อนุสาวรีย์คู่บารมีกู้แผ่นดิน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
อนุสาวรีย์คู่บารมีกู้แผ่นดิน หรือที่มักเรียกกันว่า อนุสาวรีย์คู่บารมี เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่รำลึกถึงเหตุการณ์สิ้นสุดสภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ในการรวบรวมแผ่นดินไทยได้สำเร็จ หลังสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรียกทัพปราบชุมนุมเจ้าพระฝางเมืองสวางคบุรีได้เป็นชุมนุมสุดท้าย ในปี พ.ศ. 2313 ตั้งอยู่ที่หน้าวัดคุ้งตะเภา จังหวัดอุตรดิตถ์
พิกัด | 17.652572°N 100.141491°E |
---|---|
ที่ตั้ง | หัวทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี หน้าวัดคุ้งตะเภา จังหวัดอุตรดิตถ์[1] |
ผู้ออกแบบ | อ.ยุทธกิจ ประสมผล, อ.สงกรานต์ กุณารบ นายช่างศิลปกรรมกรมศิลปากร |
ประเภท | พระบรมราชานุสาวรีย์ และอนุสาวรีย์บุคคลสำคัญ |
วัสดุ | ทองเหลืองและทองแดงรมดำ |
ความสูง | 3.10 |
เริ่มก่อสร้าง | พ.ศ. 2558 |
สร้างเสร็จ | พ.ศ. 2563 |
การเปิด | 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563 |
อุทิศแด่ |
อนุสาวรีย์คู่บารมี ตั้งอยู่ใจกลางตำบลคุ้งตะเภา หรือชื่อเดิมเมืองฝางสวางคบุรี บริเวณหน้าวัดคุ้งตะเภา ซึ่งเป็นวัดที่สถิตย์ของเจ้าคณะใหญ่เมืองฝางสวางคบุรีรูปสุดท้าย[2] ด้านหน้าติดกับถนนพิษณุโลก-เด่นชัย บริเวณนี้เป็นจุดเริ่มต้นการเข้าปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง หน้าอนุสาวรีย์มีลานกว้างขนาดใหญ่ ด้านตรงข้ามของอนุสาวรีย์เป็นทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี สถานที่สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีทรงกระทำศึกรวบรวมแผ่นดินไทยได้สำเร็จตามพระราชพงศาวดาร[3] โดยมี ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์ เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ในปี พ.ศ. 2559 และสร้างเสร็จในปี พ.ศ. 2563[4]
สถานที่จัดสร้างอนุสาวรีย์อยู่ในที่ตั้งของวัดคุ้งตะเภาโดยได้รับสนับสนุนการดูแลพื้นที่จากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและเทศบาลตำบลคุ้งตะเภา ภายในบริเวณอนุสาวรีย์มีพิพิธภัณฑ์พระราชประวัติการพระราชสงครามฯ สำนักงาน ลานกิจกรรม สวนสาธารณะ และประติมากรรมต่าง ๆ ด้านหน้าอนุสาวรีย์เป็นแยกคุ้งตะเภา ซึ่งเป็นสี่แยกไฟแดงสุดท้ายบนถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 11 (พิษณุโลก-เด่นชัย) ก่อนขึ้นสู่จังหวัดแพร่ และเป็นต้นทางเข้าสู่วัดพระฝางสวางคบุรีมุนีนาถ และโบราณสถานอื่นๆ ของเมืองสวางคบุรีบนฝั่งซ้ายแม่น้ำน่านในจังหวัดอุตรดิตถ์[5]
อนุสาวรีย์ดังกล่าว ประดิษฐานบริเวณหน้าวัดคุ้งตะเภาหันหน้าสู่ทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี เพื่อรำลึกถึงอดีตเมืองสวางคบุรีในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายซึ่งเคยเป็นพื้นที่ ๆ พระยาพิชัยดาบหักได้มาฝึกมวยกับครูเมฆแห่งบ้านท่าเสา-คุ้งตะเภา ในวัยเด็ก และเป็นพื้นที่เกิดวีรกรรมการปรามชุมนุมเจ้าพระฝางแห่งเมืองสวางคบุรี สิ้นสุดสภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง เป็นชุมนุมสุดท้ายในสมัยธนบุรี รวมถึงยังเป็นสถานที่พระยาสีหราชเดโชได้รับเลื่อนยศเป็นพระยาพิชัยผู้สำเร็จราชการครองเมืองพิชัย รับพระราชทานเครื่องยศเสมอเจ้าพระยาสุรสีห์ ตามหลักฐานทางประวัติศาสตร์ในพระราชพงศาวดาร[6]
การก่อสร้างอนุสาวรีย์คู่บารมี ณ หัวทุ่งสมรภูมิสวางคบุรี เกิดขึ้นจากความต้องการของประชาชนและผู้เคารพศรัทธาในพระเกียรติคุณและความกล้าหาญของพระองค์ท่านมาช้านาน ต่อมาได้มีการจัดตั้งมูลนิธิ 250 ปี วัดคุ้งตะเภา[7] เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการจัดสร้างอนุสาวรีย์ โดยมีนายภีมเดช อมรสุคนธ์ และคณะผู้ศรัทธาจากจังหวัดระยอง เป็นประธานที่ปรึกษา และในวันที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559 ประชาชนชาวจังหวัดอุตรดิตถ์ได้พร้อมใจกันจัดพิธีเชิญดวงวิญญาณพระยาพิชัยดาบหัก (แทนอัฐิ) ตามโบราณประเพณี และมีพิธีวางศิลาฤกษ์อนุสาวรีย์ฯ โดยมี ฯพณฯ ศาสตราจารย์ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี เป็นประธานในพิธีวางศิลาฤกษ์ ซึ่งประชาชนได้นำไม้โบราณมาแกะสลักเป็นอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหักจากไม้ตะเคียนองค์แรกขนาดเท่าครึ่ง เพื่อประดิษฐานในบริเวณดังกล่าวให้ประชาชนผู้เคารพศรัทธาได้ระลึกถึงวีรกรรมความกล้าหาญเสียสละของท่าน ในปี พ.ศ. 2561 เป็นเบื้องต้น[8] ต่อมาได้มีการระดมทุนจากการบริจาคจากประชาชนผู้มีจิตศรัทธา และมีการก่อสร้างฐานอนุสาวรีย์สำเร็จมาโดยลำดับ
ใน พ.ศ. 2563 ซึ่งเป็นวาระครบ 250 ปี วัดคุ้งตะเภา และครบรอบ 250 ปี การสำเร็จศึกปราบชุมนุมเจ้าพระฝาง สิ้นสุดสภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง และครบรอบ 250 ปี ทรงสถาปนายศพระยาพิชัยดาบหัก ประชาชนชาวอุตรดิตถ์จึงได้พร้อมใจกันจัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์หล่อด้วยทองเหลืองและทองแดงรมดำ มีขนาดเท่าครึ่ง สูง 3.10 เมตร และ 2.70 เมตร ใช้เวลา 6 เดือนในการออกแบบและทำการปั้นโดย อาจารย์ยุทธกิจ ประสมผล หล่อโดย อาจารย์สงกรานต์ กุณารบ นายช่างศิลปกรรมกรมศิลปากร โดยคณะสงฆ์จังหวัดอุตรดิตถ์ นำโดยพระปัญญากรโมลี เจ้าคณะจังหวัดอุตรดิตถ์ พระเทพสิทธาคม เจ้าคณะจังหวัดตาก พระสุขวโรทัย ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสุโขทัย หลวงพ่อหลาม จีรปุญฺโญ เจ้าอาวาสวัดคุ้งตะเภา และพระเกจิคณาจารย์จากจังหวัดหัวเมืองฝ่ายเหนือ 9 จังหวัด ที่เกี่ยวข้องกับการพระราชสงครามในคราวสภาพจลาจลหลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง รวมถึงตัวแทนผู้สืบเชื้อสายราชตระกูลสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ตัวแทนผู้สืบเชื้อสายสกุลวิชัยขัทคะพระยาพิชัยดาบหัก และตัวแทนผู้สืบสายตระกูลมวยครูเมฆท่าเสา-เลี้ยงประเสริฐ[9] ได้พร้อมใจประกอบพิธีเสกจัดสร้างเหรียญที่ระลึกขึ้นในวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2563[10][11]
อนุสาวรีย์ดังกล่าว ได้มีพิธีเททองหล่อพระบรมรูปและรูปเหมือนโดยนายช่างกรมศิลปากร ในวันที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563 ณ สถานที่จัดสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์ฯ มีการประกอบพิธีอัญเชิญดวงพระวิญญาณ ณ ท้องพระโรงพระราชวังกรุงธนบุรี (กองบัญชาการกองทัพเรือ กรุงเทพมหานคร ) พระเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิ วัดอินทารามวรวิหาร ในวันที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2563 และพิธีอัญเชิญดวงวิญญาณ ณ พระปรางค์บรรจุอัฐิพระยาพิชัยดาบหัก วัดราชคฤห์ เขตธนบุรี กรุงเทพมหานคร ในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563 รวมถึงมีนายวิบูรณ์ แววบัณฑิต รองผู้ว่าราชการจังหวัดน่าน นายพีระศักดิ์ พอจิต สมาชิกวุฒิสภา และอดีตรองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีเททองหล่ออีกด้วย[12][13]
จากนั้นจึงได้มีการอัญเชิญพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช และอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหัก ขึ้นประดิษฐานบนแท่นพระบรมราชานุสาวรีย์ และแท่นอนุสาวรีย์ ในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เวลา 11.09 น. (ราชาฤกษ์วันสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) อนุสาวรีย์ประกอบด้วย พระบรมรูปสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชประทับด้านซ้ายเป็นประธาน พระหัตถ์ทรงกุมเตรียมเก็บพระแสงดาบ พระยาพิชัยดาบหักอยู่เบื้องขวา ยืนคู่พระบารมีในฐานะขุนศึกคู่พระทัย เพื่อระลึกถึงวีรกรรมและความกล้าหาญของท่าน ที่ได้เคยร่วมรบเคียงคู่พระวรกายสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในการกอบกู้คืนอิสรภาพและความเป็นปึกแผ่นของไทยจนสำเร็จสมบูรณ์ได้ในปี พ.ศ. 2313 ณ เมืองสวางคบุรี ทั้งนี้ตัวฐานอนุสาวรีย์มีความสูงกว่า 8 เมตร เป็นพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่สูงที่สุดในภาคเหนือ และเป็นอนุสาวรีย์พระยาพิชัยดาบหักที่สูงที่สุดในประเทศไทย [14][15]
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.