คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ฟุตบอลทีมชาติสเปน
ฟุตบอลชายทีมชาติตัวแทนประเทศสเปน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ฟุตบอลทีมชาติสเปน (สเปน: Selección Española de Fútbol) เป็นทีมฟุตบอลประจำประเทศสเปน อยู่ภายใต้การควบคุมและเป็นตัวแทนของราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนในการแข่งขันระหว่างประเทศ ทีมชาติสเปนก่อตั้งทีมและลงแข่งขันระดับนานาชาติครั้งแรกใน ค.ศ. 1920
สเปนเป็นหนึ่งในชาติที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในทวีปยุโรป โดยเป็นหนึ่งในแปดชาติที่เคยคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกจากการชนะเลิศฟุตบอลโลก 2010 และมีส่วนร่วมในการแข่งขันฟุตบอลโลก 16 ครั้งจากจำนวน 22 ครั้ง และเข้าร่วมอย่างต่อเนื่องทุกครั้งตั้งแต่ฟุตบอลโลก 1978 ถึงครั้งล่าสุด สเปนเป็นเจ้าของสถิติชนะเลิศฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 4 สมัย และยังเป็นทีมชนะเลิศทีมล่าสุดใน ค.ศ. 2024 และมีส่วนร่วมในการแข่งขัน 12 ครั้งจาก 17 ครั้ง จากการชนะเลิศรายการยูฟ่าเนชันส์ลีก 2023 ทำให้สเปนกลายเป็นทีมที่สอง (ต่อจากฝรั่งเศส) ที่ชนะเลิศการแข่งขันสามรายการหลัก (ฟุตบอลโลก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และยูฟ่าเนชันส์ลีก)
สเปนประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงปลายทศวรรษ 2000 โดยชนะเลิศการแข่งขันสามรายการติดต่อกัน ได้แก่ ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008, ฟุตบอลโลก 2010 และฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 กลายเป็นทีมแรกของโลกที่ชนะการแข่งขันรายการเมเจอร์สามรายการติดต่อกัน ทีมชุดนั้นยังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในทีมชาติที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์การแข่งขันนานาชาติ[4][5][6][7][8] และเป็นทีมแรกจากยุโรปที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกนอกทวีปยุโรปได้จากการคว้าแชมป์ที่ประเทศแอฟริกาใต้ สเปนได้รับการจัดอันดับโลกฟีฟ่าในฐานะทีมที่ดีที่สุดในโลกระหว่าง ค.ศ. 2008–2013 ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองตลอดกาลของฟีฟ่าเป็นรองเพียงบราซิล[9] สเปนยังเคยครองสถิติไม่แพ้ทีมใดติดต่อกันมากที่สุด 35 นัดตั้งแต่ ค.ศ. 2007 จนถึงการแข่งขันฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2009 ซึ่งเคยเป็นสถิติสูงสุดเท่ากับบราซิล และสเปนเป็นหนึ่งในสองชาติ (ร่วมกับเยอรมนี) ที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกทั้งในประเภททีมชายและทีมหญิง[10]
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง
ก่อตั้งทีม และความสำเร็จในยุคแรก

สเปนเป็นสมาชิกของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ (ฟีฟ่า) มาตั้งแต่ ค.ศ. 1904 ซึ่งเป็นปีก่อตั้งฟีฟ่า แม้ราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนจะมีประวัติก่อตั้งใน ค.ศ. 1909 (ในฐานะ สหพันธ์สโมสรฟุตบอลสเปน) ทว่าทีมชาติสเปนมีการก่อตั้งอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1920 โดยมีจุดประสงค์เพื่อรวบรวมผู้เล่นไปแข่งขันฟุตบอลในโอลิมปิกฤดูร้อน 1920 ณ เมืองแอนท์เวิร์ป ประเทศเบลเยียม การแข่งขันนัดแรกของสเปนเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 28 สิงหาคมพบทีมชาติเดนมาร์กซึ่งคว้าเหรียญเงินในการแข่งขันสองครั้งหลังสุด สเปนเอาชนะไปด้วยผลประตู 1–0 และผลงานในครั้งนั้นคือคว้าเหรียญเงิน ต่อมา พวกเขาลงแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกในฟุตบอลโลก 1934 แม้จะเริ่มต้นด้วยการชนะบราซิล แต่ต้องยุติเส้นทางไว้ที่รอบก่อนรองชนะเลิศโดยแพ้อิตาลี[11]
สงครามกลางเมืองสเปนและสงครามโลกครั้งที่สองทำให้สเปนไม่ได้มีส่วนร่วมในการแข่งขันใด ๆ จนกระทั่งถึงฟุตบอลโลก 1950 รอบคัดเลือก และสเปนมีผลงานที่ดีที่สุดในฟุตบอลโลกขณะนั้น พวกเขาจบอันดับหนึ่งของกลุ่มและคว้าอันดับสี่ในการแข่งขัน[12] ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดของสเปนมายาวนานหลายทศวรรษจนถึงฟุตบอลโลก 2010 ซึ่งพวกเขาคว้าแชมป์โลกครั้งแรก[13] สเปนประสบความสำเร็จในรายการสำคัญครั้งแรกในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1964 ในฐานะเจ้าภาพ ด้วยการเอาชนะสหภาพโซเวียต 2–1 ผู้ทำประตูชัยในช่วงท้ายเกมได้แก่ มาร์เซลิโน มาร์ตีเนซ ณ สนามกีฬาซานเตียโก เบร์นาเบว ทว่าก็เป็นความสำเร็จเพียงรายการเดียวในศตวรรษที่ 20 และพวกเขาต้องรอถึง 44 ปีในการกลับมาคว้าแชมป์รายการนี้อีกครั้งในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008
สเปนเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 1982 แต่ตกรอบที่สอง และในฟุตบอลโลก 1986 สเปนเข้าถึงรอบแปดทีมสุดท้ายและแพ้จุดโทษเบลเยียม[14] สเปนเกือบจะคว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรปได้เป็นสมัยที่สองใน ค.ศ. 1984 แต่พวกเขาแพ้ฝรั่งเศสในรอบชิงชนะเลิศด้วยผลประตู 0–2 ณ ปาร์กเดแพร็งส์ สเปนเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศอีกครั้งในฟุตบอลโลก 1994 ที่สหรัฐอเมริกา ผ่านรอบแบ่งกลุ่มในฐานะทีมอันดับสองด้วยการมีห้าคะแนน ตามด้วยการชนะสวิตเซอร์แลนด์ในรอบต่อมา ก่อนจะแพ้อิตาลี 1–2 ในนัดนี้มีเหตุการณ์สำคัญเมื่อ เมาโร ทัสซ็อตตี กองหลังอิตาลีเจตนาเล่นนอกเกมด้วยการใช้ข้อศอกทำร้ายลุยส์ เอนริเกในกรอบเขตโทษ และเอนริเกได้รับบาดเจ็บโดยมีเลือดออกปากและจมูก แต่ผู้ตัดสินขางฮังการี ซานดอร์ พูล์ ไม่ได้ให้ฟาวล์ ซึ่งเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ได้รับการวิจารณ์ถึงการตัดสินมากที่สุดในฟุตบอลโลก[15]
ถัดมาในฟุตบอลโลก 2002 ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ สเปนผ่านรอบแบ่งกลุ่มด้วยการชนะสามนัดรวด และทำได้ถึงเก้าประตู จากการชนะสโลวีเนีย ปารากวัย และแอฟริกาใต้ ผู้เล่นตัวหลักในชุดนั้นคือ ราอุล กอนซาเลซ, อิเกร์ กาซิยัส และกัปตันทีมอย่างเฟร์นันโด อิเอร์โร ตามด้วยการเอาชนะไอร์แลนด์ในรอบต่อมาจากการดวลจุดโทษ (3–2) หลังจากเสมอกัน 1–1 แต่พวกเขาแพ้ต่อเกาหลีใต้ทีมเจ้าภาพในรอบต่อมา ซึ่งเป็นหนึ่งในการแข่งขันที่ได้รับการวิจารณ์ถึงความเป็นกลางในการตัดสินมากที่สุดในประวัติศาสตร์ ผู้เล่นสเปนทำประตูได้ถึงสองครั้งแต่ถูกปฏิเสธ เกมจบลงโดยไม่มีประตูและสเปนเป็นฝ่ายแพ้ในการดวลจุดโทษ (3–5)[16] สเปนไม่ประสบความสำเร็จในการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 โดยตกรอบแบ่งกลุ่มแม้จะมีสี่คะแนนเท่ากับกรีซ และทั้งสองทีมยังมีจำนวนประตูได้-เสียเท่ากัน แต่สเปนยิงประตูได้น้อยกว่าจึงตกรอบ ถัดมาในฟุตบอลโลก 2006 ที่เยอรมนี สเปนเข้ารอบในฐานะแชมป์กลุ่ม ชนะรวดสามนัดรวมถึงชนะยูเครนในนัดแรกถึง 4–0 แต่พวกเขาตกรอบต่อมาโดยแพ้ฝรั่งเศส 1–3
ยุคทอง และหนึ่งในทีมที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์
แชมป์เมเจอร์สามรายการ (2008–2012)

แม้จะทำผลงานครั้งแรก ๆ ได้ไม่ดีนักเมื่อเริ่มต้นแข่งขันรอบคัดเลือกตั้งแต่ปี 2006 แต่สเปนก็สามารถผ่านเข้ามาในรอบแบ่งกลุ่มของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 ได้สำเร็จ ในช่วงนี้เองเกิดความไม่ลงรอยกันระหว่างผู้จัดการทีมลุยส์ อาราโกเนสกับสื่อมวลชนสเปน ครั้งแรกในเรื่องผลการแข่งขันที่ผ่านมาซึ่งย่ำแย่ และครั้งที่สองในเรื่อง "ข่าว" ความขัดแย้งกับอดีตกัปตันทีมชาติราอุล กอนซาเลซ[17]
ในการแข่งขันรอบแบ่งกลุ่ม สเปนอยู่ในกลุ่มดีร่วมกับสวีเดน กรีซ และรัสเซีย ในนัดแรกที่พบกับรัสเซีย สเปนชนะไป 4–1 โดยได้ 3 ประตูจากดาบิด บิยา และอีก 1 ประตูจากแซ็สก์ ฟาบรากัส ในนัดที่สองที่พบกับสวีเดน สเปนเอาชนะได้ด้วยผลประตู 2–1 จากการยิงของเฟร์นันโด ตอร์เรสและบิยา และในนัดสุดท้ายที่พบกับแชมป์เก่ากรีซ สเปนเอาชนะได้เช่นกัน 2–1 โดยได้ประตูจากรูเบน เด ลา เรด และดานี กวีซา ด้วยชัยชนะทั้งสามครั้งรวดทำให้สเปนอยู่ในอันดับหนึ่งของกลุ่ม และต้องไปพบกับอิตาลีในรอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งสเปนสามารถยิงจุดโทษเอาชนะไปได้ 4–2 หลังจากต่อเวลาพิเศษเสมอกัน 0–0
สเปนลงแข่งในรอบรองชนะเลิศกับรัสเซียเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 26 มิถุนายน และเอาชนะไป 3–0 ซึ่งเป็นประตูที่ยิงได้ในครึ่งหลังทั้งหมดจากชาบี อาร์นันดัส, ดานี กวีซา และดาบิด ซิลบา ผ่านเข้าไปเล่นในรอบชิงชนะเลิศได้เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี อย่างไรก็ตาม สเปนก็ต้องขาดบิยากองหน้าคนสำคัญไปเพราะได้รับบาดเจ็บในนัดที่แข่งกับรัสเซีย ในวันที่ 29 มิถุนายน สเปนพบกับเยอรมนีซึ่งชนะตุรกีมาด้วยผลประตู 3–2 ในนัดนี้ เฟร์นันโด ตอร์เรสทำประตูให้สเปนขึ้นนำเยอรมนีได้ในนาทีที่ 33 โดยไม่มีฝ่ายใดทำประตูเพิ่ม ทำให้สเปนได้ครองแชมป์การแข่งขันใหญ่อีกครั้งหลังจากว่างเว้นไปถึง 44 ปี โดยเป็นแชมป์สมัยที่สอง
ในฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้เป็นเจ้าภาพ ก่อนการแข่งขันสเปนถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ที่จะคว้าแชมป์ได้ แต่เมื่อได้แข่งนัดแรกแล้ว สเปนกลับเป็นฝ่ายพลิกล็อกแพ้สวิตเซอร์แลนด์ไป 0–1 แต่หลังจากนั้นสเปนก็ทำผลงานดีขึ้นมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งเข้าไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ[18] ในรอบชิงชนะเลิศ สเปนเป็นฝ่ายเอาชนะเนเธอร์แลนด์ ที่ชนะมาทุกรอบได้ไป 1–0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ หลังจากเสมอมาในเวลาปกติ 0–0 จากการยิงประตูของอันเดรส อีเนียสตา ในนาทีที่ 116 ทำให้สเปนได้ครองแชมป์โลกเป็นครั้งแรก และเป็นทีมจากทวีปยุโรปทีมแรกที่คว้าแชมป์โลกได้นอกทวีปของตนเอง และเป็นทีมแรกที่แพ้ก่อนในนัดแรกแต่พลิกกลับมาเป็นแชมป์ได้ในที่สุด[19][20] ผู้รักษาประตูอย่างกาซียัสได้รับรางวัลผู้รักษาประตูยอดเยี่ยม โดยเสียไปเพียงสองประตูตลอดการแข่งขัน ดาบิด บิยา เป็นหนึ่งในผู้เล่นที่ทำประตูสูงสุดในการแข่งขัน
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 สเปนลงแข่งขันในฐานะทีมเต็งแชมป์อีกครั้ง พวกเขาอยู่กลุ่มซีและเข้ารอบเป็นทีมอันดับหนึ่งด้วยผลงานชนะสองและเสมอหนึ่งนัด ตามด้วยการชนะฝรั่งเศสในรอบแปดทีมสุดท้ายด้วยผลประตู 2–0 และเอาชนะจุดโทษโปรตุเกส (4–2) หลังเสมอกันในช่วงต่อเวลา 0–0 และในรอบชิงชนะเลิศพวกเขาเอาชนะอิตาลีขาดลอย 4–0 หลังจากทั้งสองทีมเสมอกัน 1–1 ในรอบแบ่งกลุ่ม โดยในนัดนี้สเปนยิงนำ 2–0 ตั้งแต่ครึ่งเวลาแรกจากดาบิด ซิลบา และ ฌอร์ดี อัลบา ตามด้วยสองประตูในครึ่งหลังจากเฟร์นันโด ตอร์เรส และ ฆวน มาตา คว้าแชมป์เป็นสมัยที่สาม เป็นสถิติสูงสุดของยุโรปเท่ากับเยอรมนี สเปนเข้ารอบชิงชนะเลิศฟีฟ่าคอนเฟเดอเรชันส์คัพ 2013 แต่แพ้ทีมเจ้าภาพอย่างบราซิล 0–3[21]
ความล้มเหลว (2014–2018)
ในฟุตบอลโลก 2014 ที่บราซิลเป็นเจ้าภาพ สเปนในฐานะแชมป์เก่าอยู่กลุ่มบีร่วมกับ เนเธอร์แลนด์, ชิลี และออสเตรเลีย ในนัดแรก สเปนแพ้เนเธอร์แลนด์ไปถึง 1–5 ซึ่งนับเป็นผลการแข่งขันที่สเปนแพ้มากที่สุดเป็นอันดับสองในประวัติศาสตร์ทีม[22] ตามด้วยการแพ้ต่อชิลี 0–2 ทำให้ตกรอบแรกทันที โดยไม่ต้องรอผลการแข่งขันนัดสุดท้ายกับออสเตรเลีย ถือว่าสเปนเป็นทีมแชมป์เก่าที่ตกรอบแรกฟุตบอลโลกเป็นทีมที่ 4 ต่อจาก อิตาลี ในฟุตบอลโลก 1950, บราซิล ในฟุตบอลโลก 1966 และ ฝรั่งเศส ในฟุตบอลโลก 2002[23]
สเปนในฐานะแชมป์เก่าฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป และแชมป์สองสมัยติดต่อกันลงแข่งขันในปี 2016 ได้ลงเล่นในกลุ่มดีร่วมกับโครเอเชีย, สาธารณรัฐเช็ก และตุรกี โดยก่อนการแข่งขันถูกยกให้เป็นทีมเต็งสามที่จะได้แชมป์[24] สเปนผ่านเข้าสู่รอบ 16 ทีมสุดท้ายด้วยการเป็นอันดับสองของกลุ่ม เนื่องจากนัดสุดท้ายแพ้โครเอเชีย 1–2[25] แต่ต้องตกรอบเมื่อแพ้อิตาลีซึ่งเป็นคู่ชิงชนะเลิศเมื่อครั้งที่แล้ว 2–0[26] ทำให้ บีเซนเต เดล โบสเก หัวหน้าผู้ฝึกสอนประกาศลาออก[27] ซึ่งราชสหพันธ์ฟุตบอลสเปนได้ประกาศแต่งตั้งยูเลน โลเปเตกี ที่เคยพาทีมชาติสเปนรุ่นอายุไม่เกิน 19 และ 21 ปีคว้าแชมป์ยุโรปเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนคนใหม่[28] สเปนผ่านเข้ารอบที่สองฟุตบอลโลก 2018 ด้วยการมีห้าคะแนน โดยเสมอโปรตุเกสในนัดแรกด้วยผลประตู 3–3 แต่พวกเขาแพ้จุดโทษเจ้าภาพอย่างรัสเซียในรอบต่อมา หลังจากเสมอกัน 1–1
แชมป์ฟุตบอลยุโรปสมัยที่ 4 (2020–ปัจจุบัน)
ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2020 สเปนมีผลงานไม่สู้ดีนักในรอบแบ่งกลุ่มโดยชนะเพียงนัดเดียว แต่พวกเขายังผ่านเข้ารอบต่อไปและเอาชนะโครเอเชีย ตามด้วยการชนะจุดโทษทีมม้ามืดอย่างสวิตเซอร์แลนด์ แต่ต้องยุติเส้นทางไว้ที่รอบรองชนะเลิศโดยแพ้จุดโทษอิตาลีหลังเสมอกัน 1–1[29] ต่อมาในยูฟ่าเนชันส์ลีก 2021 รอบชิงชนะเลิศ สเปนแพ้ฝรั่งเศส 1–2[30] และพวกเขาล้มเหลวในฟุตบอลโลก 2022 อีกครั้งโดยแพ้จุดโทษโมร็อกโกในรอบที่สอง ถือเป็นการตกรอบการแข่งขันรายการใหญ่ด้วยการแพ้จุดโทษสามรายการติดต่อกันตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2018
ต่อมา สเปนมีการเปลี่ยนแปลงทีม เมื่อผู้เล่นแกนหลักที่อายุมากหลายรายเลิกเล่นอาชีพ สเปนภายใต้ผู้ฝึกสอนอย่างลุยส์ เด ลา ฟูเอนเต สร้างทีมใหม่โดยเน้นผู้เล่นอายุน้อย เช่น เฟร์รัน ตอร์เรส, กาบิ, อูไน ซิมอน และ อันซู ฟาตี มีผลงานคือการชนะเลิศยูฟ่าเนชันส์ลีก 2023 โดยเอาชนะจุดโทษโครเอเชียในรอบชิงชนะเลิศ ในส่วนของการแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบคัดเลือก กลุ่มเอ สเปนผ่านเข้าไปเล่นรอบสุดท้ายจากผลงานชนะ 7 และ แพ้ 1 นัด ยิงไปถึง 25 ประตู สเปนจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2030 ร่วมกับโปรตุเกสและโมร็อกโก ถือเป็นครั้งที่สองที่ได้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก
สเปนทำผลงานยอดเยี่ยมในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 พวกเข้าผ่านเข้ารอบแพ้คัดออกในฐานะอันดับหนึ่งโดยไม่เสียประตู ตามด้วยการเอาชนะจอร์เจียในรอบ 16 สุดท้ายด้วยผลประตู 4–1[31] สเปนเอาชนะเจ้าภาพอย่างเยอรมนีในรอบก่อนรองชนะเลิศ และฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศด้วยผลประตู 2–1[32] ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 5 พร้อมทั้งสร้างสถิติไม่แพ้ทีมใด 6 นัดติดต่อกันก่อนถึงรอบชิงชนะเลิศ[33] พวกเขาเอาชนะอังกฤษด้วยผลประตู 2–1 คว้าแชมป์เป็นสมัยที่ 4 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุด โดยก่อนหน้านี้สเปนครองสถิติร่วมกับเยอรมนีในการคว้าแชมป์ 3 สมัย[34] สเปนยังทำสถิติใหม่สองรายการคือการชนะรวดทั้ง 7 นัดในการแข่งขันและทำได้ถึง 15 ประตู[35][36]
สเปนลงแข่งขันยูฟ่าเนชันส์ลีก ฤดูกาล 2024–25 ในเดือนกันยายน ค.ศ. 2024 โดยอยู่ร่วมกลุ่มกับเดนมาร์ก, เซอร์เบีย และ สวิตเซอร์แลนด์ สเปนเข้าสู่รอบ 8 ทีมจากผลงานชนะ 5 นัด และเสมอ 1 นัด เข้าไปพบกับเนเธอร์แลนด์ในเดือนมีนาคม 2025 สเปนเอาชนะจากการดวลจุดโทษในนัดที่สอง 5–4 หลังจากเสมอกันด้วยผลประตูรวมสองนัด 5–5 ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศไปพบฝรั่งเศสในเดือนมิถุนายน[37] สเปนผ่านฝรั่งเศสโดยเอาชนะได้ 5–4 แต่แพ้จุดโทษโปรตุเกสในรอบชิงชนะเลิศหลังจากเสมอกันในเวลา 2–2 อย่างไรก็ตาม ทีมชุดนี้ยังได้รับเสียงชื่นชมต่อเนื่อง จากการเอาชนะฝรั่งเศสในรอบรองชนะเลิศทำให้พวกเขาไม่แพ้ทีมใดในการแข่งทางการ 23 นัดติดต่อกัน นับเป็นสถิติที่ดีที่สุดอันดับ 2 ตลอดกาลของพวกเขา และทีมนี้ยังถูกนำไปเปรียบเทียบกับทีมใน "ยุคทอง" ที่ประสบความสำเร็จในทศวรรษที่แล้ว[38] ความพ่ายแพ้ครั้งล่าสุดของสเปนต้องย้อนกลับไปในในเดือนมีนาคม 2023 โดยแพ้สกอตแลนด์ในฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2024 รอบคัดเลือก กลุ่มเอ[39] สเปนลงแข่งขันฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนยุโรป – กลุ่มอี ร่วมกับจอร์เจีย, ตุรกี และบัลแกเรีย
Remove ads
ภาพลักษณ์ทีม
สเปนเป็นที่รู้จักกันในฉายา "La Furia Española"[40] และฉายาซึ่งเป็นที่นิยมมากกว่าคือ "La Furia Roja" มาจากคำที่ชาวอิตาลีเป็นผู้คิดขึ้น และนำมาใช้เรียกทีมชาตินี้ว่า "Furia Rossa"[41] คำว่า "ฟูเรีย" (ความดุเดือด, ความโมโหร้าย) มาจากรูปแบบการเล่นที่รุนแรงของนักฟุตบอลสเปน ต่อมาก็ถูกนำมาใช้เรียกเหตุการณ์การปล้นเมืองแอนต์เวิร์ปของสเปนในสงครามแปดสิบปี ซึ่งเป็นตำนานมืดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์การทหารของสเปนด้วย ส่วน "รอสซา" (สีแดง) มาจากสีเสื้อทีม สำหรับในประเทศไทยสเปนมีฉายาว่า "กระทิงดุ"
Remove ads
ผู้เล่น
สรุป
มุมมอง
ผู้เล่นชุดปัจจุบัน
รายชื่อผู้เล่น 26 คนที่ถูกเรียกตัวในการแข่งขัน ฟุตบอลโลก 2022[42]
ข้อมูลการลงเล่นและการทำประตูนับถึงวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2565 หลังจากการพบกับโปรตุเกส
Remove ads
สถิติ
สรุป
มุมมอง
ผู้เล่นที่ลงเล่นมากที่สุด

ข้อมูลเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2024
ผู้เล่นที่ทำประตูมากที่สุด

ข้อมูลเมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2024
สถิติโลกใหม่ ชนะรวด 15 นัด ทำลายสถิติโลกมากที่สุด
เป็นสถิติชนะมากกว่าสถิติเดิมที่บราซิล ฝรั่งเศส และออสเตรเลีย ทำไว้ คือ ชนะติดต่อกัน 14 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่ฟีฟ่า (FIFA) บันทึกไว้
- นัดที่ 1 วันที่ 26 มิถุนายน 2551 สเปน ชนะ รัสเซีย 3-0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบรองชนะเลิศ
- นัดที่ 2 วันที่ 29 มิถุนายน 2551 สเปน ชนะ เยอรมนี 1-0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบชิงชนะเลิศ
- นัดที่ 3 วันที่ 20 สิงหาคม 2551 สเปน ชนะ เดนมาร์ก 3-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 4 วันที่ 6 กันยายน 2551 สเปน ชนะ บอสเนีย 1-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 5 วันที่ 10 กันยายน 2551 สเปน ชนะ อาร์มีเนีย 4-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 6 วันที่ 11 ตุลาคม 2551 สเปน ชนะ เอสโตเนีย 3-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 7 วันที่ 15 ตุลาคม 2551 สเปน ชนะ เบลเยียม 2-1 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 8 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 สเปน ชนะ ชิลี 3-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 9 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 สเปน ชนะ อังกฤษ 2-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 10 วันที่ 28 มีนาคม 2552 สเปน ชนะ ตุรกี 1-0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 11 วันที่ 1 เมษายน 2552 สเปน ชนะ ตุรกี 2-1 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก กลุ่ม 5
- นัดที่ 12 วันที่ 9 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ อาเซอร์ไบจาน 6-0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 13 วันที่ 14 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ นิวซีแลนด์ 5-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
- นัดที่ 14 วันที่ 17 มิถุนายน 2552สเปน ชนะ อิรัก 1-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
- นัดที่ 15 วันที่ 20 มิถุนายน 2552 สเปน ชนะ แอฟริกาใต้ 2-0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
สถิติโลกใหม่ เทียบเท่าทีมชาติบราซิล ไม่แพ้ทีมใด 35 นัดติดต่อกัน
- นัดที่ 1 วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2550 (2007) อังกฤษ ชนะ สเปน 0 - 1 กระชับมิตร
- นัดที่ 2 วันที่ 24 มีนาคม 2550 (2007) สเปน ชนะ เดนมาร์ก 2-1 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 3 วันที่ 28 มีนาคม 2550 (2007) สเปน ชนะ ไอซ์แลนด์ 1 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 4 วันที่ 2 มิถุนายน 2550 (2007) ลิทัวเนีย แพ้ สเปน 0-2 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 5 วันที่ 6 มิถุนายน 2550 (2007) ลิกเตนสไตน์ แพ้ สเปน 0 - 2 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 6 วันที่ 22 สิงหาคม 2550 (2007) กรีซ แพ้ สเปน 2 - 3 กระชับมิตร
- นัดที่ 7 วันที่ 8 กันยายน 2550 (2007) ไอซ์แลนด์ เสมอ สเปน 1 - 1 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 8 วันที่ 12 กันยายน 2550 (2007) สเปน ชนะ ลัตเวีย 2 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 9 วันที่ 13 ตุลาคม 2550 (2007) เดนมาร์ก แพ้ สเปน 1 - 3 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 10 วันที่ 17 ตุลาคม 2550 (2007) ฟินแลนด์ เสมอ สเปน 0 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 11 วันที่ 17 พฤศจิกายน 2550 (2007) สเปน ชนะ สวีเดน 3 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 12 วันที่ 21 พฤศจิกายน 2550 (2007) สเปน ชนะ ไอร์แลนด์เหนือ 1 - 0 ฟุตบอลยูโร รอบคัดเลือก
- นัดที่ 13 วันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2551 (2008) สเปน ชนะ ฝรั่งเศส 1 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 14 วันที่ 26 มีนาคม 2551 (2008) สเปน ชนะ อิตาลี 1 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 15 วันที่ 31 พฤษภาคม 2551 (2008) สเปน ชนะ เปรู 2 - 1 กระชับมิตร
- นัดที่ 16 วันที่ 4 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ สหรัฐอเมริกา 1 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 17 วันที่ 10 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ รัสเซีย 4 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 18 วันที่ 14 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ สวีเดน 2 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 19 วันที่ 18 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ กรีซ 2 - 1 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 20 วันที่ 22 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน เสมอ อิตาลี 0 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 21 วันที่ 26 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ รัสเซีย 3 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์
- นัดที่ 22 วันที่ 29 มิถุนายน 2551 (2008) สเปน ชนะ เยอรมนี 1 - 0 ฟุตบอลยูโร 2008 ออสเตรีย-สวิตเซอร์แลนด์ ชิงชนะเลิศ
- นัดที่ 23 วันที่ 20 สิงหาคม 2551 (2008) เดนมาร์ก แพ้ สเปน 0 - 3 กระชับมิตร
- นัดที่ 24 วันที่ 6 กันยายน 2551 (2008) สเปน ชนะ บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา 1 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 25 วันที่ 10 กันยายน 2551 (2008) สเปน ชนะ อาร์มีเนีย 4 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 26 วันที่ 11 ตุลาคม 2551 (2008) เอสโตเนีย แพ้ สเปน 3 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 27 วันที่ 15 ตุลาคม 2551 (2008) เบลเยียม แพ้ สเปน 1 - 2 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 28 วันที่ 19 พฤศจิกายน 2551 (2008) สเปน ชนะ ชิลี 3 - 0 กระชับมิตร
- นัดที่ 29 วันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2552 (2009) สเปน ชนะ อังกฤษ 2 - 0 ฟุตบอลกระชับมิตร
- นัดที่ 30 วันที่ 28 มีนาคม 2552 (2009) สเปน ชนะ ตุรกี 1 - 0 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 31 วันที่ 1 เมษายน 2552 (2009) ตุรกี แพ้ สเปน 1 - 2 ฟุตบอลโลก รอบคัดเลือก
- นัดที่ 32 วันที่ 9 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ อาเซอร์ไบจาน 6 - 0 ฟุตบอล นัดอุ่นเครื่อง
- นัดที่ 33 วันที่ 14 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ นิวซีแลนด์ 5 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
- นัดที่ 34 วันที่ 17 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ อิรัก 1 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
- นัดที่ 35 วันที่ 20 มิถุนายน 2552 (2009) สเปน ชนะ แอฟริกาใต้ 2 - 0 ฟุตบอลคอนเฟเดอเรชันส์คัพ ที่แอฟริกาใต้
Remove ads
อดีตผู้เล่นคนสำคัญ
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads