คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ความจำอาศัยเหตุการณ์
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ความจำอาศัยเหตุการณ์[1] (อังกฤษ: episodic memory) เป็นความจำเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ ในชีวประวัติของตนเอง (รวมทั้งข้อมูลเกี่ยวกับวันเวลา สถานที่ อารมณ์ความรู้สึกที่มี และเรื่องที่เกี่ยวข้องกันอื่น ๆ) ที่สามารถระลึกได้ภายใต้อำนาจจิตใจและนำมากล่าวได้อย่างชัดแจ้ง เป็นความจำรวมประสบการณ์ต่าง ๆ ของตนในอดีต แต่ละเหตุการณ์เกิดขึ้นที่วันเวลาหนึ่ง ๆ และในสถานที่หนึ่ง ๆ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราระลึกถึงงานเลี้ยง (หรือการทำบุญ) วันเกิดเมื่ออายุ 6 ขวบได้ นี่เป็นความจำอาศัยเหตุการณ์ เป็นความจำที่ยังให้เราสามารถเดินทางกลับไปในกาลเวลา (ในใจ) เพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่วันเวลานั้น ๆ และสถานที่นั้น ๆ[2]
ความจำอาศัยความหมาย (semantic memory) และความจำอาศัยเหตุการณ์รวมกันจัดอยู่ในประเภทความจำชัดแจ้ง (explicit memory) หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ความจำเชิงประกาศ (declarative memory) ซึ่งเป็นหนึ่งในสองประเภทหลัก ๆ ของความจำ (โดยอีกประเภทหนึ่งเป็นความจำโดยปริยาย)[3] นักจิตวิทยาชาวแคนาดาชื่อว่าเอ็นเด็ล ทัลวิง ได้บัญญัติคำว่า "Episodic Memory" ไว้ในปี ค.ศ. 1972 เพื่อที่จะแสดงถึงความต่างกันระหว่าง "การรู้" และ "การจำได้" คือ การรู้เป็นการรู้ความจริง (factual) หรือความหมาย (semantic) เปรียบเทียบกับการจำได้ซึ่งเป็นความรู้สึกเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอดีต (episodic)[4]
ศ. ทัลวิงได้กำหนดลักษณะสำคัญสามอย่างของการระลึกถึงความจำอาศัยเหตุการณ์ที่มีอิทธิพลอย่างสูงต่องานวิจัยต่อ ๆ มา คือ
- เป็นความรู้สึกที่เป็นอัตวิสัยเกี่ยวกับกาลเวลา (หรือบางครั้งพรรณนาว่า เป็นการเที่ยวย้อนกลับไปในเวลาทางใจ)
- เป็นความรู้สึกที่เกี่ยวกับตน
- เป็น autonoetic consciousness ซึ่งหมายถึงการระลึกถึงการกระทำที่ตัวเองจำได้ ซึ่งช่วยให้ตัวเองตระหนักถึงตัวเอง ณ เวลาในตอนนั้นๆ
นอกจากทัลวิงแล้ว ยังมีนักวิจัยอื่น ๆ ที่กำหนดลักษณะสำคัญต่าง ๆ ของการระลึกถึงความจำรวมทั้งการเห็นภาพทางตา โครงสร้างแบบเป็นเรื่องเล่า การค้นคืนข้อมูลเชิงความหมาย (semantic information) และความรู้สึกคุ้นเคย[5]
เหตุการณ์ที่บันทึกไว้ในความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic memory) อาจจะทำให้เกิดการเรียนรู้อาศัยเหตุการณ์ (episodic learning) ซึ่งก็คือ ความเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมเพราะเหตุการณ์ที่ได้ประสบ[6][7] ยกตัวอย่างเช่น ความกลัวสุนัขเพราะว่าถูกกัด เป็นผลของการเรียนรู้อาศัยเหตุการณ์
องค์ประกอบสำคัญอย่างหนึ่งของความจำอาศัยเหตุการณ์ก็คือกระบวนการระลึกถึงความจำ (recollection) ซึ่งเป็นกระบวนการที่เริ่มการค้นคืนของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หรือประสบการณ์หนึ่ง ๆ ในอดีต
Remove ads
ลักษณะ 9 อย่างของความจำอาศัยเหตุการณ์
มีคุณลักษณะ 9 อย่างของความจำอาศัยเหตุการณ์ที่ทำให้แตกต่างจากความจำประเภทอื่น ๆ แม้ว่า ความจำประเภทอื่น ๆ อาจจะมีคุณลักษณะบางอย่างเหล่านี้ได้บ้าง แต่ความจำอาศัยเหตุการณ์มีลักษณะพิเศษเฉพาะเพราะเป็นประเภทเดียวที่มีทั้ง 9 ลักษณะ[8]
- มีการบันทึกโดยสรุปของการประมวลผลผ่านวิถี sensory-perceptual-conceptual-affective (ประสาทสัมผัส-การรับรู้-ความนึกคิด-อารมณ์)
- คงรูปแบบของการเร้า (activation) หรือการยับยั้ง (inhibition) ไว้ได้นาน
- มักจะบันทึกไว้ในรูปแบบของภาพทางตา (visual image)
- มีมุมมอง ("field" เป็นมุมมองเหมือนกับที่ประสบกับเหตุการณ์ หรือ "observer" คือ มุมมองของผู้สังเกตการณ์คนอื่น)
- เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ของประสบการณ์
- เป็นไปตามลำดับเหตุการณ์
- ลืมได้ง่าย
- ทำให้การระลึกถึงอัตชีวประวัติเป็นไปโดยเฉพาะเจาะจง
- เมื่อระลึกถึง เหมือนกับอยู่ในเหตุการณ์นั้นอีกครั้งหนึ่ง (mental time travel)
Remove ads
ประสาทวิทยาศาสตร์เชิงประชาน
การสร้างความจำอาศัยเหตุการณ์ขึ้นใหม่ต้องอาศัยสมองกลีบขมับด้านใน (medial temporal lobe ตัวย่อ MTL) ซึ่งเป็นโครงสร้างที่รวมฮิปโปแคมปัสอยู่ด้วย ถ้าไม่มี MTL ก็จะยังสามารถสร้างความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural memory) เช่นทักษะเกี่ยวกับการเล่นเครื่องดนตรีได้ แต่จะไม่สามารถระลึกถึงเหตุการณ์ที่มีการเล่นดนตรีหรือการฝึกหัดเล่นเครื่องดนตรีนั้นได้
สมองส่วน prefrontal cortex (ตัวย่อ PFC) โดยเฉพาะอย่างยิ่งในซีกขวา ก็มีส่วนร่วมในการสร้างความจำอาศัยเหตการณ์ใหม่ ๆ (เป็นกระบวนการที่เรียกว่า episodic encoding [การเข้ารหัสเหตุการณ์]) คนไข้ที่มี PFC เสียหายสามารถเรียนรู้ข้อมูลใหม่ ๆ แต่มักจะเรียนได้อย่างไม่เป็นลำดับ ยกตัวอย่างเช่น อาจจะมีการรู้จำวัตถุที่เคยเห็นมาก่อนในอดีตที่เป็นปกติ แต่ไม่สามารถระลึกได้ว่าได้เห็นที่ไหนหรือเมื่อไร[9] นักวิจัยบางพวกเชื่อว่า PFC ช่วยจัดระเบียบข้อมูลเพื่อการบันทึกที่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ผ่านกระบวนการ executive functions ที่ PFC มีบทบาท ส่วนพวกอื่นเชื่อว่า prefrontal cortex เป็นโครงสร้างที่เป็นฐานของกลยุทธ์เชิงความหมายที่ช่วยการเข้ารหัสให้ดีขึ้น เช่นการคิดถึงความหมายของสิ่งที่เรียนหรือการฝึกซ้อมข้อมูลนั้น (rehearsal) ภายในความจำใช้งาน[10](ซึ่งเป็นกลยุทธ์เชิงความหมายที่ช่วยการเข้ารหัสช่วยให้จำได้ดีขึ้น)
บทบาทของฮิปโปแคมปัสในการเก็บความจำ
นักวิจัยไม่มีมติร่วมกันเกี่ยวกับระยะเวลาที่ความจำอาศัยเหตุการณ์เก็บอยู่ในฮิปโปแคมปัส บางพวกเชื่อว่า ความจำอาศัยเหตุการณ์ต้องอาศัยฮิปโปแคมปัสตลอดไป ส่วนพวกอื่นเชื่อว่า ฮิปโปแคมปัสเป็นที่เก็บความจำอาศัยเหตุการณ์ในช่วงเวลาสั้น ๆ และหลังจากนั้นความจำก็จะเกิดการทำให้มั่นคง (memory consolidation) ให้อยู่ในคอร์เทกซ์ใหม่ (neocortex) ความเห็นหลังนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานในปี ค.ศ. 2004 ว่า เนื้อเยื่อที่เกิดขึ้นใหม่ (neurogenesis) ในฮิปโปแคมปัสของผู้ใหญ่ อาจช่วยให้ลืมความจำเก่าได้ง่ายขึ้น และเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างความจำใหม่[11]
Remove ads
ความสัมพันธ์กับความจำอาศัยความหมาย
เอ็นเด็ล ทัลวิงได้พรรณนาความจำอาศัยเหตุการณ์ว่าเป็นบันทึกประสบการณ์ของตนที่มีข้อมูลประกอบด้วยวันเวลาและมีความสัมพันธ์กันระหว่างพื้นที่ (สถานที่) กับกาลเวลา (spatio-temporal relation)[12] ลักษณะหนึ่งของความจำอาศัยเหตุการณ์ที่ทัลวิงต่อมาขยายความก็คือ ทำให้เราสามารถเที่ยวย้อนไปในกาลเวลาได้[13] คือ สถานการณ์อย่างหนึ่งในปัจจุบันอาจจะช่วยให้ระลึกถึงเหตุการณ์ในอดีตหนึ่ง ๆ มีผลเป็นการประสบกับเหตุการณ์ในอดีตอีกครั้งหนึ่ง (ในใจ) เป็นวิธีที่เราสามารถสัมพันธ์ความรู้สึกในอดีตกับสถานการณ์ในปัจจุบัน
โดยเปรียบเทียบกันแล้ว ความจำอาศัยความหมาย (semantic memory) เป็นการเก็บข้อมูลอย่างมีระเบียบเกี่ยวกับความจริง ความคิด และทักษะที่เราได้เรียนรู้ ข้อมูลเชิงความหมายนั้นมาจากการสั่งสมความจำอาศัยเหตุการณ์ และความจำอาศัยเหตุการณ์สามารถพิจารณาได้ว่าเป็นแผนที่ที่เชื่อมสิ่งต่าง ๆ จากความจำอาศัยความหมาย ยกตัวอย่างเช่น ประสบการณ์เกี่ยวกับสุนัขของเราว่ามีรูปร่างหน้าตาและเสียงเป็นอย่างไรจะมีตัวแทนเชิงความหมายหนึ่ง (ในระบบประสาท) ความจำอาศัยเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกี่ยวกับสุนัขตัวนี้จะอ้างอิงตัวแทนเชิงความหมายนี้ และประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เรามีเกี่ยวกับสุนัขของเราจะเปลี่ยนเพิ่มข้อมูลเกี่ยวกับสุนัขที่ตัวแทนเชิงความหมายเดียวกันนี้
โดยรวมกันแล้ว ความจำอาศัยความหมายและความจำอาศัยเหตุการณ์ประกอบกันเป็นความจำเชิงประกาศ[14] (declarative memory) หรือความจำชัดแจ้ง (explicit memory) ซึ่งแต่ละระบบมีหน้าที่เป็นตัวแทนส่วนต่าง ๆ กันของสถานการณ์นั้น ๆ รวมกันเป็นภาพที่บริบูรณ์ และดังนั้น ถ้ามีเหตุที่รบกวนความจำอาศัยเหตุการณ์ก็จะสามารถมีผลกระทบต่อความจำเชิงความหมายด้วย ยกตัวอย่างเช่นภาวะเสียความจำส่วนอนาคต (anterograde amnesia) ซึ่งเกิดจากความเสียหายที่สมองกลีบขมับด้านใน เป็นความเสียหายต่อความจำเชิงประกาศที่มีผลต่อทั้งความจำอาศัยเหตุการณ์และความจำอาศัยความหมาย[15]
ในตอนต้น ๆ ทัลวิงเสนอว่า ความจำอาศัยเหตุการณ์และความจำเชิงประกาศเป็นระบบที่แตกต่างกันและมีการแข่งขันกันเมื่อมีการค้นคืนความจำ แต่ต่อมา ทฤษฎีนี้ถูกปฏิเสธเมื่อเฮาวาร์ดและกาฮานาทำการทดลองที่วิเคราะห์ความคล้ายกันของคำโดยความหมายโดยใช้เทคนิค latent semantic analysis แล้วพบว่า ระบบความจำทั้งสองมีความสัมพันธ์กัน ไม่ใช่แยกออกจากกัน คือพบว่า แทนที่ความคล้ายคลึงกันโดยความหมาย (ที่เกี่ยวข้องกับระบบความจำอาศัยความหมาย) จะมีกำลังมากขึ้นเมื่อกำลังแห่งการเชื่อมต่อกันโดยกาลเวลา (ที่เกี่ยวข้องกับระบบความจำอาศัยเหตุการณ์) อ่อนลง ระบบทั้งสองกลับปรากฏว่าทำงานเคียงคู่กันโดยที่การระลึกถึงสิ่งเร้าโดยความหมายมีกำลังที่สุดเมื่อการระลึกถึงสิ่งเร้าอาศัยเหตุการณ์มีกำลังมากที่สุดด้วย[16]
Remove ads
ความแตกต่างกันระหว่างวัย
การทำงานของเขตเฉพาะต่าง ๆ ในสมอง (โดยมากในฮิปโปแคมปัส) ดูเหมือนจะมีความแตกต่างกันระหว่างคนที่อายุน้อยกับคนที่อายุมากกว่าในขณะที่ค้นคืนความจำอาศัยเหตุการณ์[17] คือ ผู้มีอายุมากกว่ามักจะเกิดการทำงานในฮิปโปแคมปัสในสมองทั้งสองซีก ในขณะผู้ที่อายุน้อยกว่ามักจะมีการทำงานในสมองซีกซ้าย
ความสัมพันธ์กันกับอารมณ์
ความสัมพันธ์กันระหว่างอารมณ์และความจำนั้นซับซ้อน แต่โดยทั่ว ๆ ไปแล้ว การมีอารมณ์ในเหตุการณ์หนึ่ง ๆ มักจะเพิ่มความเป็นไปได้ว่าจะจำเหตุการณ์นั้นได้ในภายหลัง และจะจำได้อย่างชัดเจน ตัวอย่างหนึ่งก็คือ Flashbulb memory ซึ่งเป็นความจำที่มีรายละเอียดสูง ชัดเจนกว่าปกติ ของขณะ ๆ หนึ่ง หรือของเหตุการณ์สิ่งแวดล้อม เป็นเหตุการณ์ที่เราได้ยินข่าวที่น่าแปลกใจและก่อให้เกิดอารมณ์ความรู้สึก[18]
การเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้ยา
ในผู้ใหญ่ปกติ ความจำอาศัยเหตุการณ์ทางตาในระยะยาวสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างเฉพาะเจาะจง[19] โดยให้ยาประเภท Acetylcholine esterase inhibitor เช่น Donepezil ในขณะที่ความจำทางคำพูดสามารถเพิ่มประสิทธิภาพในบุคคลที่มี single nucleotide polymorphism ประเภท Val158Met (rs4680) ในยีน COMT โดยให้สารยั้บยั้งเอนไซม์ Catechol-O-methyl transferase เช่น Tolcapone[20] นอกจากนั้นแล้ว ความจำอาศัยเหตุการณ์สามารถเพิ่มประสิทธิภาพโดยใช้ยา AZD3480 ซึ่งเป็นตัวทำการ (agonist) ของหน่วยรับความรู้สึก alpha4beta2 nicotinic receptor เป็นยาที่พัฒนาโดยบริษัท Targacept[21] และยังมียาอื่น ๆ ที่กำลังพัฒนาโดยบริษัทหลายบริษัทรวมทั้งสารยับยั้งเอนไซม์ catecholamine-O-methyltransferase ชนิดใหม่ ๆ ที่มีผลข้างเคียงน้อย ซึ่งมีจุดมุ่งหมายในการทำความจำอาศัยเหตุการณ์ให้ดีขึ้น ในปี ค.ศ. 2006 มีงานวิจัยที่ใช้ยาหลอกในกลุ่มควบคุมที่พบว่า DHEA ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ (antagonist) กับสาร cortisol มีผลในการทำความจำในชายหนุ่มมีสุขภาพปกติให้ดีขึ้น[22]
Remove ads
ความเสียหาย
- งานปริทัศน์ของงานวิจัยทางพฤติกรรมบอกเป็นนัยว่า คนไข้โรคออทิซึมบางพวกอาจมีความเสียหายโดยเฉพาะต่อระบบความจำอาศัยเหตุการณ์ที่เขตลิมบิกและ prefrontal cortex[23] ส่วนอีกงานวิจัยหนึ่งบ่งหลักฐานว่ามีความบกพร่องของคนไข้ออทิซึม ในความจำอาศัยเหตุการณ์หรือความจำที่มีความสำนึกว่าเป็นตนในเหตุการณ์ที่ตนได้ประสบ[24]
- คนไข้ที่มีความบกพร่องของความจำอาศัยเหตุการณ์มักจะเรียกว่ามี ภาวะเสียความจำ (amnesia)
- โรคอัลไซเมอร์มักจะทำความเสียหายให้กับฮิปโปแคมปัสก่อนเขตอื่น ๆ ในสมอง
- มีภาวะอาหารเป็นพิษที่เกิดจากสัตว์น้ำประเภทที่มีเปลือกเช่นหอย ปู และกุ้งเป็นต้น ที่เรียกว่า amnesic shellfish poisoning (แปลว่า ภาวะพิษทำให้ความจำเสื่อมจากสัตว์น้ำประเภทที่มีเปลือก) ซึ่งก่อความเสียหายให้แก่ฮิปโปแคมปัสอย่างแก้ไขไม่ได้ ทำให้เกิดภาวะเสียความจำ
- Korsakoff's syndrome (กลุ่มอาการหลงลืมที่เกิดจากการเสพสุรา) มีเหตุจากการขาดวิตามินบี1 (ไทอามีน) ซึ่งเป็นรูปแบบของทุพโภชนาการที่อาจเร่งให้เกิดโดยการเสพสุรามากเกินไปเปรียบเทียบกับอาหารอื่น ๆ
- การมี cortisol สูงขึ้นโดยฉับพลันที่เกิดจากการฉีดยา มีฤทธิ์ยับยั้งการระลึกถึงความจำอัตชีวประวัติ (autobiographical memory) อย่างสำคัญ[25] ซึ่งอาจเป็นตัวการของความบกพร่องทางความจำของผู้มีภาวะซึมเศร้ารุนแรง (major depressive disorder)
- การใช้ยาเสพติดเช่นยาอี (MDMA) มีความสัมพันธ์กับความบกพร่องทางความจำอาศัยเหตุการณ์ที่ติดทน[26][27]
Remove ads
ในสัตว์
สรุป
มุมมอง
ในปี ค.ศ. 1983 ทัลวิง[12]เสนอว่า เพื่อที่จะจัดว่าเป็นความจำอาศัยเหตุการณ์ ต้องมีหลักฐานว่ามีการระลึกถึงที่ประกอบด้วยความสำนึก ดังนั้น การแสดงว่ามีความจำอาศัยเหตุการณ์โดยที่ไม่ใช้ภาษาเช่นในสัตว์เป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะว่าไม่มีตัวบ่งชี้ทางพฤติกรรมที่ยอมรับกันทั่วไปที่บอกว่ามีประสบการณ์ประกอบด้วยความสำนึกโดยที่ไม่ได้อาศัยภาษา[28]
แนวคิดนี้ถูกค้านเป็นครั้งแรกโดยเคลย์ตันและดิกกินสันในงานวิจัยเกี่ยวกับสัตว์วงศ์นกกาสปีชีส์ Aphelocoma californica ในปี ค.ศ. 1998[29] คือได้พบว่า นกเหล่านี้อาจมีระบบความจำที่เกี่ยวกับสิ่งที่คล้ายเหตุการณ์ เพราะว่าพบว่า นกจำได้ว่าเก็บอาหารประเภทต่าง ๆ ไว้ที่ไหน แล้วไปเอาอาหารมาอย่างมีการแยกแยะขึ้นอยู่กับว่าอาหารจะเสียง่ายแค่ไหนและเก็บไว้นานเท่าไรแล้ว ดังนั้น นกจึงปรากฏว่าจำข้อมูลว่า "อะไร-ที่ไหน-เมื่อไร" ของเหตุการณ์การเก็บอาหารในอดีตได้อย่างเฉพาะเจาะจง นักวิจัยอ้างว่า การทำได้อย่างนี้สมกับบรรทัดฐานทางพฤติกรรมเกี่ยวกับความจำอาศัยเหตุการณ์ แต่ก็ยังเรียกความสามารถนี้เพียงแค่ว่า ความจำคล้ายความจำอาศัยเหตุการณ์ (episodic-like memory) เพราะว่างานวิจัยไม่ได้มีหลักฐานด้านปรากฏการณ์วิทยา (phenomenological) ของความจำในนก (คือไม่สามารถรู้ได้ว่านกระลึกถึงความจำนี้ได้อย่างมีสำนึกหรือไม่)
งานวิจัยที่ทำที่มหาวิทยาลัยเอดินเบิร์กในปี ค.ศ. 2006 แสดงลักษณะ 2 อย่างของความจำอาศัยเหตุการณ์ที่พบครั้งแรกในสัตว์คือนกฮัมมิงเบิร์ด คือ นกสามารถระลึกถึงสถานที่ที่มีดอกไม้และถึงเวลาครั้งสุดท้ายที่ได้ไปที่ดอกไม้[30] ส่วนงานวิจัยอื่น ๆ พบความจำที่มีลักษณะเช่นกันในสัตว์สปีชีส์ต่าง ๆ เช่นหนู[31] ผึ้ง และไพรเมต[32][33][34][35][36]
งานวิจัยแสดงว่า การเข้ารหัสและการค้นคืนความจำเกี่ยวกับประสบการณ์ในอดีตของสัตว์ต่าง ๆ ก็ต้องอาศัยวงจรประสาทในสมองกลีบขมับด้านใน (medial temporal lobe) ซึ่งรวมฮิปโปแคมปัสอยู่ด้วยเช่นกัน งานวิจัยโดยรอยโรคในสัตว์ได้แสดงความสำคัญของโครงสร้างต่าง ๆ ในสมองเหล่านี้ต่อความจำคล้ายความจำอาศัยเหตุการณ์ ยกตัวอย่างเช่น รอยโรคในฮิปโปแคมปัสมีผลอย่างรุนแรงต่อองค์ประกอบของความจำ 3 อย่างในสัตว์ (คืออะไร ที่ไหน และเมื่อไร) ซึ่งบอกเป็นนัยว่า ฮิปโปแคมปัสมีหน้าที่ตรวจจับเหตุการณ์ สิ่งเร้า และสถานที่ใหม่ ๆ เมื่อสร้างความจำ และมีหน้าที่ในการค้นคืนข้อมูลนั้น ๆ ในภายหลัง
แม้ว่าจะมีเขตประสาทที่เหมือนกันดังที่แสดงในหลักฐานของงานทดลอง นักวิชาการบางท่านเช่นซัดเด็นดอร์ฟและบัสบี้ ก็ยังระวังในการที่จะเปรียบเทียบความจำของสัตว์กับความจำอาศัยเหตุการณ์ในมนุษย์[37] เพราะว่า ความจำคล้ายความจำอาศัยเหตุการณ์ที่อ้างอิงมักจะใช้ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งโดยเฉพาะ หรือสามารถที่จะอธิบายได้ว่าเกี่ยวข้องกับความจำเชิงกระบวนวิธี (procedural memory) หรือ ความจำอาศัยความหมาย (semantic memory) บางทีปัญหานี้อาจจะง่ายกว่า ถ้าศึกษาลักษณะอีกอย่างหนึ่งของความจำอาศัยเหตุการณ์ที่เป็นการปรับตัวในลำดับวิวัฒนาการ ซึ่งก็คือความสามารถในการจินตนาการถึงเหตุการณ์ในอนาคตอย่างยืดหยุ่นได้ แต่ว่างานวิจัยงานหนึ่งเร็ว ๆ นี้ได้แก้ข้อวิจารณ์ของซัดเด็นดอร์ฟและบัสบี้ข้อหนึ่ง (คือประเด็นของสมมติฐาน Bischof-Köhler ซึ่งกล่าวว่า สัตว์ที่ไม่ใช่มนุษย์สามารถเพียงแต่จะทำกิจเกี่ยวกับสิ่งที่ต้องการในปัจจุบัน ไม่ใช่ที่จะต้องการในอนาคต) คอร์เรอาและคณะได้แสดงว่า[citation needed] นก Aphelocoma californica สามารถเลือกที่จะเก็บอาหารต่าง ๆ ประเภทกันขึ้นอยู่ว่าจะต้องการอะไรในอนาคต เป็นการให้หลักฐานที่มีกำลังค้านสมมติฐาน Bischof-Köhler hypothesis โดยแสดงว่า นกสามารถเปลี่ยนพฤติกรรมอาศัยประสบการณ์ในอดีตว่าต้องการอาหารประเภทใด
Remove ads
ความจำเชิงอัตชีวประวัติ
ความจำเชิงอัตชีวประวัติ (autobiographical memory) เป็นตัวแทนทางประสาทของความจำที่เกี่ยวกับเหตุการณ์โดยทั่ว ๆ ไป เหตุการณ์โดยเฉพาะ และข้อมูลเกี่ยวกับตน ความจำเชิงอัตชีวประวัตินั้นหมายถึงความจำเกี่ยวกับประวัติของตนเองด้วย แต่ว่า เราไม่ได้จำทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในอดีตได้ และความจำนั้นเป็นกระบวนการที่มีการสร้างเสริม (constructive) คือประสบการณ์ในปัจจุบันและก่อน ๆ จะมีอิทธิพลต่อความจำของเราเกี่ยวกับเหตุการณ์ต่าง ๆ และจะมีอิทธิพลว่าเราจะระลึกอะไรได้จากความจำ แม้ความจำเชิงอัตชีวประวัติก็เป็นสิ่งที่มีการสร้างเสริม เป็นประวัติที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง ดังนั้น แม้ว่าเราจะรู้สึกว่า ความจำเกี่ยวกับชีวประวัติของตนจะค่อนข้างมั่นคงและชัดเจน แต่ความจริงแล้ว ความแม่นยำของความจำเชิงอัตชีวประวัติไม่อาจมั่นใจได้เต็มที่เพราะอาจมีความบิดเบือน
การทำงานของความจำอัตชีวประวัติอาจจะแตกต่างกันในช่วงเวลาพิเศษในชีวิต เราจะระลึกถึงเหตุการณ์ในปีแรก ๆ ของชีวิตเราได้น้อย การจำเหตุการณ์แรก ๆ เหล่านี้ไม่ได้เรียกว่า ภาวะเสียความจำในวัยเด็ก (childhood amnesia) หรือ ภาวะเสียความจำในวัยทารก (infantile amnesia) เรามักจะสามารถระลึกถึงเหตุการณ์ของตนได้มากมายในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ต้น ๆ ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า reminiscence bump (การประทุของความจำเหตุการณ์ในอดีต) และเราสามารถระลึกถึงเหตุการณ์ส่วนตัวได้มากมายในระยะ 2-3 ปีที่เพิ่งผ่านมา ซึ่งเรียกว่า recency effect (ปรากฏการณ์จำเหตุการณ์ในอดีตได้เหตุเพิ่งเกิดขึ้น) ส่วนในวัยรุ่นและในวัยหนุ่มสาว ทั้ง reminiscence bump และ recency effect เกิดขึ้นพร้อม ๆ กัน
แม้จะรู้กันแล้วว่า ความจำเชิงอัตชีวประวัติมีการบันทึกไว้เป็นความจำอาศัยเหตุการณ์ในตอนต้น ๆ แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่า ความจำเชิงอัตชีวประวัติเป็นสิ่งเดียวกันกับความจำอาศัยเหตุการณ์หรือไม่ หรือว่า ความจำเชิงอัตชีวประวัติในที่สุดจะมีการเปลี่ยนเป็นความจำอาศัยความหมายตามกาลเวลา
ประเภท
- เหตุการณ์เฉพาะเจาะจง (Specific Events)
- เช่น เมื่อก้าวลงในทะเลเป็นครั้งแรก
- เหตุการณ์ทั่ว ๆ ไป (General Events)
- เช่นรู้สึกอย่างไรเมื่อก้าวลงไปในทะเลโดยทั่ว ๆ ไป นี้เป็นความจำว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนมีความรู้สึกเป็นอย่างไรโดยทั่วไป อาจจะเป็นความจำเกี่ยวกับการก้าวลงไปในทะเล ซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งหลายหนในชีวิต
- ความจริงหรือความรู้เกี่ยวกับตน
- เช่น ใครเป็นนายกรัฐมนตรีในปีที่เกิด
- Flashbulb Memories
- Flashbulb Memory (ความจำเหมือนแสงแฟลช) เป็นความจำอัตชีวประวัติแบบวิกฤติเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ ความจำแบบนี้บางครั้งจะเป็นไปร่วมกับคนอื่น ๆ ในชุมชน เช่น (เป็นตัวอย่างสำหรับคนอเมริกัน)
- การลอบสังหารจอห์น เอฟ เคเนดี
- การลอบสังหารมาร์ติน ลูเทอร์ คิง จูเนียร์
- การระเบิดของกระสวยอวกาศ STS-51-L (Challenger)
- การตัดสินความในคดีฆาตกรรมภรรยาของตนของโอเจ ซิมป์สัน อดีตนักอเมริกันฟุตบอลชื่อดัง
- ในขณะที่ได้ข่าวว่าเจ้าหญิงไดอานาได้สิ้นพระชนม์แล้ว
- เมื่อได้ยินเรื่องเหตุวินาศกรรม 11 กันยายน พ.ศ. 2544
- Flashbulb Memory (ความจำเหมือนแสงแฟลช) เป็นความจำอัตชีวประวัติแบบวิกฤติเกี่ยวกับเหตุการณ์สำคัญ ความจำแบบนี้บางครั้งจะเป็นไปร่วมกับคนอื่น ๆ ในชุมชน เช่น (เป็นตัวอย่างสำหรับคนอเมริกัน)
Remove ads
Neural network models
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
เชิงอรรถและอ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads