คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
โรคลำไส้แปรปรวน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
โรคลำไส้แปรปรวน[13] หรือ โรคไอบีเอส[14] (อังกฤษ: Irritable bowel syndrome ตัวย่อ IBS) เป็นความผิดปกติการทำงานของระบบทางเดินอาหาร เป็นกลุ่มอาการที่มักรวมถึงอาการปวดท้อง ท้องอืด และการเปลี่ยนแปลงในการขับถ่ายอุจจาระ[1] อาการจะเพิ่มขึ้น ๆ เป็นเวลานาน บางครั้งใช้เวลาหลายปี[2] ไอบีเอสอาจมีผลลบต่อคุณภาพชีวิต อาจทำให้ขาดเรียน ขาดงาน หรือลดประสิทธิภาพการทำงาน[15] ความผิดปกติอื่นต่าง ๆ เช่น โรควิตกกังวล โรคซึมเศร้า และอาการล้าเรื้อรัง (ME/CFS) พบได้บ่อยในคนไข้ไอบีเอส[1][16][17]
สาเหตุของโรคยังไม่ชัดเจน มีการเสนอปัจจัยต่าง ๆ ที่นำไปสู่โรค[2] ทฤษฎีต่าง ๆ รวมถึงปัญหาทางแกนลำไส้-สมอง (gut–brain axis[A]), การเปลี่ยนแปลงการเคลื่อนไหวของลำไส้, อวัยวะภายในที่ไวความรู้สึกเกิน, การติดเชื้อรวมถึงภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกิน (SIBO), สารสื่อประสาท, ปัจจัยทางพันธุกรรม และการแพ้อาหาร[2] อาจเริ่มเกิดอาการเนื่องกับเหตุการณ์เครียดในชีวิต[18] หรือกับการติดเชื้อในลำไส้[19] ในกรณีหลังนี้จะเรียกว่าโรคลำไส้แปรปรวนหลังติดเชื้อ (PI-IBS)[19]
การวินิจฉัยโรคจะขึ้นอยู่อาการซึ่งไม่มีสัญญาณเตือนโดยแยกโรคอื่น ๆ ที่เป็นไปได้ออกแล้ว[7] สัญญาณเตือนรวมการเริ่มมีอาการเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี, น้ำหนักลด, เลือดในอุจจาระ หรือมีประวัติครอบครัวเป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)[7] ภาวะอื่น ๆ ที่อาจมีอาการคล้ายกันได้แก่ โรคซีลิแอ็ก, ลำไส้อักเสบชนิด microscopic coliti, โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง, ภาวะการดูดซึมกรดน้ำดีผิดปกติ (BAM) และมะเร็งลำไส้ใหญ่[7]
การรักษามุ่งเน้นการบรรเทาอาการ ซึ่งอาจรวมการเปลี่ยนอาหาร การใช้ยา โปรไบโอติกส์ และการให้คำปรึกษา/จิตบำบัด[9][20] มาตรการด้านอาหารรวมถึงการเพิ่มบริโภคเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ หรือการรับประทานอาหารที่มีฟอดแมปส์[B]น้อย โดยมีเป้าหมายให้ใช้ในระยะสั้นจนถึงปานกลาง แต่ไม่ควรใช้ตลอดชีวิต[7][23][24] ยาโลเพราไมด์สามารถใช้ช่วยลดอาการท้องเสีย ในขณะที่ยาระบายใช้ช่วยในกรณีท้องผูก[7] มีหลักฐานการทดลองทางคลินิกที่ดีซึ่งสนับสนุนการใช้ยาแก้ซึมเศร้า มักใช้ในขนาดที่ต่ำกว่าที่ใช้ในโรคซึมเศร้าหรือโรควิตกกังวล แม้ในผู้ป่วยที่ไม่มีความผิดปกติทางอารมณ์เกิดร่วมด้วย ยาแก้ซึมเศร้าประเภทไตรไซคลิก เช่น amitriptyline หรือ nortriptyline และประเภท SSRI อาจช่วยให้อาการโดยรวมดีขึ้นและลดความเจ็บปวด[7] การให้ความรู้แก่ผู้ป่วยและความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแพทย์กับผู้ป่วยเป็นส่วนสำคัญของการดูแล[7][25]
เชื่อว่าประมาณ 10–15% ของประชากรในประเทศพัฒนาแล้วได้รับผลกระทบจากไอบีเอส[1][11] ความชุกโรคจะต่างกันในแต่ละประเทศ (ตั้งแต่ 1.1–45.0%) โดยขึ้นอยู่กับเกณฑ์วินิจฉัยว่าเป็นโรค อย่างไรก็ตาม ความชุกเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่ 11.2%[12] พบได้บ่อยในอเมริกาใต้และพบน้อยในเอเชียอาคเนย์[7] ในโลกตะวันตก พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึงสองเท่า และมักเกิดก่อนอายุ 45 ปี[1] อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงในเอเชียตะวันออกไม่ได้มีโอกาสเป็นมากกว่าผู้ชายจากภูมิภาคเดียวกัน ซึ่งบ่งชี้ว่าอัตราในผู้หญิงเอเชียตะวันออกต่ำกว่ามาก[26] ในทางกลับกัน ผู้ชายจากอเมริกาใต้ เอเชียใต้ และแอฟริกามีแนวโน้มเป็นไอบีเอสพอ ๆ กับผู้หญิง หรือมากกว่า[27] ภาวะนี้ดูเหมือนจะพบน้อยลงเมื่ออายุมากขึ้น[7] ไม่ส่งผลต่อความคาดหมายคงชีพ และไม่นำไปสู่โรคร้ายแรงอื่น ๆ[10]
มีการอธิบายภาวะนี้เป็นครั้งแรกในปี 1820 ส่วนการใช้คำว่า irritable bowel syndrome เริ่มตั้งแต่ปี 1944[28]
Remove ads
อาการ
อาการหลักของไอบีเอส ได้แก่ ปวดหรือไม่สบายท้องร่วมกับอาการท้องเสียหรือท้องผูกบ่อย และการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการขับถ่าย[29] อาการมักเกิดเป็นครั้งคราวแบบเฉียบพลันโดยบรรเทาลงภายในหนึ่งวัน แต่มักเกิดซ้ำอีก[30] อาจมีอาการปวดอยากถ่ายอุจจาระอย่างเร่งด่วน รู้สึกปวดเบ่งอุจจาระ (tenesmus) หรือท้องอืดร่วมด้วย[31] ในบางกรณี อาการจะบรรเทาลงหลังจากขับถ่าย[25]
มากกว่าคนทั่วไป ผู้ที่เป็นไอบีเอสมักมีอาการกรดไหลย้อน อาการเกี่ยวกับอวัยวะเพศและทางเดินปัสสาวะ ไฟโบรไมอัลเจีย ปวดศีรษะ ปวดหลัง และอาการทางจิตเวช เช่น ภาวะซึมเศร้า, ความผิดปกติของการนอนหลับ[32] และความวิตกกังวล[16][31] ประมาณ ⅓ ของผู้ใหญ่ที่เป็นไอบีเอสรายงานว่ามีปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มักเป็นการลดความต้องการทางเพศ[33]
Remove ads
สาเหตุ
สรุป
มุมมอง
แม้สาเหตุของไอบีเอสยังไม่ชัดเจน แต่เชื่อว่าแกนลำไส้-สมอง (gut–brain axis[A]) ทั้งระบบได้รับผลกระทบ[36][37]
ภูมิแพ้
งานวิจัยปี 2021 ชี้ว่า กลไกภูมิคุ้มกันนอกประสาทส่วนกลางที่ถูกกระตุ้นโดยภูมิแพ้อาจเป็นพื้นฐานของอาการปวดท้องในผู้ป่วยไอบีเอส[38] การศึกษาต่าง ๆ แสดงให้เห็นว่าผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยมีปฏิกิริยาเฉียบพลันที่เยื่อบุลำไส้ต่ออาหารบางชนิด ปฏิกิริยาซึ่งตรวจพบด้วยการรั่วของฟลูออเรสซีน (fluorescein leakage) และการหลุดลอกของเซลล์ขณะส่องกล้อง confocal endoscopy ทั้งสองเชื่อมโยงกับการบรรเทาอาการอย่างมีนัยสำคัญในผู้ป่วยมากกว่า 70% หลังจากปรับเปลี่ยนอาหารแบบเฉพาะบุคคล ซึ่งชี้ว่าปฏิกิริยาภูมิคุ้มกันเฉพาะที่และการทำงานของเยื่อกั้นที่บกพร่องนอกเหนือจากภูมิแพ้ที่เกิดจากอิมมูโนโกลบุลินอีทั่วไป อาจมีบทบาทในอาการไอบีเอส[39]
ปัจจัยเสี่ยง
ผู้ที่อายุน้อยกว่า 50 ปี, ผู้หญิง และผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคนี้ มีโอกาสเป็นไอบีเอสมากกว่า[40] ปัจจัยเสี่ยงเพิ่มได้แก่ ความวิตกกังวล ภาวะซึมเศร้า และความเครียด[41] ความเสี่ยงการเป็นโรคเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่าหลังจากติดเชื้อในทางเดินอาหาร (กระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ)[40] จึงเรียกได้ว่าเป็นไอบีเอสหลังติดเชื้อ (PI-IBS) ความเสี่ยงจะยิ่งเพิ่มขึ้นหากผู้ป่วยมีไข้สูงเป็นเวลานานระหว่างการเจ็บป่วย[42] ยาปฏิชีวนะดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเช่นกัน[43] ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดและการธำรงดุลเยื่อบุลำไส้ จะเพิ่มความเสี่ยงของทั้งไอบีเอสหลังติดเชื้อและไอบีเอสรูปแบบอื่น ๆ[44]
ความเครียด
บทบาทของแกนลำไส้–สมอง (gut–brain axis[A]) ในไอบีเอส ได้เสนอขึ้นตั้งแต่ช่วงทศวรรษ 1990[4] การถูกทารุณกรรมทางกายใจในวัยเด็กมักสัมพันธ์กับการเกิดไอบีเอส[6] เชื่อว่าความเครียดทางจิตใจอาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดไอบีเอสในผู้ที่เสี่ยงอยู่แล้ว[3]
เนื่องจากระดับความวิตกกังวลที่สูงในผู้ป่วยไอบีเอสและความซ้อนทับกับโรคต่าง ๆ เช่น ไฟโบรไมอัลเจียและอาการล้าเรื้อรัง จึงมีทฤษฎีว่า โรคอาจเกี่ยวกับความผิดปกติของระบบการตอบสนองต่อความเครียด ซึ่งเกี่ยวข้องกับแกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัลและระบบประสาทซิมพาเทติก โดยพบว่า ทำงานผิดปกติในผู้ป่วยไอบีเอส โรคทางจิตเวชหรือความวิตกกังวลมักเกิดขึ้นก่อนอาการไอบีเอสในผู้ป่วย ⅔ และลักษณะทางจิตใจมีส่วนทำให้ผู้ที่เดิมสุขภาพดีเสี่ยงการเป็นไอบีเอสหลังจากกระเพาะอาหารและลำไส้อักเสบ[45][46] ผู้ป่วยยังรายงานว่ามีปัญหาการนอนหลับในอัตราสูง เช่น หลับยากและตื่นบ่อยกลางดึก[47]
กระเพาะและลำไส้อักเสบ
ประมาณ 10% ของไอบีเอสเริ่มจากการเกิดกระเพาะและลำไส้อักเสบเฉียบพลัน[48] สารพิษ CdtB ที่แบคทีเรียผลิตจะทำให้กระเพาะและลำไส้อักเสบ โดยอาจเกิดภาวะภูมิต้านตนเองเมื่อสารภูมิต้านทานต่อต้าน CdtB ทำปฏิกิริยาข้ามพวกกับโปรตีนเนื้อเยื่อ-โครงร่างเซลล์คือ vinculin[49] ความผิดปกติทางพันธุกรรมที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกันโดยกำเนิดและการธำรงดุลเยื่อบุลำไส้ รวมถึงระดับความเครียดและความวิตกกังวลสูง ดูเหมือนจะเพิ่มความเสี่ยงการเกิดไอบีเอสหลังติดเชื้อ ไอบีเอสหลังติดเชื้อเป็นรูปแบบย่อยที่มักแสดงอาการท้องเสียเป็นหลัก มีหลักฐานแสดงว่าการหลั่งไซโตไคน์ที่ก่อการอักเสบระดับสูงเมื่อติดเชื้อในลำไส้เฉียบพลันทำให้มีการซึมผ่านลำไส้เพิ่มขึ้น จึงทำให้แบคทีเรียที่อยู่แบบพึ่งพาอาศัยกันกับมนุษย์ในลำไส้ เคลื่อนผ่านข้ามเยื่อบุผิว ซึ่งทำเนื้อเยื่อบริเวณนั้นให้เสียหายอย่างสำคัญ แล้วลุกลามเป็นความผิดปกติของลำไส้เรื้อรังในบุคคลที่ไวต่อภาวะนี้ แต่การเพิ่มการซึมผ่านของลำไส้ก็สัมพันธ์อย่างมากกับไอบีเอส ไม่ว่าไอบีเอสจะมาจากการติดเชื้อหรือไม่[44] มีการเสนอความเชื่อมโยงระหว่างภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินกับโรค tropical sprue[C] ว่าอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของไอบีเอสหลังติดเชื้อ[54]
แบคทีเรีย
ภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกิน (SIBO) เกิดขึ้นบ่อยกว่าในผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไอบีเอสเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุมที่มีสุขภาพดี[55] พบได้บ่อยที่สุดในไอบีเอสชนิดท้องเสียเด่น แต่ก็ยังเกิดในชนิดท้องผูกบ่อยกว่ากลุ่มควบคุมที่มีสุขภาพดีเช่นกัน อาการรวมทั้งท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย หรือท้องผูก เป็นต้น อาจเป็นผลจากระบบภูมิคุ้มกันที่มีปฏิสัมพันธ์ผิดปกติกับจุลชีพในลำไส้ ส่งผลให้เกิดรูปแบบการส่งสัญญาณไซโตไคน์ที่ผิดปกติ[56]
พบว่าคนไข้มีแบคทีเรียบางชนิดในปริมาณต่ำกว่าหรือสูงกว่ากลุ่มคนที่มีสุขภาพดี โดยทั่วไป แบคทีเรียไฟลัม Bacteroidota, ไฟลัม Bacillota และ ไฟลัม Pseudomonadota จะเพิ่มขึ้น ส่วนไฟลัม Actinomycetota, สกุล Bifidobacteria และสกุล Lactobacillus จะลดลง ในลำไส้ของมนุษย์ปกติจะมีไฟลัมที่พบได้ทั่วไป ที่พบมากที่สุดคือ Bacillota รวมถึงสกุลแลคโตบาซิลลัส ซึ่งพบว่าลดลงในผู้ป่วยไอบีเอสและสกุล Streptococcus ซึ่งพบว่ามีปริมาณเพิ่มขึ้น ในไฟลัมนี้ด้วย พบว่าชั้น Clostridia มีเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะสกุล Ruminococcus และ Dorea ส่วนวงศ์ Lachnospiraceae จะเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยไอบีเอสที่ท้องเสีย (IBS-D) ไฟลัมที่พบมากในคนปกติเป็นอันดับสองคือ Bacteroidota ซึ่งโดยรวมจะลดลงในคนไข้ไอบีเอส แต่สกุล Bacteroides จะเพิ่มขึ้น ในผู้ป่วยไอบีเอสที่ท้องเสีย ไฟลัม Actinomycetota จะลดลง ส่วนไฟลัม Pseudomonadota จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะวงศ์ Enterobacteriaceae[57]
จุลินทรีย์ในลำไส้
การเปลี่ยนแปลงของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่ผิดปกติ (dysbiosis) เกี่ยวข้องกับอาการทางลำไส้ของไอบีเอส รวมถึงความผิดปกติทางจิตเวชที่พบร่วมในผู้ป่วยไอบีเอสถึง 80%[58]
โปรโตซัว

การติดเชื้อโปรโตซัวสามารถก่ออาการคล้ายกับกลุ่มย่อยต่าง ๆ ของไอบีเอส[61] เช่น การติดชนิดย่อยบางอย่างของ Blastocystis hominis (เป็นโรค blastocystosis)[62][63] แต่หลายคนก็มองว่าจุลินทรีย์เหล่านี้เป็นเพียงสิ่งที่พบโดยบังเอิญและไม่เกี่ยวข้องกับอาการของไอบีเอส
การติดเชื้อ Blastocystis และ Dientamoeba fragilis พบได้บ่อยกว่าในผู้ที่เป็นไอบีเอส แต่บทบาทของเชื้อเหล่านี้ต่อโรคยังไม่ชัดเจน[64]
วิตามินดี
การขาดวิตามินดีพบได้บ่อยกว่าในผู้ที่เป็นไอบีเอส[65][66] วิตามินดีมีบทบาทในการควบคุมปัจจัยกระตุ้นไอบีเอส รวมถึงจุลินทรีย์ในลำไส้ กระบวนการอักเสบ และการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกัน ตลอดจนปัจจัยทางจิตสังคม[67]
พันธุกรรม
การกลายพันธุ์ของยีน SCN5A พบในผู้ที่เป็นไอบีเอสจำนวนน้อย โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีอาการท้องผูกเด่น (IBS-C)[68][69] ความบกพร่องที่เกิดขึ้นรบกวนการทำงานของลำไส้ โดยมีผลต่อช่องไอออน Nav1.5 ในกล้ามเนื้อเรียบของลำไส้ใหญ่และเซลล์กำหนดจังหวะการบีบตัวของลำไส้ (pacemaker cell)[70][71][72]
วิถีชีวิต
การขาดกิจกรรมทางกายสัมพันธ์กับความชุกโรคไอบีเอสที่เพิ่มขึ้น[73] โรคพบได้บ่อยกว่าในผู้เป็นโรคอ้วน[74]
Remove ads
กลไก
ปัจจัยทางพันธุกรรม ทางสิ่งแวดล้อม และทางจิตวิทยา ดูเหมือนจะมีบทบาทสำคัญในการเกิดโรคไอบีเอส ปัจจัยทางสิ่งแวดล้อมจะมีอิทธิพลเด่นกว่าปัจจัยทางพันธุกรรม[75]
แกนลำไส้-สมอง[A]ที่ทำงานผิดปกติ เมแทบอลิซึมของเซโรโทนิน (5-HT) ที่ผิดปกติ และความหนาแน่นสูงของเส้นประสาทในเยื่อบุลำไส้ ได้ระบุว่าเกี่ยวข้องกับกลไกของไอบีเอส ตัวรับ 5-HT ชนิดย่อยต่าง ๆ มีบทบาทในอาการของโรครวมถึงตัวรับ 5-HT3, 5-HT4 และ 5-HT7 ยังพบเส้นประสาทเยื่อบุลำไส้ใหญ่ของผู้ป่วยไอบีเอสที่มีการแสดงออกของตัวรับ 5-HT7 ในระดับสูง บทบาทของตัวรับ 5-HT7 ในภาวะลำไส้รู้สึกเจ็บมากกว่าปรกติ (hyperalgesia) ได้แสดงให้เห็นในแบบจำลองหนูที่ไวความรู้สึกในช่องท้องมากเกินไป (visceral hypersensitivity) คือสารต้านตัวรับ 5-HT7 ชนิดใหม่ที่ให้กินช่วยลดระดับความเจ็บปวด[76]
จุลินทรีย์ในลำไส้ของคนไข้ไอบีเอสมีความผิดปกติ เช่น ความหลากหลายที่ลดลง การลดลงของแบคทีเรียไฟลัม Bacteroidota และการเพิ่มขึ้นของแบคทีเรียไฟลัม Bacillota[58] โดยเด่นชัดที่สุดในผู้ที่มีไอบีเอสชนิดท้องเสียเด่น แอนติบอดีที่ต่อต้านองค์ประกอบทั่วไป (โดยเฉพาะคือโปรตีน flagellin) ของจุลินทรีย์ชนิดอิงอาศัยในลำไส้พบได้บ่อยในคนไข้ไอบีเอส[77]
ภาวะอักเสบเรื้อรังระดับต่ำมักเกิดกับผู้มีไอบีเอส โดยพบความผิดปกติต่าง ๆ รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของ enterochromaffin cells, intraepithelial lymphocytes และแมสต์เซลล์ แล้วก่อการอักเสบเรื้อรังของเยื่อบุลำไส้โดยภูมิคุ้มกันเป็นตัวอำนวย[36][78] ไอบีเอสเกิดในครอบครัวที่สมาชิกหลายยุคคนมีไอบีเอสมากกว่าประชากรทั่วไป[79] เชื่อว่าความเครียดทางจิตใจสามารถก่อการอักเสบมากขึ้น และก่อไอบีเอสในผู้ที่เสี่ยงอยู่แล้วได้[3]
วินิจฉัย
สรุป
มุมมอง
ไม่มีการทดสอบทางห้องปฏิบัติการหรือภาพถ่ายทางการแพทย์โดยเฉพาะเพื่อวินิจฉัยไอบีเอส การวินิจฉัยจึงอาศัยอาการ การกันอาการที่น่ากังวลออก และการตรวจโดยเฉพาะ ๆ เพื่อกันโรคอื่น ๆ ที่มีอาการคล้ายกัน[7][80]
คำแนะนำสำหรับแพทย์คือให้ลดการตรวจทางการแพทย์ให้น้อยที่สุด[81] โดยทั่วไปให้ใช้เกณฑ์โรมในการวินิจฉัย ซึ่งอนุญาตการวินิจฉัยด้วยอาการเพียงเท่านั้น แต่ก็ยังไม่มีเกณฑ์ที่อิงอาการเพียงอย่างเดียวที่สามารถวินิจฉัยไอบีเอสได้อย่างแม่นยำพอ[82][83] ลักษณะที่น่าเป็นห่วงได้แก่การเริ่มมีอาการเมื่ออายุมากกว่า 50 ปี, น้ำหนักลด, เลือดในอุจจาระ, ภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก หรือมีประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคซีลิแอ็ก หรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)[7] เกณฑ์ในการเลือกการตรวจเพิ่มเติมยังขึ้นอยู่กับทรัพยากรทางการแพทย์ที่มี[84]
เกณฑ์โรม IV สำหรับการวินิจฉัยไอบีเอส ได้แก่ อาการปวดท้องซ้ำ ๆ อย่างน้อยหนึ่งวันต่อสัปดาห์ในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา โดยมีอาการเกี่ยวข้องเพิ่มเติมกับอุจจาระหรือการขับถ่าย[85] คือมีอาการเกี่ยวข้อง 2 จาก 3 ข้อรวมทั้ง[86]
- ปวดท้องสัมพันธ์กับการถ่ายอุจจาระ
- ปวดท้องสัมพันธ์กับความถี่การถ่ายอุจจาระที่เปลี่ยนไป
- ปวดท้องสัมพันธ์กับลักษณะอุจจาระที่เปลี่ยนไป
แนวทางการวินิจฉัยอาจรวมถึงการตรวจเพิ่มเติมเพื่อป้องกันการวินิจฉัยโรคอื่น ๆ ผิดว่าเป็นไอบีเอส อาการ "ธงแดง" (red flag) ที่อาจบ่งชี้ถึงโรคอื่น ได้แก่ น้ำหนักลด เลือดออกในทางเดินอาหาร โลหิตจาง หรืออาการในเวลากลางคืน แต่อาการธงแดงอาจไม่ช่วยเพิ่มความแม่นยำของการวินิจฉัยเสมอไป เช่น ผู้ป่วยไอบีเอสถึง 31% มีเลือดในอุจจาระ ซึ่งอาจมาจากริดสีดวงทวารก็ได้[87]
การตรวจสอบ
การตรวจเพื่อวินิจฉัยแยกแยะโรคอื่นออกไป ได้แก่[ต้องการอ้างอิง]
- การตรวจอุจจาระด้วยกล้องจุลทรรศน์และการเพาะเชื้อ (เพื่อกันโรคติดเชื้อ)
- การตรวจเลือดคือ การตรวจเลือดสมบูรณ์ การตรวจการทำงานของตับ อัตราการตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง และการตรวจโรคซีลิแอ็กทางซีรั่มวิทยา
- การอัลตราซาวด์ช่องท้อง (เพื่อกันนิ่วในถุงน้ำดีและโรคทางเดินน้ำดีอื่น ๆ)
- การส่องกล้องทางเดินอาหาร (endoscopy) ร่วมกับการตัดเนื้อออกตรวจ (เพื่อแยกแยะโรคแผลในกระเพาะอาหาร โรคซีลิแอ็ก โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง และมะเร็ง)
- การทดสอบลมหายใจวัดปริมาณไฮโดรเจน (เพื่อกันการดูดซึมฟรักโทสและแลคโตสได้ไม่ดี)
การวินิจฉัยแยกโรค
มะเร็งลำไส้ใหญ่ โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) ความผิดปกติของต่อมไทรอยด์ (ต่อมไทรอยด์ทำงานมากเกินหรือน้อยเกิน) และโรคติดเชื้อไกอาร์เดีย (giardiasis) ล้วนอาจมีอาการถ่ายผิดปกติและปวดท้องได้ สาเหตุที่พบได้น้อยกว่าแต่มีอาการคล้ายกัน ได้แก่ carcinoid syndrome, microscopic colitis, ภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกิน และกระเพาะอาหารและลำไส้เล็กอักเสบจากอีโอซิโนฟิล (eosinophilic gastroenteritis) แต่ไอบีเอสก็พบมากกว่า การตรวจหาโรคเหล่านี้จึงมักพบผลบวกในสัดส่วนต่ำ และอาจไม่คุ้มค่าการตรวจ[88] ภาวะอื่นที่อาจแสดงอาการคล้ายกันได้แก่ โรคซีลิแอ็ก ภาวะการดูดซึมกรดน้ำดีผิดปกติ มะเร็งลำไส้ใหญ่ และภาวะกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานที่คุมการขับถ่ายไม่ประสานกัน (anismus)[7]
แนะนำให้กันการติดเชื้อปรสิต ภาวะไม่ทนต่อแล็กโทส ภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกิน และโรคซีลิแอ็กออกก่อนที่จะวินิจฉัยว่าเป็นไอบีเอส[80] การส่องกล้องทางเดินอาหารส่วนต้น (upper endoscopy) ร่วมกับการตัดเนื้อลำไส้เล็กออกตรวจ จำเป็นเพื่อวินิจฉัยโรคซีลิแอ็ก[89] การส่องกล้องตรวจลำไส้เล็กส่วนปลายร่วมกับลำไส้ใหญ่ (ileocolonoscopy) พร้อมกับการตัดเนื้อออกตรวจ ช่วยในการแยกโรคโครห์นและลำไส้อักเสบเป็นแผลเปื่อย (ulcerative colitis) ซึ่งเป็นกลุ่มโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD)[89]
บางคนที่ได้รับการดูแลรักษาในระยะยาวว่าเป็นไอบีเอส จริง ๆ แล้วอาจมีภาวะไวต่อกลูเตนแบบไม่ใช่โรคซีลิแอ็ก (NCGS)[8] อาการทางระบบทางเดินอาหารของไอบีเอสไม่สามารถแยกจาก NCGS ได้ทางคลินิก แต่การมีอาการนอกระบบทางเดินอาหารต่อไปนี้อาจบ่งชี้ว่าเป็น NCGS คือ ปวดศีรษะหรือไมเกรน, สมองมึนงง, อ่อนเพลียเรื้อรัง,[90] ไฟโบรไมอัลเจีย,[91][92][93] ปวดข้อและกล้ามเนื้อ,[90][91][94] ความรู้สึกที่ขาหรือแขนน้อยลง,[90][91][94] ปลายมือปลายเท้าชา,[90][94] ผิวหนังอักเสบหรือเป็นผื่นคัน,[90][94] โรคภูมิแพ้,[90] ภูมิแพ้ต่อสารสูดดม อาหาร หรือโลหะ[90][91] (เช่น ไรฝุ่น, หญ้า, พืชวงศ์ graminaceae, ขน/รังแคของแมวหรือสุนัข, อาหารทะเล หรือโลหะนิกเกิล),[91] อารมณ์ซึมเศร้า,[90][91][94] ความวิตกกังวล,[91] ภาวะเลือดจาง,[90][94] ภาวะเลือดจางเหตุขาดธาตุเหล็ก, การขาดโฟเลต, โรคหืด, เยื่อจมูกอักเสบ, ความผิดปกติของการรับประทาน,[91] ความผิดปกติทางประสาทจิตเวช (เช่น โรคจิตเภท,[94][95] โรคออทิซึม,[91][94][95] โรคเส้นประสาทส่วนปลาย [peripheral neuropathy],[94][95] ภาวะกล้ามเนื้อเสียสหการ [ataxia],[95] ภาวะสมาธิสั้น [90]) หรือโรคภูมิต้านตนเอง[90] การได้ผลดีกับการรับประทานอาหารปราศจากกลูเตนของอาการที่เกี่ยวข้องกับภูมิคุ้มกันรวมถึงโรคภูมิต้านตนเอง หลังจากตัดโรคซีลิแอ็กและภูมิแพ้ข้าวสาลีออกไปแล้ว เป็นอีกวิธีหนึ่งในการวินิจฉัยแยกโรค[90]
การวินิจฉัยผิด
ผู้ที่เป็นไอบีเอสมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่จะได้รับการผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม เช่น การผ่าตัดไส้ติ่ง ถุงน้ำดี หรือมดลูก เนื่องจากถูกวินิจฉัยผิดว่าเป็นโรคอื่น[96] ตัวอย่างทั่วไปของการวินิจฉัยผิด ได้แก่ เป็นโรคติดเชื้อ, โรคซีลิแอ็ก[97], การติดเชื้อ Helicobacter pylori[98][99] และปรสิต (ที่ไม่ใช่โปรโตซัว)[61][100][101] วิทยาลัยระบบทางเดินอาหารอเมริกันแนะนำให้ผู้ที่มีอาการไอบีเอสทุกคนเข้ารับการตรวจหาโรคซีลิแอ็ก[102]
ภาวะการดูดซึมกรดน้ำดีผิดปกติ (bile acid malabsorption) บางครั้งก็ถูกมองข้ามในผู้ที่มีไอบีเอสแบบท้องเสียเด่น (D-IBS) การทดสอบ SeHCAT พบว่าประมาณ 30% ของผู้ที่เป็น D-IBS มีภาวะนี้ และส่วนใหญ่ตอบสนองต่อยาจับกรดน้ำดี (bile acid sequestrants)[103]
โรคที่เกิดขึ้นร่วมกัน
มีโรคที่เกิดขึ้นกับไอบีเอสบ่อยกว่าโรคอื่น ๆ เป็นโรคที่เกิดขึ้นร่วมกัน (comorbidities) รวมทั้ง
- โรคทางระบบประสาท/จิตเวช – การศึกษากลุ่มตัวอย่าง 97,593 คนที่มีไอบีเอสได้ระบุโรคร่วมรวมทั้งปวดศีรษะ ไฟโบรไมอัลเจีย และโรคซึมเศร้า[104] ไอบีเอสเกิดใน 51% ของคนที่มีอาการเหนื่อยล้าเรื้อรังและ 49% ของคนไข้ไฟโบรไมอัลเจีย ความผิดปกติทางจิตเวชเกิดกับคนไข้ไอบีเอสถึง 94%[16][D]
- โรคของไอออนแชนเนลและโรคกล้ามเนื้อเสื่อม (MD) ไอบีเอสและโรคระบบทางเดินอาหารเชิงหน้าที่ (FGID) เป็นโรคร่วมกับโรคไอออนแชนเนลจากพันธุกรรม ซึ่งอาจก่อความผิดปกติของการนำกระแสไฟฟ้าหัวใจและการทำงานของระบบประสาทกล้ามเนื้อ และยังส่งผลต่อการเคลื่อนไหว การหลั่งสาร และความรู้สึกของระบบทางเดินอาหารอีกด้วย[105] ในทำนองเดียวกัน ไอบีเอสและโรคระบบลำไส้เชิงหน้าที่ พบได้บ่อยในโรคกล้ามเนื้อเสื่อมชนิดไมโอโทนิก (myotonic muscle dystrophies) อาการทางระบบย่อยอาหารอาจเป็นสัญญาณแรกของโรคกล้ามเนื้อเสื่อม และอาจเกิดขึ้นล่วงหน้าอาการทางกล้ามเนื้อและกระดูกได้นานถึง 10 ปี[106]
- โรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) – ไอบีเอสอาจสัมพันธ์อย่างเล็กน้อยกับโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง[107] งานวิจัยได้พบสหสัมพันธ์บางอย่างระหว่างไอบีเอสกับไอบีดี[108] พบว่าผู้ป่วยไอบีดีมักมีอาการคล้ายไอบีเอสในช่วงที่ไอบีดีอยู่ในระยะทุเลา[109][110] การศึกษาระยะเวลา 3 ปีพบว่าผู้ที่ได้รับวินิจฉัยว่าเป็นไอบีเอส มีโอกาสได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไอบีดี สูงกว่าคนทั่วไปถึง 16.3 เท่าในช่วงระยะเวลาศึกษา แม้นี้อาจเป็นผลจากการวินิจฉัยโรคผิดพลาดในช่วงต้น[111]
- การผ่าตัดช่องท้อง – คนไข้ไอบีเอสเสี่ยงสูงขึ้นในการถูกผ่าตัดเอาถุงน้ำดีออกโดยไม่จำเป็น ซึ่งไม่ได้เกิดจากความเสี่ยงที่สูงขึ้นของนิ่วในถุงน้ำดี แต่เกิดจากอาการปวดท้อง, การรู้ว่ามีนิ่วในถุงน้ำดี และข้อบ่งชี้การผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม[112] คนไข้ไอบีเอสมีโอกาสถูกผ่าตัดช่องท้องและอุ้งเชิงกรานมากกว่าคนทั่วไปถึง 87% และมีโอกาสถูกผ่าตัดถุงน้ำดีมากกว่าสามเท่า[113] นอกจากนี้ ยังมีโอกาสถูกผ่าตัดมดลูกมากกว่าคนทั่วไปถึงสองเท่า[114]
- เยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ – การศึกษาหนึ่งรายงานความเชื่อมโยงทางสถิติอย่างมีนัยสำคัญระหว่างอาการปวดศีรษะไมเกรน, ไอบีเอส และภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่[115]
- ความผิดปกติเรื้อรังอื่น ๆ – โรคกระเพาะปัสสาวะอักเสบแบบอินเตอร์สติเชียล (Interstitial cystitis) อาจสัมพันธ์กับกลุ่มอาการปวดเรื้อรังอื่น ๆ เช่น ไอบีเอสและไฟโบรไมอัลเจีย แต่ความเชื่อมโยงระหว่างกลุ่มอาการยังไม่ทราบแน่ชัด[116]
การจำแนกประเภท
ไอบีเอสสามารถจำแนกออกเป็นชนิดท้องเสียเด่น (IBS-D) ชนิดท้องผูกเด่น (IBS-C) ชนิดผสมท้องผูกและท้องเสีย (IBS-M/IBS-A) และแบบปวดเป็นหลัก[117][118] ในบางราย ไอบีเอสอาจมีอาการเฉียบพลันและเกิดขึ้นหลังจากเจ็บป่วยเพราะการติดเชื้อซึ่งมีอาการอย่างน้อยสองอย่าง คือ มีไข้ อาเจียน ท้องเสีย หรือการเพาะเชื้อจากอุจจาระเป็นบวก จึงเรียกด้วยว่า ไอบีเอสหลังติดเชื้อ (PI-IBS)[119][120][121][122]
Remove ads
การจัดการ
สรุป
มุมมอง
การรักษาหลายวิธีมีประสิทธิภาพ เช่น เส้นใยอาหาร จิตบำบัด ยาแก้เกร็งสำหรับลำไส้ ยาแก้ซึมเศร้า และน้ำมันเปปเปอร์มินต์[123][124][125]
อาหาร
ฟอดแมปส์
มีหลักฐานว่าการกินอาหารแบบมีฟอดแมปส์[B]ต่ำภายใต้การดูแลของนักโภชนาการเป็นแบบอาหารที่มีประสิทธิภาพที่สุดเพื่อควบคุมอาการของไอบีเอสในบรรดารูปแบบอาหารที่ศึกษาทั้งหมด แม้จะยังขาดหลักฐานเกี่ยวกับผลที่ไม่พึงประสงค์[126][127]
การศึกษาที่ทำในประเทศไทยพบว่าการให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารฟอดแมปส์โดยแพทย์ทั่วไป เมื่อทำอย่างมีระบบและใช้ข้อมูลจากบันทึกอาหาร 7 วันของผู้ป่วย มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดท้อง แน่นท้อง ท้องอืด และลดอาการระบบทางเดินอาหารโดยรวมและแก๊สในลำไส้ได้[128]
แต่การให้กินอาหารแบบมีฟอดแมปส์ต่ำโดยไม่ตรวจให้แน่ชัดว่ามีไอบีเอส อาจทำให้วินิจฉัยผิดว่าไม่เป็นโรคอื่น ๆ เช่น โรคซีลิแอ็ก[129] เนื่องจากการบริโภคกลูเตนจะหยุดหรือลดลงในอาหารรูปแบบนี้ อาการที่ดีขึ้นจึงอาจไม่ได้มาจากการเลี่ยงฟอดแมปส์ แต่มาจากการหยุดบริโภคกลูเตน ซึ่งบ่งชี้ว่ามีโรคซีลิแอ็กที่ยังไม่ได้วินิจฉัย และหากไม่ได้การรักษาอย่างถูกต้อง อาจเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงหลายอย่างรวมถึงมะเร็งหลายชนิด[129][130]
เส้นใยอาหาร/ไฟเบอร์
การเสริมเส้นใยอาหารชนิดละลายน้ำได้ (เช่น เปลือกเทียนเกล็ดหอย คือไซเลียม ฮัสก์) อาจช่วยให้อาการของไอบีเอสดีขึ้น[23] แต่ดูเหมือนจะไม่ช่วยลดอาการปวด[131] แต่เพิ่มปริมาตรของอุจจาระ สำหรับผู้ที่มีไอบีเอสชนิดท้องเสีย ทำให้มีอุจจาระสม่ำเสมอยิ่งขึ้น สำหรับผู้ที่มีไอบีเอสชนิดท้องผูก ก็จะทำให้อุจจาระนิ่ม ชุ่มชื้นขึ้น และถ่ายได้ง่ายขึ้น[ต้องการอ้างอิง]
อย่างไรก็ตาม เส้นใยอาหารที่ไม่ละลายน้ำ (เช่น รำข้าว) ไม่ได้ผลในการรักษาไอบีเอส[132][133] ในบางคน การเสริมเส้นใยอาหารชนิดนี้อาจทำให้อาการแย่ลง[134][135]
เส้นใยอาหารอาจมีประโยชน์ในผู้ที่มีอาการแบบมีท้องผูกเด่น เส้นใยอาหารที่ละลายน้ำได้สามารถลดอาการโดยรวมได้ แต่จะไม่ช่วยลดอาการปวด งานวิจัยที่สนับสนุนการใช้เส้นใยอาหารยังคงมีข้อขัดแย้ง เนื่องจากการศึกษาส่วนใหญ่มีขนาดเล็ก และยังมีความหลากหลายในประเภทและปริมาณที่ใช้[131]
กิจกรรมทางกาย
กิจกรรมทางกายอาจมีผลดีต่อไอบีเอส[136] ด้วยเหตุนี้ แนวทางล่าสุดของสมาคมวิทยาทางเดินอาหารแห่งสหราชอาณาจักรจึงได้ระบุว่าผู้ป่วยทุกคนควรได้รับคำแนะนำให้ออกกำลังกายเป็นประจำ (เป็นคำแนะนำที่หนักแน่น แต่หลักฐานยังแน่นอนต่ำ)[137]
ยา
ยาที่อาจเป็นประโยชน์รวมถึงยาแก้เกร็งสำหรับลำไส้เช่นไดไซโคลมีน และยาแก้ซึมเศร้า[138] ทั้งสารต้านฮิสตามีนชนิด H1 และยารักษาเสถียรภาพของแมสต์เซลล์แสดงประสิทธิภาพในการลดอาการปวดที่เกี่ยวข้องกับภาวะไวความรู้สึกเกินต่ออวัยวะภายในเนื่องกับไอบีเอส[36]
ยากลุ่มเซโรโทนิน
มีการเสนอยาต้านตัวรับ 5-HT3 บางตัวเพื่อรักษาไอบีเอสแบบท้องเสียเด่น และยากระตุ้นตัวรับ 5-HT4 บางตัวสำหรับแบบท้องผูกเด่น แต่เพราะผลข้างเคียงที่รุนแรง จึงทำให้องค์การอาหารและยาสหรัฐได้ยกเลิกการอนุมัติให้ใช้ยา โดยปัจจุบันให้สั่งได้ด้วยโพรโทคอลยาวิจัยฉุกเฉินเท่านั้น[139] ยาสำหรับตัวรับเซโรโทนินชนิดอื่น ๆ เช่น 5-HT7 ยังไม่มีการพัฒนา
ยาระบาย
สำหรับผู้ที่ไม่ตอบสนองต่อเส้นใยอาหารอย่างเพียงพอ ยาระบายประเภทออสโมติก เช่น โพลีเอทิลีนไกลคอล ซอร์บิทอล และแล็กทูโลส อาจช่วยหลีกเลี่ยงภาวะ "ลำไส้ไม่ทำงาน" ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับการใช้ยาระบายแบบกระตุ้น[140] ลูบิโพรสโตน (Lubiprostone) เป็นยาระบายซึ่งใช้รักษาไอบีเอสแบบท้องผูกเด่น[141] โดยมีประสิทธิภาพรักษาอาการท้องผูก ปวดท้อง และอาการโดยรวม[142]
เกี่ยวกับยาระบายที่มีแมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบ แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนในประเทศไทย พ.ศ. 2565 แนะนำอย่างยิ่ง[E]ว่า "ยาระบายที่มีแมกนีเซียมเป็นส่วนประกอบ ... เข้าถึงง่ายและอยู่ในบัญชียาหลักแห่งชาติ สามารถใช้รักษาอาการท้องผูกในผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวน แม้ข้อมูลยังมีจำกัด"[143]
ยาแก้เกร็ง
การใช้ยาแก้เกร็ง (เช่น ยาต้านโคลิเนอร์จิกอย่างไฮออสไซยามีนหรือไดไซโคลมีน) อาจช่วยผู้ที่มีอาการปวดเกร็งหรือท้องเสียได้ การวิเคราะห์อภิมานแบบคอเคลนสรุปว่า คนไข้ ⅐ ได้รับประโยชน์จากยาแก้เกร็ง[138] ยาอาจแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ ยาออกฤทธิ์ต่อประสาท (neurotropic) และยาออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อ (musculotropic) ยาออกฤทธิ์ต่อกล้ามเนื้อ เช่น mebeverine ออกฤทธิ์โดยตรงที่กล้ามเนื้อเรียบของระบบทางเดินอาหาร ช่วยบรรเทาอาการเกร็งโดยไม่รบกวนการเคลื่อนไหวของลำไส้ตามปกติ[ต้องการอ้างอิง] เนื่องจากไม่ได้ออกฤทธิ์ผ่านระบบประสาทอัตโนมัติ ผลข้างเคียงจากฤทธิ์ต้านโคลิเนอร์จิกจึงไม่มี[144] ยาแก้เกร็งเช่น otilonium ก็อาจมีประโยชน์เช่นกัน[145]
การหยุดใช้ยายับยั้งการหลั่งกรด
ยายับยั้งการหลั่งกรด (PPIs) ซึ่งใช้ลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร อาจก่อภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกิน (SIBO) ซึ่งนำไปสู่ไอบีเอสได้[146] มีการแนะนำให้หยุดใช้ยายับยั้งการหลั่งกรดสำหรับบางคน เพราะอาจทำให้อาการของไอบีเอสดีขึ้นหรือหายไป[147]
ยาแก้ซึมเศร้า
หลักฐานขัดแย้งกันเกี่ยวกับประโยชน์ของยาแก้ซึมเศร้าสำหรับไอบีเอส การวิเคราะห์อภิมานบางงานพบว่ามีประโยชน์ ในขณะที่บางชิ้นไม่พบ[148] แต่ก็มีหลักฐานที่ดีว่าการใช้ยากลุ่มไตรไซคลิก (TCAs) ในขนาดต่ำอาจมีผลดี[138][149] คือประมาณ ⅓ ของผู้ป่วยมีอาการดีขึ้น[150]
อย่างไรก็ตาม หลักฐานเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยาแก้ซึมเศร้ากลุ่มอื่น เช่น ยากลุ่ม SSRI (selective serotonin reuptake inhibitors) ยังไม่ชัดเจนนัก เพราะมีฤทธิ์ต่อระบบเซโรโทนิน จึงมีการศึกษายากับไอบีเอส โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่มีอาการท้องผูกเด่น แต่จนถึงปี 2015 หลักฐานก็ระบุว่า SSRI ไม่ได้ช่วย[151] ส่วนแนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนในประเทศไทย พ.ศ. 2565 แนะนำอย่างมีเงื่อนไข[E]ว่า "ยา SSRIs ไม่ลดอาการปวดท้องแต่มีประสิทธิภาพในการรักษาอาการโดยรวม"[152]
ยาแก้ซึมเศร้าไม่มีประสิทธิภาพสำหรับไอบีเอสในผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า อาจเป็นเพราะต้องใช้ยาเพื่อบรรเทาอาการไอบีเอสในขนาดที่ต่ำกว่าขนาดที่ใช้รักษาภาวะซึมเศร้า[153]
ยาอื่น ๆ
แมกนีเซียมกับอะลูมิเนียมในรูปแบบซิลิเกต (magnesium aluminum silicate) และอัลเวอรีนซิเทรต (alverine citrate) อาจมีประสิทธิภาพสำหรับไอบีเอส[154][135]
ไรแฟกซิมิน (rifaximin) เป็นยาปฏิชีวนะที่ไม่ดูดซึมผ่านทางเดินอาหาร (จึงผ่านเข้าไปถึงลำไส้โดยตรง) อาจมีประโยชน์ในการรักษาอาการไอบีเอส รวมถึงอาการท้องอืดและลมในท้อง แม้ว่าจะบรรเทาอาการท้องอืดได้ช้า[3][155] โดยมีประโยชน์อย่างยิ่งเมื่อมีภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินเข้ามาเกี่ยวข้อง[3]
สำหรับคนไข้ไอบีเอสที่มีระดับวิตามินดีต่ำ แนะนำให้รับประทานวิตามินดีเสริม มีหลักฐานบางส่วนชี้ว่าวิตามินดีอาจช่วยให้อาการดีขึ้น แต่ยังต้องวิจัยเพิ่มเติมก่อนที่จะสามารถแนะนำให้ใช้เป็นวิธีรักษาไอบีเอสโดยเฉพาะได้[65][66]
การบำบัดทางจิตวิทยา
มีหลักฐานไม่สอดคล้องกันจากการศึกษาที่มีคุณภาพทางระเบียบวิธีต่ำว่า การบำบัดทางจิตวิทยามีประสิทธิภาพในการรักษาไอบีเอส[153] งานวิจัยเบื้องต้นแสดงว่า การบำบัดทางจิตเวชมีสหสัมพันธ์กับการลดลงของความผิดปกติของระบบประสาทอัตโนมัติและอาการทางระบบทางเดินอาหาร[47] การลดความเครียดอาจช่วยลดความถี่และความรุนแรงของไอบีเอสได้เช่นกัน วิธีที่อาจเป็นประโยชน์ ได้แก่ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น ว่ายน้ำ เดิน หรือวิ่ง[156]
แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนในประเทศไทย พ.ศ. 2565 แนะนำอย่างมีเงื่อนไข[E] ให้ส่งตัวคนไข้ไอบีเอสที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาเบื้องต้นเพื่อรับการบำบัดทางจิตใจ[158]
โปรไบโอติกส์
โปรไบโอติกส์อาจมีประโยชน์ในการรักษาไอบีเอส แนะนำให้รับประทานแบคทีเรียที่เป็นประโยชน์ในปริมาณ 10,000 ล้าน–100,000 ล้านตัวต่อวันเพื่อให้ได้ประโยชน์ อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องวิจัยเพิ่มเติมเกี่ยวกับสายพันธุ์ของแบคทีเรียแต่ละชนิดเพื่อให้ได้ข้อแนะนำที่ดียิ่งขึ้น[155][159] โปรไบโอติกส์มีผลดี เช่น เสริมความแข็งแรงของเยื่อเมือกในลำไส้ สร้างแนวกั้นทางกายภาพ ผลิตแบคทีริโอซิน (bacteriocin ซึ่งช่วยลดจำนวนแบคทีเรียที่ก่อโรคและที่ผลิตแก๊ส) ลดการซึมผ่านของลำไส้และการเคลื่อนย้ายแบคทีเรียข้ามแนวกั้น และควบคุมระบบภูมิคุ้มกันทั้งในระดับเฉพาะที่และระดับระบบ[96] โปรไบโอติกส์อาจมีผลดีต่อแกนลำไส้–สมอง[A] โดยช่วยต่อต้านผลกระทบของความเครียดที่มีต่อภูมิคุ้มกันและการทำงานของลำไส้[160]
โปรไบโอติกส์หลายชนิดมีประสิทธิภาพ รวมถึง Lactobacillus plantarum[96] และ Bifidobacteria infantis[161] แต่การทบทวนงานหนึ่งพบว่า Bifidobacteria infantis เท่านั้นมีประสิทธิภาพ[162] โดยอาจมีผลนอกเหนือจากทางระบบทางเดินอาหาร เพราะลดฤทธิ์ของไซโตไคน์ที่เสริมการอักเสบและเพิ่มระดับทริปโตเฟนในเลือด จึงอาจทำให้อาการซึมเศร้าดีขึ้น[163] โยเกิร์ตบางชนิดผลิตโดยใช้โปรไบโอติกส์ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาอาการของไอบีเอสได้[164] ยีสต์โปรไบโอติกส์ Saccharomyces boulardii มีหลักฐานบ้างว่ามีประสิทธิภาพในการรักษาอาการโรค[165]
โปรไบโอติกส์จะมีผลต่าง ๆ กันต่อต่ออาการของโรค ตัวอย่างเช่น Bifidobacterium breve, B. longum และ Lactobacillus acidophilus พบว่าสามารถบรรเทาอาการปวดท้องได้ B. breve, B. infantis, L. casei และ L. plantarum สามารถช่วยบรรเทาอาการแน่นท้อง/ท้องอืด B. breve, B. infantis, L. casei, L. plantarum, B. longum, L. acidophilus, L. bulgaricus และ Streptococcus salivarius ssp. thermophilus ล้วนพบว่ามีผลต่อลมในท้อง
แม้งานศึกษาทางคลินิกส่วนใหญ่พบว่าโปรไบโอติกส์ไม่มีผลต่อการเบ่งถ่าย ความรู้สึกถ่ายไม่สุด ลักษณะอุจจาระ ความปวดอุจจาระฉับพลัน หรือความถี่ของการถ่าย แต่งานศึกษาทางคลินิกบางชิ้นก็พบประโยชน์บ้าง ส่วนผลปรับปรุงคุณภาพชีวิตทั่วไปยังไม่ชัดเจน[166]
โปรไบโอติกส์อาจออกฤทธิ์ที่เป็นประโยชน์ต่ออาการของโรคโดยรักษาจุลินทรีย์ในลำไส้ ปรับระดับไซโตไคน์ในเลือดให้เป็นปกติ ทำให้อาหารเดินผ่านลำไส้ได้ดีขึ้น ลดการซึมผ่านได้ของลำไส้เล็ก และรักษาภาวะแบคทีเรียในลำไส้เล็กมากเกินเพราะการหมักเพาะแบคทีเรีย[166] การปลูกถ่ายแบคทีเรียจากอุจจาระยังไม่พบว่ามีประโยชน์จนถึง ค.ศ. 2019[167]
แนวทางเวชปฏิบัติการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคลำไส้แปรปรวนในประเทศไทย พ.ศ. 2565 แนะนำอย่างมีเงื่อนไข[E]ว่า "ประโยชน์ของ probiotics ในการรักษาผู้ป่วยโรคลลำไส้แปรปรวนยังไม่ชัดเจน ควรระวังในการใช้"[168]
ยาสมุนไพร
น้ำมันเปปเปอร์มินต์ดูเหมือนจะมีประโยชน์[169] การวิเคราะห์อภิมานปี 2014 พบว่ามีประโยชน์เหนือกว่ายาหลอกในการปรับปรุงอาการของไอบีเอส อย่างน้อยก็ในระยะสั้น[125] การวิเคราะห์อภิมานก่อนหน้านี้ชี้ว่า ผลของน้ำมันเปปเปอร์มินต์ยังไม่แน่นอนเนื่องจากจำนวนคนในการศึกษามีน้อย และการปิดบังผู้ที่ได้การรักษาไม่ชัดเจน[123] อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลยืนยันความปลอดภัยในหญิงตั้งครรภ์ และควรระมัดระวังไม่ให้เคี้ยวหรือทำสารเคลือบให้แตกออก มิฉะนั้น อาจเกิดกรดไหลย้อนเนื่องจากการคลายตัวของกล้ามเนื้อหูรูดส่วนล่างของหลอดอาหาร บางครั้งอาจเกิดอาการคลื่นไส้และแสบร้อนบริเวณทวารหนักโดยเป็นผลข้างเคียง[133] ส่วน Iberogast ซึ่งเป็นยาสกัดจากสมุนไพรหลายชนิดรวมทั้งจากเปปเปอร์มินต์ พบว่ามีประสิทธิภาพเหนือกว่ายาหลอก[170] การวิเคราะห์อภิมานปี 2019 ที่รวมข้อมูลจากการทดลองแบบสุ่ม 12 งาน พบว่าการใช้น้ำมันเปปเปอร์มินต์เป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพสำหรับผู้ใหญ่ที่มีไอบีเอส[171]
การวิจัยสารสกัดจากัญชา (cannabinoid) เพื่อรักษาไอบีเอสยังมีจำกัด การขับเคลื่อน การหลั่งสาร และการอักเสบในระบบทางเดินอาหาร ล้วนได้การควบคุมจากระบบเอนโดแคนนาบินอยด์ (ECS) เป็นเหตุผลในการใช้กัญชาเพื่อรักษาไอบีเอส[172]
ปัจจุบันยังมีหลักฐานจำกัดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของสมุนไพรชนิดอื่น ๆ ในการรักษาไอบีเอส เช่นเดียวกับสมุนไพรทุกชนิด ควรระมัดระวังเกี่ยวกับปฏิกิริยากับยาอื่น ๆ และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น[133]
การแพทย์ทางเลือก
การฝังเข็มไม่มีประโยชน์ยิ่งกว่ายาหลอกในการบรรเทาอาการไอบีเอสหรือในการปรับปรุงคุณภาพชีวิตที่เกี่ยวกับไอบีเอส[173]
Remove ads
ระบาดวิทยา
สรุป
มุมมอง

ความชุกโรคจะต่างกันไปตามประเทศและช่วงอายุที่ศึกษา กราฟแท่งทางด้านขวาแสดงอัตราประชากรที่รายงานอาการไอบีเอสในการศึกษาจากภูมิภาคต่าง ๆ (ดูการอ้างอิงในตาราง) ตารางต่อไปนี้แสดงรายการศึกษาที่ดำเนินการในประเทศต่าง ๆ ซึ่งวัดความชุกของไอบีเอสและอาการที่คล้ายกับไอบีเอส
ความต่างระหว่างเพศ
ในประเทศตะวันตก ผู้หญิงมีโอกาสได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไอบีเอสมากกว่าผู้ชาย 2–3 เท่า และมีโอกาสไปพบพบแพทย์เฉพาะทางมากกว่าผู้ชาย 4–5 เท่า[182] อย่างไรก็ตาม ผู้หญิงเอเชียตะวันออกไม่ได้มีโอกาสเป็นไอบีเอสมากกว่าผู้ชาย และมีรายงานที่ขัดแย้งกันเกี่ยวกับความชุกในเพศหญิงทวีปแอฟริกาและบางส่วนของเอเชีย[183] ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นไอบีเอสมักมีอายุน้อยกว่า 45 ปี[1]
การศึกษาผู้หญิงที่เป็นไอบีเอสแสดงให้เห็นว่าความรุนแรงของอาการมักผันผวนตามรอบเดือน ซึ่งชี้ว่าความต่างทางฮอร์โมนอาจมีบทบาท[184] ความต่างของนิสัยระหว่างเพศทั้งสองสัมพันธ์กับคุณภาพชีวิตและการปรับตัวทางจิตใจ[185] การเพิ่มขึ้นของอาการทางเดินอาหารในช่วงมีประจำเดือนหรือในช่วงเริ่มหมดประจำเดือนอาจเกี่ยวข้องกับระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนและโพรเจสเทอโรนที่ลดลง ซึ่งแสดงว่าการลดลงของเอสโตรเจนอาจมีบทบาทในไอบีเอส[186] ความแตกต่างระหว่างเพศในการไปหาหมอก็อาจมีบทบาทเช่นกัน[187] ความแตกต่างทางเพศในเรื่องความวิตกกังวลอาจมีส่วนทำให้ผู้หญิงทนต่อความเจ็บปวดได้น้อยกว่า ทำให้เสี่ยงเป็นโรคปวดเรื้อรังหลายประเภทมากขึ้น[188] สุดท้าย การถูกล่วงละเมิดทางเพศเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของไอบีเอส เช่นเดียวกับทารุณกรรมในรูปแบบอื่น ๆ[189] เนื่องจากผู้หญิงเสี่ยงถูกล่วงละเมิดทางเพศมากกว่าผู้ชาย จึงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่เป็นไอบีเอสในอัตราที่สูงกว่า[190]
Remove ads
ประวัติ
แพทย์ชาวอเมริกันบราวน์ (P. W. Brown) ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง irritable bowel (ลำไส้แปรปรวน) ในวารสารแพทย์ The Journal of the Kansas Medical Society ในปี 1947[191] และต่อมาในวารสาร Rocky Mountain Medical Journal ในปี 1950[192] คำได้ใช้จัดกลุ่มผู้มีอาการท้องเสีย ปวดท้อง ท้องผูก แต่ไม่สามารถหาสาเหตุจากการติดเชื้อที่รู้ในเวลานั้นได้ ทฤษฎีแรก ๆ เสนอว่า เป็นโรคกายเหตุจิต หรือเป็นปัญหาทางจิตใจ[193] วันลำไส้แปรปรวนโลก (World IBS Day) ก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2019 โดยจัดทุกปีเพื่อสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับโรค[194]
Remove ads
งานวิจัย
สรุป
มุมมอง
ผู้ที่เป็นไอบีเอสมีความหลากหลายและจำนวนของจุลินทรีย์กลุ่ม Bacteroidota ลดลง งานวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการปลูกถ่ายจุลินทรีย์อุจจาระ (fecal microbiota transplant) ในการรักษาไอบีเอสมีแนวโน้มที่ดี โดยมีอัตราการ "หาย" ที่ระหว่างร้อยละ 36–60 และอาการหลัก ๆ ของไอบีเอสก็ยังสงบไปอย่างต่อเนื่องเมื่อติดตามผลที่ 9 และ 19 เดือน[195][196] การรักษาด้วยแบคทีเรียโปรไบโอติกส์บางสายพันธุ์แสดงว่ามีประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตาม ทุกสายพันธุ์ของจุลินทรีย์ไม่ได้มีประโยชน์ในลักษณะเดียวกัน และมีผลข้างเคียงในกรณีส่วนน้อย[197]
มีหลักฐานที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เกี่ยวกับประสิทธิผลของเมซาลาซีน (mesalazine หรือ 5-aminosalicylic acid) ในการรักษาไอบีเอส[198] เป็นยาที่มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งรายงานว่าสามารถลดการอักเสบที่เกิดจากภูมิคุ้มกันในลำไส้ของผู้ป่วยได้อย่างมีนัยสำคัญ การรักษาด้วยเมซาลาซีนช่วยให้อาการดีขึ้น ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกว่าสบายดี โดยยังช่วยทำให้จุลินทรีย์ลำไส้กลับสู่สภาวะปกติ ซึ่งมักจะผิดปกติในผู้ที่เป็นไอบีเอส ประโยชน์ของยาอาจมาจากการปรับปรุงการทำงานเป็นตัวกั้นของเยื่อบุผิวลำไส้[199] ในขณะเดียวกัน การรักษาเพราะตรวจพบแอนติบอดี IgG ที่สูง "ผิดปกติ" ไม่สามารถแนะนำได้[200]
พบว่า ผู้ป่วยไอบีเอสต่างกันในความไวต่อความรู้สึกของอวัยวะภายในและลำไส้ การเพิ่มความแข็งแรงของเยื่อบุลำไส้เมื่อรับประทานยา 5-HTP ไม่เกิดขึ้นในผู้ป่วยไอบีเอสเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม[201] ผู้ที่เป็นไอบีเอสหรือโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง (IBD) มักมีผลตรวจ HLA DQ2/8 เป็นบวกน้อยกว่าผู้ที่มีโรคระบบทางเดินอาหารส่วนบนโดยหน้าที่และกลุ่มประชากรสุขภาพดี[202]
ประสิทธิภาพของการรักษาที่มุ่งเป้าไปที่แมสต์เซลล์ในโรคไอบีเอส เป็นหัวข้อที่ยังอยู่ระหว่างการวิจัย[203]
Remove ads
ในสัตว์อื่น
พบกลุ่มอาการที่คล้ายกันในหนู (Rattus spp.)[204] หนูมีตัวรับกรดไขมันสายสั้นที่เกี่ยวข้องกับอาการนี้ เป็นชนิดย่อยของตัวรับกรดไขมันอิสระชนิด 2 คือ GPR43 ซึ่งแสดงออกทั้งในเซลล์ enteroendocrine cell และ mucosal mast cell[204] เซลล์เหล่านี้จะตอบสนองอย่างเกินปกติต่อผลิตภัณฑ์จากการย่อยอาหารที่ไม่สมบูรณ์ซึ่งมีปริมาณมากในหนูไอบีเอส[204]
เชิงอรรถ
- แกนลำไส้–สมอง (อังกฤษ: gut–brain axis) คือการส่งสัญญาณทางชีวเคมีแบบสองทางระหว่างระบบทางเดินอาหาร (GI tract) กับระบบประสาทส่วนกลาง (CNS)[34] คำว่า "microbiota–gut–brain axis" เน้นบทบาทของจุลินทรีย์ในลำไส้ที่มีส่วนร่วมในการส่งสัญญาณเช่นนี้[35][34] ถ้านิยามแบบกว้าง ๆ แกนลำไส้–สมองจะประกอบด้วยระบบประสาทส่วนกลาง ระบบประสาทต่อมไร้ท่อ (neuroendocrine system) ระบบประสาทภูมิคุ้มกัน (neuroimmune system) แกนไฮโปทาลามัส-พิทูอิทารี-อะดรีนัล ระบบประสาทอิสระทั้งสาขาซิมพาเทติกและพาราซิมพาเทติก ระบบประสาทลำไส้ (enteric nervous system) เส้นประสาทเวกัส และจุลินทรีย์ในลำไส้[34]
- ฟอดแมปส์ (คือ โอลิโกแซ็กคาไรด์ ไดแซ็กคาไรด์ โมโนแซ็กคาไรด์ และโพลิออลที่เกิดการหมักดองได้ FODMAPs)[21] เป็นคาร์โบไฮเดรตลูกโซ่สั้นที่ดูดซึมได้ไม่ดีในลำไส้เล็กแล้วเกิดการหมักดองในลำไส้ใหญ่ ประกอบด้วยโอลิโกแซ็กคาไรด์สายสั้นของฟรักโทส (ฟรักแทนส์) และ galactooligosaccharide (GOS, stachyose, ราฟฟิโนส), ไดแซ็กคาไรด์ (แล็กโทส), โมโนแซ็กคาไรด์ (ฟรักโทส) และน้ำตาลแอลกอฮอล์ (โพลิออล) เช่น ซอร์บิทอล, mannitol, ไซลิทอล และ maltitol[21][22] ฟอดแมปส์ส่วนใหญ่พบตามธรรมชาติในอาหารรวมทั้งอาหารมนุษย์ แต่อาหารและเครื่องดื่มที่ผลิตในเชิงพาณิชย์ก็อาจเติมน้ำตาลแอลกอฮอล์
- โรค tropical sprue เป็นการดูดซึมสารอาหารผิดปกติที่พบได้บ่อยในเขตร้อน มีลักษณะเด่นคือความผิดปกติของวิลลัส (ตุ่มหรือขนขนาดเล็กที่ยื่นออกมาจากผิวด้านในของลำไส้เล็ก) ที่แบนราบและการอักเสบของเยื่อบุลำไส้เล็ก[50][51] มันแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญจากโรค coeliac sprue และดูเหมือนจะเป็นรูปแบบที่รุนแรงกว่าของโรค environmental enteropathy[52][53]
- งานทบทวนนี้อ้างงานวิจัยระหว่างปี 1988-2001 โดยอาจมีความเอนเอียงเทียบกับงานวิจัยต่อ ๆ มา
- เมื่อคณะแพทย์ที่ประชุมกันทำแนวทางมีความคิดเห็นว่า "เห็นด้วยอย่างยิ่ง" และ "เห็นด้วย" รวมกันมากกว่าหรือเท่ากับร้อยละ 80 เป็นการยอมรับคำแนะนำดังกล่าว หากเห็นว่า "เห็นด้วยอย่างยิ่ง" มากกว่าร้อยละ 80 เป็นการ "แนะนำอย่างยิ่ง" แต่ถ้าไม่ถึงร้อยละ 80 เป็นการ "แนะนำแบบมีเงื่อนไข"[157]
Remove ads
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads