ปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา
From Wikipedia, the free encyclopedia
ปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา (เยอรมัน: Unternehmen Barbarossa, อังกฤษ: Operation Barbarossa, รัสเซีย: Операция Барбарросса) เป็นรหัสนามสำหรับการบุกครองสหภาพโซเวียตของฝ่ายอักษะ ซึ่งเริ่มต้นขึ้น เมื่อวันอาทิตย์ ที่ 22 มิถุนายน ค.ศ. 1941 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ปฏิบัติการดังกล่าวได้นำไปสู่การกระทำเพื่อเป้าหมายทางด้านอุดมการณ์ของนาซีเยอรมนีในการพิชิตดินแดนสหภาพโซเวียตทางด้านตะวันตกเพื่อที่จะสร้างพื้นที่อยู่อาศัยใหม่ให้กับชาวเยอรมัน เกเนอราลพลานอ็อสท์ของเยอรมันนั้นมีเป้าหมายที่จะใช้ประชากรที่พิชิตมาได้บางส่วนมาเป็นแรงงานเกณฑ์สำหรับความพยายามทำสงครามของฝ่ายอักษะ ในขณะที่ได้เข้ายึดแหล่งบ่อน้ำมันสำรองบนเทือกเขาคอเคซัส รวมทั้งทรัพยากรทางเกษตรกรรมของดินแดนต่าง ๆ ของโซเวียต เป้าหมายสูงสุดของพวกเขา รวมถึงท้ายที่สุดแล้ว ได้ทำการกวาดล้าง การถูกทำให้เป็นทาส การถูกทำให้เป็นเยอรมัน และการเนรเทศต่อชาวสลาฟจำนวนมากมายไปยังไซบีเรีย และเพื่อสร้างเลเบินส์เราม์(พื้นที่อยู่อาศัย) สำหรับเยอรมนี[10][11]
บทความนี้ยังต้องการเพิ่มแหล่งอ้างอิงเพื่อพิสูจน์ความถูกต้อง |
ปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|
ส่วนหนึ่งของ แนวรบด้านตะวันออก ในสงครามโลกครั้งที่สอง | |||||||
ทหารเยอรมันในสหภาพโซเวียตระหว่างปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา | |||||||
| |||||||
คู่สงคราม | |||||||
นาซีเยอรมนี ฟินแลนด์ | สหภาพโซเวียต | ||||||
ผู้บังคับบัญชาและผู้นำ | |||||||
อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ |
โจเซฟ สตาลิน | ||||||
กำลัง | |||||||
ทหารราบ ~3,900,000 นาย รถถัง 3,600 คัน เครื่องบิน 4,389 ลำ[1] |
ทหารราบ ~3,200,000 นาย (ในภายหลังเพิ่มขึ้นเป็น 5,000,000+ นาย) รถถัง 12,000-15,000 คัน เครื่องบิน 35,000-40,000 ลำ (แต่ใช้งานได้จริงเพียง 11,357 ลำ[2]) | ||||||
ความสูญเสีย | |||||||
ทหารสูญเสียทั้งหมด ~918,000 นาย[3] รถถัง 2,758 คัน เครื่องบิน 2,093 ลำ[4] |
ทหารเสียชีวิต 802,191 นาย[5] ทหารสูญเสียทั้งหมด 3,000,000 นาย ถูกจับเป็นเชลย 3,300,000 นาย[6][7] รถถัง 20,500 คัน เครื่องบิน 21,200 ลำ[8][9] |
ในช่วงสองปีที่นำไปสู่การบุกครอง เยอรมนีและสหภาพโซเวียตได้ลงนามในสนธิสัญญาทางการเมืองและเศรษฐกิจเพื่อเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ อย่างไรก็ตาม กองบัญชาการใหญ่แห่งแวร์มัคท์(OKW) ได้เริ่มวางแผนการบุกครองสหภาพโซเวียตในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1940 (ภายใต้รหัสนามว่า ปฏิบัติการอ็อทโท) ซึ่งอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้มอบอำนาจ เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 1940 ในช่วงระหว่างปฏิบัติการดังกล่าว จำนวนกำลังพลประมาณสามล้านนายของฝ่ายอักษะ ซึ่งเป็นกองกำลังรุกรานที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาตร์สงคราม การบุกครองดินแดนสหภาพโซเวียตทางด้านตะวันตกตามแนวรบระยะทางประมาณ 2,900 กิโลเมตร (1,800 ไมล์) ด้วยยานยนต์ 600,000 คัน และจำนวนม้ากว่า 600,000 ตัว สำหรับปฏิบัติการที่ไม่ใช่การสู้รบ การบุกครองดังกล่าวได้ขยายตัวอย่างมากในสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งในทางด้านภูมิศาสตร์และในการก่อตัวของแนวร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร รวมทั้งสหภาพโซเวียต
ปฏิบัติการนี้ได้เปิดฉากแนวรบด้านตะวันออก ซึ่งมีกองกำลังมากมายที่เข้าร่วมมากกว่าในเขตสงครามอื่น ๆ ในประวัติศาสตร์ พื้นที่ดังกล่าวได้มีการพบเห็นถึงการสู้รบขนาดใหญ่ที่สุดในโลก ที่ดูโหดร้ายและน่าสะพรึงกลัวที่สุด และมีการบาดเจ็บล้มตายสูงสุด (สำหรับกองกำลังฝ่ายโซเวียตและกองกำลังฝ่ายอักษะ) ซึ่งทั้งหมดนี้มีอิทธิพลต่อสงครามโลกครั้งที่สองและประวัติศาสตร์ในภายหลังของทศวรรษที่ 20 ในที่สุด กองทัพเยอรมันได้จับกุมกองกำลังทหารของกองทัพแดงโซเวียตได้ราวประมาณห้าล้านนาย[12] ผู้คนส่วนใหญ่ไม่เคยกลับมามีชีวิตอีกเลย พวกนาซีได้จงใจให้อดอาหารหรือไม่ก็สังหารต่อเชลยศึกจำนวน 3.3 ล้านนายและพลเรือนอีกจำนวนมาก ด้วย"แผนความหิว" ซึ่งถูกใช้งานเพื่อแก้ไขปัญหาภาวะขาดแคลนอาหารของเยอรมันและกำจัดประชากรชาวสลาฟด้วยทุกขภิกภัย[13] มีการยิงเป้าและปฏิบัติการรมแก๊สจำนวนมากโดยพวกนาซี หรือผู้ให้ความร่วมมือด้วยความเต็มใจ[lower-alpha 1] ได้ทำการสังหารชาวโซเวียตเชื้อสายยิวจำนวนกว่าล้านคน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของฮอโลคอสต์[15]
ด้วยความล้มเหลวของปฏิบัติการบาร์บาร็อสซา ทำให้โชคชะตาของไรช์ที่สามต้องกลับตาลปัตร[16] ในทางปฏิบัติ กองทัพเยอรมันได้รับชัยชนะครั้งสำคัญและเข้ายึดครองพื้นที่ทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดบางแห่งชองสหภาพโซเวียต (ส่วนใหญ่อยู่ในยูเครน) และได้รับความเสียหาย เช่นเดียวกับการบาดเจ็บล้มตายอย่างต่อเนื่อง แม้จะประสบความสำเร็จในช่วงแรก แต่ฝ่ายรุกของเยอรมันต้องหยุดชะงักลงในยุทธการที่มอสโก เมื่อปลายปี ค.ศ. 1941 และตามมาด้วยการโจมตีตอบโต้กลับในฤดูหนาวของโซเวียตได้ผลักดันให้กองทหารเยอรมันกลับไป เยอรมันได้คาดหวังอย่างมั่นอกมั่นใจว่า การต่อต้านของโซเวียตจะพังทลายลงอย่างรวดเร็วเช่นเดียวกับในโปแลนด์ แต่กองทัพแดงได้ซึมซับการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของกองทัพแวร์มัคท์ และจมปลักอยู่ในสงครามพร่ากำลัง ซึ่งเยอรมันไม่ได้เตรียมการมาก่อนเลย กองทัพที่ดูลิดรอนของแวร์มัคท์ไม่สามารถโจมตีตามแนวรบด้านตะวันออกทั้งหมดได้อีกต่อไป และตามมาด้วยปฏิบัติการเพื่อการรุกเข้ายึดกลับคืนและรุกเข้าไปลึก ๆ ในดินแดนโซเวียต เช่น กรณีสีน้ำเงิน ในปี ค.ศ. 1942 และปฏิบัติการซิทาเดลในปี ค.ศ. 1943 จนในที่สุดก็ต้องล้มเหลวซึ่งส่งผลทำให้แวร์มัคท์ต้องล่าถอยและพังทลายลง