คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

โจเอล (เดอะลาสต์ออฟอัส)

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

Remove ads

โจเอล มิลเลอร์ (อังกฤษ: Joel Miller) เป็นตัวละครในซีรีส์วิดีโอเกม เดอะลาสต์ออฟอัส ที่พัฒนาโดยบริษัทนอตีด็อก โดยในเกม เขารับบทโดยทรอย เบเคอร์ผ่านการแสดงด้วยการจับการเคลื่อนไหวและการพากย์เสียง ส่วนในเวอร์ชันซีรีส์โทรทัศน์ เขารับบทโดยเปโดร ปัสกัล ในเกมภาคแรก เดอะลาสต์ออฟอัส (2013) โจเอลเป็นตัวเอกหลักของเรื่อง โดยมีภารกิจในการพาเอลลี เด็กสาวผู้มีภูมิต้านทานต่อการติดเชื้อ เดินทางข้ามประเทศสหรัฐอเมริกาที่ล่มสลายจากโรคระบาด เพื่อหวังสร้างยารักษา เขายังปรากฏตัวสั้น ๆ ในเนื้อหาเสริมที่ดาวน์โหลดได้ชื่อว่า เดอะลาสต์ออฟอัส: เลฟต์บีไฮนด์ (2014) อีกด้วย ในเกมภาคสอง เดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต II (2020) โจเอลถูกฆ่าโดยหญิงสาวชื่อแอบบี้ ซึ่งเป็นลูกสาวของชายที่เขาเคยฆ่าในภาคแรก เหตุการณ์นี้ทำให้เอลลีต้องการล้างแค้นให้เขา

ข้อมูลเบื้องต้น โจเอล มิลเลอร์, ปรากฏครั้งแรก ...

โจเอลเป็นตัวละครที่ถูกสร้างขึ้นโดยนีล ดรักแมนน์ ผู้อำนวยการฝ่ายสร้างสรรค์และนักเขียนบทของ เดอะลาสต์ออฟอัส การคัดเลือกนักแสดงสำหรับตัวละครนี้เป็นกระบวนการที่ละเอียดมาก เนื่องจากความสัมพันธ์ของโจเอลกับเอลลีเป็นหัวใจหลักของเกม การพัฒนาเกมภาคแรกจึงเน้นไปที่จุดนี้เป็นหลัก โดยองค์ประกอบอื่น ๆ ถูกพัฒนาขึ้นตามมา ทรอย เบเคอร์มีส่วนในการสร้างบุคลิกของโจเอลให้มีมิติทางอารมณ์มากกว่าที่วางไว้แต่แรก ดรักมันน์ต้องการให้ผู้เล่น โดยเฉพาะพ่อแม่ รู้สึกเชื่อมโยงกับโจเอลผ่านความสัมพันธ์ระหว่างเขากับเอลลี่ เขามองว่าโจเอลเป็นตัวละครที่มีความซับซ้อนทางศีลธรรม สำหรับภาคสอง ดรักแมนน์รู้สึกว่าเส้นทางของตัวละครโจเอลได้สิ้นสุดลงแล้วหลังจากเกมภาคแรก และการตายของเขาก็เป็นแกนหลักที่สำคัญของกระบวนการพัฒนาเกมในภาคนี้

ตัวละครโจเอลได้รับเสียงชื่นชมอย่างมากจากนักวิจารณ์ โดยเฉพาะเคมีที่เขามีกับเอลลี รวมถึงความน่าชื่นชอบและความซับซ้อนของตัวละคร การแสดงของเบเคอร์ในทั้งสองภาคของเกมได้รับคำชมเป็นอย่างสูง และคว้ารางวัลรวมถึงการเสนอชื่อเข้าชิงหลายรางวัล ในเวอร์ชันซีรีส์โทรทัศน์ การแสดงของปัสกัลก็ได้รับเสียงชื่นชมในทำนองเดียวกัน และได้รับรางวัลเช่นกัน

Remove ads

การสร้าง

สรุป
มุมมอง

ทีมพัฒนาของเดอะลาสต์ออฟอัส ใช้เวลาคัดเลือกนักแสดงผู้รับบทโจเอล มากกว่าการคัดเลือกผู้รับบทเอลลี เนื่องจากเคมีระหว่างตัวละครทั้งสองมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อเกม หลังจากที่ทรอย เบเกอร์ ได้แสดงร่วมกับแอชลีย์ จอห์นสัน ผู้รับบทเอลลี ทีมงานก็ตระหนักได้ว่าเขาเหมาะสมอย่างยิ่งกับบทโจเอล แม้อายุของเขาจะยังน้อยก็ตาม[1] นีล ดรักแมนน์ ผู้กำกับสร้างสรรค์ของเกม ระบุว่าเสียงและท่าทางของเบเกอร์คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้ทีมเลือกเขามารับบทนี้[1] เบเกอร์มีส่วนช่วยอย่างมากในการพัฒนาตัวละครโจเอล ยกตัวอย่างเช่น เขาเป็นคนโน้มน้าวให้ดรักแมนน์เชื่อว่า โจเอลควรจะมีความรู้สึกผูกพันกับเทส เพราะเขารู้สึกโดดเดี่ยวข้างใน[2] ในการออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของโจเอล ทีมงานต้องการให้เขาดู "ยืดหยุ่น" พอที่จะเป็นได้ทั้ง "ผู้มีฝีมืออันโหดเหี้ยมในโลกใต้ดินของเมืองที่ถูกกักกัน" และ "พ่อผู้แสนอบอุ่นที่ดูแลเอลลี" ไปพร้อมกัน[3] พวกเขาออกแบบรูปลักษณ์ของเขาให้นำเสนอภาพลักษณ์แบบ "อเมริกานาชนบท" ซึ่งสื่อถึงคุณค่าของการพึ่งพาตนเองและการเอาตัวรอดเมื่อเผชิญกับความทุกข์ยาก[3] นอกจากนี้ ทีมงานยังได้ทดลองปรับเปลี่ยนรูปลักษณ์ของเขาเพื่อกำหนดอายุของตัวละครในเกมให้เหมาะสมด้วย[4]

Thumb
ทีมออกแบบงานศิลป์ได้ทดลองปรับรูปลักษณ์ของโจเอลตลอดกระบวนการพัฒนาเกม เพื่อกำหนดอายุของเขาในเดอะลาสต์ออฟอัส

ในการเขียนบทตัวละครโจเอล นีล ดรักแมนน์ได้รับแรงบันดาลใจเริ่มต้นจากบทบาทของจอช โบรลิน ในบทลูเวลลิน มอส จากภาพยนตร์ ล่าคนดุในเมืองเดือด (2007) ซึ่งเขามองว่าเป็นตัวละครที่ "เงียบขรึม เยือกเย็นภายใต้ความกดดัน"[5] อย่างไรก็ตาม การตีความของทรอย เบเกอร์ที่มองว่าโจเอลเป็นคนที่มีอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าเดิม ได้ทำให้ตัวละครเปลี่ยนแปลงไปอีกทิศทางหนึ่ง[5] ท้ายที่สุด เนื้อเรื่องได้กลายเป็นการสำรวจว่า "พ่อคนหนึ่งพร้อมจะทำได้มากแค่ไหนเพื่อช่วยลูก" ในช่วงแรก โจเอลยินดีที่จะเสียสละตัวเองเพื่อปกป้องเอลลี จากนั้นเขาก็เปลี่ยนไปจนถึงขั้นยอมเสียสละเพื่อนของตัวเอง และสุดท้ายเขาก็ยอมแม้กระทั่งจะแลกกับมนุษยชาติทั้งโลก เพื่อให้เอลลีมีชีวิตรอด[6]

ดรักแมนน์เชื่อว่า ผู้เล่น โดยเฉพาะผู้ที่เป็นพ่อแม่ จะสามารถเข้าถึงตัวตนของโจเอลและความสัมพันธ์ที่เขามีกับเอลลีได้[7] เบเกอร์มองว่า โจเอลค่อย ๆ ค้นพบศีลธรรมระหว่างการดำเนินเรื่องของเกม โดยเรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง "การสูญเสีย" กับ "การเสียสละ" และเผยตัวตนที่แท้จริงของเขาออกมา[8] ดรักแมนน์รู้สึกสนใจเมื่อเห็นผู้เล่นพูดคุยเกี่ยวกับศีลธรรมของโจเอล และตั้งคำถามว่าเขาเป็น "ฮีโร่" หรือ "วายร้าย" ซึ่งเขาให้ความเห็นว่า โจเอลไม่ใช่สิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยตรง แต่เป็น "คนธรรมดาที่ซับซ้อน ซึ่งเคยตัดสินใจทั้งถูกและผิด" และเขาตั้งใจเปิดช่องให้ผู้เล่นตีความกันเอง[9] ตอนที่เบเกอร์มาออดิชัน เขาได้อ่านประโยคหนึ่งในเอกสารตัวละครว่า "โจเอลแทบไม่เหลือเส้นแบ่งทางศีลธรรมให้ก้าวข้ามอีกแล้ว" ซึ่งกลายเป็น "จุดยึดสำคัญ" ที่เขาใช้พัฒนาคาแร็กเตอร์นี้[1] เบเกอร์รู้สึกว่าฉากเปิดเรื่องที่เขาต้องแสดงร่วมกับตัวละครลูกสาวของโจเอล ซาราห์ รับบทโดยฮานา เฮส์ เป็นฉากที่แสดงยากมาก หลังจากที่ถ่ายทำวันแรก ดรักแมนน์ยังรู้สึกว่าสามารถทำได้ดีกว่านี้ จึงอธิบายแนวทางใหม่ให้เบเกอร์ และเมื่อถ่ายซ้ำ เขาก็รู้สึกว่านั่นคือเทกที่ดีที่สุด แม้ตอนแรกเบเกอร์จะคิดว่าฉากนี้ดู "เหมือนหุ่นยนต์" ไปหน่อย แต่ในภายหลังเขาก็ตระหนักได้ว่า ตนเองพยายามแสดงเพื่อให้คนดูประทับใจมากเกินไป ทั้งที่จริง ๆ แล้ว "ฉากนี้ไม่ต้องการสิ่งนั้นเลย"[1]

ดรักแมนน์มองว่า เส้นเรื่องของตัวละครโจเอลได้จบสมบูรณ์แล้วหลังจบภาคแรก[10] การเสียชีวิตของโจเอลเป็นแกนหลักของโครงสร้างเนื้อเรื่องใน เดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต II มาตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการพัฒนา[11] ซึ่งดรักแมนน์ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในฉากที่เขียน ซ้อม และถ่ายทำได้ยากที่สุด[12]:6:05 แม้แนวคิดนี้จะถูกต่อต้านจากภายในในช่วงแรก แต่เมื่อนำไปเชื่อมโยงกับพล็อตเรื่องที่ขยายออกไป ทีมงานก็ยิ่งมั่นใจว่าเป็นสิ่งที่ควรเกิดขึ้น[11] เดิมทีในฉากที่โจเอลกำลังจะตาย เขาถูกเขียนให้เอ่ยชื่อ "ซาราห์" ลูกสาวของเขา แต่ทรอย เบเกอร์เสนอให้เขาเงียบไว้จะดีกว่า[13] ในขณะที่การตายของซาราห์ในภาคแรกมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างความเศร้า การตายของโจเอลในภาคสองกลับมุ่งกระตุ้นความโกรธแก่ผู้เล่น[14]:30:52 เดิมทีเอลลีจะไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ และได้รับแจ้งจากทอมมี น้องชายของโจเอลภายหลัง[15] แต่ดรักแมนน์ตัดสินใจให้เอลลีได้เห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง เพื่อถ่ายทอดอารมณ์โกรธของผู้เล่นอย่างเข้มข้น[16] เขาต้องการให้ฉากนี้ดู "น่ารังเกียจ ไร้เกียรติ และน่าอับอาย" ไม่ใช่ฉากที่ดูฮีโร่หรือสง่างาม[17][18] เดิมทีฉากนี้มีความโหดร้ายกว่านี้ แต่ก็ถูกลดความรุนแรงลงเพราะไม่จำเป็นต้องเน้นเลือดมากนัก[19]:16:34 ดรักแมนน์คาดไว้แล้วว่าอาจมีปฏิกิริยาเชิงลบตามมา แต่เขาเชื่อว่าการเล่าเรื่องนี้เป็นสิ่งจำเป็น และในฐานะที่นอตีด็อกเป็นสตูดิโอระดับแนวหน้า จึงมีโอกาสรับความเสี่ยงที่สตูดิโออื่นอาจไม่กล้า[20] ในเวอร์ชันแรกของฉาก โจเอลถูกแอ็บบีแทงจากด้านหลังและบิดมีดจนพิการ แต่ทีมงานเลือกเปลี่ยนอาวุธเป็นไม้กอล์ฟแทน เพราะมีดมักจะเชื่อมโยงกับเอลลีมากกว่า อีกทั้งยังได้แรงบันดาลใจบางส่วนจากเหตุการณ์ในวัยเด็กของดรักแมนน์เอง[21]

ซีรีส์โทรทัศน์

Thumb
เปโดร ปัสกัล (ซ้าย) กำลังถ่ายทำซีซันแรกของเดอะลาสต์ออฟอัส ที่เมืองแคนมอร์ รัฐแอลเบอร์ตา ใน เดือนพฤศจิกายน 2021 โดยมีกาเบรียล ลูนา (ขวา) รับบทเป็นทอมมี ร่วมฉากอยู่ด้วย

เปโดร ปัสกัล ได้รับบทเป็น "โจเอล" ในซีรีส์ฉบับโทรทัศน์ของช่องเอชบีโอ เมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2021[22] ก่อนหน้านั้นในวันเดียวกัน มีรายงานว่ามาเฮอร์ชาลา อาลี เคยได้รับการเสนอชื่อให้รับบทนี้ หลังจากที่แมตทิว แมกคอนาเฮย์ปฏิเสธ[23] อย่างไรก็ตาม เดอะฮอลลิวูดรีพอร์เตอร์ระบุว่า อาลีแม้จะมีการพูดคุยเบื้องต้นเกี่ยวกับบท แต่ข้อตกลงก็ไม่เคยเกิดขึ้น[24] หลังจากซีซันสองของเดอะแมนดาลอเรียนออกฉาย ปัสกัลก็ว่างจากโปรเจกต์ และได้รับข้อเสนอจากหลายเครือข่ายใหญ่ ก่อนจะเลือกเดอะลาสต์ออฟอัส[25] เมซิน และนีล ดรักแมนน์ได้พิจารณาปัสกัลไว้ตั้งแต่แรกแล้ว และเขาตอบรับบทนี้ภายในเวลาไม่ถึง 24 ชั่วโมง[26] โดยได้รับอนุญาตจากผู้ผลิตเดอะแมนดาโลเรียนให้รับงานนี้ได้[27] มีรายงานว่าเปโดร ปัสกัลได้รับค่าตัวประมาณ 600,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งตอน ทำให้เขาเป็นหนึ่งในนักแสดงโทรทัศน์ที่มีรายได้สูงที่สุดในอเมริกา[28]

ทีมผู้สร้างเลือกเปโดร ปัสกัลให้รับบทโจเอล เพราะเขาสามารถถ่ายทอดความแข็งแกร่ง ความเจ็บปวดภายใน และความเปราะบางของตัวละครได้อย่างลึกซึ้ง โดยเฉพาะการเก็บงำความรู้สึกไว้ จนกระทั่งถึงเวลาที่จำเป็นต้องเปิดเผย[29] แม้ปัสกัลจะไม่ใช่เกมเมอร์ เขาก็ได้ดูหลานชายเล่นช่วงต้นของเกมภาคแรก เพราะเขาไม่มีทักษะพอจะเล่นเอง เขารู้สึกว่าโจเอลเป็นตัวละครที่ "น่าประทับใจมาก" แต่ก็รู้สึกกังวลว่าจะเลียนแบบจากเกมมากเกินไป เขาจึงเลือกที่จะ "เว้นระยะอย่างเหมาะสม" และเปิดโอกาสให้ผู้สร้างซีรีส์เป็นผู้กำหนดลักษณะของตัวละครแทน[30] ปัสกัลนำเสียงของโจเอลมาอ้างอิงจากประสบการณ์ส่วนตัวของเขาในช่วงที่เติบโตที่แซนแอนโทนีโอ รัฐเท็กซัส โดยลดความเด่นชัดของสำเนียงภาคใต้ที่มีในเกมลง[31] ทรอย เบเกอร์ ซึ่งได้รับบท "เจมส์" ในตอน "When We Are in Need" กล่าวชื่นชมที่ปัสกัลไม่พยายามเลียนแบบการแสดงของเขาในเกม และมองว่าเขานำเสนอ "ความรู้สึกเฉพาะตัวที่แตกต่างออกไป" สู่บทโจเอลในฉบับซีรีส์[32]

Remove ads

ลักษณะตัวละคร

สรุป
มุมมอง

ในฉากเปิดเรื่องของเดอะลาสต์ออฟอัส โจเอลถูกนำเสนอในฐานะพ่อเลี้ยงเดี่ยวที่อ่อนไหวและมีความผูกพันทางอารมณ์อย่างลึกซึ้งกับลูกสาวของเขา แต่หลังจากการสูญเสียลูกและการเผชิญกับเหตุการณ์โหดร้ายตลอด 20 ปีต่อมา[33] เขาก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนที่ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา และลังเลเมื่อถูกขอให้พาเอลลีเดินทาง[34] โจเอลมักถูกมองว่าเป็น "ตัวเอกปฏิลักษณ์"[33][35][36][37] เขาเป็นผู้รอดชีวิตที่แข็งกร้าว ความหมกมุ่นในการเอาชีวิตรอดของเขาถูกผลักดันจากการที่เขาชินชาไปกับความสูญเสีย โดยเฉพาะการสูญเสียลูกสาว หลายปีแห่งการเอาตัวรอดทำให้โจเอลกลายเป็นคนที่รอบคอบ ปฏิบัตินิยม และแทบไม่เปิดเผยอารมณ์ แม้ลึก ๆ แล้วเขายังคงมีบาดแผลในใจและความเปราะบาง[38][39][40] เขาหลีกเลี่ยงการผูกพันกับผู้อื่นเพราะกลัวจะต้องสูญเสียอีก[39] ท่าทางการเคลื่อนไหวของเขาแต่ละอย่างสะท้อนถึงอายุและประสบการณ์ที่แบกรับ รวมถึงความรู้สึกผิดจากชีวิตที่ต้องพรากจากคนอื่น[41] เมื่อเรื่องราวดำเนินไป โจเอลเริ่มเปิดใจและอ่อนไหวต่อเอลลีมากขึ้น พูดคุยกับเธอในแบบที่เขาเคยพูดกับลูกสาวเพียงคนเดียว[34] การที่เขาตัดสินใจช่วยเอลลีในตอนจบของเกมภาคแรก แสดงให้เห็นว่าเขาผูกพันกับเธอมากเกินกว่าจะ "ทำสิ่งที่ถูกต้อง" ซึ่งเป็นลักษณะที่มักปรากฏในตัวละครชายที่เป็นวีรบุรุษ[37] การกระทำของเขาถูกตีความต่างกันออกไป บ้างก็มองว่าเป็นการไถ่บาปของเขา[42] ขณะที่อีกฝ่ายกลับมองว่าเป็นการเห็นแก่ตัวล้วน ๆ[38][39]

Remove ads

การปรากฏตัว

สรุป
มุมมอง

โจเอลมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ที่รัฐเท็กซัส และเป็นพ่อเลี้ยงเดี่ยวในวัยปลายยี่สิบหรือต้นสามสิบ[a] ตอนที่เกิดการระบาดของเชื้อคอร์ดิเซปส์ครั้งแรก เขาหลบหนีออกจากบ้านใกล้ออสตินพร้อมกับทอมมี น้องชาย และซาราห์ ลูกสาววัย 12 ปี แต่ระหว่างทางพวกเขาเกิดการปะทะกับทหาร และซาราห์ถูกยิงจนบาดเจ็บสาหัส ก่อนจะเสียชีวิตในอ้อมแขนของเขา เหตุการณ์นี้ทิ้งร่องรอยความเจ็บปวดลึกไว้ในใจเขา ตลอด 20 ปีหลังจากนั้น โจเอลทำทุกอย่างที่จำเป็นเพื่อให้รอดชีวิต[48][49] ในโลกหลังการล่มสลายที่เต็มไปด้วยความโหดร้าย เขายังคงจมอยู่กับความขมขื่นจากการสูญเสียลูกสาว และกลายเป็นผู้รอดชีวิตที่ทั้งแข็งแกร่งทางร่างกายและจิตใจ เขามีสไตล์การต่อสู้ที่ดุดัน รุนแรง และสามารถเอาชนะชายที่อายุน้อยกว่าด้วยการต่อสู้ด้วยมือเปล่าได้อย่างง่ายดาย[39][50]

ยี่สิบปีหลังจากการตายของซาราห์ โจเอลทำงานเป็นผู้ลักลอบขนของผิดกฎหมายในเขตกักกันเมืองบอสตันซึ่งอยู่ภายใต้การปกครองแบบเผด็จการทหาร โดยทำงานร่วมกับเทส เพื่อนและหุ้นส่วนของเขา ระหว่างที่กำลังตามหาอดีตผู้ร่วมงานที่ขโมยสินค้าของพวกเขา โจเอลและเทสได้รับมอบหมายจากมาร์ลีน ผู้นำกลุ่มกบฏที่เรียกว่า "ไฟร์ฟลายส์" และคนรู้จักเก่า ให้พาเอลลี เด็กหญิงวัย 14 ปี ไปยังจุดนัดพบ ระหว่างการเดินทาง โจเอลค้นพบว่าเอลลีมีภูมิต้านทานต่อเชื้อรา เมื่อไปถึงจุดหมาย เทสเผยว่าเธอถูกติดเชื้อและขอให้โจเอลไปตามหาทอมมี น้องชายของเขาและอดีตสมาชิกไฟร์ฟลายส์ เพื่อส่งต่อภารกิจต่อไป ตอนแรก โจเอลมีท่าทีเย็นชาและห่างเหินกับเอลลี แต่เมื่อการเดินทางดำเนินไป เขาเริ่มเปิดใจและผูกพันกับเธอมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเดินทางไปถึงที่พักของทอมมีในแจ็กสัน โจเอลในตอนแรกพยายามขอให้ทอมมีรับหน้าที่แทน แต่สุดท้ายเขาก็ตัดสินใจไปต่อด้วยตนเอง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเมื่อโจเอลเกือบเสียชีวิตจากอาการบาดเจ็บสาหัส และเอลลีเป็นคนดูแลเขาจนรอดมาได้ รวมถึงเหตุการณ์ที่เขาช่วยชีวิตเอลลีจากกลุ่มมนุษย์กินคนในโคโลราโด ท้ายที่สุด โจเอลแสดงให้เห็นถึงความรักและความผูกพันที่เขามีต่อเอลลีอย่างสุดหัวใจ เมื่อเขาตัดสินใจบุกช่วยเธอจากการผ่าตัดโดยแพทย์ของไฟร์ฟลายส์ ซึ่งวางแผนจะนำสมองของเธอไปศึกษาเพื่อสร้างวัคซีน แม้ว่าการกระทำนั้นจะหมายถึงการสูญเสียโอกาสรักษาโลกก็ตาม เพื่อไม่ให้ใครตามล่าเขา เขาฆ่ามาร์ลีนและพาเอลลีหลบหนี ระหว่างทาง เอลลีฟื้นขึ้นมา และโจเอลโกหกเธอว่าแพทย์ยอมแพ้ในการค้นหาทางรักษา เอลลีภายหลังเผชิญหน้ากับเขาเรื่องเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น แต่โจเอลก็ยืนยันหนักแน่นว่าเขาพูดความจริง

โจเอลและเอลลีเริ่มต้นชีวิตใหม่ร่วมกันที่เมืองแจ็กสันกับทอมมี น้องชายของเขา ในฉากเปิดของเดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต II โจเอลสารภาพกับทอมมีว่าเขารู้สึกผิดที่โกหกเอลลีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่โรงพยาบาล เหตุการณ์ย้อนหลังในเกมเผยให้เห็นว่า โจเอลเคยพาเอลลีไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์ในวันเกิดของเธอ และในเวลาต่อมา เอลลีได้เดินทางกลับไปยังโรงพยาบาลเองเพื่อตามหาความจริง จนเขาต้องยอมรับสารภาพกับเธอด้วยตนเอง สี่ปีหลังจากเหตุการณ์ในภาคแรก ความสัมพันธ์ของทั้งสองเริ่มตึงเครียด โจเอลสารภาพว่าเขาไม่เสียใจกับการที่เลือกช่วยเอลลีและหยุดยั้งไฟร์ฟลายส์ ขณะที่เอลลีรับปากว่าจะพยายามให้อภัยเขา ในวันถัดมา ระหว่างออกลาดตระเวน โจเอลและทอมมีช่วยชีวิตหญิงแปลกหน้าชื่อแอ็บบีจากฝูงผู้ติดเชื้อ ทั้งสามหนีฝ่าไปจนถึงที่พักของกลุ่มแอ็บบี เมื่อพวกเขาแนะนำตัวกันเสร็จ กลุ่มของแอ็บบีก็เผยธาตุแท้และรุมทำร้ายโจเอลกับทอมมีทันที ปรากฏว่ากลุ่มนี้เคยเป็นอดีตสมาชิกไฟร์ฟลายส์ และปัจจุบันเป็นสมาชิกของกองกำลังติดอาวุธชื่อ Washington Liberation Front (WLF) ซึ่งมีฐานอยู่ที่ซีแอตเทิล เอลลีตามมาถึงแต่ก็ไม่ทันช่วย เธอถูกจับตัวไว้ และต้องทนมองดูแอ็บบีใช้ไม้กอล์ฟทุบโจเอลจนเสียชีวิตอย่างโหดร้าย ภายหลังจึงเปิดเผยว่า พ่อของแอ็บบีคือศัลยแพทย์ของไฟร์ฟลายส์ที่โจเอลฆ่าไปในภาคแรกขณะพยายามช่วยชีวิตเอลลี และกลุ่มของแอ็บบีก็ออกตามล่าเพื่อแก้แค้นมาตลอดหลายปี

Remove ads

การตอบรับ

สรุป
มุมมอง
Thumb
Thumb
การแสดงของทรอย เบเกอร์ (ซ้าย) และเปโดร ปัสกัล ในบทโจเอลจากเกมและซีรีส์ตามลำดับ ได้รับคำชื่นชมอย่างมาก[51][52][53]

ตัวละครโจเอลได้รับเสียงตอบรับในแง่บวกโดยทั่วไป โคลิน โมริอาร์ตีจากไอจีเอ็น ระบุว่าเขารู้สึกผูกพันกับตัวละครนี้และมองว่าโจเอลเป็นคนที่น่าชื่นชอบ[54] แอนดี เคลลี จากคอมพิวเตอร์แอนด์วิดีโอเกมส์ เขียนว่าโจเอลมี "ความอบอุ่นที่น่ารักในสำเนียงเท็กซัสที่พูดน้อยแต่ชัดเจน"[55] ขณะที่เดวิด ไมเคิลแฮม จากเพลย์สเตชันออฟฟิเชียลแมกกาซีน เปรียบลักษณะความเป็นเท็กซัสของเขาว่าคล้ายกับลูเวลลิน มอส จากล่าคนดุในเมืองเดือด[56] เจมส์ สเตฟานี สเตอร์ลิง จากเดสทรักทอยด์ ก็รู้สึกว่าโจเอลเป็นตัวละครที่น่าชอบ แม้เขาจะหงุดหงิดง่ายและใช้โทนเสียงที่แข็งกระด้างก็ตาม[57] ขณะเดียวกัน โอลี เวลช์ จากยูโรเกมเมอร์ มองว่าเมื่อถึงท้ายเกม ทั้งโจเอลและเอลลีได้เติบโตจากตัวละครที่ดูเหมือน "ภาพจำ" ไปสู่บุคลิกที่มีความลึกและเป็นมนุษย์มากขึ้น[51] ในทางกลับกัน ทอม แม็กเชีย จากเกมสปอต กลับเห็นต่าง โดยเขารู้สึกว่าโจเอลไม่น่าชอบและยากจะเข้าถึงหรือเข้าใจได้[58]

นักวิจารณ์ต่างชื่นชมความสัมพันธ์ระหว่างโจเอลกับเอลลีเป็นอย่างมาก แมตต์ เฮลเกสัน จากเกมอินฟอร์มเมอร์ กล่าวว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ "ลึกซึ้งกินใจ" และถูกถ่ายทอดออกมาอย่าง "ประณีตงดงาม"[59] ริชาร์ด มิตเชลล์ จากจอยสติก มองว่ามัน "จริงใจ" และเต็มไปด้วยอารมณ์[60] ขณะที่โคลิน โมริอาร์ตี จากไอจีเอ็น ระบุว่านี่คือหนึ่งในไฮไลต์ของเกม[54] โอลี เวลช์ จากยูโรเกมเมอร์ ชื่นชมว่าตัวละครทั้งสองได้รับการพัฒนาอย่าง "อดทนและมีทักษะ"[51] ฟิลิป คอลลาร์ จากโพลีกอน เสริมว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่ได้รับแรงเสริมจากบทสนทนาเสริมที่ผู้เล่นสามารถเลือกได้ในเกม[61] คิมเบอร์ลี วอลเลซ จากเกมอินฟอร์มเมอร์ ยกให้โจเอลและเอลลีเป็นหนึ่งใน "คู่หูที่ดีที่สุดในเกมปี 2013" โดยเน้นย้ำถึงความห่วงใยและการปกป้องซึ่งกันและกัน[62] ไคล์ ฮิลเลียร์ด จากสื่อเดียวกัน เปรียบเทียบความสัมพันธ์ของทั้งสองกับพรินซ์ และเอลิกาจากเกมพรินซ์ออฟเปอร์เซีย (2008) โดยกล่าวว่าทั้งสองคู่ต่างก็มีความรักใคร่ห่วงใยกันอย่างลึกซึ้ง และยกย่อง "จุดไคลแมกซ์ทางอารมณ์" ของเดอะลาสต์ออฟอัส ว่าเหนือกว่าที่เกมพรินซ์ออฟเปอร์เซียทำได้[63] เดวิด ไมเคิลแฮม จากเพลย์สเตชันออฟฟิเชียลแมกกาซีน ยังได้ยกให้โจเอลและเอลลีเป็นตัวละครที่ดีที่สุดในเกมบนเพลย์สเตชัน 3[56]

การแสดงของทรอย เบเกอร์ในบทโจเอลได้รับคำชมอย่างล้นหลาม[51] เอดจ์ระบุว่า เขาและแอชลีย์ จอห์นสัน (ผู้รับบทเอลลี) "เติมความลึกซึ้งกินใจให้กับบทที่เขียนมาอย่างประณีต"[64] แอนโธนี เซเวอริโน จากเพลย์สเตชันไลฟ์สไตล์ กล่าวว่าการแสดงของเบเกอร์ทำให้เขารู้สึกผูกพันกับตัวละคร[65] ขณะที่เจียนคาร์โล วาลเดส จากเวนเชอร์บีต ชื่นชมที่เขาใส่ "รายละเอียดและความซับซ้อน" เข้าไปในบทบาทนี้[66] จากผลงานในเดอะลาสต์ออฟอัส เบเกอร์ได้รับรางวัลนักพากย์ยอดเยี่ยม (Best Voice Actor) จากงานสไปก์วีจีเอกซ์[67] และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักแสดงยอดเยี่ยมจากเดอะเดลีเทเลกราฟ[68] รางวัล Outstanding Character Performance จากเวที D.I.C.E. Awards ครั้งที่ 17[69] และรางวัล Performer จาก British Academy Video Games Awards[70] สำหรับบทบาทในเดอะลาสต์ออฟอัส พาร์ต II เบเกอร์ก็ยังได้รับคำชื่นชมคล้าย ๆ กัน[71][72][73][74] อเล็กซ์ เอวาร์ด จากเกมส์เรดาร์+ เขียนว่าเบเกอร์ "ขโมยซีนสำคัญหลายฉากในฐานะโจเอล" โดยเพิ่มความซับซ้อนที่ยกระดับตัวละครและความสัมพันธ์ให้ลึกขึ้น[75] อีวาน ลูอิส จากเอนเตอร์เทนเมนต์วีกลี ระบุว่าเบเกอร์ "สมควรได้รับทุกคำชื่นชมจากการแสดงที่บีบหัวใจนี้"[76] ส่วนดอร์นบุช จากไอจีเอ็น ชื่นชมว่าเบเกอร์ถ่ายทอดความเหนื่อยล้าทางอารมณ์ของโจเอลได้อย่างยอดเยี่ยม[77] จากบทบาทนี้ เบเกอร์คว้ารางวัล Outstanding Supporting Performance in a Drama จากเวที National Academy of Video Game Trade Reviewers Awards[52] และยังได้เข้าชิงรางวัล Performer in a Supporting Role จากงาน British Academy Games Awards ครั้งที่ 17 อีกด้วย[78]

ในฉบับซีรีส์ทางโทรทัศน์ การแสดงของเปโดร ปัสกัลในบทโจเอล และเคมีระหว่างเขากับเบลลา แรมซีย์ ผู้รับบทเอลลี[53][79][80] ได้รับคำชื่นชมอย่างล้นหลาม จอห์น นูเจนต์ จากเอ็มไพร์ และวาเลอรี เอตเทนฮอฟเฟอร์ จาก/ฟิล์ม ต่างยกให้การแสดงครั้งนี้เป็นผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตของปัสกัล โดยชื่นชมความสามารถในการถ่ายทอดความรู้สึกที่ละเอียดอ่อนและเปราะบางอย่างหายาก[81][82] แอ็กเซล เมตซ์ จากเทคเรดาร์ ระบุว่าปัสกัลคือ "ตัวตนในโลกจริงของโจเอลที่สมบูรณ์แบบ" มาร์ก ดีแลนีย์ จากเกมสปอต ถึงกับบอกว่าเขาร้องไห้สองครั้งในตอนแรกของซีรีส์ เพราะความสามารถของปัสกัลในการถ่ายทอดหลากหลายมุมของโจเอล[83] แอรอน เบย์น จากพุชสแควร์ ก็กล่าวว่าปัสกัลสะท้อนความเจ็บปวดในใจของโจเอลได้อย่างลึกซึ้งโดยไม่ต้องพูดออกมา[84] ในตอนที่ 4 เดวิด โคต จากดิเอ. วี. คลับ ชื่นชอบอารมณ์อบอุ่นและอารมณ์ขันของโจเอล โดยเฉพาะฉากที่เขาสอนเอลลี[85] ปัสกัลได้รับรางวัลจากหลายเวที อาทิ Astra TV Awards, MTV Movie & TV Awards[86], People's Choice Awards และ Screen Actors Guild Awards[87] นอกจากนี้ยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงอีกหลายรางวัล เช่น Golden Globe Awards[88], Television Critics Association Awards[89] และ Primetime Emmy Awards ถึงสองสาขาอีกด้วย[90][91]

Remove ads

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads