คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

โฆเซ เด ซาน มาร์ติน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

โฆเซ เด ซาน มาร์ติน
Remove ads

โฆเซ ฟรันซิสโก เด ซาน มาร์ติน มาตอร์รัส หรือ โฆเซ เด ซาน มาร์ติน (สเปน: José Francisco de San Martín Matorras หรือ José de San Martín) (25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2321 - 17 สิงหาคม พ.ศ. 2393) เป็นนายพลชาวอาร์เจนตินาผู้ซึ่งเป็นผู้นำในการประกาศเอกราชอเมริกาใต้ตอนล่าง (อาร์เจนตินา, ชิลี, และเปรู) จากประเทศสเปน

ข้อมูลเบื้องต้น นายพล Donโฆเซ เด ซาน มาร์ติน, ผู้พิทักษ์แห่งเปรู ...
Thumb
อนุสาวรีย์ที่เมืองกัวยากิล ที่ซึ่งโฆเซ เด ซาน มาร์ติน มาพบกับซิมอน โบลิบาร์ เป็นครั้งแรก
Remove ads

ประวัติ

สรุป
มุมมอง

ชีวิตวัยเด็ก

โฆเซ เด ซาน มาร์ตินเป็นบุตรคนที่ 5 และคนสุดท้องของฆวน เด ซาน มาร์ติน และเกรกอเรีย มาร์ตอร์รัส เดล เซอร์ เกิดที่เมืองยาเปยู จังหวัดคอร์เรียนเตส ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอาร์เจนตินาในปัจจุบัน มีการโต้เถียงกันเกี่ยวกับปีเกิดที่แท้จริงของเขา เช่นเดียวกับการเข้าพิธีศีลล้างบาปที่ไม่มีบันทึกไว้ ต่อมาเอกสารอื่น เช่น หนังสือเดินทาง, บันทึกการแต่งงาน, และบันทึกการเป็นทหาร บ่งชี้ว่าปีเกิดของซาน มาร์ตินนั้นอยู่ระหว่างปี ค.ศ. 1777-1778 เมื่อซาน มาร์ตินอายุได้ 3-4 ปี ครอบครัวของเขาย้ายไปยังบัวโนสไอเรส

ในปี ค.ศ. 1783 ฆวน พ่อของเขาได้รับคำขอให้ย้ายไปสเปน ครอบครัวของซาน มาร์ตินได้ตั้งถิ่นฐานที่เมืองมาดริด แต่ฆวนไม่ได้รับการเลื่อนขั้นจึงได้ย้ายไปยังเมืองมาลากา ต่อมาในปี ค.ศ.1785 ซาน มาร์ตินได้เข้ารับการศึกษาในโรงเรียนในมาลากา และ เข้าเป็นนักเรียนนายร้อยในหน่วยทหารราบเมอร์เชียน เมื่ออายุได้ 11 ปี

ราชการทหารในทวีปยุโรป

สงครามประกาศเอกราชลาตินอเมริกา

ในปี ค.ศ. 1811 เขาได้ออกจากกองทัพสเปนและลงเรือ จอร์จ แคนนิง จากประเทศอังกฤษกลับไปยังกรุงบัวโนสไอเรสซึ่งเป็นที่ที่เขาเติบโต และเดินทางถึงในวันที่ 9 มีนาคม ค.ศ. 1812 พร้อมกับเพื่อนของเขา ไม่นานหลังจากนั้น ซาน มาร์ตินได้ก่อตั้งกรมทหารกรานาเดโรสขึ้น ต่อมาในวันที่ 19 มกราคม ค.ศ. 1817 ซาน มาร์ตินได้นำกองทัพแอนดีสซึ่งเป็นกองทัพปลดปล่อยจำนวน 4,000 คน ซึ่งเขาได้ฝึกด้วยตัวเขาเอง แบ่งทัพออกเป็นทัพย่อย 6 ทัพ แต่ละทัพใช้เส้นทางเดินทางแตกต่งกัน ข้ามเทือกเขาแอนดีส สู้รบกับกองทัพของสเปน และสามารถพิชิตกรุงซานเตียโกของชิลีได้

ถัดจากชิลี เขาได้วางแผนการรบที่จะบุกเปรูโดยทางทะเล แล้วได้ขึ้นบกที่เมืองปิสโก เปรู ในเวลาดังกล่าวนี้ ซาน มาร์ติน ได้ประกาศต่อกองทัพทั้งหมดว่า "ที่พวกเรามาที่นี่ ไม่ใช้เพื่อเอาชนะด้วยกำลัง แต่เพื่อปลดปล่อยประชาชน" แต่เมื่อไปถึงเปรู เขาก็พบกับปัญหาใหม่จากคำถามของชาวเมืองว่า ทำไมต้องปฏิวัติปลดแอก เปรูนั้นถือว่าล้าหลังที่สุดในจำนวนเขตทั้งหมดของสเปน ชาวเมืองไม่ได้รับผลกระทบจากสเปนมากนัก ชนชั้นต่าง ๆ ไม่ได้แบ่งแยกมากมายเหมือนที่อื่น ซาน มาร์ตินต้องชะลอการโจมตีกรุงลิมาออกไปและเผยแพร่ความคิดเรื่องเสรีภาพจนชาวเปรูเริ่มเข้าใจและมองเห็น เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1821 เขาก็สามารถปลดปล่อยกรุงลิมาได้สำเร็จ ในวันที่ 28 กรกฎาคม ซาน มาร์ติน ก็ได้ประกาศปลดปล่อยเปรูต่อหน้าประชาชนที่ได้มาชุมนุมกันที่จัตุรัส

แม้เปรูจะสามารถประกาศเอกราชได้แล้ว แต่ก็ยังคงต้องสู้รบกับกองทัพสเปนอีกหลายครั้งเพื่อให้บรรลุการเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์ ช่วงเวลาดังกล่าวนั้น ขณะที่ซาน มาร์ติน ได้เคลื่อนไหวการปลดปล่อยจากชิลี ขึ้นไปทางทิศเหนือนั้น ซิมอน โบลิบาร์ ก็กำลังเคลื่อนไหวปลดปล่อยอเมริกาใต้ในทางตอนเหนืออยู่เช่นกัน ซาน มาร์ติน คิดว่า เพื่อเอกราชของเปรูจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับกองทัพของโบลิบาร์ ทั้งสองจึงได้กำหนดที่จะพบกันที่เมืองกัวยากิล ซึ่งอยู่ในประเทศเอกวาดอร์ในปัจจุบัน

หลังจากการพบปะพูดคุยกัน ซาน มาร์ติน จึงสรุปได้ว่า จะมอบหมายการปลดปล่อยเปรูให้สำเร็จแก่ซิมอน โบลิบาร์ และเขาได้คืนตำแหน่งและอำนาจที่ตัวเขาได้รับมาในการประชุมรัฐสภาครั้งที่ 1 ของเปรู

บั้นปลายชีวิต

หลังจากนั้น ซาน มาร์ติน ก็ได้เดินทางออกจากเปรูไปชิลี บัวโนสไอเรส และข้ามไปยังยุโรป แล้วได้ปิดฉากชั่วชีวิตด้วยวัย 72 ปีที่บูลง-ซูร์-แมร์ ประเทศฝรั่งเศส ในเดือนสิงหาคม ค.ศ. 1850

Remove ads

อ้างอิง

อัตชีวประวัติ

หนังสืออ่านเพิ่ม

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads