คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
การเลือกตั้งในประเทศไทย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
การเลือกตั้งในประเทศไทย เป็นกระบวนการตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เพื่อให้ได้มาซึ่งบุคคลเข้าไปทำหน้าที่ในการปกครองประเทศไทยทั้งในระดับชาติและท้องถิ่น ในระดับชาติมีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) และอาจรวมถึงสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.)ในรัฐธรรมนูญบางฉบับ ปัจจุบันสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชนโดยใช้ระบบแบ่งเขตคะแนนสูงสุดและระบบบัญชีรายชื่อ แต่การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาไม่มีระบุในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันคือ พ.ศ. 2560 โดยใช้ระบบการเลือกกันเองใน 3 ระดับแทน ส่วนตำแหน่งที่มาจากการเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นนั้น ได้แก่ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร นายกเมืองพัทยา นายกองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น และสภา
กฎหมายที่กำหนดการเลือกตั้งในประเทศไทย มีทั้งรัฐธรรมนูญ พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ พระราชกฤษฎีกาและระเบียบคณะกรรมการการเลือกตั้ง ในอดีตการจัดการเลือกตั้งเป็นหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย ก่อนจะเปลี่ยนให้มาเป็นอำนาจของคณะกรรมการการเลือกตั้งในรัฐธรรมนูญปี พ.ศ. 2538[1]
Remove ads
คุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง
การเลือกตั้ง จัดขึ้นภายใต้สิทธิออกเสียงเลือกตั้งทั่วไป (universal suffrage) ตามความในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 อย่างไรก็ตาม มีข้อกำหนดคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งอยู่บางประการ
- มีสัญชาติไทยโดยกำเนิด หรือแปลงสัญชาติเป็นไทยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ปี
- มีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์
- มีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านในเขตเลือกตั้งติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง
ต้องไม่มีลักษณะต้องห้าม คือ ต้องไม่เป็นพระสงฆ์ สามเณร นักพรตหรือนักบวช, ต้องไม่อยู่ในระหว่างเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง, ต้องไม่ถูกคุมขังด้วยหมายของศาลหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย, ต้องไม่เป็นคนสติฟั่นเฟือน[2]
Remove ads
การเลือกตั้งทั่วไป
สรุป
มุมมอง
ระบบการเลือกตั้ง
![]() | บทความนี้จำเป็นต้องปรับปรุงให้เป็นปัจจุบัน |
ในระบบบัญชีรายชื่อ จะมีการคัดเลือกด้วยขั้นตอนดังนี้[5]
- ให้แต่ละพรรค ส่งบัญชีรายชื่อผู้สมัครจำนวนไม่เกิน 150 คน
- บัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องประกอบด้วยรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งจากภูมิภาคต่าง ๆ อย่างเป็นธรรม และต้องคำนึงถึงโอกาส สัดส่วนที่เหมาะสมและความเท่าเทียมกันระหว่างหญิงและชาย
- รายชื่อในบัญชีต้องไม่ซ้ำกับบัญชีรายชื่อที่พรรคการเมืองอื่นจัดทำขึ้น และไม่ซ้ำกับรายชื่อของผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง
- จัดทำรายชื่อเรียงตามลำดับหมายเลข (จาก 1 ลงไป)
- หลังเสร็จสิ้นการเลือกตั้ง ให้นับคะแนนในระบบบัญชีรายชื่อของทุกพรรคการเมืองรวมกันทั้งประเทศ แล้วหารด้วย 125 จะได้คะแนนเฉลี่ยต่อผู้แทน 1 คน
- นำคะแนนของแต่ละพรรคการเมือง หารด้วยคะแนนเฉลี่ยที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนผู้แทนระบบบัญชีรายชื่อของพรรคนั้น
- เศษทศนิยม ให้ปัดทิ้งทั้งหมด แต่ให้เก็บข้อมูลเศษทศนิยมของแต่ละพรรคไว้ (เช่น พรรค ก ได้ 52.7 คน ปัดทิ้งเหลือ 52)
- รวมจำนวนผู้แทนของทุกพรรค หากยังได้ไม่ครบ 125 ให้กลับไปดูที่เศษทศนิยมของแต่ละพรรค พรรคใดที่มีเศษเหลือมากที่สุด ให้เพิ่มจำนวนผู้แทนจากพรรคนั้น 1 คน หากยังไม่ครบ ให้เพิ่มผู้แทนจากพรรคที่มีเศษเหลือมากเป็นอันดับสองขึ้นอีก 1 คน ทำเช่นนี้ตามลำดับจนกว่าจะได้ครบ 125 คน (เช่น พรรค ก ได้ 52.7 คน ตอนแรกได้ 52 เศษ 0.7 แต่ถ้าจำนวนผู้แทนยังไม่ครบ และไม่มีพรรคใดมีเศษมากกว่า 0.7 พรรค ก จะได้เพิ่มเป็น 53 คน)
- เมื่อได้จำนวนผู้แทนในระบบนี้ที่ลงตัวแล้ว ผู้สมัครของพรรคนั้น จากอันดับหนึ่ง ไปจนถึงอันดับเดียวกับจำนวนผู้แทนของพรรคนั้น จะได้เป็นผู้แทนราษฎร (เช่น พรรค ก ได้ 53 คน ผู้ที่มีรายชื่อตั้งแต่อันดับ 1 ถึง 53 จะได้เป็นผู้แทน)
ระบบแบ่งเขต
เกณฑ์การแบ่งเขตเลือกตั้ง 375 เขตนั้น ตามรัฐธรรมนูญ ได้ประกาศให้มีหลักเกณฑ์ในการแบ่ง ดังต่อไปนี้[6]
- นำจำนวนราษฎรทั้งประเทศ จากทะเบียนราษฎรที่ประกาศในปีก่อนการเลือกตั้ง หารด้วยจำนวนผู้แทนในระบบเขต (คือ 375) จะได้อัตราส่วนของราษฎรต่อผู้แทน 1 คน
- นำจำนวนราษฎรในแต่ละจังหวัด หารด้วยอัตราส่วนที่คำนวณไว้ จะได้จำนวนเขตเลือกตั้งที่มีในจังหวัด
- จังหวัดที่ผลหารต่ำกว่า 1 เขต (เช่น 0.86 เขต) ให้ปัดขึ้นเป็น 1 เขต (ในการเลือกตั้งครั้งนี้ ไม่มีจังหวัดใดเข้าข่ายกรณีนี้)
- จังหวัดที่ผลหารมากกว่า 1 และมีเศษทศนิยม ให้ปัดเศษทิ้งทั้งหมด แต่ให้เก็บข้อมูลของเศษทศนิยมไว้ (เช่น 4.93 ปัดทิ้งเหลือ 4)
- รวมจำนวนผู้แทนของทั้ง 77 จังหวัด หากยังไม่ครบ 375 เขต ให้เพิ่มจำนวนเขตในจังหวัดที่มีเศษทศนิยมเหลือมากที่สุดขึ้นไป 1 เขต หากยังไม่ครบอีก ให้เพิ่มจำนวนเขตในจังหวัดที่มีเศษทศนิยมเหลือเป็นอันดับสองขึ้นไปอีก 1 เขต ทำเช่นนี้ไปตามลำดับ จนกว่าจะได้จำนวนครบ 375
- จังหวัดใดมีจำนวนเขตมากกว่า 1 เขต จะต้องแบ่งเขตโดยให้พื้นที่ของแต่ละเขตติดต่อกัน และแต่ละเขตต้องมีจำนวนราษฎรที่ใกล้เคียงกันด้วย (หลังจากการเลือกตั้ง ผู้สมัครที่ได้คะแนนสูงที่สุดในแต่ละเขต จะได้เป็นผู้แทน)
การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา
ในรัฐธรรมนูญฉบับปีพุทธศักราช 2560 ความส่วนหนึ่งคือจะมีคณะสรรหาคัดเลือกสมาชิกวุฒิสภา 250 คนและจะต้องผ่านการลงมติเห็นชอบจากทางสภาซึ่งสมาชิกวุฒิสภาจะมีเสียงในสภาโดยมีวาระ 5 ปี
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ |
Remove ads
การเลือกตั้งท้องถิ่น
การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร
การเลือกตั้งนายกเมืองพัทยา
การเลือกตั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การลงประชามติ
ในประเทศไทยมีการลงประชามติแล้ว 2 ครั้ง ได้แก่ การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2550 และ การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2559 เพื่อรับร่างรัฐธรรมนูญที่ยกร่างในช่วงคณะรัฐประหารทั้ง 2 ครั้ง
หมายเหตุ
- การเลือกตั้งเป็นโมฆะ เนื่องจากตุลาการรัฐธรรมนูญได้มีคำวินิจฉัยในคดียุบพรรคการเมือง พ.ศ. 2549 ว่าพรรคไทยรักไทยได้ว่าจ้างพรรคการเมืองขนาดเล็กให้ลงรับสมัครรับเลือกตั้ง
- การเลือกตั้งไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญตามคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2557 เนื่องจากไม่สามารถจัดการเลือกตั้งในวันเดียวกันได้ทั่วราชอาณาจักร จากกรณีปิดล้อมหน่วยเลือกตั้งในหลายพื้นที่โดยกลุ่ม กปปส.
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads