Loading AI tools
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
โรบิน ฟัน แปร์ซี (ดัตช์: Robin van Persie, ออกเสียง: [ˈrɔbɪɱ vɑm ˈpɛrsi] ( ฟังเสียง); เกิดวันที่ 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983) เป็นนักฟุตบอลชาวดัตช์ที่เคยเล่นในตำแหน่งกองหน้า ได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีฝีเท้าดีที่สุดในยุคของเขา[4][5][6] ฟัน แปร์ซีมีจุดเด่นในด้านทักษะการทำประตู การครอบครองลูกบอล การขยับหาพื้นที่ และสายตาอันเฉียบคม[7] เขาครองสถิติในการเป็นผู้ทำประตูสูงสุดของทีมชาติเนเธอร์แลนด์ ปัจจุบันเขาเป็นผู้ช่วยผู้ฝึกสอนให้แก่สโมสรไฟเยอโนร์ด
ข้อมูลส่วนตัว | |||||||||||||||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ชื่อเต็ม | โรบิน ฟัน แปร์ซี[1] | ||||||||||||||||||
วันเกิด | [2] | 6 สิงหาคม ค.ศ. 1983||||||||||||||||||
สถานที่เกิด | รอตเทอร์ดาม ประเทศเนเธอร์แลนด์ | ||||||||||||||||||
ส่วนสูง | 1.83 เมตร (6 ฟุต 0 นิ้ว)[3] | ||||||||||||||||||
ตำแหน่ง | กองหน้า | ||||||||||||||||||
สโมสรเยาวชน | |||||||||||||||||||
1988–1999 | เอกแซ็ลซียอร์ | ||||||||||||||||||
1999–2001 | ไฟเยอโนร์ด | ||||||||||||||||||
สโมสรอาชีพ* | |||||||||||||||||||
ปี | ทีม | ลงเล่น | (ประตู) | ||||||||||||||||
2001–2004 | ไฟเยอโนร์ด | 61 | (14) | ||||||||||||||||
2004–2012 | อาร์เซนอล | 194 | (96) | ||||||||||||||||
2012–2015 | แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด | 86 | (48) | ||||||||||||||||
2015–2018 | เฟแนร์บาห์เช | 57 | (25) | ||||||||||||||||
2018–2019 | ไฟเยอโนร์ด | 37 | (21) | ||||||||||||||||
รวม | 435 | (204) | |||||||||||||||||
ทีมชาติ | |||||||||||||||||||
2000 | เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 17 ปี | 6 | (0) | ||||||||||||||||
2001 | เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 19 ปี | 6 | (0) | ||||||||||||||||
2002–2005 | เนเธอร์แลนด์ อายุไม่เกิน 21 ปี | 12 | (1) | ||||||||||||||||
2005–2017 | เนเธอร์แลนด์ | 102 | (50) | ||||||||||||||||
จัดการทีม | |||||||||||||||||||
2020– | ไฟเยอโนร์ด (ผู้ช่วยผู้จัดการทีม) | ||||||||||||||||||
2021–2023 | ไฟเยอโนร์ด รุ่นอายุไม่เกิน 16 ปี | ||||||||||||||||||
2023–2024 | ไฟเยอโนร์ด รุ่นอายุไม่เกิน 18 และ19 ปี | ||||||||||||||||||
2024– | เฮเรินเฟน | ||||||||||||||||||
เกียรติประวัติ
| |||||||||||||||||||
*นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้แก่สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น |
ฟัน แปร์ซี เริ่มต้นอาชีพนักฟุตบอลในตำแหน่งปีก สโมสรแรกของเขาคือไฟเยอโนร์ดในฤดูกาล 2001–02 ซึ่งเขาคว้าถ้วยรางวัลใบแรกหลังจากเอาชนะโบรุสซีอาดอร์ทมุนท์ในนัดชิงชนะเลิศยูฟ่าคัพด้วยผลประตู 3–2 และยังได้รับรางวัลผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของลีกดัตซ์ ภายหลังจากระยะเวลาห้าปีในเนเธอร์แลนด์ เขามีปัญหากับผู้จัดการทีมในขณะนั้นอย่างแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์ เป็นเหตุให้เขาย้ายไปร่วมสโมสรดังในพรีเมียร์ลีกอย่างอาร์เซนอลใน ค.ศ. 2004 ในฐานะผู้ที่ได้รับการคาดหมายว่าจะสืบทอดตำนานรุ่นพี่อย่างแด็นนิส แบร์คกัมป์ ในช่วงเวลาไม่นาน ฟัน แปร์ซี ได้รับบทบาทเป็นกองหน้าตัวหลักของทีม ภายใต้การปลุกปั้นของผู้จัดการทีมชื่อดังอย่าง อาร์แซน แวงแกร์ เขาทำสถิติยิง 35 ประตูในฤดูกาลเดียวได้ใน ค.ศ. 2011 และได้รับแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมในฤดูกาล 2011–12 ก่อนจะย้ายไปร่วมสโมสรคู่แข่งอย่างแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 2012 และคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกร่วมกับทีมได้ในฤดูกาลแรกรวมทั้งรางวัลรองเท้าทองคำ พรีเมียร์ลีก หรือผู้ทำประตูสูงสุดประจำฤดูกาลสองสมัยติดต่อกัน
ภายหลังประสบปัญหาอาการบาดเจ็บอย่างต่อเนื่อง ฟัน แปร์ซี ย้ายร่วมทีมเฟแนร์บาห์แชสปอร์คูลือบือใน ค.ศ. 2015 แต่ไม่ได้ลงสนามมากนักเนื่องจากปัญหาการบาดเจ็บ ก่อนจะยุติสัญญากับสโมสรในเดือนมกราคม ค.ศ. 2018 และย้ายกลับไปยังไฟเยอโนร์ดแบบไม่มีค่าตัวซึ่งเขามีส่วนช่วยให้ทีมคว้าแชมป์เคเอ็นวีบี คัพ โดยถือเป็นถ้วยรางวัลแรกของเขานับตั้งแต่แชมป์เอฟเอคอมมิวนิตีชีลด์ 2013[8]
ในการแข่งขันระดับทีมชาติ ฟัน แปร์ซี เคยลงสนามให้ทีมทั้งในรุ่นอายุไม่เกิน 17 ปี, 19 ปี และ 21 ปี ก่อนจะลงสนามในฐานะทีมชาติชุดใหญ่ใน ค.ศ. 2005 ในเกมกระชับมิตรพบกับทีมชาติโรมาเนีย หนึ่งเดือนต่อมา เขาทำประตูแรกในนามทีมชาติได้ในนัดที่เอาชนะฟินแลนด์ด้วยผลประตู 4–0 ฟัน แปร์ซีลงสนามให้ทีมชาติมากกว่า 100 นัด และทำประตูได้มากถึง 50 ประตู และได้รับแต่งตั้งเป็นกัปตันทีมในช่วงระหว่าง ค.ศ. 2013–15 เขามีส่วนสำคัญในการแข่งขันรายการใหญ่ของเนเธอร์แลนด์ ทั้งในฟุตบอลโลก 2006, 2010 และ 2014 รวมทั้งฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 และ 2012
โรบิน ฟัน แปร์ซี เติบโตในย่านกราลิงเงินแห่งโรตเตอร์ดัมตะวันออก มารดาคือ โคเซ รัส เป็นจิตรกร ส่วนบิดาคือ บ็อบ เป็นประติมากร[9] แปร์ซียังมีน้องสาวอีก 2 คนคือ ลีลี (Lily) และกีกี (Kiki)[10] บิดาและมารดาสนับสนุนให้แปร์ซีเป็นศิลปินเช่นเดียวกับพวกเขา แต่สุดท้ายแปร์ซีกลับเลือกที่จะเล่นฟุตบอลแทน
ฟัน แปร์ซี เริ่มเล่นฟุตบอลกับทีมเยาวชนของเอส.เบ.เฟ. เอกแซ็ลซียอร์ เมื่อปี ค.ศ. 2001 แต่ก็ต้องย้ายออกไปเนื่องจากมีเรื่องไม่ลงรอยกันกับสตาฟโค้ช จนได้มาเซ็นสัญญากับไฟเยอโนร์ด[11] และสามารถก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ได้เนื่องจากนักเตะรุ่นพี่ในทีมหลายคนได้รับบาดเจ็บ และได้ลงประเดิมสนามให้กับสโมสรด้วยวัยเพียงแค่ 17 ปี และในฤดูกาลแรกนี้ เขาได้ลงสนามเป็นตัวจริงถึง 15 ครั้ง จนได้รับรางวัลนักฟุตบอลดัตช์ดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล 2001-02 หลังจากจบฤดูกาลอีกด้วย
จากนั้น ฟัน แปร์ซีก็เซ็นสัญญาอาชีพกับไฟเยอโนร์ดเป็นระยะเวลา 3 ปีครึ่งตั้งแต่ต้นฤดูกาลใหม่ และยังเป็นผู้ยิงได้ 5 ประตูในเกมที่เอาชนะ AGOVV มา 6-1 ในอัมสเทลคัพเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2003.[12] แต่เนื่องจากความบาดหมางกับแบร์ต ฟัน มาร์ไวก์ ผู้จัดการทีมทำให้แปร์ซีต้องหล่นไปเล่นในทีมสำรองแทน จนฟัน มาร์ไวก์ได้บอกกับสื่อว่า "พฤติกรรมของเขานี้ทำให้เขาคงจะอยู่กับทีมไม่ได้อีกแล้ว ฉะนั้นเขาจะต้องเล่นในทีมสำรองไปตลอด"[13] และในเกมที่ไฟเยอโนร์ดทีมสำรองพบกับอายักซ์ทีมสำรองนั้น เขาเป็นหนึ่งในนักเตะไฟเยอโนร์ดหลายคนที่โดนแฟนบอลอันธพาลวิ่งเข้าสู่สนามเพื่อลงมาทำร้ายร่างกายอีกด้วย[11]
ความบาดหมางระหว่างฟัน แปร์ซี กับฟัน มาร์ไวก์ ยังคงมีอยู่ต่อไป เนื่องจากฟัน มาร์ไวก์ สั่งเขากลับบ้านในวันก่อนเกมที่จะพบกับเรอัลมาดริดในยูฟ่าซูเปอร์คัพเมื่อปี ค.ศ. 2003 โดยมีรายงานว่าผู้ฝึกสอนคนนี้ไม่พอใจกิริยาของฟัน แปร์ซี ที่มีต่อเขาเมื่อได้รับคำสั่งให้อบอุ่นร่างกายเพื่อเตรียมลงแข่งเกมลีกเมื่อไม่นานมานี้[9] จากนั้น ฟัน แปร์ซีก็สามารถแทรกขึ้นมาเล่นทีมชุดใหญ่ได้เป็นครั้งแรก ลงสนามไปทั้งหมด 28 ครั้ง ยิงได้ 8 ประตู และยังพาทีมได้รองแชมป์บอลถ้วยของเนเธอร์แลนด์อีกด้วย
หลังจากจบฤดูกาลนั้น ไฟเยอโนร์ดก็ไม่สามารถต่อสัญญากับฟัน แปร์ซีได้ในช่วงปิดฤดูกาล จนกระทั่งความเป็นอริต่อกันของฟัน มาร์ไวก์ กับฟัน แปร์ซี ทำให้เขาต้องนั่งเป็นตัวสำรองเสียเป็นส่วนใหญ่ในฤดูกาล 2003-04 นี้ ได้ลงเล่นเพียงแค่ 28 เกม แต่ก็ยังยิงได้น้อยกว่าฤดูกาลที่แล้ว 2 ประตู เมื่อจบฤดูกาล ไฟเยอโนร์ดจึงประกาศขายนักเตะคนนี้ออกไปทันทีเนื่องจากทนไม่ไหวกับระเบียบวินัยอันย่ำแย่ของนักเตะคนนี้แล้ว และก็กลายเป็นอาร์เซนอลที่เริ่มเปิดเจรจาซื้อตัวนักเตะรายนี้ในช่วงตลาดซื้อขายเดือนมกราคมเปิดทำการ โดยในช่วงนั้นอาร์เซนอลกำลังมองหาตัวแทนของแด็นนิส แบร์คกัมป์ อยู่พอดีด้วย แต่ทั้งสองฝ่ายกลับไม่สามารถเจรจากันได้อย่างราบรื่นจนไม่ได้ข้อสรุปในที่สุด อย่างไรก็ตาม 5 เดือนต่อมาการซื้อขายนักเตะรายนี้ก็ประสบผลสำเร็จ โดยอาร์เซนอลคว้าตัวดาวยิงรายนี้ไปด้วยราคา 2.75 ล้านปอนด์ ซึ่งน้อยกว่าที่ไฟเยอโนร์ดตั้งไว้คือ 5 ล้านปอนด์ถึงเกือบครึ่ง[11][14]
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 2004 ฟัน แปร์ซีได้เซ็นสัญญาฉบับแรกกับอาร์เซนอล มีระยะเวลาของสัญญา 4 ปี[15] อาร์แซน แวงแกร์ ผู้จัดการทีมตั้งใจว่าจะโยกแปร์ซีจากตำแหน่งปีกซ้ายมาเล่นศูนย์หน้า ซึ่งฟัน แปร์ซีก็ทำหน้าที่นี้เคียงข้างตีแยรี อ็องรี ได้เป็นอย่างดี[16] แวงแกร์อธิบายการตัดสินใจครั้งนี้ว่า"เขาสามารถเล่นเป็นปีกซ้ายได้ และยังเล่นในตำแหน่งกองหน้าตัวหลังหรือกองหน้าตัวเป้าได้เนื่องจากเป็นนักเตะที่มีความคิดสร้างสรรค์สูง"[17] อย่างไรก็ตาม โอกาสที่เขาจะได้เล่นศูนย์หน้าก็ถูกจำกัดลงเนื่องจากอาร์เซนอลได้เซ็นสัญญากับโคเซ อันโตนีโอ เรเยส กองหน้าทีมชาติสเปนมาร่วมทีมเมื่อเดือนมกราคม[18] ซึ่งเขาต้องแย่งตำแหน่งตัวจริงกับเรเยสตลอดเวลา ฟัน แปร์ซีได้ประเดิมสนามครั้งแรกด้วยการถูกส่งลงมาจากม้านั่งสำรองในเกมคอมมิวนิตีชิลด์ที่ชนะแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 3-1 และคว้าแชมป์รายการนี้ไปครองเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม ค.ศ. 2004[19] หลังจากนั้น ฟัน แปร์ซีก็นั่งบนม้านั่งสำรองเสียส่วนใหญ่ในฤดูกาล 2004-2005 และในวันที่ 27 ตุลาคมปีเดียวกันนี้ เขาก็ยิงประตูแรกในสีเสื้อของอาร์เซนอล โดยการยิงเบิกร่องในเกมลีกคัพที่พบกับแมนเชสเตอร์ซิตี และสามารถเอาชนะไปได้ 2-1
เมื่อเริ่มต้นพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2005-2006 รูปแบบการเล่นของฟัน แปร์ซี ก็เริ่มดีขึ้น ทำให้เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดีเด่นประจำเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2005 ด้วยการยิงประตูไปถึง 8 ประตู ใน 8 เกม และเขาก็ได้ตอบแทนให้สโมสรด้วยการเซ็นสัญญาเป็นเวลา 5 ปี ไปจนถึงวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 2011 และต่อมาสองวันจากการเซ็นสัญญาของฟัน แปร์ซี เขาได้รับอาการบาดเจ็บอีกครั้งในนัดแข่งเอฟเอคัพกับสโมสรฟุตบอลคาร์ดิฟฟ์ซิตี
เมื่อพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2006-2007 เปิดตัวขึ้น ฟัน แปร์ซี ได้โชว์ฟอร์มอย่างดี โดยได้ซัดลูกวอลเลย์กลางอากาศในนัดที่เจอกับชาร์ลตันแอทเลติก ที่แวงแกร์เรียกว่า "ประตูของชีวิต" ภายหลัง บีบีซีสปอร์ตได้บันทึกลงเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนกันยายน และต่อมา ฟัน แปร์ซีได้รับรางวัลนักกีฬายอดเยี่ยมประจำปีแห่งเมืองโรตเตอร์ดัม
โรบิน ฟัน แปร์ซี เป็นดาวซัลโวของพรีเมียร์ลีกในฤดูกาลที่ผ่านมา จึงได้ย้ายไปร่วมกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และได้แชมป์พรีเมียร์ลีกเป็นครั้งแรก[20]
ในฤดูกาลนี้ ฟัน แปร์ซี มีอาการบาดเจ็บรบกวนตลอดประกอบกับอายุมากที่ขึ้น ทำให้ประสิทธิภาพการเล่นถดถอยลง และเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลจึงได้ย้ายไปเฟแนร์บาห์เช เช่นเดียวกับ นานี เพื่อนร่วมสโมสรที่ได้ย้ายไปก่อนหน้านั้น[21]
โรบิน ฟัน แปร์ซี ได้ย้ายมาเฟแนร์บาห์เชด้วยค่าตัวประมาณ 4.7 ล้านปอนด์ (ประมาณ 235 ล้านบาท) และสัญญาเป็นระยะเวลา 3 ปี[21]
ในพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2011–12 ฟัน แปร์ซีสามารถเล่นได้อย่างโดดเด่นในฐานะกัปตันทีมและศูนย์หน้า สามารถยิงประตูได้มากที่สุดในลีก คือ 30 ประตู จนเป็นดาวซัลโว ทำให้ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอและรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษไปครอง[22] [23]
สโมสร | ฤดูกาล | ลีก | เนชันเนลคัพ | ลีกคัพ | ยุโรป | อื่น ๆ | รวม | |||||||
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
ดิวิชัน | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ลงเล่น | ประตู | ||
ไฟเยอโนร์ด | 2001–02 | เอเรอดีวีซี | 10 | 0 | 0 | 0 | — | 7[lower-alpha 1] | 0 | — | 17 | 0 | ||
2002–03 | เอเรอดีวีซี | 23 | 8 | 3 | 7 | — | 2[lower-alpha 2] | 0 | — | 28 | 15 | |||
2003–04 | เอเรอดีวีซี | 28 | 6 | 2 | 0 | — | 3[lower-alpha 3] | 0 | — | 33 | 6 | |||
รวม | 61 | 14 | 5 | 7 | — | 12 | 0 | — | 78 | 21 | ||||
อาร์เซนอล | 2004–05 | พรีเมียร์ลีก | 26 | 5 | 5 | 3 | 3 | 1 | 6[lower-alpha 2] | 1 | 1[lower-alpha 4] | 0 | 41 | 10 |
2005–06 | พรีเมียร์ลีก | 24 | 5 | 2 | 0 | 4 | 4 | 7[lower-alpha 2] | 2 | 1[lower-alpha 4] | 0 | 38 | 11 | |
2006–07 | พรีเมียร์ลีก | 22 | 11 | 1 | 0 | 0 | 0 | 8[lower-alpha 2] | 2 | — | 31 | 13 | ||
2007–08 | พรีเมียร์ลีก | 15 | 7 | 0 | 0 | 1 | 0 | 7[lower-alpha 2] | 2 | — | 23 | 9 | ||
2008–09 | พรีเมียร์ลีก | 28 | 11 | 6 | 4 | 0 | 0 | 10[lower-alpha 2] | 5 | — | 44 | 20 | ||
2009–10 | พรีเมียร์ลีก | 16 | 9 | 0 | 0 | 0 | 0 | 4[lower-alpha 2] | 1 | — | 20 | 10 | ||
2010–11 | พรีเมียร์ลีก | 25 | 18 | 2 | 1 | 3 | 1 | 3[lower-alpha 2] | 2 | — | 33 | 22 | ||
2011–12 | พรีเมียร์ลีก | 38 | 30 | 2 | 2 | 0 | 0 | 8[lower-alpha 2] | 5 | — | 48 | 37 | ||
รวม | 194 | 96 | 18 | 10 | 11 | 6 | 53 | 20 | 2 | 0 | 278 | 132 | ||
แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด[25] | 2012–13 | พรีเมียร์ลีก | 38 | 26 | 4 | 1 | 0 | 0 | 6[lower-alpha 2] | 3 | — | 48 | 30 | |
2013–14 | พรีเมียร์ลีก | 21 | 12 | 0 | 0 | 0 | 0 | 6[lower-alpha 2] | 4 | 1[lower-alpha 4] | 2 | 28 | 18 | |
2014–15 | พรีเมียร์ลีก | 27 | 10 | 2 | 0 | 0 | 0 | — | — | 29 | 10 | |||
รวม | 86 | 48 | 6 | 1 | 0 | 0 | 12 | 7 | 1 | 2 | 105 | 58 | ||
เฟแนร์บาห์แช | 2015–16 | ซือเปร์ลีก | 31 | 16 | 5 | 5 | — | 12[lower-alpha 5] | 1 | — | 48 | 22 | ||
2016–17 | ซือเปร์ลีก | 24 | 9 | 4 | 4 | — | 7[lower-alpha 6] | 1 | — | 35 | 14 | |||
2017–18 | ซือเปร์ลีก | 2 | 0 | 0 | 0 | — | 2[lower-alpha 6] | 0 | — | 4 | 0 | |||
รวม | 57 | 25 | 9 | 9 | 0 | 0 | 21 | 2 | — | 87 | 36 | |||
ไฟเยอโนร์ด | 2017–18 | เอเรอดีวีซี | 12 | 5 | 2 | 2 | — | — | — | 14 | 7 | |||
2018–19 | เอเรอดีวีซี | 25 | 16 | 4 | 2 | — | 1[lower-alpha 6] | 0 | 1[lower-alpha 7] | 0 | 31 | 18 | ||
รวม | 37 | 21 | 6 | 4 | — | 1 | 0 | 1 | 0 | 45 | 25 | |||
รวมอาชีพ | 435 | 204 | 44 | 31 | 11 | 6 | 99 | 29 | 4 | 2 | 593 | 272 |
ทีมชาติ | ปี | ลงแข่ง | ประตู |
---|---|---|---|
เนเธอร์แลนด์ | 2005 | 7 | 1 |
2006 | 12 | 6 | |
2007 | 4 | 0 | |
2008 | 10 | 5 | |
2009 | 8 | 2 | |
2010 | 11 | 5 | |
2011 | 9 | 6 | |
2012 | 10 | 6 | |
2013 | 10 | 10 | |
2014 | 15 | 8 | |
2015 | 5 | 1 | |
2016 | 0 | 0 | |
2017 | 1 | 0 | |
รวม | 102 | 50 |
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Every time you click a link to Wikipedia, Wiktionary or Wikiquote in your browser's search results, it will show the modern Wikiwand interface.
Wikiwand extension is a five stars, simple, with minimum permission required to keep your browsing private, safe and transparent.