Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระเจ้าชาร์ลที่ 10 แห่งฝรั่งเศส (ฝรั่งเศส: Charles X de France; ชาร์ลดิสเดอฟร็องส์ 9 ตุลาคม ค.ศ.1757 – 6 พฤศจิกายน ค.ศ.1836) พระนามเดิมว่า ชาร์ลฟิลิปป์ เคานต์แห่งอาร์ตัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสและนาวาร์ ตั้งแต่วันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1824 จนถึง 2 สิงหาคม ค.ศ. 1830[1] ทรงเป็นพระปิตุลา (อา) ในเยาวกษัตริย์ผู้ทรงไม่ได้บรมราชาภิเษก พระเจ้าหลุยส์ที่ 17 และพระอนุชาในพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศสและพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 แห่งฝรั่งเศส พระองค์ได้รับการสนับสนุนภายหลังในขณะที่ลี้ภัยอยู่ต่างประเทศ ภายหลังการฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บงใน ค.ศ. 1814 ชาร์ล (มีสถานะเป็นทายาทโดยสันนิษฐาน) กลายเป็นผู้นำของพวกคลั่งเจ้า ฝ่ายนิยมกษัตริย์หัวรุนแรงในราชสำนักฝรั่งเศสที่ยืนยันการปกครองโดยเทวสิทธิราชย์และคัดค้านการยินยอมต่อฝ่ายเสรีนิยมและการรับรองเสรีภาพพลเมืองที่ได้รับจากกฏบัตร ค.ศ. 1814 ชาร์ลได้มีอิทธิพลในราชสำนักฝรั่งเศสภายหลังการลอบสังหาร ชาร์ล แฟร์ดีน็อง ดยุกแห่งแบร์รี่ พระราชโอรสของพระองค์ ใน ค.ศ. 1820 และได้รับการสืบราชบังลังก์ต่อจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ใน ค.ศ. 1824
พระเจ้าชาร์ลที่ 10 | |||||
---|---|---|---|---|---|
พระบรมสาทิสลักษณ์โดย บารอนเฌราด์, c.1829 | |||||
พระมหากษัตริย์แห่งฝรั่งเศสและนาวาร์ | |||||
ครองราชย์ | 16 กันยายน 1824 – 2 สิงหาคม 1830 | ||||
ราชาภิเษก | 29 พฤษภาคม 1825 | ||||
ก่อนหน้า | พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 | ||||
ถัดไป | พระเจ้าหลุยส์-ฟีลิปที่ 1 | ||||
พระราชสมภพ | 9 ตุลาคม ค.ศ. 1757 พระราชวังแวร์ซาย, ฝรั่งเศส | ||||
สวรรคต | 6 พฤศจิกายน ค.ศ. 1836 ปี) โกรซ, ออสเตรีย | (79||||
คู่อภิเษก | มาเรีย เทเรซา แห่งซาวอย | ||||
| |||||
ราชวงศ์ | บูร์บง | ||||
พระราชบิดา | เจ้าชายหลุยส์ โดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส | ||||
พระราชมารดา | มารี-โฌเซฟีแห่งซัคเซิน | ||||
ศาสนา | โรมันคาทอลิก | ||||
ลายพระอภิไธย |
รัชสมัยของพระองค์เป็นเวลาเกือบหกปีได้ปรากฏให้เห็นว่าไม่เป็นที่นิยมชอบในท่ามกลางฝ่ายเสรีนิยมในฝรั่งเศส ตั้งแค่ช่วงหนึ่งของพิธีราชภิเษกของพระองค์ใน ค.ศ. 1825 ซึ่งพระองค์พยายามที่จะรื้อฟื้นการปฏิบัติของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัฐบาลที่ทรงแต่งตั้งในรัชกาลของพระองค์ได้ชดใช้คืนเจ้าของที่ดินเดิมสำหรับการยกเลิกระบบฟิวดัลโดยค่าใช้จ่ายของผู้ถือหุ้นกู้ เพิ่มอำนาจของศาสนจักรคาทอลิกและเรียกร้องให้นำอุกฤษฏ์โทษกลับคืนมาสำหรับการลบหลู่เหยียดหยามศาสนา ซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งกับสภาผู้แทนราษฏรที่เต็มไปด้วยฝ่ายเสรีนิยมส่วนใหญ่ ชาร์ลทรงอนุมัติในการพิชิตแอลจีเรียของฝรั่งเศสเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนจากปัญหาบ้านเมือง และบังคับให้เฮติชดใช้ค่าเสียหายอย่างมหาศาลเพื่อแลกกับการเลิกปิดล้อมและยอมรับความเป็นเอกราชของเฮติ ในท้ายที่สุด พระองค์ทรงแต่งตั้งรัฐบาลที่เป็นฝ่ายอนุรักษ์นิยมภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี เจ้าชาย ฌูล เดอปอลีญัก ซึ่งพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งสภานิติบัญญัติฝรั่งเศส ค.ศ. 1830 พระองค์ทรงตอบโต้ด้วยการออกพระราชกฤษฏีกาเดือนกรกฎาคมด้วยการยุบสภาผู้แทนราษฏร การจำกัดแฟรนไชส์ และนำการเซ็นเซอร์ในการปกปิดสื่อมวลชนกลับมาใช้อีกครั้ง ภายในหนึ่งสัปดาห์ ฝรั่งเศสต้องเผชิญกับการก่อจลาจลในเมืองซึ่งนำไปสู่การปฏิวัติเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1830 ซึ่งส่งผลทำให้พระองค์ต้องสละราชบังลังก์และทรงเลือก หลุยส์ ฟิลิปป์ที่ 1 ให้เป็นพระมหากษัตริย์แห่งชาวฝรั่งเศส เมื่อทรงถูกเนรเทศอีกครั้ง ชาร์ลทรงสวรรคตใน ค.ศ. 1836 ในเมืองกอริเซีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสเตรีย[2] พระองค์ทรงเป็นผู้ปกครองคนสุดท้ายมาจากสาขาผู้อาวุโสของราชวงศ์บูร์บง
เจ้าชายชาร์ลฟิลิปป์แห่งฝรั่งเศสประสูติเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2300 เป็นเจ้าชายพระองค์สุดท้องในโดแฟ็งหลุยส์ กับ โดฟิเนมารี โฌเซฟ ณ พระราชวังแวร์ซาย ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ เคานต์แห่งอาร์ตัว ตั้งแต่ประสูติโดยพระอัยกา พระเจ้าหลุยส์ที่ 15[3] ในฐานะที่ทรงเป็นราชนิกุลบุรุษพระองค์ท้ายสุด เจ้าชายชาร์ลจึงทรงดูเหมือนว่าไม่มีโอกาสที่จะขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส ต่อมาในปี พ.ศ. 2304 เจ้าชายหลุยส์ ดยุกแห่งเบอร์กันดี พระเชษฐาองค์ใหญ่สุดของพระองค์สิ้นพระชนม์อย่างไม่คาดคิด ทำให้ทรงเลื่อนขึ้นหนึ่งลำดับในลำดับการสืบราชบัลลังก์ฝรั่งเศส ทรงได้รับการถวายเลี้ยงดูโดยมาดามเดอมาร์ซ็อง ข้าหลวงแห่งราชโอรสราชธิดาฝรั่งเศส
เมื่อพระบิดาสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2308 พระเชษฐาองค์รอง หลุยส์โอกุสต์ จึงกลายเป็นโดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส (รัชทายาทผู้มีสิทธิโดยตรงในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส) พระองค์ใหม่ พระมารดาของทั้งสองพระองค์ มารี โฌเซฟ ทรงโศกเศร้าพระทัยจากการสิ้นพระชนม์ของพระสวามี ก็สิ้นพระชนม์ลงในปี พ.ศ. 2310 ด้วยวัณโรค[4] ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ทรงกำพร้าตั้งแต่พระชนมายุได้ 9 พรรษา เช่นเดียวกับพระเชษฐา เจ้าชายหลุยส-โอกุสต์, เจ้าชายหลุยส์ สตานิสลัส เคานต์แห่งโพรว็อง, มาดามโคลทีลด์ และมาดามเอลิซาเบธ
พระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ทรงพระประชวรในวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2317 และเสด็จสวรรคตในวันที่ 10 พฤษภาคม ด้วยโรคฝีดาษ สิริพระชนมพรรษารวม 64 พรรษา[5] พระราชนัดดา เจ้าชายหลุยส์-โอกุสต์ โดแฟ็งแห่งฝรั่งเศส จึงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศส[6]
ในเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. 2316 เจ้าชายชาร์ลเสกสมรสกับเจ้าหญิงมารี เตเรซแห่งซาวอย การเสกสมรสครั้งนี้เสร็จสมบูรณ์แทบจะในทันที ต่างกับการเสกสมรสของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระนางมารี อ็องตัวแน็ต[7]
ในปี พ.ศ. 2318 เจ้าหญิงมารี เตเรซ มีพระประสูติกาลแด่เจ้าชายหลุยส์ อ็องตวน ซึ่งต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งอ็องกูแลมโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 นับเป็นรัชทายาทพระองค์แรกแห่งราชวงศ์บูร์บงรุ่นถัดไป เนื่องจากทั้งพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และเคานต์แห่งโพรว็องยังมิได้มีพระประสูติกาลแก่รัชทายาทใดเลย ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้พวก ลิเบลลิสต์ (กลุ่มนักเขียนใบปลิวอื้อฉาวเกี่ยวกับบุคคลสำคัญในราชสำนักและทางการเมือง) นำไปล้อเลียนถึงความไร้สมรรถภาพทางเพศของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16[8] สามปีถัดมาในปี พ.ศ. 2521 ก็มีพระประสูติกาลแด่เจ้ายหลุยส์ แฟร์ดิน็อง และต่อมาได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นดยุกแห่งแบร์รี[9] ในปีเดียวกันนั้นเองที่สมเด็จพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต มีพระประสูติกาลพระธิดาเป็นครั้งแรกนามว่า เจ้าหญิงมารี เตเรซ ซึ่งช่วยกลบข่าวลือที่ว่าทรงไม่สามารถมีรัชทายาทได้
เจ้าชายชาร์ลทรงถูกมองว่าเป็นบุคคลที่น่าดึงดูดใจมากที่สุดในบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์ฝรั่งเศส เนื่องด้วยทรงมีความคล้ายคลึงกับพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 อย่างมาก[10] ด้านพระชายาของพระองค์กลับถูกผู้คนส่วนมากในยุคสมัยนั้นมองว่าอัปลักษณ์ ตามคำกล่าวอ้างของเคานต์เอเซกส์ เจ้าชายชาร์ลทรงคบชู้มากมาย "โฉมงามน้อยคนนักที่จะเย็นชากับพระองค์" ต่อมาทรงมีเสน่หาตลอดช่วงพระชนม์ชีพกับ หลุยส์เดอโปลัสตร็อง น้องสาวบุญธรรมของดัชเชสแห่งโปลิญัก ซึ่งเป็นพระสหายคนสนิทของพระนางมารี อ็องตัวแน็ต
เจ้าชายชาร์ลยังทรงมีสัมพันธภาพกับพระนางมารี อ็องตัวแน็ต อย่างเหนียวแน่น ซึ่งทั้งสองทรงพบกันครั้งแรกในคราวที่พระนางมารี อ็องตัวแน็ตเสด็จเยือนฝรั่งเศสในเดือนเมษายน พ.ศ. 2313 ขณะนั้นเจ้าชายมีพระชนมายุเพียง 12 พรรษา[10] ความใกล้ชิดสนิทสนมนี้เองที่ทำให้แม่ค้าชาวปารีสสร้างข่าวลืออย่างผิด ๆ ว่าเจ้าชายทรงยั่วยวนเสน่หาแก่พระนางมารี เจ้าชายชาร์ลมักปรากฏพระองค์ตรงข้ามพระนางมารีอยู่บ่อยครั้งในโรงละครส่วนพระองค์ ณ พระตำหนักเปติต์ไตรอาน็อง ทั้งสองพระองค์ได้รับการกล่าวขานว่ามีพระปรีชาสามารถอย่างมากในการเป็นนักแสดงมือสมัครเล่น พระนางมารีทรงสวมบทบาทเป็นคนงานรีดนมวัว, คนเลี้ยงแกะ และสตรีชนบท ด้านเจ้าชายชาร์ลทรงรับบทเป็นคู่รัก, ข้ารับใช้ และเกษตรกร
ทั้งสองพระองค์ทรงพัวพันกับเรื่องราวอันโด่งดังในการก่อสร้างชาโตเดอแบแกเตลล์ ในปี พ.ศ. 2318 เจ้าชายชาร์ลทรงซื้อกระท่อมล่าสัตว์เล็ก ๆ ในแคว้นบัวส์เดอบูโลญ ต่อมาทรงทุบทำลายที่พำนักหลังเดิมทิ้งและวางแผนที่จะก่อสร้างพระตำหนักหลังใหม่ขึ้นแทน ซึ่งพระนางมารี อ็องตัวแน็ตทรงเดิมพันไว้ว่าพระตำหนักหลังใหม่นี้ไม่มีทางก่อสร้างได้สำเร็จภายในสามเดือน เจ้าชายชาร์ลก็ทรงจ้างสถาปนิกแนวนีโอคลาสสิกนามว่า ฟร็องซัว-โฌเซฟ เบล็องเช ในการออกแบบ ต่อมาเจ้าชายทรงชนะเดิมพันของพระนางมารี อ็องตัวแน็ต โดยที่ฟร็องซัวส์ใช้เวลาเพียงหกสิบสามวันในการก่อสร้างพระตำหนักให้เสร็จสมบูรณ์ คาดการณ์กันว่าทั้งโครงการซึ่งรวมไปถึงสวนที่ตกแต่งพร้อมสรรพใช้เงินก่อสร้างไปทั้งหมดมากกว่าสองล้านลีฟฝรั่งเศส ตลอดช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1770 เจ้าชายชาร์ลทรงใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือย ทรงก่อหนี้ก้อนใหญ่ไว้ถึง 21 ล้านลีฟฝรั่งเศส และในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 1780 พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ก็ต้องทรงชำระหนี้ให้แก่พระอนุชาทั้งสองพระองค์อันได้แก่เคานต์แห่งอาร์ตัวและเคานต์แห่งโพรว็อง[11]
เช่นเดียวกับในช่วง พ.ศ. 2318 เจ้าชายหลุยส์-ฟิลิปป์แห่งออร์เลอองส์ ผู้ทรงเป็นดยุกแห่งออร์เลอองส์ในอนาคต ได้ทรงวางแผนที่จะสร้างรอยแยกระหว่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 กับพระอนุชาองค์สุดท้องของพระองค์ ทรงชักชวนให้เจ้าชายชาร์ลเล่นการพนันและซ่องโสเภณี ณ พระราชวังหลวง อันเป็นที่พำนักเดิมของบรรพบุรุษของเจ้าชายหลุยส์-ฟิลิปป์ ทรงหวังให้เจ้าชายชาร์ลทรงติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์จนสิ้นพระชนม์ลงหรือไม่ก็กลายเป็นหมัน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการก้าวขึ้นสู่ราชบัลลังก์ฝรั่งเศสของหลุยส์-ฟิลิปป์ในอนาคต[12] และในฐานะที่ทรงเป็นเจ้าชายสืบสายพระโลหิตพระองค์แรก เจ้าชายหลุยส์-ฟิลิปป์ทรงอยู่ลำดับที่สี่ในลำดับการสืบราชบัลลังก์ฝรั่งเศสตามหลังเคานต์แห่งโพรว็อง, เคานต์แห่งอาร์ตัว และดยุกแห่งอ็องกูแลม โดยที่ในขณะนั้นมีเพียงเจ้าชายชาร์ลเท่านั้นที่ทรงมีรัชทายาทในบรรดาพระบรมวงศานุวงศ์รุ่นเดียวกัน[13]
ในปี พ.ศ. 2324 เจ้าชายชาร์ลทรงเป็นผู้รับมอบอำนาจของจักรพรรดิโยเซ็ฟที่ 2 แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ในการประกอบพระราชพิธีเฉลิมพระนามแด่ลูกทูนหัวของพระจักรพรรดิ โดแฟ็งหลุยส์ โฌเซฟ[14]
ความตื่นตัวทางการเมืองของพระองค์เริ่มต้นขึ้นในวิกฤตการณ์ของระบอบกษัตริย์ครั้งแรกในปี พ.ศ. 2329 เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าราชอาณาจักรฝรั่งเศสประสบกับภาวะล้มละลายจากความพยายามทางการทหารต่างๆ ก่อนหน้านี้ (โดยเฉพาะสงครามเจ็ดปีและสงครามประกาศอิสรภาพสหรัฐอเมริกา) ซึ่งจำเป็นจะต้องมีการปรับปรุงระบบงบประมาณเสียใหม่ประเทศชาติจึงจะอยู่รอดไปได้ เจ้าชายชาร์ลสนับสนุนให้มีการเพิกถอนเหล่าอภิสิทธิ์ชนทางการงบประมาณของรัฐ แต่การลดทอนอภิสิทธิ์ทางสังคมนี้ถูกต่อต้านโดยผู้ที่เสียผลประโยชน์โดยตรงอันได้แก่คริสตจักรและคณะขุนนาง ทรงเชื่อมั่นว่าระบบการคลังของประเทศควรจะถูกปฏิรูปโดยปราศจากการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ ตรัสว่ามันเป็น "เวลาของการซ่อมแซม ไม่ใช่การทำลาย"
ในที่สุดพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 จึงต้องทรงเปิดประชุมสภาฐานันดร ซึ่งไม่ได้มีการประชุมมามากกว่า 150 ปีแล้ว การประชุมนี้จะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2332 เพื่อให้สัตยาบันในการปฏิรูประบบการคลัง เช่นเดียวกับพระขนิษฐา มาดามเอลิซาเบธ เจ้าชายชาร์ลทรงเป็นหนึ่งในสมาชิกราชวงศ์หัวอนุรักษนิยมมากที่สุดพระองค์หนึ่ง ทรงต่อต้านข้อเรียกร้องจากฐานันดรที่สาม (ผู้แทนของชนชั้นสามัญชน) ที่เรียกร้องอำนาจที่มากขึ้นของการลงคะแนนเสียง จึงทำให้เกิดเสียงวิจารณ์จากพระเชษฐาที่ทรงกล่าวหาพระองค์ว่าดำรงตน ปลุสโรยัลลิสต์เกอเลอรัว (plus royaliste que le roi; นิยมกษัตริย์มากกว่าองค์กษัตริย์เอง) ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2332 คณะผู้แทนจากฐานันดรที่สามประกาศตนว่าเป็นสมัชชาแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะสรรหาระบอบการปกครองของฝรั่งเศสเสียใหม่[15]
ในการร่วมมือกับบารงเดอเบรอเตย เจ้าชายชาร์ลทรงมีพันธมิตรที่จะร่วมกันขับไล่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังหัวเสรีนิยมนามว่า ฌักส์ เน็กแกร์ แผนการนี้เองที่ย้อนกลับมาทำร้ายเจ้าชายชาร์ลจากการที่ทรงพยายามรักษาให้การถอดถอนเน็กแกร์เกิดขึ้นในวันที่ 11 กรกฎาคม โดยปราศจากการรู้เห็นของเบรอเตย ซึ่งเกิดขึ้นเร็วกว่าที่ทั้งสองคาดการณ์ไว้ก่อนมาก นับเป็นจุดเริ่มต้นที่ความเป็นพันธมิตรทางการเมืองของทั้งสองเสื่อมลงก่อนที่จะจบลงด้วยความเกลียดชังซึ่งกันและกัน
การปลดเน็กแกร์นี้ก่อให้เกิดการทลายคุกบัสตีย์ในวันที่ 14 กรกฎาคม ด้วยความดื้อแพ่งของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารี อ็องตัวแน็ต สถานการณ์จึงไม่คลี่คลาย สามวันถัดมาในวันที่ 17 กรกฎาคม เจ้าชายชาร์ลและครอบครัวของพระองค์จึงเสด็จออกนอกฝรั่งเศส เช่นเดียวขับข้าราชสำนักคนอื่น ๆ รวมถึงดัชเชสแห่งโปลิญัก พระสหายคนโปรดของพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต[16]
เจ้าชายชาร์ลและครอบครัวทรงตัดสินใจที่จะลี้ภัยในซาวอย อันเป็นสถานที่ที่ประสูติของพระชายา[17] และที่นี่เองที่ทรงพำนักร่วมกับสมาชิกครอบครัวของเจ้าชายแห่งกงเดบางพระองค์[18]
ขณะเดียวกันนั้นในกรุงปารีส พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ทรงดิ้นรนไปกับสมัชชาแห่งชาติ ซึ่งมุ่งมั่นที่จะปฏิรูประบบต่างๆ อย่างถอนรากถอดโคน รวมไปถึงการก่อกำเนิดรัฐธรรมนูญแห่งฝรั่งเศส ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2334 สมัชชาแห่งชาติยังได้ออกพระราชบัญญัติว่าด้วยการสำเร็จราชการแทนไว้สำหรับกรณีที่พระมหากษัตริย์เสด็จสวรรคตอย่างกะทันหัน ในขณะนั้นเองรัชทายาทซึ่งก็คือเจ้าชายหลุยส์-ชาร์ล ยังทรงพระเยาว์ ตำแหน่งผู้สำเร็จราชการแทนจึงตกเป็นของเคานต์แห่งโพรว็องหรือดยุกแห่งออร์เลอองส์ แต่ถ้าหากยังไม่สามารถหาผู้สำเร็จราชการแทนได้ ตำแหน่งนี้ก็จะตกเป็นของผู้ที่มาจากการเลือกตั้งเท่านั้น ซึ่งข้ามสิทธิ์ในการสำเร็จราชการแทนของเจ้าชายชาร์ลไปโดยสิ้นเชิง ทั้งที่ตามลำดับการสืบราชสมบัติแล้ว เจ้าชายทรงอยู่ลำดับที่ระหว่างเคานต์แห่งโพรว็องและดยุกแห่งออร์เลอองส์[19]
ช่วงนั้นเองที่เจ้าชายชาร์ลทรงย้ายจากตูรินไปพำนักที่เทรียร์ ที่ซึ่งพระปิตุลา เจ้าชายคลีเมนส์ เวนซ์สเลาส์แห่งแซกโซนี ดำรงตำแหน่งเป็นอาร์คบิชอปผู้คัดเลือก เจ้าชายชาร์ลทรงตระเตรียมการปฏิวัติต่อต้าน แต่พระราชหัตถเลขาจากพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ต มีพระราชดำริว่าให้เลื่อนออกไปจนกว่าพระราชวงศ์จะเสด็จออกจากฝรั่งเศสเสร็จเรียบร้อยแล้ว[20] แต่เมื่อการเสด็จหนีล้มเหลว เจ้าชายชาร์ลก็ทรงย้ายไปยังโคเบลนซ์ ณ ที่นั้นเองทรงไปร่วมกับเคานต์แห่งโพรว็องและเจ้าชายแห่งก็องเดในการประกาศรุกรานฝรั่งเศส เคานต์แห่งโพรว็องส่งหนังสือราชการขอความช่วยเหลือในการรุกรานฝรั่งเศสจากพระมหากษัตริย์ยุโรปหลายพระองค์ ด้านเจ้าชายชาร์ลก็ทรงก่อตั้งราชสำนักพลัดถิ่นขึ้น ณ รัฐผู้คัดเลือกเทรียร์ ในวันที่ 25 สิงหาคม เหล่าเจ้านายผู้ปกครองของจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์และปรัสเซียได้ร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ชาติยุโรปร่วมกันเข้าแทรกแซงฝรั่งเศส[21]
วันขึ้นปีใหม่ของปี พ.ศ. 2335 สมัชชาแห่งชาติประกาศให้ผู้อพยพทุกคนเป็นผู้ทรยศชาติ, ถอดถอนบรรดาศักดิ์ และยึดเอาที่ดินของพวกเขา[22] มาตรการนี้ตามมาด้วยการระงับพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จนในที่สุดจบลงด้วยการล้มล้างการปกครองระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญในเดือนกันยายนปีเดียวกัน พระบรมวงศานุวงศ์ทรงถูกคุมขัง ต่อมาพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระราชินีมารี อ็องตัวแน็ตก็ทรงถูกสำเร็จโทษในปี พ.ศ. 2336[23] ด้านโดแฟ็งพระองค์น้อยก็สิ้นพระชนม์ลงจากอาการประชวรในปี พ.ศ. 2338 พระศพถูกทอดทิ้งไม่มีการเหลียวแล[24]
เมื่อสงครามปฏิวัติฝรั่งเศสปะทุขึ้นในปี พ.ศ. 2335 เจ้าชายชาร์ลเสด็จหนีไปยังสหราชอาณาจักรที่ซึ่งพระเจ้าจอร์จที่ 3 มีพระบรมราชานุญาตให้พำนักอย่างเมตตา เจ้าชายชาร์ลพำนักกับพระสนม หลุยส์เดอโปลัสตร็อง ทั้งที่เอดินบะระและกรุงลอนดอน[25] ส่วนพระเชษฐา เคานต์แห่งโพรว็องซ์ ก็ได้เสด็จย้ายไปยังเวโรนาหลังจากที่พระนัดดา (โดแฟ็งหลุยส์-ชาร์ล) สิ้นพระชนม์ลงในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2338 และจากนั้นจึงย้ายไปยังพระราชวังเยลกาวาในมิเทา ณ ที่นั้นเอง ในวันที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2342 พระโอรสของเจ้าชายชาร์ล ดยุกแห่งอ็องกูแลม เสกสมรสกับเจ้าหญิงมารี เตเรซ พระธิดาของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่รอดมาได้เพียงพระองค์เดียว ต่อมาในปี พ.ศ. 2345 เจ้าชายชาร์ลให้การสนับสนุนพระเชษฐาของพระองค์ด้วยเงินหลายพันปอนด์ ในปี พ.ศ. 2350 พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ก็เสด็จฯ มาประทับในสหราชอาณาจักร[26]
ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2357 เจ้าชายชาร์ลเสด็จออกจากที่พำนักในลอนดอนอย่างลับ ๆ เพื่อไปร่วมกับสงครามหกสัมพันธมิตรในฝรั่งเศสตอนใต้ ในขณะนั้นพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงต้องประทับอยู่บนเก้าอี้เข็นและให้การสนับสนุนเจ้าชายชาร์ลด้วยพระราชเอกสารสิทธิ (letters patent) พระราชทานยศทหารชั้นพลโทแห่งราชอาณาจักร ในวันที่ 31 มีนาคม กองกำลังสัมพันธมิตรเข้ายึดกรุงปารีส สัปดาห์ถัดมาจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ก็สละราชสมบัติ วุฒิสภาฝรั่งเศสจึงประกาศการฟื้นฟูพระราชอำนาจของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ด้านเจ้าชายชาร์ลก็เสด็จถึงปารีสในวันที่ 12 เมษายน[27] และดำรงพระยศพลโทแห่งราชอาณาจักรไปจนกระทั่งพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 เสด็จฯ กลับจากอังกฤษ ในช่วงที่รักษาราชการแทนพระองค์อยู่นี้เอง เจ้าชายชาร์ลได้ก่อตั้งกองตำรวจลับผู้มีแนวคิดนิยมกษัตริย์สุดโต่งซึ่งขึ้นตรงต่อพระองค์อย่างลับ ๆ โดยปราศจากการรับรู้ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 กองตำรวจลับนี้ดำรงอยู่ถึงห้าปี[28]
ชาวปารีสต่างพากันยินดีปรีดาอย่างมากกับการเสด็จฯ นิวัติพระนครของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ซึ่งพระองค์เสด็จฯ ไปประทับอยู่ ณ พระราชวังตุยเลอรีส์[29] ด้านเคานต์แห่งอาร์ตัวประทับ ณ ปาวิยงเดอมาร์ส ส่วนดยุกแห่งอ็องกูแลมประทับ ณ ปาวิยงเดอฟลอร์ ซึ่งสามารถมองเห็นแม่น้ำแซน[30] ดัชเชสแห่งอ็องกูแลม (เจ้าหญิงมารี เตเรซ) ถึงกับทรงเป็นลมหมดสติเมื่อเสด็จมาถึง เนื่องจากพระราชวังรื้อฟื้นความทรงจำอันเลวร้ายเก่า ๆ เกี่ยวกับการกักขังครอบครัวของพระองค์ รวมไปถึงการบุกเข้าทำลายพระราชวังและการสังหารหมู่ทหารสวิสการ์ดรักษาพระองค์ในเหตุการณ์วันที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2335[29]
ตามคำแนะนำของกองกำลังสัมพันธมิตร พระเจ้าหลุยส์ที่ 18 โปรดให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับเสรีขึ้น นั่นก็คือ ธรรมนูญ พ.ศ. 2357 ซึ่งกำหนดให้ใช้การปกครองระบบสองสภา โดยมีผู้ที่มาจากการเลือกตั้ง 90,000 คน และเสรีภาพในการเลือกนับถือศาสนา[31]
หลังจากการกลับมาสู่อำนาจของนโปเลียนที่ 1 ช่วงสั้นๆ ในปี พ.ศ. 2358[32] มิคสัญญีขาวครั้งที่สองก็ดำเนินไปทั่วฝรั่งเศส เมื่อข้าราชการและนายทหารของนโปเลียนกว่า 80,000 นายถูกถอดถอนออกจากตำแหน่ง บ้างก็ถูกสังหาร ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือจอมพลแน ผู้ถูกประหารชีวิตจากข้อหาทรยศต่อประเทศชาติ และเคานต์เบริงที่ 1 ผู้ถูกสังหารโดยมวลชนผู้ประท้วง[33]
ในขณะที่พระเจ้าหลุยส์ทรงสงวนไว้ซึ่งธรรมนูญฉบับเสรี เจ้าชายชาร์ลก็ทรงอุปถัมภ์สมาชิกกลุ่มนิยมกษัตริย์หัวรุนแรงในรัฐสภา เช่น ฌูลส์ เดอ ปอลีญัก, นักเขียน ฟร็องซัว-เรอเน เดอ ชาโตบรีอองด์ และฌ็อง-บาติสต์ เดอ วีแลล[34] ในหลายโอกาสที่เจ้าชายชาร์ลทรงเปล่งเสียงไม่เห็นด้วยกับรัฐมนตรีหัวเสรีของพระเชษฐาและทรงขู่ว่าจะเสด็จออกจากฝรั่งเศสหากพระเจ้าหลุยส์ไม่ทรงเพิกเฉยต่อรัฐมนตรีเหล่านั้น[35] ในทางกลับกัน พระเจ้าหลุยส์ก็ทรงเกรงพระราชหฤทัยว่าแนวคิดกษัตริย์นิยมสุดโต้งของพระอนุชาผู้เป็นรัชทายาทโดยสันนิษฐานจะนำพาให้พระบรมวงศานุวงศ์ต้องเสด็จลี้ภัยอีกเป็นครั้งที่สอง (ซึ่งต่อมาก็เกิดขึ้นจริง)
ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2363 พระโอรสองค์เล็กของเจ้าชายชาร์ล ดยุกแห่งแบร์รี ถูกลอบปลงพระชนม์ ณ โรงอุปรากรณ์ปารีส ความสูญเสียครั้งนี้ไม่ได้นำมาเพียงแต่ความเสียหายต่อพระบรมวงศานุวงศ์ แต่ยังนำความไม่ปลอดภัยมาสู่ราชวงศ์บูร์บงอย่างต่อเนื่อง ที่ซึ่งดยุกแห่งอ็องกูแลมเองแม้จะเสกสมรสแล้วแต่ก็ยังทรงไม่มีรัชทายาทไว้คอยสืบราชบัลลังก์ รัฐสภาโต้เถียงกันในประเด็นการล้มเลิกกฎหมายแซลิกที่จำกัดสิทธิ์ในการขึ้นครองราชบัลลังก์ของรัชทายาทที่เป็นสตรี ซึ่งถูกนำมาใช้อย่างยาวนานและขัดขืนมิได้ อย่างไรก็ตาม พระชายาม่ายในดยุกแห่งแบร์รี เจ้าหญิงแคโรไลน์แห่งเนเปิลส์และซิซิลี ทรงพบว่าทรงตั้งพระครรภ์และมีพระประสูติกาลแก่พระโอรสในวันที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2363 คือ เจ้าชายอองรี ดยุกแห่งบอร์โดซ์[36] การประสูติครั้งนี้ถูกสรรเสริญว่าเป็น "พระประทานจากพระเจ้า" และประชาชนชาวฝรั่งเศสได้นำพระองค์ไปยังพระราชวังช็องบอร์เพื่อเฉลิมฉลอง[37] ด้วยเหตุนี้ทำให้พระเจ้าหลุยส์พระราชทานบรรดาศักดิ์เจ้าชายน้อยขึ้นเป็น เคานต์แห่งช็องบอร์ ทำให้ประชาชนทั่วไปรู้จักพระองค์ในนาม เจ้าชายอองรี เคานต์แห่งช็องบอร์
พระอาการประชวรของพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 เป็นที่น่ากังวลมาตั้งแต่ช่วงต้นปี พ.ศ. 2367[38] ทรงทรมานจากพระอาการเนื้อตายเน่าทั้งแบบเปียกและแบบแห้งบริเวณขาและกระดูกสันหลัง จากนั้นก็เสด็จสวรรคตในวันที่ 16 กันยายน ปีเดียวกัน พระอนุชาจึงสืบทอดราชสมบัติขึ้นเป็นพระเจ้าชาร์ลที่ 10 แห่งฝรั่งเศส[39] ความพยายามแรกในฐานะพระมหากษัตริย์ของพระองค์ก็คือการรวบรวมราชวงศ์บูร์บงศ์ให้มีความกลมเกลียวเหนียวแน่น พระองค์พระราชทานบรรดาศักดิ์ชั้น รอยัลไฮเนส แก่พระญาติฝ่ายราชวงศ์ออร์เลอองส์ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกกีดกันโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 เพราะอดีตดยุกแห่งออร์เลอองส์มีส่วนร่วมในการสวรรคตของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16
ในช่วงไม่กี่เดือนแรกของรัชกาล รัฐบาลในพระเจ้าชาร์ลที่ 10 ผ่านร่างกฎหมายที่เพิ่มอำนาจแก่ขุนนางและนักบวชหลายฉบับ พระองค์พระราชทานรายชื่อกฎหมายที่มีพระประสงค์จะลงพระนามาภิไธยแก่นายกรัฐมนตรี ฌ็อง-บาติสต์ เดอ วีแลล ทุกครั้งที่เสด็จฯ ไปเปิดประชุมรัฐสภา ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2368 รัฐบาลผ่านร่างกฎหมายซึ่งเสนอโดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 แต่มีผลบังคับใช้ไม่นานหลังจากเสด็จสวรรคต กฎหมายฉบับนี้มีเนื้อหาให้จ่ายค่าสินไหมทดแทนแก่ขุนนางผู้ที่ถูกริบรอนเคหาสน์สถานในช่วงการปฏิวัติ (ฝรั่งเศส: biens nationaux) โดยรัฐบาลเป็นผู้จ่ายค่าชดเชยในรูปของพันธบัตรรัฐบาลแก่ผู้ที่สูญเสียเคหาสน์สถานแลกกับการสละสิทธิ์ในความเป็นผู้ครอบครองทรัพย์สินดังกล่าว รวมเป็นเงินที่รัฐบาลต้องรับภาระกว่า 988 ล้านฟรังก์ ในเดือนเดียวกันนั้นเองยังได้มีการผ่านร่างพระราชบัญญัติห้ามทำลายรูปเคารพ (Anti-Sacrilege Act) นอกจากนี้รัฐบาลในพระเจ้าชาร์ลที่ 10 ยังพยายามจะรื้อฟื้นการให้บุตรหัวปี (เฉพาะบุรุษเพศ) ของครอบครัวเป็นผู้รับภาระชำระภาษีมากกว่า 300 ฟรังก์ต่อปี แต่ถูกสภาผู้แทนลงคะแนนเสียงคัดค้าน[40] ในวันที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2368 พระเจ้าชาร์ลทรงเข้ารับการเจิม ณ มหาวิหารแร็งส์ ในพระราชพิธีการรับศีลบวช (Consecration) อันเป็นพระราชประเพณีของพระมหากษัตริย์ฝรั่งเศส ซึ่งพระราชพิธีนี้เว้นว่างไปตั้งแต่ช่วงปี พ.ศ. 2328 โดยพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 ทรงไม่จัดพระราชพิธีดังกล่าวเพราะประสงค์ที่จะหลีกเลี่ยงการโต้เถียงที่อาจเกิดขึ้นตามมา[41]
การที่พระเจ้าชาร์ลที่ 10 ไม่เป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนปรากฏให้เห็นเด่นชัดในเดือนเมษายน พ.ศ. 2370 เมื่อมีความวุ่นวายเกิดขึ้นขณะทรงพิจารณาทบทวนถึงกองกำลังติดอาวุธของประชาชน (ฝรั่งเศส: la garde nationale) ในกรุงปารีส ทำให้ทรงแก้ไขสถานการณ์ด้วยการยกเลิกกองทหารดังกล่าว แต่ไม่ได้มีการปลดอาวุธสมาชิกของกองกำลังแต่อย่างใด ทำให้กองกำลังดังกล่าวยังคงเป็นภัยคุกคาม[41] ต่อมาในการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนพฤศจิกายนปีเดียวกัน ทรงสูญเสียเสียงข้างมากในรัฐสภา จึงทรงปลดนายกรัฐมนตรีวีแลลและโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ฌ็อง-บาติสต์ เดอ มาร์ตีญัก ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน โดยพระองค์ไม่โปรดมาร์ตีญักและทรงตั้งไว้เพื่อเป็นนายกรัฐมนตรีชั่วคราวเท่านั้น ต่อมาจึงทรงปลดมาร์ตีญักและแต่งตั้ง ฌูลส์ เดอ ปอลีญัก ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วเมื่อฝ่ายของฟร็องซัว-เรอเน เดอ ชาโตบรีอองด์ ผู้สนับสนุนคนสำคัญพ่ายแพ้ในสภา ปอลีญักก็สูญเสียเสียงสนับสนุนข้างมากในสภา ณ สิ้นเดือนสิงหาคม และเพื่อที่จะดำรงอยู่ในอำนาจให้ได้นานที่สุด ปอลีญักเลือกที่จะไม่ยุบสภาผู้แทนไปจนกระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2373[42]
ในวันที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2373 รัฐบาลภายใต้การนำของปอลีญักตัดสินใจส่งกองกำลังทหารไปยังอัลจีเรีย เพื่อปราบปราบกองเรือโจรสลัดชาวอัลจีเรียที่กำลังคุกคามการค้าบนน่านน้ำทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และเพื่อที่จะเพิ่มพูนความนิยมของรัฐบาลด้วยชัยชนะทางการทหาร สาเหตุที่ก่อให้เกิดสงครามตามมาก็คือการที่อุปราชแห่งอัลจีเรียโกรธกริ้ว เพราะฝรั่งเศสค้างชำระหนี้ที่นโปเลียนก่อไว้จากการรุกรานอิยิปต์ จึงทำให้อุปราชทรงใช้กองกำลังโจมตีเอกอัครราชทูตฝรั่งเศส[42] ฝรั่งเศสก็ตอบโต้โดยดารส่งกองทหารเข้ารุกรานอัลจีเรียในวันที่ 5 กรกฎาคม[43]
สภายังคงเปิดประชุมตามแผนเดิมในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2373 แต่พระราชดำรัสเปิดการประชุมของพระเจ้าชาร์ลกลับมีเสียงตอบรับในแง่ลบจากสมาชิกสภาหลายคน บางกลุ่มถึงกลับเสนอร่างพระราชบัญญัติบังคับให้เหล่ารัฐมนตรีในรัฐบาลของพระเจ้าชาร์ลต้องมีที่มาจากเสียงสนับสนุนของสมาชิกสภา ต่อมาในวันที่า 18 มีนาคม สมาชิกเสียงข้างมากจำนวน 30 คนจากสมาชิกสภาทั้งหมดจำนวน 221 คน ผ่านร่างพระราชบัญญัติดังกล่าว อย่างไรก็ตามพระเจ้าชาร์ลตัดสินพระทัยแล้วว่าจะเลื่อนการเลือกตั้งทั่วไปออกไป ดังนั้นการทำงานของสภาจึงถูกระงับไว้ชั่วคราว[44]
การเลือกตั้งจัดขึ้นในวันที่ 23 มิถุนายน แต่ไม่ได้เสียงข้างมากที่สนับสนุนรัฐบาล นอกเหนือไปกว่านั้น ในวันที่ 6 กรกฎาคม พระเจ้าชาร์ลพร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีตัดสินใจระงับใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราวด้วยอำนาจของมาตรา 14 ที่ให้อำนาจไว้ในยามฉุกเฉิน ต่อมาในวันที่ 15 กรกฎาคม ทรงออกพระราชโองการจากที่พำนักของพระองค์ในแซ็งต์-โคลด์ โดยมีเนื้อหาหลักคือ ปิดกั้นเสรีภาพของสื่อ ยุบสภาที่เพิ่งจะได้รับเลือกตั้งใหม่ ปรับเปลี่ยนระบบการเลือกตั้ง และวางแผนจัดการเลือกตั้งในเดือนกันยายน[43]
เมื่อหนังสือพิมพ์ทางการของรัฐบาล เลอ มอนิเตอ อูนิแวร์เซล (ฝรั่งเศส: Le Moniteur Universel) ตีพิมพ์พระราชโองการดังกล่าวในวันจันทร์ที่ 26 กรกฎาคม อาดอลฟ์ ตีแยร์ นักข่าวหนังสือพิมพ์ฝ่ายต่อต้าน เลอ นาซียงนาล (ฝรั่งเศส: Le National) ตีพิมพ์คำกล่าวเรียกร้องให้มีการก่อกำเริบ ซึ่งถูกร่วมลงนามโดยนักข่าวหนังสือพิมพ์อีก 43 คน:[45] "ระบอบการปกครองอันชอบธรรมถูกขัดขวาง: บัดนี้กองกำลังได้ก่อกำเริบ... หน้าที่ของเราในการเชื่อฟัง[รัฐบาล]สิ้นสุดลงแล้ว!"[46] ต่อในช่วงเย็นฝูงชนรวมตัวกันบริเวณอุทยานพระราชวังหลวง พร้อมกับเปล่งเสียงตะโกนว่า "จงล้มจมไปกับพวกบูร์บง!" และ "รัฐธรรมนูญจงเจริญ!" ในขณะที่ตำรวจปิดอุทยานในช่วงกลางคืน ฝูงชนจึงรวมตัวกันใหม่บริเวณถนนใกล้เคียง พร้อมกับทำลายโคมไฟถนนให้เสียหายอีกด้วย[47]
เช้าวันต่อมาของวันที่ 27 กรกฎาคม ตำรวจบุกเข้าไปตามสำนักพิมพ์ต่าง ๆ ที่ยังคงตีพิมพ์ตามปกติ (รวมถึงสำนักหนังสือพิมพ์ เลอ นาซียงนาล) ทำให้สำนักพิมพ์ต่าง ๆ ต้องปิดตัวลง เมื่อฝูงชนผู้ประท้วงซึ่งรวมตัวกันบริเวณอุทยานพระราชวังหลวงอีกครั้งทราบข่าวดังกล่าว ต่างกรูกันเข้าทำร้ายและขว้างปาสิ่งของเข้าใส่พลทหารของพระราชวัง ส่งผลให้ทหารต้องทำการยิงตอบโต้ เมื่อเหตุการณืดำเนินมาถึงช่วงเย็นทั่วทั้งปารีสเต็มไปด้วยความรุนแรง ร้านค้าต่าง ๆ ถูกปล้นสะดม ต่อมาในวันที่ 28 กรกฎาคม ผู้ประท้วงเข้ารื้อสิ่งกีดขว้างตามท้องถนน ทำให้นายพลมาร์มงต์ผู้ซึ่งถูกเรียกตัวเข้ามาควบคุมเหตุความไม่สงบในวันก่อนหน้า จำต้องใช้มาตรการรุนแรงต่อกลุ่มผู้ประท้วง แต่พลทหารในสังกัดของเขากลับแปรพักตร์ไปร่วมกับฝ่ายผู้ประท้วง ส่งผลให้ในช่วงเที่ยงของวันดังกล่าวนายพลมาร์มงต์ต้องถอยร่นกลับไปตั้งหลักที่พระราชวังตุยเลอรีส์[48]
สมาชิกสภาฯ ส่งคณะผู้แทนห้าคนไปเจรจากับนายพลมาร์ม็งต์ เร่งเร้าให้เขาถวายคำแนะนำแก่พระเจ้าชาร์ลในการเพิกถอนพระราชโองการของพระองค์เพื่อระงับความไม่พอใจของฝ่ายผู้ประท้วง ต่อมานายกรัฐมนตรีเข้าแทรกแซงเหตุการณ์ โดยถวายคำแนะนำเช่นเดียวกับนายพลมาร์มงต์ แต่พระเจ้าชาร์ลทรงปฏิเสธการประนีประนอมทุกรูปแบบ และทรงปลดรัฐมนตรีทุกคนในช่วงบ่ายของวันดังกล่าว แม้จะทรงตระหนักถึงความไม่แน่นอนของสถานการณ์ดังกล่าวเป็นอย่างดี ในเย็นวันเดียวกันนั้นเอง สมาชิกสภาฯ รวมตัวกัน ณ ที่พำนักของฌัก ลัฟฟิตต์ และต่างลงความเห็นว่าควรอัญเชิญหลุยส์ ฟีลิปแห่งออร์เลอองส์ ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์แทนพระเจ้าชาร์ล สมาชิกได้ร่วมกันพิมพ์ภาพโปสเตอร์รับรองความเหมาะสมของหลุยส์ ฟีลิป พร้อมกับแจกจ่ายภาพโปสเตอร์ดังกล่าวไปทั่วกรุงปารีส อำนาจของรัฐบาลพระเจ้าชาร์ลจึงถูกโค้นลง[49]
ไม่กี่นาทีหลังผ่านเวลาเที่ยงคืนของวันที่ 30 ย่างเข้าสู่วันที่ 31 กรกฎาคม พระเจ้าชาร์ลที่ 10 พร้อมด้วยพระบรมวงศานุวงศ์และข้าราชสำนักของพระองค์ เสด็จฯ ลี้ภัยจากแซ็งต์-โคลด์ไปยังพระราชวังแวร์ซายเนื่องจากทรงได้รับคำเตือนจากนายพลเกรสโซว่าชาวปารีสกำลังวางแผนโจมตีที่พำนักของพระองค์ ยกเว้นดยุกแห่งอ็องกูแลม พระราชโอรสองค์โต ที่ไม่ได้เสด็จไปในการนี้ด้วยเนื่องจากซ้อนพระองค์อยู่ในกองทหาร ในขณะที่ดัชเชสแห่งอ็องกูแลม พระชายา ทรงพักผ่อนอยู่ ณ เมืองวิชี ส่วนเหตุการณ์ในกรุงปารีส หลุยส์ ฟีลิปแห่งออร์เลอองส์เข้าดำรงตำแหน่งพลโทหลวงแห่งราชอาณาจักร (ตำแหน่งสูงสุดในกองทัพ) อย่างเป็นทางการ[50]
ในขณะที่ท้องถนนซึ่งมุ่งสู่แวร์ซายเต็มไปด้วยกองทหารที่ไม่เป็นระเบียบและกลุ่มนายทหารผู้แปรพักตร์ มาร์กีเดอเวรัก ข้าหลวงใหญ่ประจำพระราชวังแวร์ซาย เข้าเฝ้าพระเจ้าชาร์ลก่อนที่ขบวนเสด็จฯ จะเข้าสู่เขตเมืองแวร์ซาย พร้อมกับทูลฯ พระองค์ว่าพระราชวังแวร์ซายไม่ใช่ที่ที่ปลอดภัยสำหรับพระองค์ เนื่องจากมีกองกำลังติดอาวุธของประชาชน ณ พระราชวัง ที่สวมเสื้อผ้าสามสีของธง ตรีกอลอร์ เข้ายึดพื้นที่บริเวณ ปลาซดามส์ ทำให้พระเจ้าชาร์ลต้องทรงออกคำสั่งให้เปลี่ยนเส้นทางไปยังตรีอานงแทน ทุกพระองค์จึงเสด็จฯ ถึงที่ดังกล่าว ณ เวลาห้านาฬิกาของวันที่ 31 กรกฎาคม[51] ในวันดังกล่าว หลังจากที่ดยุกแห่งอ็องกูแลมเสด็จออกจากแซ็งต์-โคลด์พร้อมกับกองทหารของพระองค์มารวมกับขบวนของพระเจ้าชาร์ล พระเจ้าชาร์ลจึงเสด็จฯ ต่อไปยังพระราชวังร็องบูเย และเสด็จฯ ถึงก่อนเวลาเที่ยงคืนเพียงเล็กน้อย ด้านดัชเชสแห่งอ็องกูแลมเสด็จออกจากวิชีอย่างเร่งรีบทันทีที่ทรงทราบข่าวเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปารีส และเสด็จถึงร็องบูเยในเช้าวันที่ 1 สิงหาคม อย่างปลอดภัย
ในวันถัดมา 2 สิงหาคม พระเจ้าชาร์ลที่ 10 สละราชสมบัติให้แก่พระราชนัดดา อ็องรี ดยุกแห่งบอร์โด ผู้มีพระชนมายุไม่ถึง 10 ชันษา โดยข้ามลำดับสืบราชสันตติวงศ์ของหลุยส์ อ็องตวน พระราชโอรสองค์โตของพระองค์ไป ในตอนแรก ดยุกแห่งอ็องกูแลมทรงปฏิเสธที่จะลงพระนามกำกับในเอกสารสละพระราชสิทธิ์ในราชบัลลังก์ฝรั่งเศส ตามคำกล่าวของดัชเชสแห่งมาอีเย "มีการทะเลาะกันอย่างรุนแรงระหว่างพระบิดาและพระโอรส จนเราสามารถได้ยินเสียงของทั้งสองพระองค์จากห้องข้าง ๆ" จนในที่สุด หลังจากผ่านไปยี่สิบนาที ดยุกแห่งอ็องกูแลมจึงยอมลงพระนามกำกับในเอกสารสละพระราชสิทธิ์ดังกล่าวอย่างไม่เต็มพระทัย[52] ซึงเนื้อหาในเอกสารมีใจความดังต่อไปนี้
แด่ลูกพี่ลูกน้องของเรา เราเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสจากความทุกข์ที่ว่าหากเราไม่หลีกเลี่ยงความขัดแย้งในครั้งนี้ ประชาชนของเราอาจได้รับภัยคุกคาม เช่นนั้นแล้ว เราจึงเลือกแก้ไขสถานการณ์ด้วยการสละราชสมบัติให้แก่ดยุกแห่งบอร์โด ราชนัดดาของเรา เฉกเช่นเดียวกับเจ้าฟ้าชายโดแฟ็ง (ดยุกแห่งอ็องกูแลม) ผู้รู้สึกเช่นเดียวกับเรา ก็ได้สละราชสิทธิ์ของพระองค์ให้แก่ราชนัดดาแล้ว ดังนั้นต่อจากนี้ ในฐานะพลโทหลวงแห่งราชอาณาจักร ท่านมีอำนาจสถาปนาพระเจ้าอ็องรีที่ 5 ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ นอกจากนี้ ท่านยังต้องทำทุกวิถีทางเพื่อสถาปนารัฐบาลภายใต้ห่วงเวลาที่พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่ยังทรงพระเยาว์ ซึ่ง ณ ที่แห่งนี้ เราเพียงแต่ประสงค์ให้ท่าทีของเราเป็นที่รับทราบโดยทั่วกัน : นี่คือประสงค์ของเราที่จะหลีกเลี่ยงเหตุการณ์อันเลวลงไปกว่านี้ ท่านจะต้องสื่อสารประสงค์ของเราแก่คณะทูตานุทูต และท่านจะแจ้งให้เราทราบโดยเร็วที่สุดเมื่อการเสวยราชย์เกิดขึ้น ที่ซึ่งราชนัดดาของเราจะถูกเรียกขานในปรมาภิไธยแบบกษัตริย์ว่า อ็องรีที่ 5[53]
หลุยส์ ฟีลิป เพิกเฉยต่อคำเรียกร้องของพระเจ้าชาร์ลในเอกสารฉบับดังกล่าว และในวันที่ 9 สิงหาคม ได้ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นหลุยส์-ฟีลิปที่ 1 พระมหากษัตริย์แห่งชาวฝรั่งเศส (กษัตริย์ประชาชน)[54]
เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่าผู้ประท้วงจำนวน 14,000 คน กำลังเตรียมการบุกโจมตี สมาชิกพระราชวงศ์จึงเสด็จออกจากร็องบูเยต์จนถึงวันที่ 16 สิงหาคม ทั้งหมดต่างพากันลงเรือกลไฟพาณิชย์ที่พระเจ้าหลุยส์-ฟีลิปทรงจัดเตรียมไว้ให้สู่สหราชอาณาจักร ทุกพระองค์ทรงได้รับแจ้งจากนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ดยุกแห่งเวลลิงตัน ว่าจะต้องเสด็จเข้าสู่ประเทศอังกฤษเยี่ยงสามัญชนทั่วไป ทุกพระองค์จึงต้องทรงใช้พระนามแฝง ส่วนพระเจ้าชาร์ลที่ 10 ทรงใช้พระนามเรียกตนเองว่า เคาน์แห่งปงตีเยอ เมื่อเสด็จเข้าสู่อังกฤษ ชาวอังกฤษต้อนรับสมาชิกราชวงศ์บูร์บงอย่างเย็นชาและมีท่าทีเย้ยหยันด้วยการโบกธงตรีกอลอร์ของฝ่ายปฏิวัติที่พึ่งจะถูกประกาศใช้เป็นธงชาติแห่งฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ[55]
ไม่นานหลังจากนั้น บรรดาเจ้าหนี้ของพระเจ้าชาร์ลที่ 10 ต่างพากันตามพระองค์มายังอังกฤษ ซึ่งก่อนหน้านี้เจ้าหนี้เหล่านี้ได้ถวายเงินกู้ยืมจำนวนมหาศาลให้พระเจ้าชาร์ลได้ทรงใช้สอยและพระองค์ยังไม่ได้ทรงใช้คืนจนครบจำนวนเงินที่ทรงติดค้างไว้ อย่างไรก็ตาม พระราชวงศ์ยังพอมีพระราชทรัพย์ส่วนของเจ้าหญิงมารี เตเรซ พระชายา ที่ทรงฝากไว้ในลอนดอนมาชดใช้หนี้สินดังกล่าว[55]
พระราชวงศ์บูร์บงทรงได้รับอนุญาตให้พำนักที่ปราสาทลัลเวิร์ธในดอร์เซต แต่ไม่นานก็ต่างพากันเสด็จย้ายไปพำนักที่พระราชวังฮอลีรูดในเอดินบะระ[55] ซึ่งใกล้เคียงกันคือ รีเจนต์เทอร์เรซ สถานที่ประทับของพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) เจ้าหญิงคาโรไลน์ แฟร์ดีนันด์แห่งบูร์บง-ซิซิลีทั้งสอง ดัชเชสแห่งแบร์รี[56]
จากการที่พระเจ้าชาร์ลที่ 10 เสด็จฯ ย้ายมาประทับ ณ สกอตแลนด์ ปรากฏว่าความสัมพันธ์ของพระองค์กับดัชเชสแห่งแบร์รีไม่ค่อยราบรื่นนัก เนื่องจากดัชเชสแห่งแบร์รีทรงอ้างสิทธิ์การเป็นผู้สำเร็จราชการแทนให้แก่พระโอรสของพระนาง อ็องรี ดาร์ตัว รัชทายาทที่ได้รับสมมุติแห่งฝรั่งเศสสายเลชีตีมีสต์องค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นผลมาจากการสละราชสมบัติของพระเจ้าชาร์ล ณ ร็องบูเยต์ ในช่วงแรกพระเจ้าชาร์ลไม่ทรงยอมรับการอ้างสิทธิ์ดังกล่าว แต่ในเดือนธันวาคมทรงตกลงว่าจะสนับสนุนการอ้างสิทธิ์ดังกล่าว[57] หากพระนางเสด็จนิวัตฝรั่งเศสได้สำเร็จ[56] ในปี พ.ศ. 2374 ดัชเชสแห่งแบร์รีเสด็จออกจากบริเตนผ่านเนเธอร์แลนด์ ปรัสเซีย ออสเตรีย สู่เนเปิลส์ อันเป็นถิ่นที่ประทับเดิมที่ราชวงศ์ของพระนางประทับอยู่[56] ต่อมาเสด็จถึงมาร์แซย์ในเดือนเมษายน พ.ศ. 2375 แต่ทรงได้รับเสียงสนับสนุนเพียงน้อยนิด[56] จึงเสด็จต่อไปยังว็องเด ที่ซึ่งทรงพยายามก่อการกำเริบต่อรัฐบาลใหม่ แต่ทรงถูกจับกุมตัวและถูกคุมขัง นำมาซึ่งความอัปยศแก่พระเจ้าชาร์ลเป็นอันมาก[57] เมื่อทรงได้รับการปล่อยตัว ดัชเชสแห่งแบร์รีเสกสมรสใหม่อีกครั้งกับขุนนางชั้นผู้น้อยแห่งเนเปิลส์ ยิ่งทำให้พระเจ้าชาร์ลทรงรู้สึกอนาถพระทัยมากขึ้นไปกว่าเดิม และจากการแต่งงานต่างฐานันดรในครั้งนี้ ทำให้พระเจ้าชาร์ลทรงห้ามไม่ให้พระนางพบกับพระโอรส-ธิดาของพระนางอีก[58]
ในช่วงฤดูหนาวระหว่างปี พ.ศ. 2375 - 2376 พระราชวงศ์บูร์บงที่เหลือเสด็จย้ายไปประทับ ณ กรุงปราก ตามคำเชิญของจักรพรรดิฟรันซ์ที่ 1 แห่งออสเตรีย ทั้งหมดจึงได้ประทับ ณ พระราชวังฮะราดส์ชิน (Hradschin Palace) ภายใต้พระบรมราชานุญาตของจักรพรรดิแห่งออสเตรีย[57] ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2376 สมาชิกราชวงศ์บูรบงสายเลชีตีมีสต์ทรงรวมกลุ่มกันที่กรุงปรากเพื่อเฉลิมฉลองวันคล้ายวันประสูติปีที่สามสิบของดยุกแห่งบอร์โด ทั้งหมดต่างทรงคาดหวังว่างานเฉลิมฉลองจะออกมายิ่งใหญ่ แต่พระเจ้าชาร์ลกลับเพียงแค่เฉลิมฉลองเพียงเล็กน้อย ในวันเดียวกันนั้นเอง หลังจากที่ทรงถูกโน้มน้าวอย่างมากจากเดอ ชาโตบรีอองด์ ทรงตกลงยอมพบกับดัชเชสแห่งแบร์รีในวันที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2476 ณ ลีโอเบิน ในออสเตรีย ซึ่งพระโอรส-ธิดาของพระนางปฏิเสธที่จะพบกับพระมารดาของตนหลังจากทราบข่าวการเสกสมรสครั้งที่สอง พระเจ้าชาร์ลทรงปฏิเสธคำเรียกร้องหลายประการจากดัชเชสแห่งแบร์รี แต่จากคำทักท้วงของพระสุณิสา (ลูกสะใภ้) พระองค์อื่น ๆ เช่น ดัชเชสแห่งอ็องกูแลม พระเจ้าชาร์ลจึงยอมตกลงในที่สุด ต่อมาช่วงฤดูร้อนของปี พ.ศ. 2378 พระเจ้าชาร์ลก็ทรงยิมยอมให้ดัชเชแห่งแบร์รีเข้าพบกับพระโอรส-ธิดาของพระนางได้[59]
จากการสวรรคตของจักรพรรดิฟรันซ์ในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2378 สมาชิกราชวงศ์บูร์บงเสด็จย้ายออกจากปราสาทปราก เนื่องจากจักพรรดิพระองค์ใหม่ของออสเตรีย จักรพรรดิแฟร์ดีนันด์ที่ 1 ประสงค์ที่จะใช้ปราสาทดังกล่าวเป็นสถานที่สำหรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกของพระองค์ ในช่วงต้นทั้งหมดเสด็จย้ายไปพำนักชั่วคราวที่เมืองเตอปลิตซ์ แต่ต่อมาเมื่อจักรพรรดิแฟร์ดีนันที่ 1 ประสงค์ที่จะประทับ ณ ปราสาทปรากเป็นการถาวร สมาชิกราชวงศ์บูร์บงจึงต้องหาที่พำนักแห่งใหม่และตัดสินใจซื้อปราสาทเคียชแบร์ก (Kirchberg Castle) แต่ยังไม่สามารถย้ายเข้าไปได้ในทันทีเนื่องจากในขณะนั้นมีการระบาดของอหิวาตกโรค ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในเดือนตุลาคม ที่พระเจ้าชาร์ลเสด็จฯ ไปยังชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนของออสเตรียที่อบอุ่นกว่า ณ เมืองเกอร์ซ (Görz) ของสโลวีเนีย ซึ่งที่เมืองเกอร์ซนี้เองที่ทรงติดเชื้ออหิวาตกโรคและสวรรคตในวันที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2379 ชาวเมืองต่างพากันสวมเสื้อผ้าสีดำเป็นการไว้อาลัยให้กับพระองค์ พระศพถูกฝัง ณ สุสานกอนสตานเจวิกา (ปัจจุบันตั้งอยู่ในเมืองเมืองนอวากอริกาของสโลวีเนีย)[60] ร่วมกับหลุมศพของสมาชิกราชวงศ์พระองค์อื่น ๆ
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.