่อรวมกับเพลง "คาร์ดิแกน" ก็ทำให้สวิฟต์กลายเป็นศิลปินคนแรกที่เปิดตัวอัลบั้มและเพลงอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดของสหรัฐ ในสัปดาห์เดียวกัน ซึ่งเธอทำได้อีกครั้งกับเอฟเวอร์มอร์ และเพลง "วิลโลว์"[208]

ตามรายงานของบิลบอร์ด เทย์เลอร์ สวิฟต์เป็นนักดนตรีที่มีรายได้สูงที่สุดในสหรัฐฯ และเป็นศิลปินเดี่ยวที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกประจำปี ค.ศ. 2020[209] อัลบั้มโฟล์กลอร์ ทำให้สวิฟต์กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่คว้ารางวัลแกรมมี่ สาขาอัลบั้มแห่งปี ได้ถึง 3 ครั้ง โดยเธอได้รับรางวัลนี้ในงานประกาศรางวัลแกรมมี ครั้งที่ 63 เมื่อปี 2021[210] ในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2020 สวิฟต์คว้า 3 รางวัลในปี ค.ศ. 2020[211] รวมถึงศิลปินแห่งปี เป็นครั้งที่ 3 และในปี 2021[212] เธอได้รับรางวัลศิลปินหญิงยอดเยี่ยมสายป๊อป/ร็อก และอัลบั้มป๊อป/ร็อกยอดเยี่ยม ในด้านการแสดง สวิฟต์รับบทเป็นบอมบาลูรินา ในภาพยนตร์ดัดแปลงจากละครเวที แคตส์ (2019) ของแอนดรูว์ ลอยด์ เว็บเบอร์ ซึ่งเธอร่วมแต่งและร้องเพลงต้นฉบับ "บิวตีฟูลโกสต์" ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ[213][214] นอกจากนี้ ภาพยนตร์สารคดี มิสอเมริกานา ซึ่งบันทึกเรื่องราวบางช่วงในชีวิตและอาชีพของเธอ ก็เปิดตัวในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2020[215]

ค.ศ. 2021–2023: การบันทึกเสียงใหม่ และ มิดไนส์

การอัดเสียงใหม่ของสตูดิโออัลบั้มหกชุดแรกของเทย์เลอร์ สวิฟต์เริ่มต้นด้วย เฟียร์เลส (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) และ เรด (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) ซึ่งออกวางจำหน่ายในเดือนเมษายนและพฤศจิกายน ปี 2021 ตามลำดับ ทั้งสองอัลบั้มขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 โดย เฟียร์เลส (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) เป็นอัลบั้มที่อัดใหม่ชุดแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถขึ้นถึงอันดับสูงสุดนี้ได้[216] ซิงเกิลนำคือ "เลิฟสตอรี (เทเลอส์เวอร์ชัน)" ซึ่งทำให้สวิฟต์กลายเป็นศิลปินคนที่สองต่อจากดอลลี ฟาร์ตัน ที่มีทั้งเวอร์ชันต้นฉบับและเวอร์ชันที่อัดใหม่ของเพลงเดียวกันขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตฮอตเพลงคันทรี[217] ส่วนเรด (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) มีเพลงเด่นคือ "ออลทูเวล (10 มินิตเวอร์ชัน)" ซึ่งกลายเป็นเพลงที่มีความยาวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ที่สามารถขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 ได้สำเร็จ[218]

Thumb
สวิฟต์แสดงในปี ค.ศ. 2022

อัลบั้มสตูดิโอลำดับที่ 10 ชื่อว่า มิดไนส์ วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ปี 2022[219] โดยมีแนวดนตรีหลักเป็นอิเล็กโทรป๊อป[220] และซินธ์ป๊อปในสไตล์ที่เรียบขรึม[221] พร้อมผสมผสานองค์ประกอบของฮิปฮอป อาร์แอนด์บี และอิเล็กทรอนิกา[219][222] ในสหรัฐ มิดไนส์กลายเป็นอัลบั้มลำดับที่ 5 ของสวิฟต์ที่เปิดตัวอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 ด้วยยอดขายมากกว่าหนึ่งล้านชุดในสัปดาห์แรก และเพลงจากอัลบั้มนี้ นำโดยซิงเกิล "แอนตีฮีโร" ทำให้เธอกลายเป็นศิลปินคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ครองอันดับ 1 ถึง 10 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 พร้อมกัน[223] ในระดับโลก มิดไนส์ทำลายสถิติยอดสตรีมสูงสุดในหนึ่งวันและหนึ่งสัปดาห์บนสปอทิฟาย และขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตของอย่างน้อย 14 ประเทศ[224] ซิงเกิลอื่นจากอัลบั้ม ได้แก่ "ลาเวนเดอร์เฮซ" และ "คาร์มา" ต่างก็ขึ้นถึงอันดับ 2 บนบิลบอร์ดฮอต 100[225]

ตามรายงานของบิลบอร์ด เทย์เลอร์ สวิฟต์เป็นศิลปินเดี่ยวที่ทำรายได้สูงสุดในสหรัฐฯ และเป็นนักดนตรีที่มีรายได้สูงที่สุดในโลกประจำปี 2021[226][227] ในปี 2022 เธอคว้า 6 รางวัลจากเวทีอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ รวมถึงรางวัลศิลปินแห่งปี[228] บนเวทีเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ สวิฟต์ได้รับรางวัลวิดีโอแห่งปี ครั้งที่ 3 และ 4 จากภาพยนตร์สั้นเรื่อง ออลทูเวล: เดอะชอร์ตฟิล์ม ซึ่งเป็นภาพยนตร์สั้นที่เธอกำกับเองประกอบเพลง "ออลทูเวล (10 มินิตเวอร์ชัน)" ในปี 2022[229] และจากมิวสิกวิดีโอเพลง "แอนตีฮีโร" ในปี 2023[230] ในช่วงเวลาดังกล่าว สวิฟต์คว้า 3 รางวัลแกรมมี่ ได้แก่ มิวสิกวิดีโอยอดเยี่ยม จากออลทูเวล: เดอะชอร์ตฟิล์ม[231] อัลบั้มป๊อปร้องยอดเยี่ยม และอัลบั้มแห่งปีจากอัลบั้มมิดไนส์ ด้วยรางวัลอัลบั้มแห่งปีครั้งนี้ สวิฟต์กลายเป็นศิลปินคนแรกในประวัติศาสตร์ที่คว้ารางวัลนี้ถึง 4 ครั้งบนเวทีแกรมมี[232] อัลบั้มที่อัดเสียงใหม่ลำดับถัดไปของเทย์เลอร์ สวิฟต์ ได้แก่ สปีกนาว (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) และ 1989 (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนกรกฎาคมและตุลาคม ปี 2023 ตามลำดับ สปีกนาว (เทย์เลอร์เวอร์ชันทำให้สวิฟต์กลายเป็นศิลปินหญิงที่มีอัลบั้มขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ด 200 มากที่สุดในประวัติศาสตร์ (12 ชุด) แซงหน้าบาร์บรา สไตรแซนด์[233] ขณะที่ 1989 (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) กลายเป็นอัลบั้มที่หกของเธอที่มียอดขายเกินหนึ่งล้านชุดในสัปดาห์แรกในสหรัฐ และเป็นสัปดาห์ที่มียอดขายอัลบั้มสูงสุดในอาชีพของเธอ[234] ซิงเกิล "อิสอิตโอเวอร์นาว?" จาก 1989 (เทย์เลอร์เวอร์ชัน) ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100[235] นอกจากนี้ สวิฟต์ยังร่วมงานกับศิลปินหลายคนในช่วงปี 2021–2023 เช่น เพลง "เรเนเกด" และ "เบิร์ช" กับบิกเรดแมชีน (2021)[236] เพลง "แก๊สโซลีน" กับไฮม์ (2021)[237] เพลง "เดอะโจ๊กเกอร์และเดอะควีน" กับเอ็ด ชีแรน (2022)[238] เพลง "ดิอัลคอตต์" กับเดอะเนชันแนล (2023)[239] เธอยังแต่งและร้องเพลง "แคโรไลนา" ประกอบภาพยนตร์ แวร์เดอะครอว์แดดส์ซิง (2022) ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลเพลงประกอบยอดเยี่ยมจากเวทีลูกโลกทองคำ และเพลงที่แต่งให้วิดีทัศน์ยอดเยี่ยมจากงานรางวัลแกรมมี[240] ด้านการแสดง สวิฟต์รับบทสมทบในภาพยนตร์ตลกย้อนยุคเรื่องอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเข้าฉายในปี 2022[241]

ในปี 2023 เทย์เลอร์ สวิฟต์เป็นศิลปินที่มียอดสตรีมสูงสุดบนแพลตฟอร์มหลักทั้งสปอทิฟาย[242] แอปเปิลมิวสิก[243] และอเมซอนมิวสิก[244] เธอยังกลายเป็นศิลปินคนแรกที่ขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตสรุปยอดศิลปินแห่งปีของบิลบอร์ด ใน 3 ทศวรรษที่แตกต่างกัน ได้แก่ ปี 2009, 2015 และ 2023[245] นอกจากนี้ สวิฟต์ยังมีอัลบั้มถึง 5 ชุดจาก 10 อันดับอัลบั้มขายดีที่สุดในสหรัฐฯ ประจำปี 2023 ซึ่งถือเป็นสถิติใหม่ตั้งแต่บริษัทลูมิเนตเริ่มเก็บข้อมูลยอดขายเพลงในสหรัฐ ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1991[246]

ค.ศ. 2023–ปัจจุบัน: ดิเอราทัวร์ เดอะทอร์เชอด์โพอิตส์ดีพาร์ตเมนต์ การได้สิทธิ์ในผลงานอัลบั้มสตูดิโอทั้งหมด และ เดอะไลฟ์ออฟอะโชว์เกิร์ล

ในเดือนมีนาคม ปี 2023 สวิฟต์เริ่มทัวร์คอนเสิร์ต ดิเอราส์ทัวร์ ซึ่งเป็นทัวร์ที่ย้อนรำลึกผลงานจากอัลบั้มสตูดิโอทั้งหมดของเธอ สื่อต่าง ๆ รายงานอย่างกว้างขวางถึงผลกระทบทางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจในระดับโลกของทัวร์ครั้งนี้[247] ช่วงการแสดงในสหรัฐ สร้างสถิติขายบัตรได้มากที่สุดภายในวันเดียว[223] ขณะที่บริษัททิกเก็ตมาสเตอร์ถูกวิจารณ์อย่างหนักทั้งจากสาธารณะและการเมืองเรื่องการจัดการระบบจำหน่ายบัตรที่ผิดพลาด[248] ดิเอราส์ทัวร์กลายเป็นทัวร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงสุดในประวัติศาสตร์[249][250] ภาพยนตร์คอนเสิร์ต ซึ่งเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ทั่วโลกเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม ค.ศ. 2023 ทำรายได้ทั่วโลกกว่า 250 ล้านดอลลาร์ กลายเป็นภาพยนตร์คอนเสิร์ตที่ทำรายได้สูงที่สุด และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลลูกโลกทองคำ สาขา Cinematic and Box Office Achievement[251][252] หนังสือภาพ ดิเอราส์ทัวร์บุ๊ก วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 2024 และมียอดขายทะลุหนึ่งล้านเล่มภายในสัปดาห์แรกในสหรัฐเพียงประเทศเดียว[253]

Thumb
สวิฟต์ใน ดิเอราส์ทัวร์ ในปี ค.ศ. 2023

สตูดิโออัลบั้มลำดับที่สิบเอ็ดของสวิฟต์ชื่อว่า เดอะทอร์เชอด์โพอิตส์ดีพาร์ตเมนต์ วางจำหน่ายเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2024[254] และขึ้นอันดับ 1 บนชาร์ตทั่วโลก พร้อมทำลายสถิติมากมาย ได้แก่ เป็นอัลบั้มแรกในประวัติศาสตร์ที่มียอดสตรีมบนสปอทิฟายเกิน 1 พันล้านครั้งภายในสัปดาห์เดียว มียอดขายในสหรัฐ สัปดาห์แรกถึง 2.6 ล้านชุด ทำให้สวิฟต์เป็นศิลปินคนแรกที่ครองอันดับ 1 ถึง 14 บนชาร์ตบิลบอร์ดฮอต 100 พร้อมกัน และครอง 10 อันดับแรกบนชาร์ตอาเรียซิงเกิลส์ของออสเตรเลีย อัลบั้มนี้ใช้เวลาขึ้นอันดับ 1 บนบิลบอร์ด 200 ยาวนานถึง 17 สัปดาห์ ซึ่งนานที่สุดในอาชีพของเธอ ซิงเกิลนำ "ฟอร์ตไนต์" ที่ร่วมงานกับโพสต์ มาโลน ขึ้นอันดับ 1 บนบิลบอร์ดฮอต 100 กลายเป็นเพลงอันดับ 1 ลำดับที่ 12 ของสวิฟต์บนชาร์ตนี้[255][256][257]

หลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 สวิฟต์ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุดจากการออกผลงานเพลง การทัวร์คอนเสิร์ต และกิจกรรมอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง[258] โดยตั้งแต่ปี 2023 เป็นต้นมา ความนิยมของเธอพุ่งทะยานเกินกว่าที่เคยเป็น ทั้งจากความสำเร็จของอัลบั้มที่อัดใหม่ ดิเอราส์ทัวร์ ภาพยนตร์คอนเสิร์ต อัลบั้ม มิดไนส์ และ เดอะทอร์เชอด์โพอิตส์ดีพาร์ตเมนต์ ซึ่งส่งผลให้มูลค่าสินทรัพย์สุทธิของเธอเพิ่มขึ้นอย่างมาก เว็บไซต์มิวสิกบิสซิเนสเวิลด์ไวด์ ระบุว่านี่คือ "ระดับความสำเร็จทางอาชีพในระดับชั้นบรรยากาศใหม่" ของสวิฟต์ในเวทีระดับโลก[259][260] เธอกลับมาเป็นศิลปินที่มียอดสตรีมสูงสุดบนสปอทิฟายอีกครั้งในปี 2024[261][262] และในเดือนพฤษภาคม ปี 2025 สวิฟต์ได้ซื้อสิทธิ์มาสเตอร์ของอัลบั้มสตูดิโอ 6 ชุดแรกของเธอคืนจากบริษัทแชมร็อกโฮลดิงส์เป็นที่เรียบร้อย เธอเผยว่า เรพิวเทชัน (อัลบั้ม) จะไม่มีการอัดเสียงใหม่เป็น เทย์เลอร์เวอร์ชัน แต่จะมีการปล่อยเพลงจากตู้นิรภัยออกมาในภายหลัง ในขณะที่อัลบั้มสตูดิโอเปิดตัวในชื่อของเธอ เทย์เลอร์ สวิฟต์ (อัลบั้ม) กำลังอยู่ในขั้นตอนการอัดเสียง[263]เป็น เทย์เลอร์เวอร์ชัน[264]

เทย์เลอร์ สวิฟต์เริ่มออกเดทกับนักอเมริกันฟุตบอลชื่อดังทราวิส เคลซี ในปี 2023[265] ต่อมาในเดือนมกราคม ปี 2024 มีภาพลามกที่สร้างขึ้นด้วยปัญญาประดิษฐ์ โดยแสดงภาพของสวิฟต์ในบริบทเกี่ยวกับฟุตบอล ถูกเผยแพร่บนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ และแพร่กระจายไปยังโซเชียลมีเดียอื่น ๆ เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างรุนแรงและมีการเรียกร้องให้ปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้อง[266] ในเดือนกรกฎาคม 2024 สวิฟต์และเคลซีถูกขู่ฆ่าโดยผู้สะกดรอยตามรายหนึ่งในเมืองเกลเซนเคียร์เชิน ประเทศเยอรมนี[267] ขณะเดียวกันมีเหตุสะเทือนขวัญที่สหราชอาณาจักร เมื่อมีการโจมตีด้วยมีดในเวิร์กช็อปที่มีธีมเกี่ยวกับสวิฟต์ที่เมืองเซาท์พอร์ต ส่งผลให้เด็กสามคนเสียชีวิต และนำไปสู่ความไม่สงบในสังคมอังกฤษ[268] ในเดือนสิงหาคม คอนเสิร์ต ดิเอราส์ทัวร์ ทั้งสามรอบในกรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย ถูกยกเลิก หลังมีการจับกุมผู้ต้องสงสัยที่วางแผนก่อการร้ายโดยได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มรัฐอิสลาม (ISIS) แผนดังกล่าวถูกเปิดเผยโดยหน่วยข่าวกรองสหรัฐ และถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรียสกัดไว้ได้ทันเวลา[269]

ในเดือนสิงหาคม ปี 2025 สวิฟต์เปิดเผยสตูดิโออัลบั้มลำดับที่สิบสองของเธอชื่อว่า เดอะไลฟ์ออฟอะโชว์เกิร์ล ร่วมกับนักแต่งเพลง มาร์ติน เชลล์แบ็ก นับจากอัลบั้ม 1989 กำหนดวางจำหน่าย 3 ตุลาคม 2025 ซิงเกิลนำอัลบั้มในชื่อเดียวกันที่ร่วมงานกับ ซาบรินา คาร์เพนเทอร์ มีกำหนดปล่อยในวันเดียวกัน[270]

Remove ads

การเป็นศิลปิน

สรุป
มุมมอง

อิทธิพล

Thumb
Thumb
ชะไนยา ทเวน (ซ้าย) และ สตีวี นิกส์ (ขวา) มีอิทธิพลต่อสวิฟต์

ความทรงจำเกี่ยวกับดนตรีเรื่องหนึ่งที่สวิฟต์จำได้คือขณะฟังยาย มาร์จอรี ฟินเลย์ ร้องเพลงที่โบสถ์[2] เมื่อตอนเป็นเด็ก สวิฟต์ชอบฟังเพลงประกอบภาพยนตร์ของดิสนีย์ "พ่อแม่ของฉันสังเกตว่า เมื่อใดที่ฉันหมดคำพูด ฉันจะคิดคำพูดของตัวเองขึ้นมา"[271] สวิฟต์เคยกล่าวว่าแม่ของเธอทำให้เธอมีความมั่นใจ แม่ช่วยเธอเตรียมตัวนำเสนอหน้าชั้นเมื่อเธอเป็นเด็ก[272] เธอยังกล่าวว่าแม่ทำให้เธอ "หลงใหลในการเขียนและเล่าเรื่อง"[273] สวิฟต์ชอบเล่าเรื่องเกี่ยวกับดนตรีคันทรี[274] และได้รู้จักแนวเพลงนี้จาก "ศิลปินคันทรีหญิงยุค 1990" เช่น ชะไนยา ทเวน เฟธ ฮิลล์ และดิกซีชิกส์[275][276] ทเวนเป็นทั้งนักแต่งเพลงและนักร้อง และเป็นอิทธิพลที่สำคัญที่สุดของสวิฟต์[277] ฮิลล์เป็นบุคคลตัวอย่างของสวิฟต์ในวัยเด็ก "ทุกอย่างที่เธอพูด ทำ ชุดที่เธอใส่ ฉันพยายามเลียนแบบทั้งหมด"[278] เธอชื่นชมทัศนคติที่ชอบท้าทายของดิกซีชิกส์ และการที่วงเล่นเครื่องดนตรีของตนเอง[279] เพลง "คาวบอยเทกมีอะเวย์" เป็นเพลงแรกที่สวิฟต์ใช้หัดเล่นกีตาร์[280] สวิฟต์ยังตามฟังเพลงของนักร้องคันทรีเก่า ๆ เช่น แพตซี ไคลน์ ลอเร็ตตา ลินน์[13] ดอลลี พาร์ตัน และแทมมี ไวเน็ตต์[13][281] เธอเชื่อว่าพาร์ตันเป็น "ตัวอย่างที่น่าเหลือเชื่อให้แก่นักแต่งเพลงหญิงทุกคน"[282] เธอยกย่องศิลปินออลเทอร์นาทิฟคันทรี เช่น ไรอัน แอดัมส์[283] แพตตี กริฟฟิน[284] และลอรี แม็กเคนนา[4]

สวิฟต์ยกให้พอล แม็กคาร์ตนีย์ เดอะโรลลิงสโตนส์[127] บรูซ สปริงส์ทีน เอมมีลู แฮร์ริส คริส คริสตอฟเฟอร์สัน และคาร์ลี ไซมอน เป็นบุคคลตัวอย่างในอาชีพของเธอ "พวกเขาได้ลองเสี่ยงหลายครั้ง แต่พวกเขาก็ยังเป็นศิลปินคนเดิมตลอดอาชีพของเขา"[4][285] แม็กคาร์ตนีย์ ทั้งในนามเดอะบีเทิลส์และศิลปินเดี่ยว ทำให้สวิฟต์รู้สึก "ราวกับว่าฉันได้เข้าไปอยู่ในหัวใจและจิตใจของเขา... นักดนตรีคนไหน ๆ ก็ฝันถึงสิ่งสืบทอดเหล่านั้นได้"[286] เธอชื่นชมสปริงสทีนเพราะเขา "ยังคงมีความสำคัญอย่างยิ่งทางดนตรีแม้เวลาจะผ่านมานาน"[287] เธอต้องการเป็นอย่างแฮร์ริสเมื่อเธอแก่ตัวลง "มันไม่ได้เกี่ยวกับชื่อเสียง แต่มันเกี่ยวกับดนตรี"[288] สวิฟต์กล่าวว่า "[คริสตอฟเฟอร์สัน]โดดเด่นในเรื่องการแต่งเพลง เขาเป็นเพียงหนึ่งในกลุ่มคนที่อยู่ในธุรกิจนี้มาหลายปี แต่คุณบอกได้ว่ามันไม่ได้ทำลายเขาเลย"[289] เธอชื่นชม "การแต่งเพลงและความซื่อสัตย์" ของไซมอน "เธอเป็นที่รู้จักว่าเป็นคนเจ้าอารมณ์แต่เป็นคนที่แข็งแกร่งด้วย"[290]

สวิฟต์ยังได้รับอิทธิพลจากศิลปินแนวอื่น ๆ อีกมากมาย ช่วงก่อนวัยรุ่น เธอฟังศิลปินแนวบับเบิลกัมป็อป เช่น แฮนสัน และบริตนีย์ สเปียส์ สวิฟต์เคยกล่าวว่าเธอได้ "อุทิศตนอย่างแนวแน่" ให้สเปียส์[291][292] ในช่วงไฮสกูล สวิฟต์ฟังวงดนตรีร็อกหลายวง เช่น แดชบอร์ดคอนเฟชชันเนิล[293] ฟอลเอาต์บอย[294] และจิมมีอีตเวิลด์[295] เธอยังแสดงความชื่นชมนักร้องและนักแต่งเพลงร่วมสมัย เช่น มิเชลล์ แบรนช์[295] อลานิส มอริสเซตต์[296] แอชลี ซิมป์สัน[297] เฟเฟ ดอบสัน[295] และจัสติน ทิมเบอร์เลก[298] สวิฟต์กล่าวว่าเธอ "หลงใหล" ศิลปินยุค 1960 เช่น เดอะชิเรลส์ ดอริส ทรอย และเดอะบีชบอยส์ด้วย[299][300] อัลบัมที่ห้าของสวิฟต์ 1989 ซึ่งเป็นแนวป็อป ได้รับอิทธิพลจากศิลปินเพลงป็อปยุค 1980 เช่น แอนนี เลนนิกซ์ ฟิล คอลลินส์ และ "มาดอนน่า ยุคที่มีเพลงไลก์อะเพรเยอร์"[301]

แนวดนตรี

Thumb
กีตาร์ "เลส พอล" และไมโครโฟนไร้สายของสวิฟต์ ตั้งแสดงในห้องภาพศิลปินของพิพิธภัณฑ์มิวสิคัลอินสตรูเมนต์มิวเซียม ฟีนิกซ์ รัฐแอริโซนา

แนวเพลงของสวิฟต์เป็นแนวป็อป ป็อปร็อก และคันทรี[302] เธอตั้งตัวเองเป็นศิลปินคันทรีจนกระทั่งออกอัลบัม 1989 ใน ค.ศ. 2014 ซึ่งเธอบรรยายว่าเป็น "อัลบัมที่มีเพลงป็อปอยู่ติดกัน"[303] นิตยสารโรลลิงสโตนประเมินว่า "เพลงของ [สวิฟต์] อาจได้เปิดเพลงในสถานีวิทยุเพลงคันทรี แต่เธอเป็นร็อกสตาร์แท้ ๆ หนึ่งในไม่กี่คนที่เรามีในทุกวันนี้"[304] เดอะนิวยอร์กไทมส์กล่าวว่า "ในเพลงของสวิฟต์ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกถึงความคันทรีมากนัก มีเพียงเสียงแบนโจ ใส่รองเท้าบูทคาวบอยคู่หนึ่งบนเวที และกีตาร์ที่ทำให้ตาลายตัวหนึ่ง แต่มีบางอย่างในการสื่ออารมณ์ที่มีเสน่ห์และบอบบางในตัวสวิฟต์ที่เป็นเอกลักษณ์กับแนชวิลล์"[305] เดอะการ์เดียนเคยกล่าวว่า สวิฟต์ "ทำเมโลดีออกมาเร็วด้วยประสิทธิภาพของอุตสาหกรรมเพลงป็อปสแกนดิเนเวียนอย่างไร้ความสงสาร"[306]

เสียงร้องของสวิฟต์นั้น โซฟี ชิลลาชี จากเดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ บรรยายว่า "หวาน แต่นุ่มนวล"[307] ในระหว่างการอัดเสียงในสตูดิโอ หนังสือพิมพ์ลอสแอนเจลิสไทมส์นิยามเสียงร้องของสวิฟต์ว่า "เส้นร้องที่ไหลลงเหมือนกับเสียงถอนหายใจด้วยความพอใจ หรือไหลขึ้นเหมือนตอนเลิกคิ้ว ทำให้ความเป็นวัยสาวที่น่ารักของเธอชวนให้คุ้นเคยได้ง่าย"[308] ในบทวิจารณ์อัลบัมสปีกนาว นิตยสารโรลลิงสโตนกล่าวว่า "เสียงของสวิฟต์ไม่กระทบอะไรมากพอถึงระดับที่จะปิดบังความมืออาชีพที่เธอเป็นในฐานะนักร้อง เธอลดเสียงลงขณะร้องท่อนที่ทุกคนร้องได้ในแบบคลาสสิกที่เด็กสาวขี้อายคนหนึ่งพยายามจะพูดให้กลัว"[309] ในบทวิจารณ์อัลบัมสปีกนาวอีกบท หนังสือพิมพ์เดอะวิลเลจวอยซ์กล่าวว่าก่อนหน้านี้ การใช้ถ้อยคำของเธอ "เคยฟังดูจืดและดูสับสน แต่มันเปลี่ยนไปแล้ว เธอยังฟังดูตึงและบาง และเสียงมักจะหลงไปอยู่ระดับเสียงที่ทำให้คนบางคนเป็นบ้าได้ แต่เธอเรียนรู้แล้วว่าจะสื่อสารความหมายของคำแต่ละคำได้อย่างไร"[310] เสียงร้องสดของเธอเคยถูกลดระดับลงเป็น "พอใช้ได้" แต่ไม่เคยเท่าเพื่อน ๆ ของเธอ[307] ใน ค.ศ. 2009 เคน ทักเกอร์ จากเอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี พูดถึงเสียงร้องของสวิฟต์ว่ายังมีเสียง "ราบเรียบ บาง และบางครั้งไม่มั่นคงพอ ๆ กับคนไม่มีประสบการณ์"[311][312] แต่อย่างไรก็ตาม สวิฟต์ได้รับคำชมที่เธอไม่ได้ใช้ออโตทูนปรับระดับเสียงตนเอง[313]

ในบทสัมภาษณ์กับเดอะนิวยอร์กเกอร์ สวิฟต์ตั้งตนเองเป็นนักแต่งเพลงคนหนึ่ง "ฉันแต่งเพลง และเสียงของฉันเป็นแค่ทางเชื่อมเนื้อเพลงเหล่านั้น"[4][314] นักเขียนคนหนึ่งจากเดอะเทนเนสเซียนยอมรับใน ค.ศ. 2010 ว่าสวิฟต์ "ไม่ใช่นักร้องทางเทคนิคที่ดีที่สุด" แต่พูดถึงเธอว่าเป็น "นักสื่อสารที่ดีที่สุดที่เรามี"[315] เสียงร้องของสวิฟต์เป็นอะไรที่สัมพันธ์กับเธอ และเธอได้ "พยายามอย่างหนัก" เพื่อปรับปรุง[316] มีรายงานใน ค.ศ. 2010 ว่าเธอยังคงเข้าเรียนร้องเพลง[317] เธอเคยกล่าวว่าเธอจะรู้สึกกังวลเวลาแสดง "ก็ต่อเมื่อฉันไม่มั่นใจว่าผู้ฟังคิดอย่างไรกับฉัน เหมือนตอนงานประกาศรางวัล"[318]

การแต่งเพลง

สวิฟต์ใช้ประสบการณ์ตรงเป็นแรงบันดาลใจในการแต่งเพลง[319] ในเพลงของเธอ สวิฟต์มักพูดถึง "คนนิรนามที่เธอแอบชอบในช่วงเรียนไฮสกูล" และคนดัง[320] สวิฟต์มักวิพากษ์วิจารณ์คนรักเก่าอยู่บ่อย ๆ[321] ซึ่งเป็นมุมมองการแต่งเพลงที่เดอะวิลเลจวอยซ์สบประมาทไว้ "การได้ฟังว่าสิ่งที่เพลงสื่อนั้นเหมือนกับมีศาสตราจารย์ที่วางมาด และมันเป็นภัยต่อการประเมินพรสวรรค์ของสวิฟต์ ซึ่งดูไม่เป็นการสารภาพ แต่ดูเหมือนละคร"[322] แต่นิตยสารนิวยอร์กเชื่อว่า การที่สื่อพินิจพิเคราะห์การตัดสินใจของเธอที่จะ "ขุดชีวิตส่วนตัวมาใส่ในเพลงนั้น [...] เป็นการแบ่งแยกเพศ เนื่องจากไม่ได้มีการขอเพื่อนผู้ชายเลย"[323] ตัวสวิฟต์เองเคยกล่าวว่า ไม่ใช่ทุกเพลงที่แต่งจากเรื่องจริง และบางครั้งเกิดจากการสังเกตการณ์[324] นอกจากคำบอกใบ้ของเธอในเพลง สวิฟต์พยายามไม่พูดถึงประเด็นของเพลงแบบเจาะจง "เพราะคนเหล่านี้คือคนจริง ๆ คุณพยายามหยั่งรู้ถึงพื้นเพที่คุณมาเป็นนักแต่งเพลง โดยไม่ต้องเสียเพื่อนจากความเห็นแก่ตัว"[325]

Thumb
สวิฟต์ระหว่างทัวร์คอนเสิร์ตสปีกนาวเวิลด์ทัวร์ที่พิตส์เบิร์ก 2011

สำหรับผู้หญิงคนหนึ่งที่แต่งเพลงเกี่ยวกับความรู้สึกตัวเอง และถูกนำไปถ่ายทอดในฐานะแฟนสาวที่สิ้นหวัง ขาดสติ และติดกับผู้อื่น ที่ต้องการให้คุณแต่งงานและมีลูกกับเธอ ฉันคิดว่านั่นต้องใช้บางอย่างที่ต้องฉลอง นั่นคือผู้หญิงที่แต่งเพลงสารภาพความรู้สึกของตัวเอง นั่นจะเปลี่ยนมันเป็นอะไรที่แบ่งแยกเพศอย่างเปิดเผย

สวิฟต์กล่าวตอบคำวิจารณ์เกี่ยวกับการแต่งเพลงของเธอ[326]

หนังสือพิมพิมพ์เดอะการ์เดียนยกย่องสวิฟต์เกี่ยวกับการเขียน "ระลึกความหลังโทนซีเปียด้วยความโหยหา" ในช่วงวัยรุ่น ตลอดสองอัลบัมแรก[306] นิตยสารนิวยอร์กกล่าวว่านักร้องนักแต่งเพลงหลายคนทำเพลงดี ๆ ไว้เมื่อครั้งเป็นวัยรุ่น แต่ "ไม่มีใครทำเพลงดี ๆ ที่เกี่ยวกับช่วงวัยรุ่นได้ชัดเจน" นิตยสารเปรียบเธอกับไบรอัน วิลสัน[327] สำหรับภาพนิยายปรัมปราบนปกอัลบัมเฟียร์เลส เธอได้ศึกษาความไม่เชื่อมโยงกันระหว่าง "นิทานปรัมปราและความเป็นจริงของความรัก"[328] อัลบัมถัดจากนั้นพูดถึงความสัมพันธ์แบบผู้ใหญ่มากขึ้น[285] นอกจากความโรแมนติกและความรักแล้ว เพลงหลายเพลงของสวิฟต์ยังพูดถึงความสัมพันธ์แบบพ่อแม่ลูก มิตรภาพ[329][330] ความห่างเหิน ชื่อเสียง และความทะเยอทะยานในการทำงาน[273] สวิฟต์มักใส่ "วลีที่คิดขึ้นฉับพลันเพื่อแสดงสิ่งที่ยิ่งใหญ่และจริงจังที่ไม่เข้ากับเพลง สิ่งที่เพิ่มหรือล้มล้างเรื่องเล่าในเพลง"[331]

โรลลิงสโตนยกให้เธอเป็น "นักปราชญ์แต่งเพลงที่มีพรสวรรค์ตั้งแต่เกิดในการแต่งเพลงตามโครงสร้าง เวิร์ส-คอรัส-บริดจ์"[332] จากข้อมูลของเดอะวิลเลจวอยซ์ สวิฟต์ใช้แต่งให้เนื้อเพลงพลิกแพลงในท่อนเวิร์สที่สามอยู่บ่อย ๆ[331] ในเรื่องของกระบวนการจินตภาพ สิ่งที่เห็นได้ชัดในการแต่งเพลงของสวิฟต์คือการกล่าวซ้ำ ในคำกล่าวของเดอะการ์เดียน กล่าวว่า "เธอใช้เวลาจูบกันท่ามกลางสายฝนมากจนดูเหมือนปาฏิหาริย์ที่เท้าของเธอไม่เคยเปื่อยเลย"[306] นิตยสารสแลนต์แม็กกาซีนเสริมว่า "สวิฟต์ศึกษาแนวเรื่องใหม่ตลอดการทำอัลบัม [ที่สี่ของเธอ]"[333] ขณะที่บทวิจารณ์งานเพลงของสวิฟต์เป็น "ด้านบวกแทบจะเป็นเสียงเดียวกัน" เดอะนิวยอร์กเกอร์กล่าวว่าเธอถ่ายทอด "ในฐานะนักเทคนิคผู้เชี่ยวชาญได้มากกว่าในฐานะนักคิดแบบดีแลน"[4]

Remove ads

ภาพลักษณ์ในที่สาธารณะ

สรุป
มุมมอง

ชีวิตส่วนตัวของสวิฟต์เป็นประเด็นที่สื่อให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง[334] ใน ค.ศ. 2013 แอเบอร์ครอมบีแอนด์ฟิตช์ทำการตลาดโดยใช้คำโปรยเสื้อยืดโดยมีคำว่า "โสเภณีน่าอาย" (slut-shaming) ตั้งใจสื่อถึงเธอโดยตรง[335] เดอะนิวยอร์กไทมส์ยืนยันว่า "ประวัติการคบผู้ชายของสวิฟต์เริ่มทำให้เกิดจุดเริ่มต้นของการตอกกลับ" และตั้งคำถามว่าสวิฟต์กำลังตกอยู่ท่ามกลาง "วิกฤตในชีวิตช่วง 25 ปีแรกของเธอหรือไม่"[336] สวิฟต์เคยกล่าวว่าเธอไม่อยากเล่าถึงชีวิตส่วนตัวออกสื่อสาธารณะ[334] เนื่องจากเธอเชื่อว่า การพูดถึงมันอาจเป็น "จุดอ่อนในการทำงาน" ได้[337]

Thumb
สวิฟต์ในงานไทม์ 100 2010 ซึ่งเธอได้รับเกียรติ

โรลลิงสโตนกล่าวถึงมารยาทที่เหมาะสมของสวิฟต์ว่า "ถ้านี่เป็นการเล่นหน้าเล่นตาของสวิฟต์ มันจะต้องเป็นดั่งรอยสัก เพราะมันจะไม่หลุดหายไป"[338] นิตยสารดังกล่าวยังสนใจ "การต้อนรับอย่างอบอุ่น" ของสวิฟต์ด้วย[33] นิตยสารเดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ให้เธอเป็น "บุคคลยอดเยี่ยมนับตั้งแต่บิล คลินตัน"[339] ในขณะมอบรางวัลด้านมนุษยธรรมให้สวิฟต์ใน ค.ศ. 2012 มิเชล โอบามา กล่าวยกย่องเธอว่าเป็นคนที่ "ทะยานขึ้นจุดสูงสุดของอุตสาหกรรมดนตรีแต่เท้ายังติดดิน คนที่ทำลายมาตรฐานที่คาดไว้ของสิ่งที่คนอายุ 22 ปีจะทำสำเร็จได้"[340] สวิฟต์ยกให้โอบามาเป็นบุคคลตัวอย่างคนหนึ่ง[341] สวิฟต์เป็นหนึ่งในบุคคลที่มีผู้ติดตามมากที่สุดในสื่อสังคม และเป็นที่รู้กันว่าเธอมีปฏิสัมพันธ์เป็นมิตรกับแฟนเพลง[342][343] เธอเคยส่งของขวัญวันหยุดให้แฟนเพลงผ่านทางจดหมาย และส่งให้ด้วยตนเอง เรียกของชิ้นนั้นว่า "สวิฟต์มาส" (Swiftmas)[344] เธอมองว่าเป็น "ความรับผิดชอบ" ที่ต้องตระหนักว่าเธอมีอิทธิพลต่อแฟนเพลงหนุ่มสาว[345] และเคยกล่าวว่าแฟนเพลงของเธอเป็น "ความสัมพันธ์ที่ยาวนานและดีที่สุดที่เธอเคยมี"[346]

สื่อมักเรียกสวิฟต์บ่อย ๆ ว่า "หวานใจของอเมริกา"[347] แต่สวิฟต์ยืนยันว่า "ฉันไม่ได้อยู่กับกฎแปลก ๆ แข็งกระด้างที่ล้อมกรอบฉัน ฉันแค่ชอบแบบที่ฉันรู้สึกและทำให้ฉันรู้สึกเป็นอิสระ" เธอปฏิเสธที่จะถ่ายแบบยั่วยวนทางเพศ[348] แต่บลูมเบิร์ก แอล.พี. มองสวิฟต์เป็นสัญลักษณ์ทางเพศคนหนึ่ง[349] ใน ค.ศ. 2011 เธอได้ชื่อว่าสัญรูปแห่งวิถีชีวิตอเมริกัน แต่งตั้งโดยนิตยสารโว้ก[350] ใน ค.ศ. 2014 เธออยู่อันดับหนึ่งในรายชื่อผู้แต่งตัวดูดีที่สุดประจำปีโดยนิตยสารพีเพิล[351] ใน ค.ศ. 2015 ที่งานแอลสไตล์อะวอดส์ เธอได้ชื่อว่า ผู้หญิงแห่งปี[352] และติดอันดับหนึ่งในรายชื่อคนฮอต 100 คนของนิตยสารแม็กซิม[353]

สวิฟต์ยังมีชื่อติดอยู่ในหลายรายชื่อ เธอเป็นหนึ่งใน 100 ผู้มีอิทธิพลที่สุดประจำปี ใน ค.ศ. 2010 และ 2015 จัดโดยนิตยสารไทม์ด้วย[354] ตั้งแต่ ค.ศ. 2011–2015 เธอเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของผู้หญิงที่มีรายได้สูงสุดในวงการดนตรีจัดโดยนิตยสารฟอบส์ โดยเธอมีรายได้ 45 ล้าน, 57 ล้าน, 55 ล้าน, 64 ล้าน และ 80 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ[355] ใน ค.ศ. 2015 เธอเป็นผู้หญิงอายุน้อยที่สุดที่อยู่ในรายชื่อผู้หญิงที่มีอิทธิพลที่สุดของฟอบส์ 100 คน อยู่ในอันดับที่ 64[356] ใน ค.ศ. 2016 สวิฟต์เป็นคนดังที่มีค่าตัวสูงที่สุด 170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เธอยังอยู่ในสิบอันดับแรกใน ค.ศ. 2011, 2013 และ 2015[357] เธอเป็นหนึ่งในรายชื่อบุคคลแห่งปีของนิตยสารไทม์ ค.ศ. 2014[358] ในเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2017 รายได้สุทธิของสวิฟต์ประมาณอยู่ที่ 280 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[359] ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 2018 ฟอบส์ปรับปรุงรายได้สุทธิโดยประมาณของสวิฟต์อยู่ที่ 320 ล้านดอลลาร์สหรัฐ[360]

Remove ads

กิจกรรมอื่น ๆ

สรุป
มุมมอง

การกุศล

กิจกรรมการกุศลของสวิฟต์เป็นที่จดจำจากรางวัลดูซัมทิงอะวอดส์ และบริการสำหรับผู้ประสบภัยพิบัติที่เทนเนสซี[361][362] เธอยังได้รับรางวัลเดอะบิกเฮลป์อะวอร์ด จากที่เธอ "อุทิศตนช่วยเหลือคนอื่น ๆ" และ "บันดาลใจให้คนอื่นลงมือทำ"[363] และรางวัลริปเพิลออฟโฮป เนื่องจากเธอ "อุทิศตนช่วยเหลือตั้งแต่อายุยังน้อย เทย์เลอร์เป็นผู้หญิงประเภทที่เราอยากให้ลูกสาวของเราเป็น"[364] ใน ค.ศ. 2008 เธอบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้แก่หน่วยงานกาชาดเพื่อช่วยเหลือเหยื่อผู้ประสบอุทกภัยในรัฐไอโอวา ค.ศ. 2008[365] สวิฟต์แสดงในคอนเสิร์ตการกุศล เช่น ซาวด์รีลีฟที่ซิดนีย์[366] เธอยังอัดเพลงใส่อัลบั้มโฮปฟอร์เฮตินาวด้วย[367] จากเหตุอุทกภัยในรัฐเทนเนสซีในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2010 สวิฟต์บริจาคเงิน 500,000 ดอลลาร์ระหว่างเทเลธอนจัดโดยช่อง WSMV[368] ใน ค.ศ. 2011 สวิฟต์ซ้อมคอนเสิร์ตสปีกนาวทัวร์รอบสุดท้ายในอเมริกาเหนือเพื่อหารายได้ให้เหยื่อทอร์นาโดครั้งล่าสุดในสหรัฐ รวบรวมรายได้ได้มากกว่า 750,000 ดอลลาร์[369] ใน ค.ศ. 2012 สวิฟต์ส่งเสริมเทเลธอนชื่อรีสโตร์เดอะชอร์ขององค์กรอาร์คิเท็กเชอร์ฟอร์ฮิวแมนิตี หลังเกิดพายุหมุนเขตร้อนแซนดี[370] ใน ค.ศ. 2016 เธอบริจาคเงินให้โครงการบรรเทาทุกข์อุทกภัยที่ลุยส์เซียนา และกองทุนอัคคีภัยดอลลี พาร์ตัน[371][372]

สวิฟต์เป็นผู้สนับสนุนศิลปะและได้บริจาคเงิน 75,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงเรียนแนชวิลส์เฮนเดอร์สันวิลล์ไฮสกูล เพื่อช่วยปรับปรุงระบบแสงและเสียงในหอประชุมของโรงเรียน[373] ใน ค.ศ. 2012 เธอมอบเงิน 4 ล้านดอลลาร์เพื่อเป็นทุนก่อสร้างศูนย์การเรียนแห่งใหม่ที่หอเกียรติยศและพิพิธภัณฑ์ดนตรีคันทรีที่แนชวิลล์[374] ใน ค.ศ. 2012 สวิฟต์เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทเช่าตำราเรียนชื่อ เชกก์ บริจาคเงิน 60,000 ดอลลาร์ให้แก่สาขาวิชาดนตรีในวิทยาลัยหกแห่ง[375] สวิฟต์ส่งเสริมการรู้หนังสือของเด็ก ๆ ด้วย ใน ค.ศ. 2009 เธอบริจาคเงิน 250,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงเรียนหลายแห่งทั่วประเทศ[376] ความพยายามในการส่งเสริมการรู้หนังสืออย่างอื่น ได้แก่ ห้องสมุดสาธารณะเรดิง รัฐเพนซิลเวเนีย 6,000 เล่ม[377] ห้องสมุดสาธารณะแนชวิลล์ รัฐเทนเนสซี 14,000 เล่ม[378] หนังสือเรียน 2,000 เล่มมอบให้ศูนย์สุขภาพเด็ก โรงพยาบาลเรดิง[379] และโรงเรียนหลายแห่งในนครนิวยอร์ก 25,000 เล่มเมื่อปี ค.ศ. 2015[380]

ใน ค.ศ. 2007 เธอออกโครงการรณรงค์ปกป้องเด็กจากผู้ร้ายออนไลน์ หุ้นส่วนกับสมาคมอธิบดีกรมตำรวจเทนเนสซี[381] ใน ค.ศ. 2009 สวิฟต์บันทึกเสียงโฆษณาประชาสัมพันธ์บริการสาธารณะให้ผู้ฟังตระหนักถึงความสำคัญของการฟัง "อย่างมีความรับผิดชอบ" เพื่อป้องกันหูหนวก[382] เธอเคยบริจาคเงินให้มูลนิธิการกุศลมากมาย ได้แก่ มูลนิธิโรคเอดส์เอลตันจอห์น ยูนิเซฟแทปโปรเจกต์ มิวสิแคส์ และฟีดิงอเมริกา[383] ใน ค.ศ. 2011 ในฐานะผู้ให้ความบันเทิงแห่งปีของโรงเรียนดนตรีคันทรี สวิฟต์บริจาคเงิน 25,000 ดอลลาร์ให้แก่โรงพยาบาลวิจัยเด็กเซนต์จูด รัฐเทนเนสซี[384] ใน ค.ศ. 2012 สวิฟต์ร่วมในเทเลธอนสแตนด์อัปทูแคนเซอร์ ร้องเพลง "โรแนน" ซึ่งเธอแต่งให้แก่เด็กชายอายุสี่ขวบคนหนึ่งที่เสียชีวิตจากนิวโรบลาสโตมา เพลงมีให้ดาวน์โหลด รายได้จากการดาวน์โหลดบริจาคให้แก่องค์กรการกุศลที่เกี่ยวกับโรคมะเร็ง[385] ใน ค.ศ. 2014 เธอบริจาคเงิน 100,000 ดอลลาร์ให้แก่มูลนิธิ V เพื่อศูนย์วิจัยมะเร็ง[386] และ 50,000 ดอลลาร์ให้โรงพยาบาลเด็กฟิลาเดลเฟีย[387] สวิฟต์เคยแวะเยี่ยมผู้ป่วยและคอยช่วยเหลือตามโรงพยาบาลต่าง ๆ เป็นการส่วนตัว[388] สวิฟต์เชิญชวนให้คนวัยหนุ่มสาวอาสาในชุมชนท้องถิ่นตนเองเป็นส่วนหนึ่งของวันบริการเยาวชนโลก[389] ในปี ค.ศ. 2018 เธอกับผู้หญิงอีก 300 คนในฮอลลิวูดก่อตั้งขบวนการไทมส์อัปเพื่อปกป้องผู้หญิงจากการกดขี่ข่มเหงและการกีดกัน[390]

การเมือง

ระหว่างการเลือกตั้งประธานาธิบดี ค.ศ. 2008 สวิฟต์สนับสนุนการรณรงค์เอเวอรีวูแมนเคานส์ มีเป้าหมายให้ผู้หญิงมีส่วนร่วมในการเมือง และเป็นหนึ่งในศิลปินคันทรีที่ได้บันทึกเสียงโฆษณาบริการสาธารณะให้โครงการโหวต (ฟอร์ยัวร์) คันทรี[391] เธอกล่าวว่า "ฉันคิดว่าฉันไม่ได้มีหน้าที่พยายามโน้มน้าวผู้คนว่าให้เลือกใคร"[13] หลังประธานาธิบดีโอบามากล่าวคำสัตย์ปฏิญาณ เธอกล่าวกับโรลลิงสโตนว่าเธอสนับสนุนเขา "ฉันยังไม่เคยเห็นประเทศนี้มีความสุขกับการตัดสินใจทางการเมืองตั้งแต่ฉันเกิด ฉันดีใจที่นี่เป็นการเลือกตั้งครั้งแรกของฉัน"[392]

ในบทสัมภาษณ์ ค.ศ. 2012 สวิฟต์กล่าวว่า แม้ว่าเธอจะยึดตัวเองเป็น "ผู้มีการศึกษาและมีความรู้มากเท่าที่จะเป็นไปได้" เธอไม่ขออภิปรายทางการเมือง โดยเกรงว่ามันอาจกลายเป็นอิทธิพลต่อคนอื่นได้[393] สวิฟต์เคยใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเคนเนดี[394] และเคยกล่าวชื่นชมอีเทล เคนเนดี[289] เธอเป็นนักสิทธิสตรีด้วย[395] เธอต่อต้านการเหยียดรสนิยมทางเพศ หลังจากเหตุฆาตกรรมแลร์รี คิง ใน ค.ศ. 2008 เธอบันทึกเสียงโฆษณาบริการสาธารณะให้องค์กรเครือข่ายให้การศึกษาเกย์ เลสเบียน และรสนิยมต่างเพศ (GLSEN) เพื่อสู้กับอาชญากรรมความเกลียดชัง[396] หลังครบรอบการเสียชีวิตของคิงหนึ่งปี สวิฟต์กล่าวกับเซเวนทีนว่า พ่อแม่สอนไม่ให้เธอ "ตัดสินคนอื่นโดยมองว่าเขารักใคร สีผิวอะไร หรือศาสนาอะไร"[397] มิวสิกวิดีโอเพลง "มีน" ต่อต้านการกลั่นแกล้ง มีส่วนเกี่ยวข้องกับโฮโมโฟเบียในไฮสกูล วิดีโอได้เข้าชิงรางวัลกิจกรรมทางสังคมของเอ็มทีวีวิดีโอมิวสิกอะวอดส์ ใน ค.ศ. 2011 ด้วย[398][399] เดอะนิวยอร์กไทมส์เชื่อว่าเธอเป็นหนึ่งใน "คลื่นลูกใหม่ของผู้หญิง (รสนิยมต่างเพศ) วัยสาวที่ทำเพลงให้แก่แฟนคลับเกย์ที่ยอมรับตัวตนของตัวเองในเวลาที่มีประเด็นทางวัฒนธรรมที่ชวนสับสน"[398]

ก่อนการเลือกตั้งสหรัฐกึ่งวาระ ค.ศ. 2018 สวิฟต์ประกาศสนับสนุนผู้ลงเลือกตั้งพรรคเดโมแครตสองคน[400][401] ได้แก่ จิม คูเปอร์ สมาชิกรัฐสภา สำหรับการลงเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ และอดีตผู้ว่าการรัฐเทนเนสซี ฟิล เบรเดเซน สำหรับลงเลือกตั้งวุฒิสภา เธอออกมากล่าวต่อต้านผู้คัดค้านเบรเดเซน มาร์ชา แบล็กเบิร์น สมาชิกวุฒิสภาหญิงของพรรครีพับลิกัน กล่าวว่าการโหวตของเธอ "ทำให้เธอกลัว" เธอออกมาแจ้งความประสงค์สนับสนุนสิทธิของ LGBT และความเท่าเทียมกันทางเพศและเชื้อชาติ และประนามการเหยียดชาติพันธุ์[402] โหวต.โออาร์จี กล่าวถึงโพสต์ของสวิฟต์ รายงานว่ามีคนลงเลือกตามโพสต์ของเธอถึง 65,000 คนใน 24 ชั่วโมง จำนวนผู้โหวตที่ไม่คาดคิดนี้ เกิดจากมีผู้สมัครมากขึ้นตามปกติเมื่อใกล้ถึงกำหนดเวลา[403][404] ระหว่างการประกาศรับรางวัลศิลปินแห่งปีในงานอเมริกันมิวสิกอะวอดส์ 2018 เธอโน้มน้าวให้แฟนเพลงเลือกตั้งในการเลือกตั้งกึ่งวาระ 2018[190]

การสนับสนุนผลิตภัณฑ์

ขณะส่งเสริมอัลบั้มแรก สวิฟต์เป็นหน้าตาให้แก่โครงการโมบายล์มิวสิกของบริษัทเวริซันไวร์เลส[405] ในยุคอัลบั้มเฟียร์เลส เธอออกสินค้าเสื้อผ้าซันเดรสให้บริษัทแอล.อี.ไอ. (l.e.i.) วางจำหน่ายที่วอลมาร์ต[406] และออกแบบบัตรให้บริษัทอเมริกันกรีทิงส์ และตุ๊กตาแจ็กส์แปซิฟิก[407][408] เธอเคยเป็นโฆษกให้ทีมแนชวิลล์พรีเดเตอร์ของเนชันแนลฮอกกีลีก (NHL) และกล้องดิจิทัล โซนี ไซเบอร์ช็อต[409][410] ในยุคอัลบั้มสปีกนาว เธอออกอัลบั้มรูปแบบพิเศษจำหน่ายผ่านทาร์เกต[411] สวิฟต์เคยเป็นโฆษกให้ยี่ห้อคัฟเวอร์เกิร์ล[412] ออกน้ำหอมเอลิซาเบธ อาร์เดน สองรุ่น ได้แก่ วันเดอร์สตรัก และวันเดอร์สตรักเอ็นแชนเทด[413]

ขณะส่งเสริมอัลบั้มที่สี่ เรด สวิฟต์ส่งเสริมอัลบั้มด้วยโปรโมชันเฉพาะผ่านทาร์เกต[414] พาพาจอนส์พิซซ่า[415] และวอลกรีนส์[416] เธอเคยเป็นโฆษกให้ไดเอตโค้ก และรองเท้ากีฬาเคดส์[417] ออกน้ำหอมเอลิซาเบธ อาร์เดนรุ่นที่สามชื่อ เทย์เลอร์ บาย เทย์เลอร์ สวิฟต์[418] และเป็นหุ้นส่วนกับโซนีอิเล็กทรอนิกส์ และอเมริกันกรีทิงส์[419][420] สวิฟต์ยังเคยเป็นหุ้นส่วนกับบริษัทแอร์เอเชีย[421] และควอนตัส[422] ในระหว่างทัวร์เรดทัวร์ด้วย นับว่าเป็นสายการบินทางการในช่วงทัวร์ทวีปออสเตรเลียและเอเชีย และไอศกรีมคอร์เนตโตเป็นผู้สนับสนุนทัวร์ในทวีปเอเชีย[423] ในระหว่างส่งเสริมอัลบั้ม 1989 สวิฟต์โฆษณาให้ซับเวย์ เคดส์ ทาร์เกต และไดเอตโค้ก[424] ใน ค.ศ. 2014 สวิฟต์ออกน้ำหอมรุ่นที่สี่ชื่อ อินเครดิเบิลทิงส์[425]

ใน ค.ศ. 2016 สวิฟต์เซ็นสัญญาหลายปีกับเอทีแอนด์ที[426] จากนั้นสวิฟต์ได้ลงพาดหัวอีเวนต์ซูเปอร์แซเทอร์เดย์ไนต์ของไดเรกทีวี[427] ในคืนก่อนงานซูเปอร์โบวล์ 2017 ขณะส่งเสริมอัลบั้มเรพิวเทชัน สวิฟต์ออกชุดเบื้องหลังวิดีโอแสดงกระบวนการอัดเสียงลงอัลบั้มผ่านทางไดเรกทีวี[428] ใน ค.ศ. 2018 สวิฟต์ออกภาพยนตร์โฆษณาให้เอทีแอนด์ทีสองตัว[429][430] สวิฟต์หุ้นส่วนกับฟูจิฟิล์มในผลิตภัณฑ์กล้องอินสแต็กซ์รุ่นพิเศษที่เธอลงลายเซ็น มีโหมดถ่ายตัวเองและโหมดถ่ายภาพซ้อน วางจำหน่ายในเดือนตุลาคม ค.ศ. 2018[431][432]

Remove ads

รางวัลและความสำเร็จ

สวิฟต์ได้รับรางวัลและเกียรติยศมากมาย ได้แก่ รางวัลแกรมมี 12 รางวัล[433] อเมริกันมิวสิกอะวอร์ด 40 รางวัล[434] บิลบอร์ดมิวสิกอะวอร์ด 23 รางวัล[435] รางวัลสมาคมดนตรีคันทรี 12 รางวัล รางวัลอะคาเดมีออฟคันทรีมิวสิกอะวอดส์ 8 รางวัล[436] บริตอะวอดส์ 2 รางวัล[157] และครีเอทีฟอาร์ตเอ็มมีอะวอร์ด 1 รางวัล[437] ในฐานะนักแต่งเพลง เธอได้รับเกียรติจากสมาคมนักแต่งเพลงแนชวิลล์[48][438] และหอเกียรติยศนักแต่งเพลง[439] และถูกรวมในรายชื่อนักแต่งเพลงยอดเยี่ยมตลอดกาล 100 คน จัดอันดับโดยโรลลิงสโตนเมื่อ ค.ศ. 2015[440][441]

ก่อนต้น ค.ศ. 2016 สวิฟต์ขายอัลบั้มได้มากกว่า 40 ล้านอัลบั้ม ขายซิงเกิลดาวน์โหลดได้ 130 ล้านซิงเกิล และเป็นหนึ่งในห้านักดนตรีที่มียอดขายดิจิทัลสูงที่สุดทั่วโลก[140] สตูดิโออัลบั้มของสวิฟต์ เทย์เลอร์ สวิฟต์ เฟียร์เลส สปีกนาว เรด และ 1989 ขายได้มากกว่า 4 ล้านหน่วยในสหรัฐ[442] สวิฟต์เป็นศิลปินที่ขายซิงเกิลดิจิทัลได้มากเป็นอันดับสามในสหรัฐ โดยมียอดขายรวม 106.5 ล้านหน่วย ตามข้อมูลของสมาคมผู้ประกอบกิจการเพลงของสหรัฐอเมริกา[443]

Remove ads

ผลงานเพลง

Remove ads

ผลงานการแสดง

Remove ads

คอนเสิร์ตทัวร์

หมายเหตุ

  1. เดิมที เพลงแต่งโดยสวิฟต์และแพต โมนาฮาน นักร้องนำวงเทรน ลงอัลบั้มเรด[186]

อ้างอิง

แหล่งข้อมูลอื่น

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads