กองทัพสหรัฐ
กองกำลังทหารของสหรัฐอเมริกา / From Wikipedia, the free encyclopedia
กองทัพสหรัฐ (อังกฤษ: United States Armed Forces) เป็นกำลังทหารของสหรัฐ ประกอบด้วยกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ กองทัพอวกาศ เหล่านาวิกโยธิน และยามฝั่ง สหรัฐมีประเพณีพลเรือนควบคุมทหารอย่างเข้มแข็ง ประธานาธิบดีสหรัฐเป็นผู้บัญชาการทหารทุกเหล่าทัพโดยตรง และมีกระทรวงกลาโหมทำหน้าที่เป็นองค์กรหลักซึ่งนำนโยบายทางทหารไปปฏิบัติ กระทรวงกลาโหมมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นพลเรือนและอยู่ในคณะรัฐมนตรี เป็นเจ้ากระทรวง
กองทัพสหรัฐ | |
---|---|
United States Armed Forces | |
ตราของแต่ละเหล่าทัพสหรัฐ | |
ก่อตั้ง | 14 มิถุนายน 1775; 248 ปีก่อน (1775-06-14) |
เหล่า | |
กองบัญชาการ | เดอะเพนตากอน อาร์ลิงตันเคาน์ตี รัฐเวอร์จิเนีย สหรัฐ |
ผู้บังคับบัญชา | |
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด | ประธานาธิบดี โจ ไบเดิน |
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม | ลอยด์ ออสติน |
ประธานคณะเสนาธิการร่วม | พลเอก ชาร์ลส์ คิว. บราวน์ จูเนียร์ |
กำลังพล | |
อายุเริ่มบรรจุ | 17 ปี โดยได้รับความยินยอมจากผู้ปกครอง, 18 ปีโดยสมัครใจ อายุการสมัครเข้าเป็นทหารสูงสุด 35 ปีสำหรับกองทัพบก[1] 28 ปีสำหรับนาวิกโยธิน, 34 ปีสำหรับกองทัพเรือ และ 27 ปีสำหรับกองทัพอากาศ[2] |
ประชากร วัยบรรจุ | 73,270,043 ชาย, อายุ 18–49 (ประเมิน 2553), 71,941,969 หญิง, อายุ 18–49 (ประเมิน 2553) |
ประชากร ฉกรรจ์ | 60,620,143 ชาย, อายุ 18–49 (ประเมิน 2553), 59,401,941 หญิง, อายุ 18–49 (ประเมิน 2553) |
ประชากรวัยถึงขั้น ประจำการทุกปี | 2,161,727 ชาย (ประเมิน 2553), 2,055,685 หญิง (ประเมิน 2553) |
ยอดประจำการ | 3,540,000[3] |
ยอดสำรอง | 7,500,000[4] |
รายจ่าย | |
งบประมาณ | US$816.7 พันล้าน (ปีงบฯ 2566)[4][5](อันดับที่ 1) |
ร้อยละต่อจีดีพี | 3.47% (ประเมิน 2565) |
บทความที่เกี่ยวข้อง | |
ประวัติ | สงครามปฏิวัติอเมริกัน สงครามเม็กซิโก-อเมริกา (1846 – 1848) สงครามกลางเมืองอเมริกัน (1861–1865) สงครามโลกครั้งที่ 1 (1917–1918) สงครามโลกครั้งที่ 2 (1941–1945) สงครามเย็น (1945–1991) สงครามเกาหลี (1950–1953) สงครามเวียตนาม (1959–1975) สงครามอ่าวเปอร์เซีย (1990–1991) สงครามคอซอวอ (1999) สงครามต่อต้านการก่อการร้าย (2001–ปัจจุบัน) สงครามอัฟกานิสถาน (2001–ปัจจุบัน) สงครามอิรัก (2003–2011) ฯลฯ |
ยศ | ยศทหารสหรัฐ เครื่องอิสริยาภรณ์ |
กฎหมายกำหนดให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้มีอำนาจบังคับบัญชาทหารในลำดับที่สอง เป็นรองแต่เพียงประธานาธิบดี[6] และทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยหลักของประธานาธิบดีในกิจการทั้งปวงที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง ประธานาธิบดีมีสภาความมั่นคงแห่งชาติ เป็นคณะที่ปรึกษา เพื่อประสานงานการปฏิบัติทางทหารกับการทูต และมีคณะเสนาธิการร่วมเป็นคณะให้คำปรึกษาทางทหาร สมาชิกประกอบด้วยบรรดาผู้นำเหล่าทัพ รวมถึงอธิบดีกรมการรักษาชาติ อย่างไรก็ตาม ผู้บัญชาการยามฝั่งไม่เป็นสมาชิกคณะเสนาธิการร่วม
แต่ละเหล่าทัพของสหรัฐไม่มีกองบัญชาการเหล่าทัพเป็นของตัวเอง ทหารสหรัฐใช้สายบัญชาการรวมเหล่าทัพที่เรียกว่า หน่วยบัญชาการรบรวม (Unified Combatant Command) ซึ่งมีอยู่สิบเอ็ดหน่วยภายใต้พลเอกหรือพลเรือเอกสิบเอ็ดคน ซึ่งรับคำสั่งจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ยกเว้นยามฝั่ง เนื่องจากยามฝั่งอยู่ในกำกับของกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ) ประธานาธิบดีหรือรัฐสภาอาจโอนอำนาจการบังคับบัญชาหน่วยยามฝั่งไปให้ทบวงทหารเรือในยามสงคราม ทั้งหกเหล่าทัพถือเป็นกำลังในเครื่องแบบ อันมีอยู่เจ็ดชุด อีกสองชุดได้แก่ หน่วยบริการสาธารณสุข และหน่วยการบริหารมหาสมุทรและบรรยากาศแห่งชาติ
นับแต่ก่อตั้ง กองทัพมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์สหรัฐ[7][8][9] กองทัพช่วยสร้างสำนึกรักสามัคคีและอัตลักษณ์ของชาติหลังสงครามบาร์บารีสองครั้ง กระนั้น บิดาผู้ก่อตั้งยังไม่ไว้ใจการมีกำลังทหารถาวร จนกระทั่งสงครามโลกครั้งที่สองปะทุ สหรัฐจึงตั้งกองทัพบกประจำการขนาดใหญ่อย่างเป็นทางการ รัฐบัญญัติความมั่นคงแห่งชาติ ค.ศ. 1947 ซึ่งผ่านมติเห็นชอบในช่วงเริ่มแรกของสงครามเย็น ได้จัดตั้งกรอบทหารสหรัฐสมัยใหม่ รัฐบัญญัติดังกล่าวรวมกระทรวงการสงคราม และ กระทรวงทหารเรือในอดีตเข้าด้วยกันเป็นหน่วยจัดตั้งทหารแห่งชาติ (National Military Establishment) ซึ่งเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงกลาโหมใน ค.ศ. 1949 มีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นผู้นำ ตลอดจนตั้งกระทรวงทหารอากาศและสภาความมั่นคงแห่งชาติ[10]
กองทัพสหรัฐนับเป็นหนึ่งในกองทัพขนาดใหญ่ที่สุดของโลกในแง่ยอดกำลังพล[11][12] กำลังพลได้มาจากอาสาสมัครจำนวนมากซึ่งได้รับค่าตอบแทน แม้ในอดีตจะมีการเกณฑ์ทหารทั้งในยามสงครามและยามสงบ แต่ไม่มีการเกณฑ์ทหารอีกนับแต่ ค.ศ. 1972 ใน ค.ศ. 2013 สหรัฐมีรายจ่ายเพื่อสนับสนุนกองทัพราว 554,200 ล้านดอลล่าร์สหรัฐต่อปี และจัดสรรงบประมาณราว 88,500 ล้านดอลล่าร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการการเผชิญเหตุโพ้นทะเล (Overseas Contingency Operation) เมื่อรวมกันแล้ว สหรัฐมีรายจ่ายทางทหารเป็นร้อยละ 39 ของรายจ่ายทางทหารโลก จึงมักได้รับการจัดให้เป็นกองทัพที่ทรงพลังที่สุดในโลก นอกจากนี้ยังมีขีดความสามารถทั้งในการป้องกันประเทศและการแผ่อำนาจ มีเทคโนโลยีก้าวหน้าซึ่งทำให้สามารถวางกำลังได้ทั่วโลก และมีฐานทัพอีกประมาณ 800 แห่งนอกประเทศ กองทัพอากาศสหรัฐเป็นกองทัพอากาศใหญ่สุดในโลก และกองทัพเรือสหรัฐเป็นกองทัพเรือใหญ่สุดในโลกในแง่ระวางน้ำ