แอนดี มาร์รี
นักเทนนิสจากสหราชอาณาจักร / From Wikipedia, the free encyclopedia
เซอร์ แอนดรูว์ บาร์รอน มาร์รี[lower-alpha 1] OBE (อังกฤษ: Andrew Barron Murray;[5] เกิด: 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1987) เป็นนักเทนนิสอาชีพชายชาวสกอตแลนด์ มือวางอันดับ 51 ของโลกคนปัจจุบัน[6] และเป็นอดีตมือวางอันดับ 1 ของโลกจำนวน 41 สัปดาห์ เขาชนะเลิศรายการแกรนด์สแลมในประเภทชายเดี่ยว 3 รายการ (วิมเบิลดัน 2 สมัย ใน ค.ศ. 2013 และ 2016) และ ยูเอสโอเพน 1 สมัย (ค.ศ. 2012) และชนะเลิศการแข่งขันประเภทชายเดี่ยวรวม 46 รายการ รวมถึงแชมป์เอทีพี มาสเตอร์ 14 สมัย และเอทีพี ไฟนอล 1 สมัย มาร์รีได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในนักกีฬาจากสหราชอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล[7][8][9]
ลิงก์ข้ามภาษาในบทความนี้ มีไว้ให้ผู้อ่านและผู้ร่วมแก้ไขบทความศึกษาเพิ่มเติมโดยสะดวก เนื่องจากวิกิพีเดียภาษาไทยยังไม่มีบทความดังกล่าว กระนั้น ควรรีบสร้างเป็นบทความโดยเร็วที่สุด |
มาร์รีในปี 2016 | |||||||||||||||||
ชื่อเต็ม | แอนดรูว์ บาร์รอน มาร์รี | ||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ประเทศ (กีฬา) | บริเตนใหญ่ | ||||||||||||||||
ถิ่นพำนัก | อ็อกซ์ชอตต์, เซอร์รีย์, อังกฤษ | ||||||||||||||||
วันเกิด | (1987-05-15) 15 พฤษภาคม ค.ศ. 1987 (36 ปี)[1] กลาสโกว์, สกอตแลนด์ | ||||||||||||||||
ส่วนสูง | 1.91 m (6 ft 3 in) | ||||||||||||||||
เทิร์นโปร | 2005[2] | ||||||||||||||||
การเล่น | มือขวา (แบ็กแฮนด์สองมือ) | ||||||||||||||||
ผู้ฝึกสอน | เจมี เดลกาโด (2016–2021), อิวาน เลนเดิล (2022–ปัจจุบัน) | ||||||||||||||||
เงินรางวัล | 63,195,934 ดอลลาร์สหรัฐ | ||||||||||||||||
เว็บไซต์ทางการ | andymurray.com | ||||||||||||||||
เดี่ยว | |||||||||||||||||
สถิติอาชีพ | 717–232 (75.6%) | ||||||||||||||||
รายการอาชีพที่ชนะ | 46 (อันดับที่ 14 ในยุคโอเพน) | ||||||||||||||||
อันดับสูงสุด | 1 (7 พฤศจิกายน ค.ศ. 2016) | ||||||||||||||||
อันดับปัจจุบัน | 50 (14 พฤศจิกายน 2565)[3] | ||||||||||||||||
ผลแกรนด์สแลมเดี่ยว | |||||||||||||||||
ออสเตรเลียนโอเพน | รองชนะเลิศ (2010, 2011, 2013, 2015, 2016) | ||||||||||||||||
เฟรนช์โอเพน | รองชนะเลิศ (2016) | ||||||||||||||||
วิมเบิลดัน | ชนะเลิศ (2013, 2016) | ||||||||||||||||
ยูเอสโอเพน | ชนะเลิศ (2012) | ||||||||||||||||
การแข่งขันอื่น ๆ | |||||||||||||||||
Tour Finals | ชนะเลิศ (2016) | ||||||||||||||||
Olympic Games | เหรียญทอง (2012, 2016) | ||||||||||||||||
คู่ | |||||||||||||||||
สถิติอาชีพ | 79–78 (50.3%) | ||||||||||||||||
รายการอาชีพที่ชนะ | 3 | ||||||||||||||||
อันดับสูงสุด | อันดับ. 51 (17 ตุลาคม 2011) | ||||||||||||||||
อันดับปัจจุบัน | 139 (12 กรกฎาคม 2564)[4] | ||||||||||||||||
ผลแกรนด์สแลมคู่ | |||||||||||||||||
ออสเตรเลียนโอเพน | 1R (2006) | ||||||||||||||||
เฟรนช์โอเพน | 2R (2006) | ||||||||||||||||
วิมเบิลดัน | 2R (2019) | ||||||||||||||||
ยูเอสโอเพน | 2R (2008) | ||||||||||||||||
การแข่งขันคู่อื่น ๆ | |||||||||||||||||
Olympic Games | 2R (2008) | ||||||||||||||||
รายการเหรียญรางวัล
|
มาร์รี และ นอวาก จอกอวิช ต่างก็โด่งดังขึ้นมาในยุคที่ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ และ ราฟาเอล นาดัล เป็นสองผู้เล่นที่ขับเคี่ยวกันเพื่อแย่งการเป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยมาร์รีขึ้นสู่ 10 อันดับแรกของโลกได้ในปี 2007 ก่อนที่ทั้งมาร์รีและจอกอวิชจะก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในยอดผู้เล่นของวงการ และได้รับการยกย่องร่วมกับเฟเดอเรอร์และนาดัลให้อยู่ในกลุ่ม Big 4[10] หรือ 4 นักเทนนิสชายที่เก่งที่สุดในช่วงทศวรรษ 2010[lower-alpha 2] โดยหากนับตั้งแต่ปี 2008–2017 มาร์รีสามารถรักษาอันดับติด 1 ใน 4 อันดับแรกของโลกได้ถึง 8 จาก 9 ปี มาร์รีเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ 11 รายการ โดยแพ้เฟเดอเรอร์และจอกอวิชในการชิงชนะเลิศ 4 ครั้งแรก ก่อนจะคว้าแชมป์ครั้งแรกในยูเอสโอเพนปี 2012 โดยเอาชนะจอกอวิช ส่งผลให้เขาเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 35 ปีที่ได้แชมป์แกรนด์สแลม และในปีนั้นเขายังคว้าเหรียญทองประเภทชายเดี่ยวในโอลิมปิกฤดูร้อนได้ โดยชนะเฟเดอเรอร์ในรอบชิงชนะเลิศ[11]
มาร์รีคว้าแชมป์แกรนด์สแลมเพิ่มได้สองรายการในวิมเบิลดันปี 2013 และ 2016 โดยถือเป็นนักเทนนิสจากสหราชอาณาจักรคนแรกในรอบ 77 ปีที่ได้แชมป์รายการนี้[12] และในปี 2016 ถือเป็นฤดูกาลที่ดีที่สุดของมาร์รี[13] โดยเขาเข้าชิงชนะเลิศแกรนด์สแลมได้ 3 รายการ และยังคว้าเหรียญทองในโอลิมปิกฤดูร้อนได้อีกครั้ง ส่งผลให้เขาเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกในประเภทชายเดี่ยว 2 สมัย[14] ก่อนจะปิดท้ายฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์เอทีพี ไฟนอล และขึ้นสู่ตำแหน่งมือวางอันดับ 1 ของโลก[15] ถือเป็นผู้เล่นจากสหราชอาณาจักรคนแรกที่ครองตำแหน่งอันดับ 1 ได้ในยุคโอเพน[16][lower-alpha 3] เขายังเป็นผู้เล่นคนเดียวที่เอาชนะจอกอวิชในรอบชิงชนะเลิศวิมเบิลดันได้
เขาได้รับเกียรติให้มีรูปอยู่ในแสตมป์ของรัฐบาลอังกฤษสองครั้ง ครั้งแรกในปี 2012 หลังจากคว้าเหรียญทองโอลิมปิค ณ กรุงลอนดอน และครั้งที่สองในปี 2013 หลังจากได้แชมป์วิมเบิลดันสมัยแรก[17] ซึ่งราชวงศ์อังกฤษยังได้มอบเครื่องอิสริยาภรณ์ของจักรวรรดิบริติชรวมทั้งพระราชทานยศอัศวินให้แก่เขาในปี 2017[18][19] โดยเขาถือเป็นนักเทนนิสคนที่สองที่ได้รับเกียรตินี้ต่อจาก เซอร์ นอร์แมน บรูค (ค.ศ. 1939)[20]
มาร์รีเป็นผู้เล่นที่เล่นได้ดีในทุกพื้นสนาม มีจุดเด่นในด้านการเล่นเกมป้องกันที่เหนียวแน่นและการรีเทิร์นลูกเสิร์ฟ และเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ตีลูกแบคแฮนด์สองมือได้ดีที่สุด[21] ปัจจุบันมาร์รีประสบปัญหาในการเรียกฟอร์มเก่งกลับคืนมาเนื่องจากปัญหาสภาพร่างกาย เขาบาดเจ็บสะโพกในปี 2017 และเข้ารับการผ่าตัดสองครั้งในปี 2018–2019[22] และยังไม่สามารถกลับมาคว้าแชมป์ได้อีกเลย เขาเคยประกาศเลิกเล่นในปี 2019 ก่อนจะตัดสินใจกลับมาแข่งขันต่อ ในการแข่งขันนานาชาติ มาร์รีและพี่ชายของเขาพาทีมสหราชอาณาจักร[lower-alpha 4] คว้าแชมป์เดวิส คัพ[lower-alpha 5] ได้ในปี 2015[23] มาร์รีมีอุดมการณ์ด้านคตินิยมสิทธิสตรี โดยเป็นหนึ่งในนักกีฬาที่ออกมาเรียกร้องด้านสิทธิสตรี[24][25]