Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
หลักการใช้กำลัง (อังกฤษ: Use of force) หรือ ระดับการใช้กำลัง เป็นการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่รักษากฎหมายและเจ้าหน้าที่ทหาร โดยต้องคำนึงถึงความเหมาะสม[1]ระหว่างความต้องการด้านความปลอดภัย จริยธรรม และสิทธิเสรีภาพของผู้ต้องสงสัยหรือผู้บุกรุก ภายใต้กรอบของกฎหมาย[2] โดยเจ้าหน้าที่สามารถใช้กำลังได้ก็ต่อเมื่ออยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็น เช่น การป้องกันตัวเองหรือการป้องกันบุคคลหรือกลุ่มพลเรือน[3]
หลักการใช้กำลัง เกิดขึ้นพร้อมกับการบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่อดีต ซึ่งมาจากความกลัวว่าเจ้าหน้าที่จะใช้อำนาจบังคับใช้กฎหมายในทางที่ผิด ซึ่งปัจจุบันความกลัวนี้ก็ยังคงอยู่ โดยหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาในปัจจุบันคือการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายอื่น ๆ ติดกล้องประจำตัวและบันทึกเหตุการณ์ทุกครั้งที่มีปฏิสัมพันธ์กับพลเรือน[4] ซึ่งจาการศึกษาพบว่าภายหลังการติดกล้องประจำตัวนั้นสามารถลดอัตราการใช้กำลังเกินกว่าเหตุของเจ้าหน้าที่[5]
สำหรับหลักการใช้กำลังนั้น ไม่มีคำจำกัดความสากลร่วมกันเกี่ยวกับแนวทางการใช้กำลัง[6] ซึ่งสมาคมหัวหน้าตำรวจนานาชาติ (International Association of Chiefs of Police) ได้ให้ความหมายไว้ว่า
"ปริมาณกำลังที่ตำรวจต้องใช้ เพื่อให้บุคคลที่ขัดขืนหรือไม่ทำตามได้ทำตามคำสั่ง"[6]
เจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายควรใช้กำลังตามแต่สมควรเพื่อควบคุมสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งการจับกุม การป้องกันตนเองหรือผู้อื่นจากอันตราย โดยระดับการใช้กำลังของตำรวจประกอบไปด้วย การใช้คำพูดหรือคำสั่งในการยับยั้งเหตุการณ์นั้น การใช้กำลังทางกายภาพในการยับยั้งหรือยุติเหตุการณ์นั้น ไปจนถึงการใช้กำลังไม่ถึงชีวิต และการใช้กำลังถึงชีวิต[7][8]
ระดับการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่จะแปรผันตามความรุนแรงของสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย รวมถึงการฝึกอบรมของเจ้าหน้าที่ในการเผชิญเหตุการณ์ต่าง ๆ[9] และประสบการณ์ส่วนตัวของเจ้าหน้าที่ โดยมีเป้าหมายคือการควบคุมสถานการณ์ให้รวดเร็วที่สุดและปกป้องประชาชน การใช้กำลังจึงเป็นทางเลือกสุดท้ายของเจ้าหน้าที่ เมื่อแนวทางอื่นในการควบคุมเหตุการณ์หรือสถานการณ์ขณะนั้นไม่ได้ผล[7]
สิ่งที่ตามมาหลังจากการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่คือการบาดเจ็บ เจ้าหน้าที่ตำรวจหรือเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมายในขณะนั้นต้องตรวจสอบหลังจากควบคุมสถานการณ์ว่ามีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือไม่ ผู้ได้รับบาดเจ็บได้รับการปฐมพยาบาลหรือความช่วยเหลือทางการแพทย์แล้วหรือยัง และแจ้งให้ญาติผู้ได้รับบาดเจ็บได้รับทราบ[7]
หลายครั้งเจ้าหน้าที่ถูกระบุว่าใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต[10]โดยไม่สมควรแก่เหตุ ซึ่งขัดกับกฎหมายและหลักสิทธิมนุษยชน[11]
หลักการใช้กำลังตามกฎหมายระหว่างประเทศนั้น ถือเป็นเครื่องมือสุดท้ายในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ โดยถือเอากฎบัตรสหประชาชาติ (Charter of the United Nations) เป็นหลัก ซึ่งระบุไว้ในกฎบัตรข้อ 2 วรรคที่สี่ ว่าประเทศสมาชิกจะต้องละเว้นจากการคุกคามหรือใช้กำลังต่อบูรณาภาพในอาณาเขตของรัฐใด ในขณะเดียวกันข้อ 51[12] ก็ได้ระบุไว้ว่าประเทศสมาชิกสามารถใช้กำลังต่อกันได้ หากเป็นไปเพื่อการป้องกันตนเอง[13]
สำหรับหลักในการป้องกันตนเองของชาติสมาชิกจะมีเงื่อนไขดังนี้
สำหรับนิยามของการใช้อาวุธโจมตี (Armed Attack) ต่อประเทศสมาชิกนั้นก็คือความหมายเดียวกับการรุกราน (Aggression) โดยที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ให้ความหมายไว้ในคำพิพากษาระหว่างประเทศนิคารากัวกับสหรัฐอเมริกาไว้ว่า เป็นการล้ำพรมแดนระหว่างประเทศโดยใช้กองกำลังทางหทาร ในทุกรูปแบบ ทั้งการรบแบบตามแบบ การรบแบบกองโจร และการโจมตีด้วยอาวุธ[12]ต่อประเทศหรือรัฐอื่น[13]
นอกจากนี้ จากคดีระหว่างประเทศนิคารากัวกับสหรัฐอเมริกา ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้วางหลักเพื่อไม่ให้ประเทศสมาชิกใช้ข้อบังคับข้อที่ 51 ในการแก้แค้น (retaliation) ซึ่งผิดกฎหมายระหว่างประเทศ[13] ประกอบไปด้วย
หลักสากลในการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย ถูกกำหนดโดยองค์การสหประชาชาติ ใน หลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังและอาวุธโดยเจ้าหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (Basic Principles of the Use of Force and Firearms by Law Enforcement Officials) ในข้อที่ 13 และ 14 ได้กำหนดไว้ว่า[14][15]
สำนักงานตำรวจแห่งชาติของประเทศไทยอิงหลักการใช้กำลังมาจากประเทศสหรัฐ[16] โดยสามารถแบ่งเป็นสององค์ประกอบหลักตามแผนผังได้ดังนี้
การจำแนกพฤติกรรมของผู้ต้องสงสัย หรือผู้กระทำผิด แบ่งเป็น 3 ประเภท[17] คือ
ระดับการใช้กำลังจะถูกเริ่มต้นจากระดับที่น้อยที่สุดเป็นลำดับจนไปสู่ระดับสูงที่สุด โดยสามารถปรับเพิ่มระดับตามสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้าที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็ว[18][19][20] ประกอบไปด้วย
ในสหรัฐอเมริกา มีกรณีศึกษาถึงหลักการใช้กำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่หลากหลายมาตั้งแต่ในอดีต อาทิ
วันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2528 เจ้าหน้าที่ตำรวจเมืองเมมฟิส รัฐเทนเนสซี ได้รับแจ้งว่ามีการลักทรัพย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไปถึงที่เกิดเหตุ พบผู้กระทำผิด คือการ์เนอร์ กำลังหลบหนี จึงเรียกให้ผู้กระทำผิดหยุด แต่ผู้กระทำผิดไม่ยอมทำตาม เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงยิงไปที่ผู้กระทำผิด ถูกที่ด้านหลังศีรษะเสียชีวิต แม้จะมั่นใจว่าผู้กระทำผิดไม่มีอาวุธ
ศาลฎีกาตัดสินว่าเจ้าหน้าที่สามารถใช้กำลังถึงตายแก่ผู้กระทำผิดได้ก็ต่อเมื่อ เชื่อว่าผู้กระทำผิดมีอาวุธหรือสามารถทำอันตรายถึงชีวิตต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือผู้อื่นได้เท่านั้น[21]
วันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2557 เจ้าหน้าที่ตำรวจ เวสท์ พลัมฮอฟฟ์ ได้เรียกให้รถยนต์ของ ริคการ์ด ผู้ต้องสงสัยหยุด เนื่องจากไฟหน้ารถใช้การไม่ได้ โดยผู้ต้องสงสัยปรับกระจกหน้ารถเยื้องผิดปกติ และมีอาการพิรุธ เจ้าหน้าที่จึงได้ขอให้ผู้ต้องสงสัยลงจากรถเพื่อตรวจค้น แต่ผู้ต้องสงสัยกลับขับรถหลบหนี และเกิดการไล่ล่าขึ้น พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกหลายนาย จนกระทั่งรถของผู้ต้องสงสัยเสียหลักเข้าไปในลานจอดรถแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ปิดล้อม และลงจากรถเพื่อเข้าจับกุม ผู้ต้องสงสัยได้พยายามหลบหนีอีกครั้ง และทำร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่ ทำให้เจ้าหน้าที่เปิดฉากยิงใส่ริคการ์ด จำนวน 15 นัด ทำให้ริคการ์ด และผู้โดยสารบนรถเสียชีวิต
ศาลตัดสินว่าการใช้กำลังดังกล่าวสมเหตุสมผลตามระดับการใช้กำลังถึงตาย ซึ่งเป็นระดับความรุนแรงที่เกิดตามสถานการณ์ดังกล่าวที่ได้เผชิญหน้า ไม่ใช่หลังจากเหตุการณ์ได้เกิดขึ้นแล้ว[22]
ในสหราชอาณาจักร ส่วนของอังกฤษและเวลล์ มีการะบุถึงการใช้กำลัง (ตามสมควร) ของตำรวจหรือบุคคลอื่นใด ตามาตตรา 3 ของกฎหมายอาญา พ.ศ. 2510 (ค.ส.1967) ระบุไว้ว่า
บุคคลอาจใช้กำลังตามความเหมาะสมในการป้องกันการเกิดอาชญากรรม หรือการบังคับใช้ หรือการช่วยเหลือในการจับกุมผู้กระทำผิดหรือผู้ต้องสงสัยโดยชอบด้วยกฎหมาย
การใช้กำลังนั้นจึงอาจจะถือได้ว่าชอบด้วยกฎหมาย หากเป็นไปตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นและสมเหตุสมผล[23]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.