คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
Win Win WAR Thailand สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
Win Win WAR Thailand สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน เป็นรายการโทรทัศน์ไทยประเภทเรียลลิตีโชว์การแข่งขันนำเสนอธุรกิจของผู้ประกอบการสังคม ที่สร้างการพัฒนาอย่างยั่งยืนทั้งตัวธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม สร้างสรรค์รายการโดย ซี อาเซียน ผลิตโดย บริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2561 ทางช่องอมรินทร์ทีวี โดยออกอากาศมาแล้วทั้งหมด 11 ฤดูกาล แบ่งเป็นฤดูกาลปกติ 7 ฤดูกาล และรุ่นเด็ก (Win Win WAR Thailand OTOP Junior) อีก 4 ฤดูกาล
Remove ads
ที่มา

Win Win WAR Thailand สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน เป็นรายการเรียลลิตีโชว์ที่ศูนย์ซี อาเซียน โดยบริษัท ซี เอ ซี จำกัด ในเครือไทยเบฟเวอเรจ สร้างขึ้น[1] และมอบหมายให้บริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด ผลิตขึ้นเป็นรายการโทรทัศน์ โดยมีที่มาจากการที่ซี อาเซียน นำกระแสนิยมเรื่องการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development) และแนวคิดของธุรกิจเพื่อสังคม (Social Business) มาพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก โดยจัดตั้งวิสาหกิจเพื่อสังคมในทุกจังหวัด จึงต่อยอดเป็นรายการนี้ขึ้น[2] เพื่อเชื่อมโยงบุคลากรรุ่นใหม่ภายในสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ให้เกิดการเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความรู้ เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ[3]
Remove ads
รูปแบบรายการ
สรุป
มุมมอง
Win Win WAR Thailand สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน เปิดรับสมัครเยาวชนและนักธุรกิจที่มีอายุไม่เกิน 35 ปี ที่เป็นผู้ประกอบการสังคม (Social Entrepreneur) ที่สนใจ หรือมีแนวคิดในการทำธุรกิจที่ช่วยแก้ไขปัญหาหรือยกระดับสังคม[4] เข้ามาแข่งขันในรายการ เพื่อนำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับธุรกิจ ผลิตภัณฑ์ หรือบริการของตน ที่มีลักษณะตามชื่อรายการ ดังนี้
- Win 1 มีความโดดเด่น สามารถสร้างโอกาสในการเติบโตได้อย่างเต็มที่ และมีประสิทธิภาพมากกว่าคู่แข่งในประเภทเดียวกัน
- Win 2 ให้ประโยชน์ต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในด้านต่าง ๆ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ[5]
- WAR สามารถปรับตัวและพร้อมแก้ไขปัญหาต่าง ๆ แบ่งเป็น
- Willingness ความมุ่งมั่น
- Ability ความสามารถ
- Readiness ความพร้อม
ผู้ชนะในแต่ละฤดูกาลจะได้รับรางวัลเงินสดมูลค่า 2,000,000 บาท และได้รับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญสำหรับการพัฒนาธุรกิจต่อไป[2] โดยการแข่งขันในแต่ละฤดูกาลมีรูปแบบดังนี้
ฤดูกาลที่ 1 และ 2
ใน 2 ฤดูกาลแรก แบ่งการแข่งขันออกเป็น 3 รอบ ดังนี้
รอบ Audition
ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 100 ธุรกิจ (ในฤดูกาลที่ 2 มีจำนวน 60 ธุรกิจ) จะต้องนำเสนอแนวคิด รูปแบบ และกลยุทธ์แผนธุรกิจ และตอบคำถามจากคณะกรรมการให้ชัดเจน (ในฤดูกาลที่ 2 มีการจับเวลาทั้งการนำเสนอและตอบคำถาม ส่วนละ 3 นาที) จากนั้นคณะกรรมการจะพิจารณาธุรกิจโดยใช้เกณฑ์ทั้งความเป็นไปได้ในการเติบโตและผลกระทบต่อสังคม จากนั้นจะกดปุ่มไฟตัดสิน หากเห็นว่ามีประโยชน์และผ่านเกณฑ์ จะกดปุ่มไฟสีเขียวเพื่อให้ผ่านเข้ารอบ แต่หากไม่ผ่านเกณฑ์ จะกดปุ่มไฟสีแดง ในรอบนี้จะคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันให้เหลือจำนวน 20 ธุรกิจที่จะเข้าสู่รอบ Market Test โดย
- ในฤดูกาลที่ 1 ผู้เข้าแข่งขันจะต้องได้รับการกดปุ่มไฟสีเขียวจากคณะกรรมการตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จาก 5 คน จึงจะผ่านเข้ารอบ จากนั้นเมื่อสิ้นสุดการแข่งขันในรอบนี้แล้ว กรรมการจะพิจารณาคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันเข้าทีม ทีมละ 4 ธุรกิจ
- ในฤดูกาลที่ 2 การกดปุ่มไฟสีเขียวของคณะกรรมการจะเป็นการรับธุรกิจเข้าทีม โดยสามารถรับธุรกิจได้สูงสุดทีมละ 5 ธุรกิจ โดยแบ่งเป็นกรณีดังนี้
- กรณีมีกรรมการกดปุ่มไฟสีเขียวเพียงคนเดียว ผู้เข้าแข่งขันจะเข้าสู่ทีมของกรรมการคนนั้นทันที
- กรณีมีกรรมการกดปุ่มไฟสีเขียวมากกว่า 1 คน สิทธิในการเลือกร่วมทีมจะเป็นของผู้เข้าแข่งขัน
รอบ Market Test
ผู้เข้าแข่งขันทั้ง 20 ธุรกิจ จะแบ่งออกเป็นทีมต่าง ๆ (ฤดูกาลที่ 1 แบ่งตามกรรมการที่ปรึกษา จำนวน 5 ทีม ทีมละ 4 ธุรกิจ, ฤดูกาลที่ 2 แบ่งตามหมวดธุรกิจทั้งหมด 5 หมวด หมวดละ 4 ทีม โดยแต่ละหมวดมีกรรมการที่ปรึกษาประจำทีมครบทุกคน) โดยจะต้องนำเสนอผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Prototype) ที่พัฒนาขึ้นภายใต้การให้คำปรึกษาของกรรมการที่ปรึกษา เพื่อทดลองตลาด โดยมีคณะกรรมการร่วม ซึ่งเป็นนักศึกษาและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ จำนวน 100 คน มาร่วมทดลองใช้ผลิตภัณฑ์จริง และตอบคำถามจากทั้งคณะกรรมการหลักและคณะกรรมการร่วม จากนั้นจะพิจารณาให้คะแนน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน ดังนี้
- คณะกรรมการร่วม คนละ 1 คะแนน รวม 100 คะแนน
- คณะกรรมการหลัก คนละ 25 คะแนน แต่กรรมการที่ปรึกษาไม่สามารถให้คะแนนกับผู้เข้าแข่งขันในทีมของตนได้
- ฤดูกาลที่ 1 รวมคะแนนสูงสุด 100 คะแนน
- ฤดูกาลที่ 2 รวมคะแนนสูงสุด 75 คะแนน
- รวมคะแนนจากกรรมการ 2 ส่วน
- ฤดูกาลที่ 1 รวมคะแนนสูงสุด 200 คะแนน
- ฤดูกาลที่ 2 รวมคะแนนสูงสุด 175 คะแนน
ทีมที่ได้คะแนนรวมมากที่สุดในของแต่ละสัปดาห์ จะผ่านเข้าสู่รอบ Market Launch โดยในรอบนี้จะคัดเลือกให้เหลือจำนวน 5 ธุรกิจ
รอบ Market Launch
รอบนี้เป็นการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศ ผู้เข้าแข่งขัน 5 ธุรกิจสุดท้าย จะต้องเปิดตัวผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปของตน ซึ่งผ่านการพัฒนาอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ โดยคะแนนจะแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ส่วนละ 50% ดังนี้
- คะแนนจากคณะกรรมการหลัก
- คะแนนโหวตจากผู้ชมผ่านเอสเอ็มเอส ซึ่งเปิดรับคะแนนในช่วงระยะเวลา 1 สัปดาห์ก่อนการแข่งขัน
ทีมที่ได้คะแนนรวมมากที่สุดในรอบนี้ จะเป็นผู้ชนะเลิศประจำฤดูกาล
ฤดูกาลที่ 3
ในฤดูกาลนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเป็นการแข่งขันทางออนไลน์ โดยใช้ชื่อว่า Win Win WAR Thailand Special Online Edition เนื่องจากจัดขึ้นในช่วงการระบาดทั่วของโควิด-19 ในประเทศไทย ทำให้ต้องปรับรูปแบบรายการ และเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มอื่น ๆ เช่น กลุ่มคนรุ่นใหม่ และกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง โดยมีการคัดเลือกผู้เข้าแข่งขันให้เหลือจำนวน 40 ธุรกิจ ที่จะได้นำเสนอแนวคิด รูปแบบ และกลยุทธ์แผนธุรกิจ และตอบคำถามจากคณะกรรมการ เพื่อคัดเลือกเหลือจำนวน 12 ธุรกิจ จากนั้นจะนำเสนอทั้ง 12 ธุรกิจลงบนสื่อสังคมช่องทางต่าง ๆ และเปิดให้ผู้ชมโหวตผ่านช่องทางเฟซบุ๊กของรายการ โดยคะแนนโหวตจากผู้ชมจะเป็น 60% และนำมารวมกับคะแนนจากคณะกรรมการในรอบชิงชนะเลิศอีก 40% ทีมที่ได้คะแนนรวมมากที่สุดจะเป็นผู้ชนะเลิศ[6] โดยมีการเผยแพร่การแข่งขันรอบชิงชนะเลิศและประกาศผลเมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2564
ฤดูกาลที่ 4 – ปัจจุบัน
ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 4 ได้ปรับรูปแบบรายการใหม่ทั้งหมด โดยแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้
รอบคัดเลือก
ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 45 ธุรกิจ (ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 5 ลดเหลือจำนวน 36 ธุรกิจ) จะได้รับคะแนนตั้งต้น 2,000,000 คะแนน ตามจำนวนมูลค่าเงินรางวัลสำหรับผู้ชนะเลิศ มีเวลา 3 นาที ในการนำเสนอแผนธุรกิจ หลังจากนำเสนอจบแล้ว จะจับเวลา 10 วินาทีให้คณะกรรมการร่วมพิจารณากดลดคะแนน คนละ 5,000 คะแนน หากเห็นว่าธุรกิจดังกล่าวไม่น่าสนใจ รวมคะแนนที่สามารถถูกลดลงจากคณะกรรมการร่วมได้มากที่สุด 500,000 คะแนน จากนั้น คณะกรรมการหลักทั้ง 3 คน จะถามคำถาม ผู้เข้าแข่งขันมีเวลาตอบคำถามละ 1 นาที (ตั้งแต่ฤดูกาลที่ 5 เพิ่มเวลาเป็นคำถามละ 1 นาที 30 วินาที) หลังจากนั้นคณะกรรมการหลักทั้ง 3 คน จะพิจารณาให้คะแนนในคำถามนั้น ๆ โดยพิจารณาจากคำตอบ ดังนี้
- หากคำตอบน่าพอใจ จะกดปุ่มไฟสีเขียว ธุรกิจนั้นจะไม่ถูกลดคะแนนลง
- หากคำตอบพอใช้ จะกดปุ่มไฟสีเหลือง ธุรกิจนั้นจะถูกลดคะแนน 100,000 คะแนน/คน/คำถาม
- หากคำตอบไม่น่าพอใจ จะกดปุ่มไฟสีแดง ธุรกิจนั้นจะถูกลดคะแนน 200,000 คะแนน/คน/คำถาม
ในรอบนี้แบ่งการแข่งขันออกเป็น 9 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 4 ธุรกิจ และทีมที่รักษาคะแนนได้สูงที่สุดจำนวน 5 ธุรกิจ จะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ
รอบชิงชนะเลิศ
ในรอบนี้ ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบจะต้องตอบคำถามจากคณะกรรมการ คำถามละ 2 นาที โดยคะแนนที่สะสมก่อนหน้าจะไม่นำมาคำนวณในรอบนี้ จากนั้นคณะกรรมการจะตัดสินผู้ชนะเลิศ โดยรูปแบบการตอบคำถามในแต่ละฤดูกาล เป็นดังนี้
- ฤดูกาลที่ 4 ผู้เข้าแข่งขันที่รักษาคะแนนได้สูงที่สุดจำนวน 5 ธุรกิจ รวมถึงธุรกิจที่ผ่านการเลือกจากคณะกรรมการอีกคนละ 1 ธุรกิจ รวมเป็น 8 ธุรกิจ จะต้องตอบคำถามจากคณะกรรมการทั้ง 3 คน คนละ 1 ข้อ รวมถึงคำถามเรื่องวัตถุประสงค์ในการใช้เงินรางวัล 2,000,000 บาทหากได้รับ
- ฤดูกาลที่ 5 ผู้เข้าแข่งขันที่รักษาคะแนนได้สูงที่สุดจำนวน 5 ธุรกิจ จะต้องตอบคำถาม 2 คำถาม โดยคำถามที่ 1 จะเป็นคำถามที่ผู้เข้าแข่งขันสุ่มเลือกมาจาก 10 คำถาม และคำถามที่ 2 จะเป็นคำถามจากคณะกรรมการ
Remove ads
พิธีกรและกรรมการ
ภาพรวมแต่ละฤดูกาล
Remove ads
Win Win WAR Thailand OTOP Junior
สรุป
มุมมอง
Win Win WAR Thailand OTOP Junior สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปันรุ่นเยาว์ เป็นรายการโทรทัศน์ไทยประเภทเรียลลิตีโชว์การแข่งขันนำเสนอธุรกิจเพื่อสังคมสำหรับเด็ก จัดขึ้นโดยความร่วมมือระหว่างศูนย์ ซี อาเซียน และกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย โดยเป็นภาคแยกของรายการ Win Win WAR Thailand สุดยอดนักธุรกิจแบ่งปัน รวมถึงต่อยอดความสำเร็จจากโครงการ OTOP Junior ที่กรมการพัฒนาชุมชนและไทยเบฟเวอเรจร่วมกันจัดอยู่แล้วแต่เดิม[7] ผลิตโดย บริษัท เฮลิโคเนีย เอช กรุ๊ป จำกัด เริ่มออกอากาศครั้งแรกเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565 ทางช่องอมรินทร์ทีวี โดยออกอากาศมาแล้วทั้งหมด 4 ฤดูกาล
รูปแบบรายการ
การแข่งขันแบ่งเป็น 2 รอบ ดังนี้
- รอบทดสอบความมุ่งมั่น – ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านการคัดเลือกจำนวน 45 ธุรกิจ มีเวลา 3 นาที ในการนำเสนอแผนธุรกิจ สินค้า หรือบริการ ที่เกิดจากการใช้ความรู้ในห้องเรียนผสมกับภูมิปัญญาและวัสดุท้องถิ่น และเอื้อประโยชน์ให้กับสังคม หลังจากนำเสนอจบแล้ว คณะกรรมการทั้ง 3 คน จะถามคำถาม ผู้เข้าแข่งขันมีเวลาตอบคำถามละ 1 นาที หลังจากตอบคำถามครบทุกคำถามแล้ว คณะกรรมการจะพิจารณาให้คะแนนเป็นหัวใจจำนวน 10–20–30–40–50 ดวง/คน รวมจำนวนหัวใจที่แต่ละธุรกิจจะได้รับมากที่สุดคือ 150 ดวง โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 9 สัปดาห์ สัปดาห์ละ 5 ธุรกิจ และทีมที่ได้รับหัวใจจำนวนมากที่สุดอย่างน้อย 10 ธุรกิจ จะผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ
- รอบชิงชนะเลิศ – ผู้เข้าแข่งขันที่ผ่านเข้ารอบจะต้องตอบคำถามที่รายการกำหนดจำนวน 3 หมวด จำนวน 14 ข้อ แบ่งเป็นหมวดที่ 1 จำนวน 5 ข้อ, หมวดที่ 2 จำนวน 5 ข้อ และหมวดที่ 3 จำนวน 4 ข้อ หลังจากพิธีกรอ่านคำถามจบแล้ว ทีมที่ได้คำตอบสามารถกดปุ่มได้ทันที หลังจากกดปุ่มแล้วจะมีเวลา 5 วินาทีในการตอบคำถาม หากตอบผิดจะหมดสิทธิ์ตอบคำถามข้อนั้น ๆ แต่ทีมอื่นยังสามารถตอบได้ แต่หากตอบผิดครบ 3 ครั้ง ทุกทีมจะหมดสิทธิ์ตอบและไม่ได้รับคะแนนในข้อนั้น ๆ แต่หากตอบถูก จะได้รับหัวใจที่มีจำนวนแตกต่างกันในแต่ละหมวด คือ หมวดที่ 1 จำนวน 20 ดวง, หมวดที่ 2 จำนวน 30 ดวง และหมวดที่ 3 จำนวน 50 ดวง เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันในรอบนี้แล้ว ทีมที่มีจำนวนหัวใจจากรอบนี้ รวมกับจำนวนหัวใจที่มีอยู่เดิมจากรอบก่อนหน้ามากที่สุด จะเป็นผู้ชนะในฤดูกาลนั้น ๆ ได้รับทุนการศึกษามูลค่า 200,000 บาท และได้เดินทางไปทัศนศึกษาเกี่ยวกับนวัตกรรมเพื่อสังคมทั้งในและต่างประเทศ
พิธีกรและกรรมการ
ภาพรวมแต่ละฤดูกาล
- หมายเหตุ
Remove ads
รางวัล
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads