เอกซ์บอกซ์ (อังกฤษ: Xbox) เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นแรกภายใต้เครื่องเล่นวิดีโอเกมชุดเอกซ์บอกซ์ซึ่งผลิตโดยไมโครซอฟท์ วางจำหน่ายครั้งแรกเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2544 ในทวีปอเมริกาเหนือ ตามด้วยประเทศออสเตรเลีย ทวีปยุโรปและประเทศญี่ปุ่นในปี 2545[1] โดยนับเป็นครั้งแรกที่ไมโครซอฟท์เข้าสู่ตลาดเครื่องเล่นวิดีโอเกม เอกซ์บอกซ์เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นที่ 6 ที่เป็นคู่แข่งกับโซนี่เพลย์สเตชัน 2 และนินเท็นโด เกมคิวบ์ ซึ่งเอกซ์บอกซ์นับว่าเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมแรกที่ถูกผลิตโดยบริษัทสัญชาติอเมริกานับตั้งแต่เครื่องอาตาริ จากัวร์ หยุดการผลิตในปี พ.ศ. 2539
ผู้ผลิต | ไมโครซอฟท์ |
---|---|
ตระกูล | เอกซ์บอกซ์ |
ชนิด | เครื่องเล่นวิดีโอเกม |
ยุค | ยุคที่หก |
วางจำหน่าย | 15 พฤศจิกายน 2544 22 กุมภาพันธ์ 2545 14 มีนาคม 2545 |
ยอดจำหน่าย | 24 ล้านเครื่อง |
สื่อ | ดีวีดี, ซีดี |
ซีพียู | 733 MHz Intel Mobile Pentium III |
สื่อบันทึกข้อมูล | ฮาร์ดดิสก์ เมมโมรีการ์ด |
กราฟิกการ์ด | 233 MHz NVIDIA NV2A |
บริการออนไลน์ | เอกซ์บอกซ์ไลฟ์ |
เกมที่ขายดีที่สุด | เฮโล 2 |
รุ่นถัดไป | เอกซ์บอกซ์ 360 |
เอกซ์บอกซ์เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 2543 โดยชูจุดเด่นด้านสมรรถนะทางกราฟิกว่าเหนือกว่าคู่แข่ง โดยเครื่องเอกซ์บอกซ์ประกอบไปด้วยซีพียูที่ใช้กันในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลอย่างอินเทลเพนเทียม III ความเร็ว 733 เมกะเฮิร์ตซ์ นอกจากนี้ยังถูกระบุว่ามีน้ำหนักและขนาดเหมือนคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมแรกที่ประกอบฮาร์ดดิสก์ไว้ภายใน[2][3] ในเดือนพฤศจิกายน 2545 ไมโครซอฟท์ได้เปิดให้บริการ เอกซ์บอกซ์ไลฟ์ บริการแบบเสียเงินเพื่อเล่นเกมแบบออนไลน์และอนุญาตให้ผู้สมัครใช้บริการดาวน์โหลดเนื้อหาและเชื่อมต่อกับให้เล่นอื่นผ่านระบบอินเทอร์เน็ตแบบบรอดแบนด์ [4] ต่างจากบริการออนไลน์อื่น ๆ จากเซกาและโซนี่ โดยเอกซ์บอกซ์ไลฟ์นั้นรองรับการเชื่อมต่อผ่านพอร์ตอีเทอร์เน็ตซึ่งถูกประกอบไว้มาในเครื่อง ทำให้ไมโครซอฟท์สามารถตั้งหลักในบริการการเล่นเกมแบบออนไลน์และยังช่วยให้เอกซ์บอกซ์กลายเป็นคู่แข่งโดยตรงกับเครื่องเล่นอื่น ๆ ในเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นที่ 6 ได้
นอกจากนี้ความยอดนิยมในวิดีโอเกมฟอร์มยักษ์อย่าง เฮโล 2 ได้ช่วยให้เกิดความนิยมในการเกมเล่นออนไลน์ผ่านเครื่องเล่นวิดีโอเกม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเกมแนวมุมมองบุคคลที่หนึ่ง[5] แม้ว่าสิ่งนี้ทำให้เอกซ์บอกซ์ขึ้นมามียอดขายเป็นอันดับ 2 แซงหน้านินเท็นโด เกมคิวบ์และเซกา ดรีมแคสต์ แต่ยังห่างกับเครื่องเพลย์สเตชัน 2 ของโซนี่อยู่มาก [6][7]
รุ่นถัดมาของเอกซ์บอกซ์คือ เอกซ์บอกซ์ 360 วางจำหน่ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2548 ทำให้ เอกซ์บอกซ์ก็ถูกยุติการทำตลาดในเวลาถัดมาไม่นานเริ่มจากในประเทศที่ไมโครซอฟท์ไม่ประสบความสำเร็จมากนักอย่างญี่ปุ่น ส่วนประเทศอื่น ๆ เริ่มหยุดจำหน่ายในปีถัดมา[8]โดยเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในทวีปยุโรปของเอกซ์บอกซ์ คือเกม เส้าหลินโชว์ดาวน์ ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2550 และเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือคือเกม Madden NFL 09 ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2551 การให้การสนับสุนสำหรับเอกซ์บอกซ์ที่หมดอายุนั้นสิ้นสุดลงในวันที่ 2 มีนาคม 2551 บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์สิ้นสุดเมื่อ 15 เมษายน 2552
ประวัติ
ในปี 2541 วิศวกร 3 คนจากทีมไดเรกเอกซ์ของไมโครซอฟท์ ได้แก่ Kevin Bachus, Seamus Blackley, Ted Hase และผู้นำทีมไดเรกเอกซ์ในเวลานั้นอย่าง Otto Berkes ร่วมทีมกันเพื่อทำการแกะแล็ปท็อปยี่ห้อ Dell เพื่อสร้างตัวต้นแบบของเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานซอฟต์แวร์เป็นซอฟต์แวร์จากไมโครซอฟท์ โดยทีมนี้หวังว่าจะสามารถสร้างเกมคอนโซลที่สามารถมีอาร์ดแวร์มาตรฐานเทียบเท่ากับเกมคอนโซลตัวถัดไปจากโซนีอย่าง เพลย์สเตชัน 2 ซึ่งพวกเขามองว่าได้ดึงนักพัฒนาบางส่วนไปจากการพัฒนาเกมบนวินโดว์ โดยหลังจากทำการประกอบเป็นรูปเป็นร่างแล้ว ทีมนี้ได้เข้าไปพบกับ Ed Fries ซึ่งเป็นหัวหน้าฝ่ายธุรกิจเกมของไมโครซอฟท์ ณ เวลานั้น เพื่อนำเสนอ "ไดเรกเอกซ์ บอกซ์" ตัวต้นแบบ ซึ่งเป็นเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจากเทคโนโลยีไดเรกเอกซ์ซึ่งพัฒนาโดยกลุ่มของ Berkes โดยหลังจากได้เห็นผลิตภัณฑ์แล้ว Fries จึงได้ตัดสินใจสนับสนุนไอเดียของทีมที่จะสร้างเกมคอนโซลที่มีพื้นฐานมาจากไมโครซอฟท์ ไดเรกเอกซ์ขึ้น[9][10][11]
ระหว่างการพัฒนา ชื่อเดิมของเกมคอนโซลเครื่องนี้อย่าง ไดเรกเอกซ์ บอกซ์ ถูกย่อให้เหลือเพียง "เอกซ์บอกซ์" ทั้งนี้ฝ่ายการตลาดของไมโครซอฟท์ไม่ได้ชอบชื่อนี้และพยายามเสนอชื่ออื่นขึ้นมาทดแทน ระหว่างการทดสอบในวงจำกัด ชื่อ "เอกซ์บอกซ์" นั้นเป็นหนึ่งในรายการชื่อที่เป็นไปได้ที่จะแสดงให้เห็นว่าชื่อนี้จะไม่เป็นที่นิยมต่อผู้บริโภค แต่อย่างไรก็ตามภายหลังการทดสอบกลับพบว่าชื่อ "เอกซ์บอกซ์" นั้นเป็นที่ต้องการมากกว่าชื่ออื่น ๆ ทำให้ชื่อ "เอกซ์บอกซ์"กลายเป็นชื่ออย่างเป็นทางการของผลิตภัณฑ์นี้[12]
นี่เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมแรกของไมโครซอฟท์ภายหลังทำการพัฒนาร่วมกับเซก้าเพื่อพอร์ตไมโครซอฟท์ วินโดว์ ซีอี ไปยัง ดรีมแคสต์ โดยไมโครซอฟท์เลื่อนการเปิดตัวเอกซ์บอกซ์ไปหลายครั้ง เอกซ์บอกซ์ถูกกล่าวถึงครั้งแรกในที่สาธารณะชนในช่วงครึ่งหลังปี 2542 ระหว่างการให้สัมภาษณ์ของบิล เกตส์ที่ดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารของไมโครซอฟท์ ณ เวลานั้นว่า "พวกเราต้องการให้เอกซ์บอกซ์เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกสำหรับนักพัฒนาที่ยอดเยี่ยมและมีความคิดสร้างสรรค์มากที่สุดในโลก"[13]
เอกซ์บอกซ์เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2543 ในงาน Game Developers Conference[14] ผู้เข้าชมต่างประทับใจในเทคโนโลยีของมัน โดย ณ ช่วงเวลาที่บิล เกตส์ทำการประกาศเอกซ์บอกซ์ สถานการณ์ยอดขายของเซก้า ดรีมแคสต์กำลังลดลงและโซนี เพลย์สเตชัน 2 กำลังวางขายในประเทศญี่ปุ่น[15] ทั้งนี้เกตส์ได้พูดคุยกับประธานของเซก้า Isao Okawa เกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการให้เอกซ์บอกซ์สามารถเข้ากันได้กับเกมของดรีมแคสต์ แต่การเจรจาล้มเหลวหลังการเจรจาถึงความเป็นไปได้ว่าจะใช้บริการเซก้าเน็ตในการออนไลน์หรือไม่[16]
ตัวเครื่องเอกซ์บอกซ์เปิดตัวสู่สาธารณะชนโดยเกตส์และนักมวยปล้ำอาชีพ เดอะ ร็อก ที่งาน CES 2001 ในลาสเวกัสเมื่อ 3 มกราคม 2544[17] ถัดมาในเดือนพฤษภาคม ณ งาน E3 2001 ไมโครซอฟท์เปิดเผยวันวางจำหน่ายและราคา[18] โดยเกมที่วางจำหน่ายพร้อมเครื่องส่วนใหญ่ก็ประกาศภายในงานนี้ ที่เป็นที่รู้จักกันดีได้แก่ เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ และ เดดออร์อะไลฟ์ 3
และเนื่องจากความนิยมอันมหาศาลของเครื่องเล่นวิดีโอเกมในประเทศญี่ปุ่น ไมโครซอฟท์จึงชะลอการเปิดตัวเอกซ์บอกซ์ในทวีปยุโรปก่อน เพื่อมุ่งเน้นการทำตลาดไปยังตลาดเครื่องเล่นเกมในญี่ปุ่นก่อน ซึ่งแม้ว่าการเปิดตัวในยุโรปจะล้าช้า ก็ได้รับการพิสูจน์ทางยอดขายแล้วว่าประสบความสำเร็จมากกว่าการจัดจำหน่ายเครื่องเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่น
กลยุทธ์ของไมโครซอฟท์เพื่อจัดจำหน่ายเอกซ์บอกซ์มีประสิทธิภาพอย่างมาก อย่างเช่นในการเตรียมการสำหรับจัดจำหน่าย ไมโครซอฟท์เข้าซื้อบันจีและใช้เกม เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ เป็นเกมวางจำหน่ายพร้อมเครื่อง เนื่องจากในเวลานั้นวิดีโอเกมชุด โกลเด้นอาย 007 สำหรับ นินเทนโด 64 เป็นหนึ่งในเกมแนวมุมมองบุคคลที่หนึ่งที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในระดับทั่วไปที่ปรากฏในเครื่องเล่นวิดีโอเกมเช่นเดียวกับเกม เพอร์เฟค ดาร์ก และ เมดัลออฟออเนอร์ โดย เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์ กลายเป็นวิดีโอเกมที่เป็นปัจจัยสำคัญให้เอกซ์บอกซ์ขายได้ดี[15] และส่งผลให้ในปี 2545 ไมโครซอฟท์ได้ก้าวสู่การเป็นผู้ผลิตเครื่องเล่นเกมอันดับสองในตลาดอเมริกาเหนือ นอกจากนี้บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ยังทำให้ไมโครซอฟท์สามารถตั้งหลักในการเล่นเกมออนไลน์และช่วยให้เอกซ์บอกซ์กลายเป็นคู่แข่งกับเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคที่หกเครื่องอื่น ๆ ได้
การโปรโมต
ในปี 2545 องค์กร Independent Television Commission (ITC) จากสหราชอาณาจักร ทำการแบนโฆษณาสำหรับเอกซ์บอกซ์ในสหราชอาณาจักร หลังจากได้รับร้องเรียนว่าโฆษณาตัวนี้ทำให้เกิดความน่ารังเกียจ ความตกใจและมีรสนิยมไม่ดี โดยภาพในโฆษณาแสดงให้เห็นถึงมารดาให้กำเนิดเด็กทารกคนหนึ่งซึ่งถูกปล่อยออกจากท้องเหมือนกระสุนปืน พุ่งผ่านหน้าต่างและผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว จากนั้นจบลงที่เด็กคนที่พุ่งออกไปกลายเป็นชายแก่ตกลงบนหลุมฝังศพของเขาพร้อมคำโปรยว่า "ชีวิตมันสั้น เล่นให้มากกว่า"[19]
การยุติและรุ่นถัดไป
รุ่นถัดไปของเอกซ์บอกซ์ เครื่องเอกซ์บอกซ์ 360 เปิดเผยครั้งแรกอย่างเป็นทางการเมื่อ 12 พฤษภาคม 2548 บนช่อง MTV โดยเป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมยุคถัดไปเครื่องแรกที่ประกาศออกมา เอกซ์บอกซ์วางจำหน่ายเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2548 Nvidia ยุติการผลิตหน่วยประมวลผลกราฟิกสำหรับเอกซ์บอกซ์ในเดือนสิงหาคม 2548 ซึ่งถือเป็นการยุติการผลิตเอกซ์บอกซ์เครื่องใหม่[20] โดยเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในทวีปยุโรปของเอกซ์บอกซ์ คือเกม เส้าหลินโชว์ดาวน์ ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนมิถุนายน 2550 และเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายในอเมริกาเหนือคือเกม Madden NFL 09 ซึ่งวางจำหน่ายในเดือนสิงหาคม 2551 การให้การสนับสนุนสำหรับเอกซ์บอกซ์ที่หมดการประกันนั้นสิ้นสุดลงในวันที่ 2 มีนาคม 2551 [21] และบริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์นั้น สิ้นสุดการให้บริการเมื่อ 15 เมษายน 2552[22]
เอกซ์บอกซ์ 360 สนับสนุนการเล่นวิดีโอเกมจากเอกซ์บอกซ์จำนวนหนึ่ง สำหรับผู้เล่นที่มีฮาร์ดไดรฟ์อย่างเป็นทางการของเอกซ์บอกซ์ 360 โดยรายชื่อเกมเอกซ์บอกซ์ที่เล่นได้บน 360 ถูกเพิ่มมาจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2550 โดยเซฟบนเครื่องเอกซ์บอกซ์ไม่สามารถย้ายมายังเอกซ์บอกซ์ 360 ได้ แม้ว่าบริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์สิ้นสุดเมื่อ 15 เมษายน 2552 แต่ทว่ายังสามารถใช้บริการออนไลน์ผ่านทั้งเอกซ์บอกซ์และเอกซ์บอกซ์ 360 ได้ผ่านชุดซอฟต์แวร์ XLink Kai นอกจากนี้ในงาน E3 2017 ได้มีการประกาศว่าเอกซ์บอกซ์วัน สนับสนุนการเล่นวิดีโอเกมจากเอกซ์บอกซ์จำนวนหนึ่งเช่นเดียวกัน
ฮาร์ดแวร์
เอกซ์บอกซ์เป็นเครื่องเล่นวิดีโอเกมเครื่องแรกที่มีฮาร์ดดิสก์อยู่ภายในตัว สำหรับใช้เพื่อเก็บเซฟเกมและดาวน์โหลดเนื้อหาจากยริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ ซึ่งเป็นการทำลายระบบเมมโมรี่การ์ดที่เป็นที่นิยม ณ เวลานั้น (ก่อนหน้านี้ในเครื่องคอนโซลเก่า ๆ เช่นเครื่องอมิก้า ซีดี 32 ใช้การจัดเก็บบนหน่วความจำแฟลชที่ฝังอยู่ภายใน เครื่องอื่น ๆ เช่นเทอร์โบกราฟ-ซีดี เซก้า ซีดีและเซก้า แซทเทิร์น ใช้ระบบเก็บข้อมูลแบบใช้ไฟเลี้ยงจนถึงปี 2544) นอกจากนี้ผู้ใช้เอกซ์บอกซ์ยังสามารถทำการริบเพลงจากซีดีเพลงลงฮาร์ดดิสก์ได้และฮาร์ดดิสก์ยังใช้เป็นที่เก็บเพลงประกอบบางเพลงในบางเกม[23]
เอกซ์บอกซ์ยังเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเกมชิ้นแรกที่รองรับเทคโนโลยีการถอดรหัสเนื้อหาอินเตอร์แอคทีฟจากดอลบีโดยตรง ซึ่งอนุญาตให้มีการถอดรหัสแบบเรียลไทม์จากเสียงที่มาจากเครื่องเล่นวิดีโอเกม ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นจะมีการถอดรหัสแบบดอลบี 5.1 เฉพาะในฉากคัตซีนที่เป็นแบบอัดวิดีโอไว้อยู่แล้วเท่านั้น[24]
การที่เอกซ์บอกซ์มีพื้นฐานฮาร์ดแวร์มาจากคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล ทำให้ตัวเครื่องมีขนาดใหญ่และหนักกว่าเครื่องเล่นวิดีโอเกมอื่น ๆ ในรุ่นเดียวกัน การที่เครื่องใหญ่อันเนื่องมาจากไดร์ฟซีดีและดีวีดีที่เทอะทะ ขนาดของฮาร์ดดิสก์ที่มีขนาด 3.5 นิ้ว นอกจากนี้เอกซ์บอกซ์ยังเป็นผู้บุกเบิกในเรื่องของคุณสมบัติด้านความปลอดภัยเช่นการให้สายแยกของตัวบังคับออกจากเครื่องเมื่อถูกดึงอย่างแรงเพื่อป้องกันไม่ให้เครื่องตกจากที่สูง
ในระหว่างการพัฒนาเอกซ์บอกซ์ ได้มีการปรับปรุงฮาร์ดแวร์ภายในหลายครั้งเพื่อป้องกันการแก้ไขชิพจากบุคคลภายนอก เพื่อลดค่าใช้จ่ายในการผลิตและเพื่อทำให้ไดร์ฟดีวีดีมีความไว้วางใจได้ (เนื่องจากในบางเครื่องที่ใช้ในการทดสอบพบว่าเกิดปัญหาอ่านแผ่นผิดพลาดระหว่างที่ใช้ไดร์ฟดีวีดีของ Thomson) แม้ในเครื่องที่ผลิตออกมาช่วงหลัง ๆ จะใช้ไดร์ฟดีวีดียี่ห้อ Thomson รุ่น TGM-600 และไดร์ฟดีวีดียี่ห้อ Philips รุ่น VAD6011 แต่ยังพบถึงปัญหาที่ไดร์ฟไม่สามารถที่จะอ่านแผ่นดีวีดีรุ่นใหม่ ๆ ได้และยังปรากฏรหัสซึ่งแสดงโค้ดโดยใช้ PIO/DMA ในการระบุปัญหา โดยเครื่องที่พบปัญหาเหล่านี้ไม่สามารถรับสิทธิในการซ่อมหรือเปลี่ยนเครื่องจากการรับประกัน
ในปี 2545 ไมโครซอฟท์และ Nvidia เข้าสู่กระบวนการอนุญาโตตุลาการเกี่ยวกับข้อพิพาทเกี่ยวกับการกำหนดราคาชิพของ Nvidia สำหรับเอกซ์บอกซ์[25] ไมโครซอฟท์ยื่นฟ้องต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่าไมโครซอฟท์ต้องการส่วนลด 13 ล้านเหรียญสำหรับการจัดส่งชิพในปีงบประมาณ 2545 ของ Nvidia ที่ถูกกล่าวหาว่าละเมิดข้อตกลงที่บริษัททั้งสองได้ทำขึ้น นอกจากนี้ยังมีคำร้องว่าต้องการให้มั่นใจอีกว่าชิพที่ผลิตออกมาในอนาคตจะได้รับการลดราคาตามข้อตกลงที่ทำก่อนหน้าและ Nvidia จะผลิตอย่างเต็มที่ตามคำสั่งซื้อจากไมโครซอฟท์โดยไม่มีข้อจำกัดทางปริมาณการผลิต เรื่องนี้ได้รับการตัดสินเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2546 โดยไมโครซอฟท์โดยทั้งสองฝ่ายต่างทำข้อตกลงกันใหม่[26]
ในการเชื่อต่อกับทีวีนั้นเอกซ์บอกซ์มีการให้ AV มาภายในกล่องเพื่อเชื่อมต่อ สัญญาณวีดิทัศน์คอมโพสิตและระบบเสียงทั้งแบบโมโนและสเตริโอสู่ทีวีที่ใช้ขั้วต่อแบบ RCA ในการรับข้อมูล เครื่องที่จัดจำหน่ายในทีวปยุโรปนั้นมีการแถมตัวแปลงจาก RCA สู่พอร์ต SCART เช่นเดียวกับสาย AV มาตรฐาน
การ์ดหน่วยความจำแบบถอดได้ขนาด 8 MB สามารถใช้เสียบเข้ากับตัวบังคับ เพื่อใช้สำหรับการนำเซฟเกมไปใช้กับเครื่องเล่นอื่น ซึ่งสามารถคัดลอกจากฮาร์ดดิสก์ของเอกซ์บอกซ์ได้ผ่านหน้าต่างตัวจัดการเซฟของเอกซ์บอกหรือทำการเซฟระหว่างเล่นเกม โดยเซฟส่วนมากของเกมบนเอกซ์บอกซ์สามารถโอนถ่ายลงสู่การ์ดและเล่นบนเครื่องเอกซ์บอกซ์อื่นได้ แต่ทว่าเซฟเอกซ์บอกซ์บางเซฟติดลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์นอกจากนี้ยังสามารถบันทึกข้อมูลบัญชีของเอกซ์บอกซ์ไลฟ์เพื่อนำไปใช้กับเครื่องอื่นได้อีกด้วย
รายละเอียดทางเทคนิค
เอกซ์บอกซ์ใช้หน่วยประมวลผลกลางคือ ซีพียู เพนเทียม III แบบปรับแต่ง ความเร็ว 733 เมกะเฮิร์ตซ์ แบบ 32 บิต โดยความเร็วฟรอนต์ไซด์บัสแบบ GTL+อยู่ที่ 133 เมกะเฮิร์ตซ์แบบ 64 บิตมีแบนด์วิดท์ที่ 1.06 จิกะไบต์ต่อวินาที แรมของเครื่องเป็นดีดีอาร์ เอสดีแรม มีขนาด 64 เมกะไบต์ โดยเป็นแบบใช่ร่วมกันทั้งระบบ มีแบนด์วิดท์รวมกัน 6.4 จิกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งแบ่งใช้เป็น 1.06 จิกะไบต์ต่อวินาทีสำหรับซีพียู ส่วนที่เหลือ 5.34 จิกะไบต์ต่อวินาทีแบ่งใช้ทั้งระบบ[27]
สำหรับหน่วยประมวลผลทางกราฟิกนั้นได้แก่ Nvidia NV2A ความเร็ว 233 เมกะเฮิร์ตซ์ ซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลจำนวนจุดลอยตัวที่ 7.3 กิกะฟล็อป มีความสามารถในการคำนวณทางเรขาคณิตได้สูงสุด 115 ล้านจุดต่อวินาที มีอัตราการแสดงภาพสูงสุดที่ 932 ล้านพิกเซลต่อวินาที มีความสามารถในการแสดงผลในทางทฤษฎีที่ 29 ล้านพิกเซล 32-pixel triangles ต่อวินาที แต่ด้วยข้อจำกัดของแบนด์วิธ ทำให้จะมีอัตราการแสดงผลจริงอยู่ที่ระหว่าง 250-700 ล้านพิกเซลต่อวินาทีพร้อมทั้งคุณสมบัติในการ กำหนดตำแหน่งในแกนที่ 3 การเพิ่มการรับรู้ของระยะทางโดยการแรเงาวัตถุที่ห่างไกลแตกต่างกัน การเพิ่มผลจากสิ่งพิเศษหรือปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปลงในรูป และวางรูปพื้นผิวแบบต่าง ๆ ลงบนโครงที่ได้ออกแบบมาก่อนหน้า[28]
ตัวควบคุม
ตัวควบคุมของเอกซ์บอกซ์ประกอบไปด้วยอนาล็อก 2 ชิ้น แผ่นควบคุมทิศทางแบบกดแรงดัน อะนาล็อกทริกเกอร์สองปุ่ม ปุ่มย้อนกลับ ปุ่มเริ่ม ช่องเสียบอุปกรณ์เสริมสองปุ่มและปุ่มแอ็คชันแบบ 8 บิต (ได้แก่ปุ่ม A/สีเขียว ปุ่ม B/สีแดง ปุ่ม X/สีน้ำเงิน ปุ่ม Y/สีเหลือง ปุ่มสีขาวและดำ)[29] โดยตัวควบคุมแบบมาตรฐาน (มีชื่อเล่นจากขนาดว่า "Fatty"[30] อีกชื่อคือ "Duke"[31]) เป็นตัวควบคุมที่มีมาภายในกล่องมาสำหรับเอกซ์บอกซ์ทุกเครื่อง ยกเว้นที่จัดจำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น ตัวควบคุมได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นมีขนาดใหญ่เมื่อเทียบกับตัวควบคุมเกมวิดีโอเกมอื่น ๆ ในตลาด ทำให้ตัวควบคุมนี้ได้รับรางวัล "ความผิดพลาดแห่งปี" จากนิตยสาร Game Informerในปี 2544[32] นอกจากนี้หนังสือบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ยังบันทึกว่าเป็นตัวควบคุมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบันทึกสถิติโลกกินเนสส์ฉบับเกมเมอร์เมื่อปี 2551 และถูกจัดให้เป็นตัวควบคุมที่แย่ที่สุดจากการจัดอันดับของ IGN[33]
ตัว "Controller S" (มีชื่อเรียกระหว่างการพัฒนาว่า "Akebono") เป็นตัวควบคุมที่เล็กและเบากว่านั้น แต่เดิมเป็นตัวบังคับแบบมาตรฐานที่แถมไปในชุดจัดจำหน่ายของเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่น[34] ถูกออกแบบมาสำหรับผู้ใช้ที่มีมือขนาดเล็ก[35][36] โดยตัวควบคุม "Controller S" นั้นวางจำหน่ายในประเทศอื่น ๆ หลังจากความต้องการที่มีอย่างมากและในปี 2545 ก็ได้กลายเป็นตัวบังคับแบบมาตรฐานที่แถมไปในชุดจัดจำหน่ายของเอกซ์บอกซ์ทั่วโลก โดยที่ตัวบังคับเดิมที่มีขนาดใหญ่ยังมีวางจำหน่ายในรูปแบบอุปกรณ์เสริม
ซอฟต์แวร์
ระบบปฏิบัติการ
เอกซ์บอกซ์ใช้ระบบปฏิบัติการเฉพาะที่ปรับปรุงมาจากเคอร์เนลของวินโดวส์ โดยส่วนต่อประสานโปรแกรมประยุกต์มีลักษณะคล้ายกับที่พบ ไมโครซอฟท์ วินโดวส์เช่นไดเรกเอกซ์ 8.1 โดยซอฟต์แวร์นั้นมีพื้นฐานมาจากเคอร์เนลของวินโดวส์ เอ็นที แต่ปรับแต่งล็อกไฟล์[37]
ส่วนต่อประสานกับผู้ใช้ของเอกซ์บอกซ์นั้นเรียกว่าเอกซ์บอกซ์ แดชบอร์ดซึ่งประกอบไปด้วย ซอฟต์แวร์เล่นสื่อที่สามารถเล่นซีดีเพลง ริบซีดีสู่ฮาร์ดดิสก์ในเอกซ์บอกซ์และเล่นเพลงในฮาร์ดดิสก์ที่ริบจากซีดี นอกจากนี้ยังให้ผู้ใช้จัดการเซฟเกม เพลงและเนื้อหาดาวน์โหลดจากบริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ ให้ผู้ใช้ลงชื่อเข้าใช้และจัดการบัญชีของพวกเขา แดชบอร์ดนั้นสามารถใช้ได้เฉพาะระหว่างที่ผู้ใช้ไม่ได้เล่นเกมหรือภาพยนตร์เท่านั้น โดยสีของแดชบอร์ดมีสีเขียวและดำซึ่งเป็นสีเดียวกับบนตัวเครื่องเอกซ์บอกซ์ ตอนที่เอกซ์บอกซ์วางจำหน่ายในปี 2544 เอกซ์บอกซ์ไลฟ์ยังไม่เปิดให้บริการ ทำให้คุณสใบัติในส่วนออนไลน์ยังไม่สามารถใช้ได้
เอกซ์บอกซ์ไลฟ์เปิดให้บริการในปี 2545 แต่ในการที่จะเข้าถึงบริการได้นั้น ผู้ใช้ต้องทำการซื้อชุดเริ่มต้นสำหรับเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ ซึ่งประกอบไปด้วยชุดหูฟัง และบัตรสมัครสมาชิกเพิ่มเติม. ระหว่างที่เอกซ์บอกซ์ยังคงได้รับการสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ เอกซ์บอกซ์ แดชบอร์ดได้รับการอัปเดตผ่านเอกซ์บอกซ์ไลฟ์หลายครั้งเพื่อลดการโกงและเพิ่มคุณสมบัติ
เกม
เอกซ์บอกซ์วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2544 เกมวางจำหน่ายที่ได้รับความนิยมพร้อมเครื่องอย่าง เฮโล: คอมแบทอิวอลฟด์, โปรเจกต์ก็อตแธมเรซิ่ง และ เดดออร์อะไลฟ์ 3 โดยทั้ง 3 เกมนั้นมียอดขายเกิน 1 ล้านชุดในสหรัฐอเมริกา[38]
แม้ว่าเอกซ์บอกซ์จะได้รับการสนับสนุนจากบริษัทภายนอกที่แข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง แต่เกมเอกซ์บอกซ์ในช่วงต้นจำนวนมากไม่ได้ใช้ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพจนเต็มที่แม้ว่าจะวางจำหน่ายไปเป็นปี โดยเกมเวอร์ชันเอกซ์บอกซ์ของเกมที่ลงให้กับเครื่องเล่นวิดีโอเกมหลายเครื่องนั้นมักจะมาพร้อมกับการเพิ่มคุณสมบัติเล็กน้อยหรือการปรับปรุงด้านกราฟิกเพื่อแยกความแตกต่างจากเครื่องเพลย์สเตช้น 2 และเกมคิวบ์ ซึ่งทำให้จุดขายหลักของเอกซ์บอกซ์ไม่ได้รับการใส่ใจมาก ในช่วงเวลาสั้น ๆ โซนีโต้กลับเอกซ์บอกซ์ด้วยการรักษาเกมที่เป็นที่รอคอยอย่างมากให้เป็นเกมที่ลงเฉพาะเพลย์สเตชัน 2 ในช่วงเวลาหนึ่งอย่างเกมชุด แกรนด์เธฟต์ออโต และเกมชุด เมทัลเกียร์ เช่นเดียวกับนินเทนโดที่รักษาเกมชุด เรซิเดนต์อีวิล ให้เป็นเกมเฉพาะเครื่องเกมคิวบ์ โดยบริษัทภายนอกเด่น ๆ ที่สนับสนุนเอกซ์บอกซ์คือเซก้า ซึ่งประกาศว่ามีเกมจำนวน 11 เกมลงเฉพาะบนเอกซ์บอกซ์ในงานโตเกียวเกมโชว์[39] เซก้าได้วางจำหน่ายเกมเฉพาะบนเอกซ์บอกซ์อย่าง เพนเซอร์ดรากูลออต้า และ เจ็ตเซ็ตเรดิโอฟิวเจอร์ ซึ่งได้รับคำชมจากนักวิจารณ์[40][41]
ในปี 2545 และ 2546 การวางขายเกมที่มีชื่อเสียงสูงช่วยให้โมเมนตัมของเอกซ์บอกซ์ดีขึ้นและแยกตัวออกจากออกจากเพลย์สเตชัน 2 ไมโครซอฟท์ยังเข้าซื้อกิจการของแรร์ที่ทำเกมฮิตจำนวนมากบนเครื่องนินเทนโด 64 เพื่อที่จะขยายพอร์ตโฟลิโอของบริษัทเกมภายใน[42] บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์เริ่มให้บริการช่วงหลังปี 2545 พร้อมกับเกมอย่าง โมโตจีพี เมชแอสซอล และทอม แคลนซี่ส์ โกสต์ รีคอน โดยเกมขายดีและได้รับคำวิจารณ์ในแง่บวกหลายเกมก็ออกตามมาเช่น ทอม แคลนซี สปลินเตอร์เซลล์ และ สตาร์ วอร์ส: ไนทส์ออฟดิโอลด์รีพับลิค เมื่อข้อตกลงของ Take-Two Interactive ที่จะทำเกมลงเฉพาะกับโซนีมีการแก้ไขเพื่อให้ แกรนด์เธฟต์ออโต III และภาคต่อวางจำหน่ายบนเอกซ์บอกซ์ บริษัทจัดจำหน่ายอื่นก็เริ่มที่จะนำเกมลงเอกซ์บอกซ์ โดยออกวางจำหน่ายห่างจากเวอร์ชันเพลย์สเตชัน 2 หลายเดือน
ปี 2547 เป็นปีที่เกมเฉพาะเครื่อง ฟาเบิล[43] และ นินจาไกเด็น[44] ซึ่งทั้งคู่กลายเป็นเกมที่ได้รับความนิยมบนเอกซ์บอกซ์[45] ในช่วงครึ่งหลังปี เฮโล 2 ออกวางจำหน่ายและกลายเป็นสื่อบันเทิงซึ่งทำรายได้สูงสุดภายในวันแรก ณ เวลานั้นที่ 125 ล้านเหรียญดอลล่าร์สหรัฐ[46] และกลายเป็นเกมที่ขายดีที่สุดบนเครื่องเอกซ์บอกซ์[47] เฮโล 2 กลายเป็นเกมที่เป็นจุดขายของระบบเกมที่สามต่อภายในปีนั้นจาก เมชแอสซอล & ทอม แคลนซี เรนโบว์ซิกส์ 3 นอกจากนี้ในปีนั้นไมโครซอฟท์ยังได้ตกลงกับอีเอที่จะนำเกมที่ยอดนิยมมาลงบนเอกซ์บอกซ์ไลฟ์เพื่อสร้างความนิยมในบริการของพวกเขา
ปี 2548 มีเกมเฉพาะเครื่องที่ได้รับความนิยมอย่าง Conker: Live & Reloaded และ ฟอร์ซ่ามอเตอร์สปอร์ต นอกจากนี้ไมโครซอฟท์ยังได้เริ่มวางจำหน่ายเอกซ์บอกซ์ 360 ซึ่งเป็นรุ่นถัดมา เกมอย่าง Kameo: Elements of Power และ เพอร์เฟคดาร์ก ซีโร่ ซึ่งเดิมทีนั้นถูกพัฒนาเพื่อลงเอกซ์บอกซ์[42] กลายเป็นเกมวางจำหน่ายพร้อมเครื่องเอกซ์บอกซ์ 360 แทน โดยเกมสุดท้ายที่วางจำหน่ายสำหรับเอกซ์บอกซ์ได้แก่เกม Madden NFL 09 ซึ่งวางจำหน่ายเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2551
บริการ
ในวันที่ 15 พฤศจิกายน 2545 ไมโครซอฟท์เปิดให้บริการเอกซ์บอกซ์ไลฟ์ ที่อนุญาตให้ผู้ใช้สมัครเพื่อที่เล่นเกมของเอกซ์บอกซ์แบบออนไลน์กับผู้ใช้คนอื่น ๆ ที่สมัครบริการเดียวกันทั่วโลกได้ รวมถึงดาวน์โหลดเนื้อหาใหม่ ๆ สู่งฮาร์ดดิสก์ของเครื่องได้โดยตรง บริการออนไลน์นี้ทำงานผ่านเฉพาะการเชื่อต่ออินเทอร์เน็ตแบบบรอดแบรนด์เท่านั้น โดยมีสมัครใช้บริการจำนวน 250,000 คนภายใน 2 เดือนแรก[48] ในเดือนกรกฎาคม 2547 ไมโครซอฟท์ประกาศว่าเอกซ์บอกซ์ไลฟ์มีผู้ใช้บริการครบ 1 ล้านคน ในเดือนเดียวกันของปีถัดมายอดสมาชิกเพิ่มเป็น 2 ล้านคน ในเดือนกรกฎาคม 2550 มีผู้ใช้จำนวน 3 ล้านราย โดยในเดือนพฤษภาคม ปี 2552 มีจำนวนผู้สมัครใช้บริการ 20 ล้านราย[49] ในวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2553 มีการประกาศว่าเอกซ์บอกซ ไลฟ์สำหรับเอกซ์บอกซ์จะหยุดให้บริการในวันที่ 14 เมษายน 2553[4] บริการนี้หยุดตามที่วางแผนไว้ แต่กลุ่มผู้เล่นจำนวน 20 คนยังสามารถใช้บริการได้อยู่นานนับเดือน โดยการเปิดเครื่องเล่นวิดีโอเกมให้เชื่อมต่อกับเกมเฮโล 2 ค้างไว้[50]
ยอดขาย
ภูมิภาค | จำนวนที่ขายได้ (จนถึงวันที่ 10 พฤษภาคม 2549) |
วันจำหน่ายครั้งแรก |
---|---|---|
อเมริกาเหนือ | 16 ล้าน | 15 พฤศจิกายน 2544 |
ยุโรป | 6 ล้าน | 14 มีนาคม 2545 |
เอเชียแปซิฟิก | 2 ล้าน | 22 กุมภาพันธ์ 2545 |
ทั่วโลก | 24 ล้าน | N/A |
ในเดือนพฤศจิกายน 2544 เอกซ์บอกซ์ได้วางจำหน่ายในทวีปอเมริกาเหนือและขายหมดอย่างรวดเร็ว โดยการวางจำหน่ายในภูมิภาคนี้ประสบความสำเร็จอย่างมาก โดยใน 3 เดือนแรกสามารถขายได้ 1.53 ล้านเครื่องซึ่งมากกว่ารุ่นถัดมาอย่างเอกซ์บอกซ์ 360 เช่นเดียวกับ เกมคิวบ์ เพลย์สเตชัน 3 วียูและแม้แต่ เพลย์สเตชัน 2 และวี[51]
เอกซ์บอกซ์ขายได้ทั้งหมด 24 ล้านเครื่องทั่วโลก ณ วันที่ 10 พฤษภาคม 2549 จากข้อมูลของไมโครซอฟท์[52] โดยแบ่งเป็น 16 ล้านเครื่องในทวีปอเมริกาเหนือ 6 ล้านเครื่องในทวีปยุโรป 2 ล้านเครื่องในทวีปเอเชีย ออสเตรเลียและประเทศนิวซีแลนด์
ยอดขายของเอกซ์บอกซ์ในแต่ละเดือนนั้นทั้งหมดแทบจะตามหลังยอดขายของเพลย์สเตชัน 2 ยกเว้นในเดือนเมษายน 2547 ที่เอกซ์บอกซ์ขายดีกว่าเพลย์สเตชัน 2 ในสหรัฐอเมริกา[53] แม้จะมียอดขายห่างจากเพลย์สเตชัน 2 เป็นอย่างมาก เอกซ์บอกซ์ถือว่าประสบความสำเร็จ (อย่างมากในทวีปอเมริกาเหนือ) มียอดขายในอันดับสองของเครื่องเล่นวิดีโอเกมรุ่นที่ 6 อย่างมั่นคง
ญี่ปุ่น
แม้จะมีการประชาสัมพันธ์อย่างหนักในประเทศญี่ปุ่น[54][55] แต่ทว่ายอดขายของเครื่องเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่นกลับได้ย่ำแย่เป็นอย่างมาก (460,000 เครื่องจนถึงเดือนพฤศจิกายน 2554)[56] นักวิเคราะห์บางคนเชื่อว่าที่เอกซ์บอกซ์จะมีปัญหาในการต่อกรกับโซนีและนินเทนโดก่อนที่จะวางจำหน่ายในญี่ปุ่น โดยจะต้องแข่งกับของเล่นที่คล้ายกันและบางอย่างของเอกซ์บอกซ์ไม่เหมาะสำหรับสังคมในญี่ปุ่น (เช่นขนาดของเครื่อง) ทั้งยังขาดเกมที่วางจำหน่ายพร้อมเครื่องที่น่าสนใจสำหรับญี่ปุ่นเช่นเกมแนวสวมบทบาท[57] โดยในสุดสัปดาห์ของ 14 เมษายน 2545 ยอดขายของเอกซ์บอกซ์ห่างจากคู่แข่งอย่างโซนีและนินเทนโดเป็นอย่างมากรวมทั้งยอดขายของ WonderSwan และ เพลย์สเตชัน[58] ในเดือนพฤศจิกายน 2545 หัวหน้าเอกซ์บอกซ์ในประเทศญี่ปุ่นได้ลาออก นำไปสู่การหารือกันถึงอนาคตของเอกซ์บอกซ์ ที่มียอดขายเพียง 278,860 เครื่องนับตั้งแต่วางจำหน่ายเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2545[59][60] ในสุดสัปดาห์ของวันที่ 18 กรกฎาคม 2547 เอกซ์บอกซ์ขายได้เพียง 272 เครื่อง ซึ่งแย่กว่าเพลย์สเตชันที่ขายได้มากกว่า 4 เท่า[61] ที่เอกซ์บอกซ์ทำได้ แต่ทว่า ขายได้มากกว่าเกมคิวบ์ในสุดสัปดาห์ของวันที่ 26 พฤษภาคม 2545[62] แม้จะมีความพยายามของไมโครซอฟท์ แต่เกมที่น่าสนใจแนวญี่ปุ่นบางเกมที่เป็นเกมเฉพาะสำหรับเอกซ์บอกซ์ เช่น เดดออร์อะไลฟ์ 3 หรือ นินจาไกเด็น ซึ่งมีส่วนอย่างมากต่อยอดขายเอกซ์บอกซ์ในญี่ปุ่น
โดยรุ่นถัดมาอย่างเอกซ์บอกซ์ 360 สามารถขายได้ 1.6 ล้านเครื่องในเดือนกุมภาพันธ์ 2014[63]
ดูเพิ่ม
แหล่งข้อมูลอื่น
- Official Xbox website
- เอกซ์บอกซ์ (เครื่องเล่นวิดีโอเกม) ที่เว็บไซต์ Curlie
อ้างอิง
Wikiwand in your browser!
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.