Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ฟาโรห์โรมัน[1] ซึ่งไม่ค่อยนิยมเรียกว่าเป็นราชวงศ์ที่สามสิบสี่แห่งอียิปต์โบราณ[2][lower-alpha 1] เป็นจักรพรรดิแห่งจักรวรรดิโรมันในฐานะผู้ปกครองอียิปต์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของไอยคุปต์วิทยา หลังจากที่อียิปต์ถูกผนวกเข้ากับจักรวรรดิโรมันใน 30 ปีก่อนคริสตกาล ผู้คนและโดยเฉพาะอย่างยิ่งฐานะปุโรหิตของอียิปต์ยังคงยอมรับว่าจักรพรรดิโรมันทรงเป็นฟาโรห์ ตามพระราชอิสริยยศของฟาโรห์แบบโบราณราชประเพณี ซึ่งปรากฏภาพในงานศิลปะและและวัดวิหารทั่วอียิปต์
ถึงแม้ว่าชาวอียิปต์เองจะถือว่าจักรพรรดิโรมันจะทรงเป็นฟาโรห์และเป็นผู้สืบทอดที่ถูกต้องตามกฎมณเฑียรบาลย่างโบราณราชประเพณี แต่จักรพรรดิเองก็ทรงไม่เคยยอมรับตำแหน่งหรือขนบประเพณีของฟาโรห์ภายนอกนอกดินแดนอียิปต์ เนื่องจากส่วนดังกล่าวนั้นยากที่จะพิสูจน์ในโลกโรมันอันกว้างใหญ่ จักรพรรดิส่วนใหญ่อาจจะทรงให้สถานะตามที่ทรงดูแลโดยชาวอียิปต์เพียงเล็กน้อยและไม่ค่อยได้ไปเยือนมณฑลอียิปต์มากกว่าหนึ่งครั้งในพระชนม์ชีพของพระองค์ บทบาทของพระองค์ในฐานะเทวกษัตริย์ยังคงได้รับการยอมรับอย่างเป็นวงกว้างจากชาวอียิปต์เองเท่านั้น ซึ่งแตกต่างกันอย่างมากกับราชวงศ์ก่อนหน้า คือ ราชวงศ์ทอเลมีแห่งเฮลเลนิสติก ซึ่งผู้ปกครองทรงใช้พระชนม์ชีพส่วนใหญ่ภายในอียิปต์ ฟาโรห์ก่อนที่อียิปต์จะผนวกเข้ากับจักรวรรดิอะคีเมนิดในช่วงสมัยปลายแห่งอียิปต์โบราณต่างก็ทรงปกครองพระราชอาณาจักรจากภายในอียิปต์เช่นกัน อย่างไรก็ตาม อียิปต์ก็มีการปกครองที่แตกต่างจากมณฑลอื่น ๆ ของจักรวรรดิ โดยมีจักรพรรดิเป็นผู้เลือกผู้ว่าการมณฑลและมักจะปฏิบัติกับอียิปต์เหมือนสมบัติส่วนพระองค์มากกว่าที่จะเป็นมณฑล ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่จักรพรรดิทุกพระองค์ที่จะทรงได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นฟาโรห์ แต่ศาสนาอียิปต์โบราณจำเป็นต้องให้มีตำแหน่งฟาโรห์เพื่อทรงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างมนุษย์และเทพเจ้า การที่ให้จักรพรรดิทรงมีบทบาทเทวสัมพันธ์นั้นได้รับการยืนยันแล้วว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวที่ง่ายที่สุด และคล้ายกับวิธีที่ผู้ปกครองชาวเปอร์เซียทรงถูกมองว่าทรงเป็นฟาโรห์เมื่อหลายศตวรรษก่อน (ซึ่งสถาปนาขึ้นเป็นราชวงศ์ที่ยี่สิบเจ็ดและสามสิบเอ็ดแห่งอียิปต์)
อียิปต์จะยังคงเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิโรมันจนกระทั่งถูกพิชิตโดยรัฐเคาะลีฟะฮ์รอชิดูนในปี ค.ศ. 641 จักรพรรดิแห่งโรมันพระองค์สุดท้ายที่ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นฟาโรห์คือจักรพรรดิมักซิมินุส ดาซา (ทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ. 311 – 313) เมื่อถึงช่วงเวลาดังกล่าว มุมมองของชาวโรมันที่มีต่อตำแหน่งฟาโรห์ได้ลดลงไประยะหนึ่งแล้ว เนื่องจากอียิปต์อยู่เขตรอบนอกของจักรวรรดิจักรโรมัน (ตรงกันข้ามกับมุมมองของฟาโรห์โบราณที่มองว่าอียิปต์เป็นศูนย์กลางของโลก) การแพร่กระจายของศาสนาคริสต์ไปทั่วจักรวรรดิในคริสต์ศตวรรษที่ 4 และการเปลี่ยนแปลงในเมืองหลวงอเล็กซานเดรียของอียิปต์ให้เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ที่สำคัญ จึงได้ยุติประเพณีนิยมดังกล่าวลงอย่างเด็ดขาด เนื่องจากศาสนาใหม่ไม่สอดคล้องกับความหมายดั้งเดิมของการเป็นฟาโรห์
พระนามของจักรพรรดิได้ถูกเขียนด้วยอักษรอียิปต์โบราณตามการออกเสียงจากการแผลงพระนามในภาษากรีก วิธีการเขียนพระนามดังกล่าวส่งผลให้ฟาโรห์โรมันมีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อการศึกษาไอยคุปต์วิทยาสมัยใหม่ เนื่องจากการอ่านพระนามของพระองค์เป็นขั้นตอนสำคัญในการถอดรหัสของอักษรอียิปต์โบราณ
พระนางคลีโอพัตราที่ 7 ทรงมีความสัมพันธ์กับจอมเผด็จการโรมันนามว่า จูเลียส ซีซาร์ และแม่ทัพโรมันนามว่า มาร์ค แอนโทนี แต่หลังจากนั้นเมื่อ 30 ปีก่อนคริสตกาลพระนางก็ทรงทำอัตวินิบาตกรรม (หลังจากมาร์ค แอนโทนีพ่ายแพ้ต่ออ็อกตาเวียน ซึ่งต่อมากลายเป็นจักรพรรดิเอากุสตุส) อียิปต์ก็ได้กลายเป็นมณฑลหนึ่งของสาธารณรัฐโรมัน จักรพรรดิโรมันพระองค์ต่อมาทรงได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นฟาโรห์ แม้ว่าจะเป็นแค่ในมณฑลอียิปต์เท่านั้น ด้วยเหตุดังกล่าว ไม่ใช่ว่าจักรพรรดิโรมันทุกพระองค์ที่จะทรงได้รับการยอมรับว่าทรงเป็นฟาโรห์ ถึงแม้ว่าอ็อกตาเวียนจะทรงเลือกที่จะไม่สวมมงกุฎฟาโรห์เมื่อพิชิตอียิปต์ได้ ซึ่งคงจะเป็นการยากที่จะพิสูจน์ให้จักรวรรดิกว้างใหญ่ขึ้น เมื่อพิจารณาจากการเผยแพร่คำชวนเชื่อจำนวนมหาศาลที่พระองค์ทรงเผยแพร่เกี่ยวกับพฤติกรรม "แปลกประหลาด" ของพระนางคลีโอพัตราและแม่ทัพแอนโทนี[4] ชาวพื้นเมืองอียิปต์ถือว่าพระองค์ทรงเป็นฟาโรห์ ผู้ซึ่งสืบทอดพระราชบัลลังก์ต่อจากพระนางคลีโอพัตราและทอเลมี ซีซาเรียน ภาพสลักของอ็อกตาเวียน ซึ่งในปัจจุบันจะเรียกพระองค์ว่า เอากุสตุส ในเครื่องแต่งกายของฟาโรห์ตามโบราณราชประเพณี (ทรงสวมมงกุฎที่แตกต่างกันและกระโปรงสั้นแบบดั้งเดิม) และการสังเวยของเซ่นไหว้แด่เทพเจ้าต่าง ๆ ของอียิปต์ ซึ่งถูกสร้างขึ้นตั้งแต่เมื่อราว 15 ปีก่อนคริสตกาล และปัจจุบันปรากฏอยู่ในวิหารเดนดูร์ ซึ่งสร้างโดยกาอิอุส เพตรอนิอุส ซึ่งรั้งตำแหน่งเป็นผู้ว่าการมณฑลอียิปต์แห่งโรมัน[5] โดยก่อนหน้านั้น จักรพรรดิเอากุสตุสยังทรงได้รับตำแหน่งราชวงศ์ในภาษาอียิปต์บนจารึกศิลา เมื่อ 29 ปีก่อนคริสตกาลที่สร้างโดยกอร์เนลิอุส กัลลุส ถึงแม้ว่าตำแหน่งราชวงศ์จะไม่ปรากฏอยู่ในข้อความเดียวกันในรูปแบบภาษาละตินหรือกรีกก็ตาม[6]
ซึ่งไม่เหมือนกับฟาโรห์จากราชวงศ์ทอเลมีและฟาโรห์ของราชวงศ์ต่างเชื้อชาติก่อนหน้านี้ที่จักรพรรดิโรมันแทบจะไม่ได้ทรงปรากฏตัวในอียิปต์เลย ด้วยเหตุดังกล่าว บทบาทดั้งเดิมของฟาโรห์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งทวยเทพและระเบียบจักรวาลจึงค่อนข้างยากต่อการพิสูจน์ จักรพรรดิไม่ค่อยเสด็จเยือนมณฑลนี้มากกว่าหนึ่งครั้งในพระชนม์ชีพ ซึ่งตรงกันข้ามกับฟาโรห์พระองค์ก่อน ๆ ที่ทรงใช้พระชนม์ชีพส่วนใหญ่ในอียิปต์ ถึงอย่างนั้น อียิปต์ก็มีความสำคัญอย่างมากต่อจักรวรรดิ เนื่องจากเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์และเป็นภูมิภาคที่ร่ำรวยที่สุดของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน อียิปต์มีการปกครองแตกต่างจากจังหวัดอื่น ๆ โดยจักรพรรดิทรงปฏิบัติต่ออียิปต์เหมือนสมบัติส่วนตัวมากกว่าที่จะเป็นมณฑล ซึ่งทรงเลือกผู้ว่าการมณฑลด้วยพระองค์เองและบริหารโดยปราศจากการแทรกแซงของวุฒิสภาโรมัน ส่งผลให้วุฒิสมาชิกจึงไม่ค่อยได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ว่าการมณฑลแห่งอียิปต์ และมักจะถูกห้ามไม่ให้ไปเยือนมณฑลอียิปต์โดยไม่ได้รับพระบรมราชานุญาตอย่างชัดแจ้ง[7]
จักรพรรดิเวสพาซิอานุส (ค.ศ. 69 – ค.ศ. 79) เป็นจักรพรรดิพระองค์แรกนับตั้งแต่รัชสมัยจักรพรรดิเอากุสตุสที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนมณฑลอียิปต์[8] ที่เมืองอเล็กซานเดรีย พระองค์ทรงได้รับการยกย่องว่าทรงเป็นฟาโรห์ ซึ่งได้ระลึกย้อนไปถึงการเฝ้าฯ รับเสด็จของอเล็กซานเดอร์มหาราชที่วิหารอันศักดิ์สิทธิ์แห่งเซอุส-อัมมอนที่โอเอซิสซิวา จักรพรรดิเวสพาซิอานุสทรงได้รับการประกาศให้เป็นพระโอรสแห่งเทพผู้สร้าง อามุน (เซอุส-อัมมอน) ตามแบบราชประเพณีของฟาโรห์โบราณและทรงเป็นร่างอวตารของเทพเซราพิสในแบบของผู้ปกครองจากราชวงศ์ทอเลมี[9] ตามแบบอย่างของฟาโรห์ จักรพรรดิเวสพาซิอานุสจะต้องแสดงให้เห็นถึงการเลือกอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์โดยวิธีการแบบดั้งเดิมของการถ่มน้ำลายรดและเหยียบย่ำชายตาบอดและพิการ ด้วยเหตุดังกล่าวจึงสามารถรักษาชายผู้นั้นได้อย่างน่าอัศจรรย์[10]
สำหรับชาวอียิปต์แล้ว ศาสนาอียิปต์โบราณจำเป็นต้องมีฟาโรห์เพื่อทรงทำหน้าที่เป็นสื่อกลางระหว่างเทพเจ้าและมนุษย์ ด้วยเหตุดังกล่าว จักรพรรดิโรมันจึงยังคงถูกมองว่าทรงเป็นฟาโรห์ ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นวิธีแก้ปัญหาในเรื่องดังกล่าวที่ง่ายที่สุด โดยไม่สนใจถึงสถานการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นจริง คล้ายกับที่ชาวอียิปต์ปฏิบัติต่อผู้ปกครองชาวเปอร์เซียหรือชาวกรีกก่อนหน้าชาวโรมัน ลักษณะที่เป็นนามธรรมของบทบาทของ "ฟาโรห์โรมัน" เหล่านี้ส่งผลให้มั่นใจได้ว่านักบวชของอียิปต์สามารถแสดงความจงรักภักดีต่อวิถีดั้งเดิมและต่อผู้ปกครองต่างเชื้อชาติพระองค์ใหม่ จักรพรรดิโรมันเองส่วนใหญ่ก็ทรงมิได้สนพระราชหฤทัยในพระราชสถานะที่ชาวอียิปต์มอบให้ ซึ่งตำแหน่งภาษาละตินและภาษากรีกของพระองค์ยังคงเป็นภาษาโรมันเท่านั้น (อิมแปราตอร์ในภาษาละตินและเอาตอกราตอร์ในภาษากรีก) และบทบาทของพระองค์ในฐานะเทวกษัตริย์ก็เป็นที่ยอมรับเฉพาะในมณฑลโดยชาวอียิปต์เองเท่านั้น[11] แต่ไม่ใช่ว่าชาวอียิปต์ทุกคนจะเอนเอียงไปทางจักรพรรดิโรมันในทางบวก ก็ยังมีการประท้วงของชาวอียิปต์จำนวนหนึ่งที่ต่อต้านการปกครองของโรมัน และมีตัวอย่างบันทึกที่หลงเหลืออยู่โดยนักบวชชาวอียิปต์ที่คร่ำครวญถึงการปกครองอียิปต์ของจักรวรรดิโรมันและเรียกร้องให้มีการคืนสถานะของราชวงศ์พื้นเมืองของฟาโรห์[12]
เมื่อคริสต์ศาสนาได้รับการยอมรับมากขึ้นภายในจักรวรรดิ ซึ่งในที่สุดก็กลายเป็นศาสนาประจำจักรวรรดิ จักรพรรดิทั้งหลายทรงไม่พบว่ามีความเป็นไปได้ที่จะยอมรับความหมายดั้งเดิมของการเป็นฟาโรห์ (ตำแหน่งที่หยั่งรากอย่างมั่นคงในศาสนาอียิปต์โบราณ) และในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในเมืองอเล็กซานเดรียเอง ซึ่งเมืองหลวงของอียิปต์ตั้งแต่สมัยอเล็กซานเดอร์มหาราชก็ได้กลายเป็นศูนย์กลางสำคัญของศาสนาคริสต์ เมื่อถึงจุดนี้ ทัศนะของผู้ปกครองชาวโรมันในฐานะฟาโรห์ได้ลดลงบ้างแล้ว โดยที่มณฑลอียิปต์ซึ่งอยู่รอบนอกของจักรวรรดิโรมันนั้นแตกต่างอย่างมากจากมุมมองของฟาโรห์ดั้งเดิมที่มองว่าอียิปต์เป็นศูนย์กลางของโลก สิ่งนี้เห็นได้ชัดในตำแหน่งราชวงศ์แห่งฟาโรห์ของจักรพรรดิ ถึงแม้ว่าจักรพรรดิในช่วงแรก ๆ จะทรงได้รับตำแหน่งราชวงศ์ที่ซับซ้อนคล้ายกับของผู้ปกครองจากราชวงศ์ทอเลมีและฟาโรห์ชาวพื้นเมืองก่อนหน้าพระองค์ แต่ก็ไม่มีจักรพรรดิพระองค์ใดหลังจากรัชสมัยของจักรพรรดิมาร์คุส เอาเรลิอุส (ค.ศ. 161 – ค.ศ. 180) ที่จะทรงได้รับเพียงการขนานพระนามประสูติเท่านั้น (แต่ก็คงยังเขียนพระนามลงในวงคาร์ทูช) ถึงแม้ว่าจักรพรรดิโรมันจะขึ้นมาปกครองหลังจากนั้นมาอีกหลายศตวรรษ จนกระทั่งกรุงคอนสแตนติโนเปิลล่มสลายในปี ค.ศ. 1453 อียิปต์ก็ยังคงเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิจนถึงปี ค.ศ. 641 โดยจักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายที่ทรงได้รับพระราชทานตำแหน่งเป็นฟาโรห์คือจักรพรรดิมักซิมินุส ดาซา (ทรงครองราชย์ระหว่าง ค.ศ. 311 – ค.ศ. 313)[13]
ถึงแม้จะมีความสัมพันธ์ระหว่างราชวงศ์จริงก็ตาม (ปรากฏว่ามีราชวงศ์ที่แตกต่างกันอย่างน้อยจำนวน 4 ราชวงศ์ของจักรพรรดิโรมันในช่วงระหว่างรัชสมัยของจักรพรรดิเอากุสตุสและจักรพรรดิมักซิมินุส ดาซา) ซึ่งช่วงเวลาที่จักรวรรดิโรมันได้ปกครองอียิปต์ทั้งหมด บางครั้งอาจจะเรียกว่า ราชวงศ์ที่สามสิบสี่[2] ซึ่งนักวิชาการคอปติกบางคนในคริสต์ศตวรรษที่ 19 เช่น มิคาอิล ชารูบิม และ ริฟะ'อะ อัต-ตะฮ์ตะวิ ได้แบ่งจักรพรรดิโรมันออกเป็นสองราชวงศ์ โดยราชวงศ์ที่สามสิบสี่เป็นราชวงศ์ของจักรพรรดินอกรีต และราชวงศ์ที่สามสิบห้า ซึ่งครอบคลุมแต่จักรพรรดิที่ทรงนับถือคริสต์ศาสนา โดยนับตั้งแต่จักรพรรดิเทออดอซิอุสที่ 1 ไปจนถึงช่วงการพิชิตอียิปต์ของชาวมุสลิมในปี ค.ศ. 641 ถึงแม้ว่าจะไม่ปรากฏจักรพรรดิโรมันที่ทรงนับถือศาสนาคริสต์พระองค์ใดเลยที่ทรงเคยถูกเรียกว่าฟาโรห์โดยชาวอียิปต์โบราณก็ตาม[14]
ตำแหน่งฟาโรห์ของจักรพรรดิโรมันมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในการศึกษาไอยคุปต์วิทยาสมัยใหม่ บุคคลสำคัญในการถอดรหัสอักษรอียิปต์โบราณคือ ฌ็อง-ฟร็องซัว ช็องปอลียง ซึ่งเป็นนักตะวันออกศึกษาชาวฝรั่งเศส (ค.ศ. 1790 – ค.ศ. 1832) โดยที่ จดหมายถึง เอ็ม. ดาซีเอร์ (Lettre à M. Dacier) ของช็องปอลียงในปี ค.ศ. 1822 เป็นสิ่งพิมพ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดในไอยคุปต์วิทยาทั้งหมด และบางครั้งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างระเบียบการศึกษาไอยคุปต์วิทยา[15] จดหมายฉบับดังกล่าวรวมการอ่านคาร์ทูชของฟาโรห์จากช่วงสมัยราชวงศ์ทอเลมีและสมัยโรมันโดยช็องปอลียง[15] โดยอ้างอิงจากความพยายามก่อนหน้านี้และการเปรียบเทียบระหว่างคาร์ทูชต่าง ๆ การถอดรหัสตำแหน่งของจักรพรรดิ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการแผลงตำแหน่งในภาษาอียิปต์ เช่น ไกซาร์และเอาตอกราตอร์ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญอย่างยิ่งของกระบวนการดังกล่าว[16]
ถึงแม้ว่าจะมีการพัฒนาเพิ่มเติมก่อนที่จะสามารถอ่านข้อความอักษรอียิปต์โบราณแบบเต็มความยาวได้อย่างถูกต้องตามสมควร แต่การค้นพบของช็องปอลียงในอักษรอียิปต์โบราณแบบออกเสียงนั้นได้ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการศึกษา[15] เมื่อถึงเวลาตีพิมพ์จดหมาย ซึ่งรวมถึงรายการสัญลักษณ์อักษรอียิปต์โบราณเกี่ยวกับการออกเสียง ช็องปอลียงก็ไม่ได้คาดหวังว่าค่าการออกเสียงที่ค้นพบจะสามารถนำไปใช้กับพระนามของฟาโรห์สมัยก่อนหน้าราชวงศ์ทอเลมีได้เช่นกัน[16] การตระหนักในภายหลังของเขา ณ จุดหนึ่งต่อมาในปี ค.ศ. 1822 หรือ ค.ศ. 1823 ว่าการเขียนอักษรอียิปต์โบราณมักจะเป็นการผสมผสานระหว่างการออกเสียงและตัวหนังสือความคิด (เช่น สัญลักษณ์ของคำหรือความคิด) ซึ่งได้วางรากฐานในความพยายามในการถอดรหัสที่จะประสบความสำเร็จในอนาคต[17] และส่งผลให้ช็องปอลียงเริ่มสนใจไม่เพียงแต่ถอดรหัสสัญลักษณ์เท่านั้นแต่ยังแปลภาษาที่ซ่อนอยู่ด้วย[18][19]
รายการพระนามดังต่อไปนี้ปรากฏเฉพาะจักรพรรดิที่ปรากฏหลักฐานยืนยันในตัวอักษรอียิปต์โบราณ (เช่น ปรากฏพระนามฟาโรห์) โดยฟ็อน เบ็คเคอราธ (ค.ศ. 1984)[20]
รูปภาพ | พระนามและรัชสมัย | ตำแหน่งราชวงศ์อียิปต์โบราณ (คาร์ทูช)[lower-alpha 2] | คำอธิบาย | อ้างอิง | |||
---|---|---|---|---|---|---|---|
เอากุสตุส ค. 30 ปีก่อนคริสตกาล[lower-alpha 3]– ค.ศ. 14 |
พระนามฮอรัส: ṯmꜢ-Ꜥ wr-pḥtj ḥwnw-bnr-mrwt ḥqꜢ-ḥqꜢw stp-n-Ptḥ-Nnw-jt-nṯrw ṯmꜢ-Ꜥ wr-pḥtj ḥwnw-bnr-mrwt |
พระนามครองราชย์: ḥqꜢ-ḥqꜢw stp-n-Ptḥ ḥqꜢ-ḥqꜢw stp-n-Ptḥ mrj-Ꜣst Autokrator |
พระนามประสูติ: Kaisaros, Ep. nt.f mḥ[lower-alpha 4] Kaisaros, Ep. pꜢ nṯr Kaisaros, Ep. Ꜥnḫ-ḏt mrj-Ptḥ-Ꜣst Romaios |
จักรพรรดิโรมันพระองค์แรกและผู้ปกครองโรมันพระองค์แรกที่ทรงควบคุมอียิปต์ ทรงจัดตั้งระบบภาษีใหม่ที่ไม่เป็นที่ชอบในอียิปต์และห้ามประเพณีบูชาจากอียิปต์ในกรุงโรม | [24] | ||
ติแบริอุส ค. ค.ศ. 14 – ค.ศ. 37 |
พระนามฮอรัส: ṯmꜢ-Ꜥ wr-pḥtj ḥwnw-bnr-mrwt ḥqꜢ-ḥqꜢw stp-n-Ptḥ-Nnw-jt-nṯrw ṯmꜢ-Ꜥ wr-pḥtj ḥwnw-bnr-mrwt kꜢ-nsw sḫm-ḫntj-pr-dwꜢt ṯmꜢ-Ꜥ ẖwj-ḫꜢswt wr-pḫtj nḫhw-BꜢqt ṯmꜢ-Ꜥ ẖnmw-n-tꜢw smꜢw-wꜢs-?-gmj-wš-m-Jtrtj |
พระนามประสูติ: Tiberios Tiberios ntj-ḫw[lower-alpha 5] Tiberios Kaisaros, Ep. Ꜥnḫ-ḏt |
ทรงทิ้งร่องรอยของพระองค์ไว้เล็กน้อยในอียิปต์ | [24] | |||
กาลิกุลา ค. ค.ศ. 37 – ค.ศ. 41 |
พระนามฮอรัส: kꜢ-nḫt jꜢḫ-stwt-RꜤ-JꜤḥ |
พระนามครองราชย์: Autokrator, Ep. ḥqꜢ-ḥqꜢw mrj-Ptḥ-Ꜣst |
พระนามประสูติ: Kaisaros Germanikos, Ep. Ꜥnḫ-ḏt |
ทรงทิ้งร่องรอยของพระองค์ไว้เล็กน้อยในอียิปต์ โดยทรงยกเลิกการห้ามลัทธิบูชาอียิปต์ในกรุงโรมที่ตราขึ้นโดยจักรพรรดิเอากุสตุส | [26] | ||
เกลาดิอุส ค. ค.ศ. 41 – ค.ศ. 54 |
พระนามฮอรัส: kꜢ-nḫt ḏd-jꜢḫ-Šw-(m)-Ꜣḫt kꜢ-nḫt wḥm-ḫꜤw |
พระนามครองราชย์: Autokrator, Ep. ḥqꜢ-ḥqꜢw mrj-Ꜣst-Ptḥ Kaisaros Germanikos Kaisaros Sebastos Germanikos Autokrator |
พระนามประสูติ: Tiberios Klaudios Tiberios Klaudios Kaisaros ntj ḫw |
ทรงทิ้งร่องรอยของพระองค์ไว้เล็กน้อยในอียิปต์ โดยทรงตำหนิคำขอจากอเล็กซานเดรียเพื่อให้ได้วุฒิสภาที่ปกครองตนเอง | [26] | ||
แนโร ค. ค.ศ. 54 – ค.ศ. 68 |
พระนามฮอรัส: ṯmꜢ-Ꜥ ẖwj-ḫꜢswt wr-nḫw-BꜢqt ḥqꜢ-ḥqꜢw stp-n-Nnw-Mrwr ṯmꜢ-Ꜥ ẖwj-ḫꜢswt |
พระนามครองราชย์: ḥqꜢ-ḥqꜢw stp-n-Ptḥ mrj-Ꜣst Kaisaros Germanikos |
พระนามประสูติ: Neron Neron Klaudios, Ep. ḫw Autokrator Neron Neron Klaudios Kaisaros ntj ḫw |
ทรงส่งกองทหารรักษาการณ์กลุ่มเล็ก ๆ ไปสำรวจตามแม่น้ำไนล์ทางตอนใต้ของอียิปต์ บางทีอาจจะทรงตั้งใจให้เป็นภารกิจสอดแนมเพื่อพิชิตดินแดนในภายหลัง | [26] | ||
กัลบา ค. ค.ศ. 68 – ค.ศ. 69 |
พระนามประสูติ: Serouios Galbas Autokrator |
ทรงทิ้งร่องรอยของพระองค์ไว้เล็กน้อยในอียิปต์ | [26] | ||||
ออธอ ค. ค.ศ. 69 |
พระนามประสูติ: Markos Othon |
ทรงทิ้งร่องรอยของพระองค์ไว้เล็กน้อยในอียิปต์ | [26] | ||||
ไม่ปรากฏร่องรอยในช่วงการครองราชย์เป็นระยะเวลาอันสั้นของจักรพรรดิวิแต็ลลิอุส (ค. ค.ศ. 69) ในอียิปต์ | |||||||
แว็สปาซิอานุส ค. ค.ศ. 69 – ค.ศ. 79 |
พระนามประสูติ: Ouespasianos Ouespasianos ntj ḫw |
จักรพรรดิพระองค์แรกที่เสด็จพระราชดำเนินเยือนอียิปต์นับตั้งแต่จักรพรรดิเอากุสตุส ซึ่งทรงได้รับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างฟาโรห์ | [27] | ||||
ติตุส ค. ค.ศ. 79 – ค.ศ. 81 |
พระนามฮอรัส: ḥwnw-nfr bnr-mrwt |
พระนามครองราชย์: Titos Autokrator Titos Kaisaros |
พระนามประสูติ: Ouespasianos |
ทรงทิ้งร่องรอยของพระองค์ไว้เล็กน้อยในอียิปต์ | [28] | ||
ดอมิติอานุส ค. ค.ศ. 81 – ค.ศ. 96 |
พระนามฮอรัส: ḥwnw-nḫt jṯj-m-sḫm.f. |
พระนามฮอรัสทองคำ: wsr-rnpwt ꜤꜢ-nḫtw |
พระนามครองราชย์: Ḥr-zꜢ-Ꜣst mrj-nṯrw-nb(w) |
พระนามประสูติ: Domitianos Domitianos ntj ḫw Domitianos Sebastos Kaisaros |
ทรงโปรดให้เริ่มนำเทพเจ้าอียิปต์มาปรากฏไว้บนเหรียญที่ผลิตขึ้นในเมืองอเล็กซานเดรีย และทรงโปรดให้สร้างวิหารที่อุทิศแด่เทพเจ้า เช่น เทพีไอซิสและเทพเซราพิสในอิตาลี พระองค์ยังทรงพยายามที่จะเพิ่มความชอบธรรมให้กับการปกครองของจักรพรรดิอีกด้วย ด้วยการใช้ทรงเครื่องประกอบของการเป็นฟาโรห์ | [28] | |
แนร์วา ค. ค.ศ. 96 – ค.ศ. 98 |
พระนามฮอรัส: Nerouas ntj ḫw |
ทรงทิ้งร่องรอยของพระองค์ไว้เล็กน้อยในอียิปต์ | [28] | ||||
ตรายานุส ค. ค.ศ. 98 – ค.ศ. 117 |
พระนามครองราชย์: Autokrator Kaisaros Nerouas Germanikos Dakikos, Ep. Ꜥnḫ-ḏt |
พระนามประสูติ: Nerouas Traianos Nerouas Traianos, Ep. Ꜥnḫ-ḏt mrj-Ꜣst Traianos ntj ḫw Traianos ntj ḫw + Aristos Germanikos Dakikos |
แหล่งข้อมูลจากอียิปต์ในรัชสมัยของจักรพรรดิตรายานุส ปรากฏการเชื่อมโยงระหว่างจักรพรรดินีปอมเปอียา โปลตีนากับเทพีฮัตฮอร์ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์โดยตรงครั้งแรกที่รู้จักกันระหว่างราชวงศ์ของจักรพรรดิ (นอกเหนือจากจักรพรรดิ) กับเทพเจ้าอียิปต์ | [29] | |||
ฮาดริอานุส ค. ค.ศ. 117 – ค.ศ 138 |
พระนามประสูติ: Traianos Adrianos, Ep. Ꜥnḫ-ḏt mrj-Ꜣst Adrianos ntj ḫw Hadrianus Caesar |
เสด็จพระราชดำเนินเยือนอียิปต์โดยรัฐเป็นระยะเวลานานถึง 8/10 เดือนในปี ค.ศ. 130 – ค.ศ. 131 ทรงเยี่ยมชมสถานที่สำคัญหลายแห่งและทรงโปรดให้สร้างเมืองอันติโนโพลิส โดยลัทธิอันตินออัสของจักรพรรดิฮาดริอานุสได้รับอิทธิพลมาจากเทววิทยาอียิปต์ ทรงปกครองในช่วงเวลาคลั่งวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ | [30] | ||||
อันตอนินุส พิอุส ค. ค.ศ. 138 – ค.ศ. 161 |
พระนามฮอรัส: nfr-n(?)-tꜢ-nṯr ḥn-n-f-ŠmꜤw-Mḥw-m-nḏm-jb |
พระนามครองราชย์: Autokrator Kaisaros Titos Ailios Adrianos |
พระนามประสูติ: Antoninos ntj ḫw + Eusebes Antoninos Sebastos Eusebes ntj ḫw Antoninos ntj ḫw Ꜥnḫ-ḏt Antoninos ntj ḫw, Ep. šꜢj-n-BꜢqt |
ทรงเฉลิมฉลองในอียิปต์โบราณ เนื่องจากวงจรโซธิกครบรอบในปี ค.ศ. 139 รัชสมัยอันยาวนานของพระองค์จึงได้เห็นการก่อสร้างวิหารที่สำคัญครั้งสุดท้ายในอียิปต์ ทรงเสด็จพระราชดำเนินเยือนเมืองอเล็กซานเดรียในช่วงคริสต์ทศวรรษที่ 150 เพื่อทรงอุปถัมภ์อาคารใหม่หลายแห่ง | [31] | ||
ลูกิอุส เวรุส ค. ค.ศ. 161 – ค.ศ. 169 |
Loukio(s) Aurelio(s), Ep. wr-ꜤꜢ Ꜥnḫ-ḏt[lower-alpha 6] |
ทรงเป็นจักรพรรดิร่วมกับจักรพรรดิมาร์กุส เอาเรลิอุส | [20] | ||||
มาร์กุส เอาเรลิอุส ค. ค.ศ. 161 – ค.ศ. 180 |
Aurelios Antoninos ntj ḫw Autokrator Kaisaros Mark(os) Aurelio(s) Antonin(os) Aure(li)os, Ep. Ꜥnḫ-ḏt + Antonin(os), Ep. Ꜥnḫ-ḏt [Markos] Aurelio(s) Antoninos Sebastos |
ทรงเผชิญกับการก่อการจลาจลของชาวอียิปต์พื้นเมืองที่นำโดยอิซิดอรุสในปี ค.ศ. 171 – ค.ศ. 175 และการก่อจลาจลของผู้แย่งชิงตำแหน่งนามว่า อะวิดิอุส กัสซิอุส ในปี ค.ศ. 175 ที่สนับสนุนโดยอียิปต์ ทรงเสด็จพระราชดำเนินไปยังอียิปต์ในปี ค.ศ. 176 ซึ่งเป็นมณฑลที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโรคระบาดอันโตนีน ทรงโปรดให้ยกเลิกตัวอักษรเดมอติกซึ่งแทนที่ตัวอักษรกรีก โดยทรงให้ใช้อย่างเป็นทางการในอียิปต์ | [33] | ||||
ก็อมมอดุส ค. ค.ศ. 180 – ค.ศ. 192 |
Markos Au(re)lios Komodos Antoninos Komodos Kaisaros(?) Komodos Antoninos ntj ḫw |
จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายที่ทรงได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในฐานะผู้อุปถัมภ์ของฟาโรห์ในวิหารของอียิปต์ การลดลงของการเป็นตัวแทนของจักรพรรดิในเวลาต่อมาอาจเป็นผลมาจากทรัพยากรที่ลดลงสำหรับนักบวชและวิหารแทนที่จะเป็นการเปลี่ยนแปลงทัศนคติและนโยบายของจักรวรรดิ | [34] | ||||
ไม่ปรากฏตำแหน่งราชวงศ์ของฟาโรห์ใดเลยของจักรพรรดิที่ปกครองในช่วงเวลาอันสั้นทั้งสองพระองค์ในปีแห่งห้าจักรพรรดิ (ค.ศ. 193)[20] จักรพรรดิแปร์ตินักซ์ทรงเป็นที่รู้จักในอียิปต์ช่วงเวลาสั้น ๆ จำนวน 22 วันก่อนการปลงพระชนม์ของพระองค์ และส่วนจักรพรรดิดิดิอุส ยูลิอานุส กลับทรงไม่เป็นที่รู้จักในอียิปต์เลย และแป็สแก็นนิอุส นิแกร์ ซึ่งเป็นผู้แย่งชิงตำแหน่งกลับเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งที่ได้รับการยอมรับของจักรพรรดิแปร์ตินักซ์ในอียิปต์[35] แต่ไม่ทราบตำแหน่งราชวงศ์ของฟาโรห์ที่หลงเหลือเช่นกัน[20] | |||||||
แซ็ปติมิอุส เซเวรุส ค. ค.ศ. 193 – ค.ศ. 211 |
Seouēros ntj ḫw |
เสด็จประพาสอียิปต์พร้อมกับพระราชวงศ์ในปี ค.ศ. 199 – ค.ศ. 200 ทรงโปรดให้บูรณะปฏิสังขรณ์อาคารเก่าและจัดตั้งวุฒิสภาในเมืองอเล็กซานเดรียและที่อื่น ๆ การแตกแยกทางศาสนาและการโต้เถียงนำไปสู่การประหัตประหารชาวคริสต์ครั้งใหญ่ครั้งแรกในอียิปต์ในปี ค.ศ. 201 | [36] | ||||
แกตา ค. ค.ศ. 211 |
Geta(s) ntj ḫw |
ทรงเป็นจักรพรรดิที่ปกครองร่วมเป็นระยะเวลอันสั้นกับจักรพรรดิการากัลลา | [20] | ||||
การากัลลา ค. ค.ศ. 211 – ค.ศ 217 |
Antoninos ntj ḫw |
ทรงเพิ่มความความเป็นพลเมืองโรมันให้กับชาวโรมันทุกคนผ่านรัฐธรรมนูญแห่งอันโตนินุสในปี ค.ศ. 212 พระนามของพระองค์คือ เอาเรลิอุส[lower-alpha 7] จากนั้นก็เป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอียิปต์ | [37] | ||||
มากรินุส ค. ค.ศ. 217 – ค.ศ. 218 |
Makrino(s) n(tj) ḫw |
ทรงทำลายข้อปฏิบัติที่มีมายาวนานและทรงส่งผู้ปกครองและวุฒิสมาชิกไปปกครองอียิปต์ ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะถูกปลดจากตำแหน่งและวุฒิสมาชิกถูกสังหารหลังจากการสวรรคตของจักรพรรดิมากรินุส | [38] | ||||
ดิอาดุเมนิอานุส ค. ค.ศ. 218 |
Diadoumenianos |
เป็นจักรพรรดิร่วมกับจักรพรรดิมากรินุส | [20] | ||||
จักรพรรดิแอลากาบาลุส (ค. ค.ศ. 218 – ค.ศ. 222) ทรงสืบทอดตำแหน่งต่อจากจักรพรรดิมากรินุสและจักรพรรดิดิอาดุเมนิอานุส ซึ่งทรงไม่ได้ถูกกล่าวถึงในแหล่งข้อมูลอียิปต์ที่ยังหลงเหลืออยู่[35] ผู้สืบทอดตำแหน่งของพระองค์พระนามว่า จักรพรรดิแซเวรุส อาแล็กซันแดร์ (ค. ค.ศ. 222 – ค.ศ. 235) ทรงเป็นที่รู้จักในอียิปต์ ไม่ปรากฏตำแหน่งราชวงศ์ของฟาโรห์ที่หลงเหลืออยู่[20] จักรพรรดิที่ทรงปกครองเป็นระยะเวลาอันสั้นอย่างจักรพรรดิมักซิมินุส ตรักซ์ (ค. ค.ศ. 235 – ค.ศ. 238), จักรพรรดิกอร์ดิอานุสที่ 1 (ค. ค.ศ. 238), จักรพรรดิกอร์ดิอานุสที่ 2 (ค. ค.ศ. 238), จักรพรรดิพูพิเอนุส (ค. ค.ศ. 238), จักรพรรดิบัลบินุส (ค. ค.ศ. 238) และจักรพรรดิกอร์ดิอานุสที่ 3 (ค. ค.ศ. 238 – ค.ศ. 244) ทรงมีส่วนเกี่ยวข้องในอียิปต์น้อยมากและทรงไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในเอกสารหลักฐานอียิปต์ที่ยังหลงเหลืออยู่ | |||||||
ฟิลิปปุส ค. ค.ศ. 244 – ค.ศ. 249 |
Philippos ntj ḫw |
เนื่องจากการบริหารที่ผิดพลาดมาหลายทศวรรษและการปะทะกันทางการเมือง อียิปต์จึงตกอยู่ในความยากจนในช่วงเวลาที่จักรพรรดิฟิลิปปุสทรงขึ้นครองราชย์ และเป็นฟาโรห์พระองค์สุดท้ายจะได้รับการรำลึกไว้ที่วิหารขนาดใหญ่ที่เอสนา | [39] | ||||
เดกิอุส ค. ค.ศ. 249 – ค.ศ 251 |
Dekios ntj ḫw |
ทรงกำกับการข่มเหงชาวคริสเตียน รัชสมัยของพระองค์บริเวณอียิปต์ทางตอนใต้ถูกโจมตีโดยพวกเบลมมิเอส ซึ่งเป็นครั้งแรกที่อียิปต์ตอนใต้ถูกโจมตีนับตั้งแต่รัชสมัยจักรพรรดิเอากุสตุส | [40] | ||||
จักรพรรดิแตรบอนิอานุส กัลลุส (ค. ค.ศ. 251 – ค.ศ. 253) และจักรพรรดิไอมิลิอานุส (ค. ค.ศ. 253) ทรงได้รับการยอมรับในอียิปต์ ตามเอกสารทางการและเหรียญที่ผลิตในเมืองอเล็กซานเดรีย[41] แต่ไม่ปรากฏตำแหน่งราชวงศ์ของฟาโรห์ใดเลย[20] | |||||||
วาแลริอานุส ค. ค.ศ. 253 – ค.ศ. 260 |
Oualerianos |
ทรงไม่เป็นที่ชอบโดยชาวคริสเตียนจากการข่มเหงชาวคริสเตียนอีกครั้ง แต่พระองค์กลับเป็นที่นิยมของในหมู่นักบวชชาวอียิปต์ | [42] | ||||
หลังจากรัชสมัยของจักรพรรดิวาแลริอานุส อียิปต์ถูกควบคุมโดยกลุ่มผู้แย่งชิงตำแหน่ง ได้แก่ มากริอานุส มินอร์ (ค. ค.ศ. 260 – ค.ศ. 261), กวีเอตุส (ค. ค.ศ. 260 – ค.ศ. 261) และลูกิอุส มุสซิอุส ไอมิลิอานุส (ค. ค.ศ. 261– ค.ศ. 262)[43] ซึ่งไม่ปรากฏตำแหน่งราชวงศ์ของฟาโรห์ใดเลยทั้งหมด[20] จักรพรรดิที่ถูกต้องตามกฎหมายอย่างกัลลิเอนุส (ค. ค.ศ. 262 – ค.ศ. 268) ทรงเป็นที่รู้จัก,[44] ไม่ปรากฏตำแหน่งราชวงศ์ของฟาโรห์ในรัชสมัยของพระองค์[20] ปรากฏบันทึกไม่กี่ชิ้นที่หลงเหลือจากอียิปต์จากผู้สืบทอดของจักรพรรดิกัลลิอานุสโดยปรากฏหลักฐานเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับรัชสมัยของจักรพรรดิเกลาดิอุส กอทิกุส (ค. ค.ศ. 268 – ค.ศ. 270), จักรพรรดิควินติลลุส (ค. ค.ศ. 270), จักรพรรดิเอาเรลิอานุส (ค. ค.ศ. 270 – ค.ศ. 275) และจักรพรรดิตากิตุส (ค. ค.ศ. 275 – ค.ศ. 276) ถึงแม้ว่าทรงเป็นที่รู้จักของของชาวอียิปต์ทั้งหมด ตลอดช่วงเกือบปี ค.ศ. 271 อียิปต์ถูกยึดครองโดยซีโนเบียแห่งอาณาจักรพัลไมรีน จนกระทั่งมณฑลนี้ถูกยึดคืนโดยจักรพรรดิเอาเรลิอานุส รัชสมัยอันสั้นของจักรพรรดิฟลอริอานุส (ค. ค.ศ. 276) ซึ่งพระองค์ทรงไม่เป็นที่ยอมรับอย่างชัดเจนในอียิปต์ โดยกองทหารอียิปต์ที่สนับสนุนจักรพรรดิปลอบุส | |||||||
ปรอบุส ค. ค.ศ. 276 – ค.ศ. 282 |
Autokrator Probos (?)[lower-alpha 8] |
ทรงยึดพระราชบัลลังก์จักรวรรดิด้วยการสนับสนุนของอียิปต์ ทรงเอาชนะพวกเบลมมิเอส ซึ่งบุกขึ้นไปทางเหนือไกลถึงเมืองคอปโตส | [46] | ||||
จักรพรรดิการุส (ค. ค.ศ. 282 – ค.ศ. 283), จักรพรรดิการินุส (ค. ค.ศ. 283 – ค.ศ. 285) และจักรพรรดินุเมริอานุส (ค. ค.ศ. 283 – ค.ศ. 284) ทรงไม่ได้ถูกบันทึกไว้ในแหล่งข้อมูลของอียิปต์[20][44] | |||||||
ดิออเกลติอานุส ค. ค.ศ. 284 – ค.ศ. 305 |
Diokletian(os) |
ทรงทำการปฏิรูป ซึ่งได้ขจัดความเสื่อมทรามออกไปอียิปต์มาก ทำให้อียิปต์สามารถบูรณาการทางเศรษฐกิจและการบริหารกับมณฑลอื่นๆ ได้มากขึ้น ดินแดนทางตอนใต้ของอียิปต์ถูกทิ้งร้างระหว่างการเสด็จพระราชดำเนินเยือนอียิปต์ในปี ค.ศ. 298 และมีการข่มเหงชาวคริสเตียนนั้นมีความรุนแรงเป็นอย่างมากในอียิปต์ | [47] | ||||
มักซิมิอานุส ค. ค.ศ. 286 – ค.ศ. 305 |
Maksimiano(s) |
ทรงเป็นจักรพรรดิโรมันตะวันตก ซึ่งปกครองร่วมกับจักรพรรดิดิออเกลติอานุส แต่ทรงไม่ได้ควบคุมอียิปต์ | [20] | ||||
กาแลริอุส ค. ค.ศ. 305 – ค.ศ. 311 |
Kaisaros Iouio(s) Maksimio(s) |
การกดขี่ข่มเหงชาวคริสเตียนยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งจักรพรรดิกาแลริอุสทรงออกพระราชโองการขันติธรรมทางศาสนา | [20] | ||||
มักซิมินุส ดาซา ค. ค.ศ. 311 – ค.ศ. 313 |
Kaisaros Oualerios Mak(sim)inos |
จักรพรรดิพระองค์สุดท้ายที่ชาวอียิปต์ถือว่าทรงเป็นฟาโรห์ | [48] | ||||
จักรพรรดิมักซิมินุส ดาซา เป็นจักรพรรดินอกรีตที่ผู้ทรงโหดร้ายพระองค์สุดท้ายที่ทรงควบคุมอียิปต์ และเป็นจักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายที่ทรงได้รับการยอมรับในบันทึกอักษรอียิปต์โบราณ ถึงแม้ว่าคาร์ทูชหลายอันจะถูกบันทึกในเวลาต่อมา (คาร์ทูชที่เป็นที่ทราบที่บันทึกเป็นครั้งสุดท้าย คือ รัชสมัยของจักรพรรดิกอนสแตนติอุสที่ 2 ในปี ค.ศ. 340) แต่ชาวอียิปต์นอกรีตกลับใช้คาร์ทูชของจักรพรรดิดิออเกลติอานุสแทนการยกย่องจักรพรรดิคริสเตียนในช่วงเวลาหลัง |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.