คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
การทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมะและนางาซากิ เป็นการโจมตีจักรวรรดิญี่ปุ่นด้วยอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐอเมริกา เมื่อปลายสงครามโลกครั้งที่สอง โดยคำสั่งของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา แฮร์รี เอส. ทรูแมน เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม และวันที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2488 หลังจากการโจมตีทิ้งระเบิดเพลิงตามเมืองต่าง ๆ 67 เมืองของญี่ปุ่นอย่างหนักหน่วงเป็นเวลาติดต่อกันถึง 6 เดือน สหรัฐอเมริกาจึงได้ทิ้ง "ระเบิดปรมาณู" หรือที่เรียกในปัจจุบันว่าระเบิดนิวเคลียร์ที่มีชื่อเล่นเรียกว่า "เด็กน้อย" หรือ "ลิตเติลบอย" ใส่เมืองฮิโรชิมะในวันจันทร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2488 (ปีโชวะที่ 20) ตามด้วย "ชายอ้วน" หรือ "แฟตแมน" ลูกที่สองใส่เมืองนางาซากิโดยให้จุดระเบิดที่ระดับสูงเหนือเมืองเล็กน้อย นับเป็นระเบิดนิวเคลียร์เพียง 2 ลูกเท่านั้นที่นำมาใช้ในประวัติศาสตร์การทำสงคราม
การระเบิดทำให้มีผู้เสียชีวิตที่ฮิโรชิมะ 140,000 คนและที่นางาซากิ 80,000 คนโดยนับถึงปลายปี พ.ศ. 2488 จำนวนคนที่เสียชีวิตทันทีในวันที่ระเบิดลงมีจำนวนประมาณครึ่งหนึ่งของจำนวนที่กล่าวนี้ และในระยะต่อมาก็ยังมีผู้เสียชีวิตด้วยการบาดเจ็บหรือจากการรับกัมมันตรังสีที่ถูกปลดปล่อยออกมาจากการระเบิดอีกนับหมื่นคน ผู้เสียชีวิตเกือบทั้งหมดในทั้ง 2 เมืองเป็นพลเรือน
หลังการทิ้งระเบิดลูกที่สองเป็นเวลา 6 วัน ญี่ปุ่นประกาศตกลงยอมแพ้สงครามต่อฝ่ายพันธมิตรเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2488 และลงนามในตราสารประกาศยอมแพ้สงครามมหาสมุทรแปซิฟิกที่นับเป็นการยุติสงครามโลกครั้งที่สอง อย่างเป็นทางการในวันที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2488 (นาซีเยอรมนีลงนามตราสารประกาศยอมแพ้และยุติสงครามโลกครั้งที่สองในทวีปยุโรปอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2488) การทิ้งระเบิดทั้งสองลูกดังกล่าวมีส่วนทำให้ประเทศญี่ปุ่นต้องยอมรับหลักการ 3 ข้อว่าด้วยการห้ามมีอาวุธนิวเคลียร์
Remove ads
โครงการแมนฮัตตัน
สหรัฐอเมริกา อังกฤษและแคนาดา ได้ร่วมมือกันตั้งโครงการลับ "ทูบอัลลอยด์" และ "สถานีวิจัยคลาค รีเวอร์" เพื่อออกแบบและพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ลูกแรก ภายใต้โครงการที่เรียกว่า "โครงการแมนฮัตทัน" ภายใต้การค้นคว้าวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ และนักฟิสิกส์อเมริกัน นาม เจ. โรเบิร์ต ออปเพนไฮเมอร์ ระเบิดปรมาณูที่ใช้ถล่มเมืองฮิโรชิมะของญี่ปุ่น ที่ชื่อ "ลิตเติลบอย" นั้น ได้ใช้ ยูเรเนียม - 235, ลูกระเบิดลูกแรกถูกทดสอบที่ ทรีนิตี้, นิวเม็กซิโก ในวันที่ 16 กรกฎาคม 2488 ส่วนระเบิดที่ชื่อ “แฟตแมน” ซึ่งใช่ถล่มนางาซากินั้นใช้ พลูโตเนียม - 239
การเลือกเป้าหมายทิ้งระเบิด

ในวันที่ 10 - 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2488 ได้มีการคัดเลือกเป้าหมายที่ Los Alamos โดยด็อกเตอร์ เจ. โรเบิร์ต ออพเพนไฮเมอร์ นักฟิสิกส์ ใน "โครงการแมนฮัตทัน" ได้แนะนำ เป้าหมายสำหรับระเบิดลูกแรก คือ เมืองเกียวโต, ฮิโรชิมะ และ โยโกฮามา โดยใช้เงื่อนไขที่ว่า:
- เป้าหมายต้องมีพื้นที่ขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 3 ไมล์และเป็นเขตชุมชุนที่สำคัญขนาดใหญ่
- ระเบิดต้องสามารถทำลายล้างและสร้างความเสียหายได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- เป้าหมายมียุทโธปกรณ์และที่ตั้งของทหารต้องได้รับการระบุที่ตั้งแน่นอน เพื่อป้องกันหากการทิ้งระเบิดเกิดข้อผิดพลาด
Remove ads
ฮิบะกุชะ
สรุป
มุมมอง

ผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดในครั้งนั้น เรียกจุดที่ระเบิดถูกทิ้งลงใส่ฮิโรชิมะ ว่า "ฮิบะกุชะ" ในภาษาญี่ปุ่นหรือแปลเป็นภาษาไทยว่า "จุดระเบิดที่มีผลกระทบต่อชาวญี่ปุ่น" ด้วยเหตุนี้ ญี่ปุ่นจึงมีนโยบายต่อต้านการใช้ระเบิดปรมาณู ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และประกาศเจตนาให้โลกรู้ว่า ญี่ปุ่นมีนโยบายจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ ในวันที่ 31 เดือนมีนาคม 2551 "ฮิบะกุชะ" มีรายชื่อผู้เสียชีวิตจากทั้งสองเมืองของญี่ปุ่น ที่ถูกจารึกไว้ประมาณ 243,692 คน และในเดือนสิงหาคมของปีเดียวกัน มีรายชื่อผู้เสียชีวิตที่ถูกจารึกไว้เพิ่มขึ้นมากกว่า 400,000 คน โดยแบ่งออกเป็นเมืองฮิโรชิมะ 258,310 คน และเมืองนางาซากิ 145,984 คน
ผู้รอดชีวิตชาวเกาหลี
ในระหว่างสงครามนั้น ญี่ปุ่นได้เกณฑ์แรงงานชาวเกาหลีไปใช้งานอย่างทาสในทั้งสองเมือง ทั้งฮิโรชิมะ และนางาซากิ ปัจจุบันคาดการณ์ว่ามีชาวเกาหลีที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ระเบิดนิวเคลียร์ในประเทศญี่ปุ่น ที่เมืองฮิโรชิมะ ประมาณ 20,000 คน และอีกประมาณ 2,000 คน เสียชีวิตที่เมืองนางาซากิ ซึ่งประชากรเกาหลีที่เสียชีวิตในเหตุการณ์นี้มากถึง 1 ใน 7 ของจำนวนผู้เสียชีวิตทั้งหมด ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา ชาวเกาหลีพยายามต่อสู้เพื่อรับการดูแลรักษาผลกระทบจากเหตุการณ์นี้ อย่างไรก็ตาม ทุกคนได้รับการเยียวยาภายใต้กฎหมายในปัจจุบัน
คณะกรรมการเหยื่อระเบิดนิวเคลียร์
คณะกรรมการเหยื่อระเบิดนิวเคลียร์ (Atomic Bomb Casualty Commission - ABCC) เป็นคณะกรรมการที่ก่อตั้งขึ้นในปี 1946 ตามคำสั่งประธานาธิบดีของ Harry S. Truman วัตถุประสงค์เดียวของคณะกรรมการนี้คือการศึกษาผลกระทบจากระเบิดนิวเคลียร์ต่อผู้รอดชีวิต เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่าพวกเขาจะไม่มีโอกาสอีกครั้งจนกว่าจะเกิดสงครามโลกครั้งถัดไป.[1][2] ดังนั้น คณะกรรมการนี้จึงศึกษาเกี่ยวกับสุขภาพของฮิบาคูชะ (ผู้รอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์) แต่ไม่ได้ให้การรักษาพวกเขา ผู้นำอเมริกันมองว่าการรักษาผู้รอดชีวิตจากระเบิดนิวเคลียร์เป็นการยอมรับความรับผิดชอบต่อการบาดเจ็บของพวกเขา ผลที่ตามมาคือ ฮิบาคูชะรู้สึกว่าตนเองถูกปฏิบัติราวกับเป็น หนูทดลอง โดยคณะกรรมการ ABCC.[1][3][4][5]
คณะกรรมการ ABCC ยังมุ่งเน้นไปที่เขต Nishiyama ของนางาซากิ ระหว่างจุดศูนย์กลางการระเบิดและ Nishiyama มีภูเขาขวางอยู่ ซึ่งทำให้รังสีและความร้อนจากการระเบิดไม่สามารถถึง Nishiyama ได้โดยตรง และไม่มีความเสียหายเกิดขึ้น แต่เนื่องจากเถ้าถ่านและฝนที่ตกลงมา ทำให้พบว่ามีรังสีจำนวนมากอยู่ที่นั่น ในช่วงหลังสงครามจึงมีการดำเนินการศึกษาสุขภาพโดยไม่แจ้งให้ประชาชนทราบถึงวัตถุประสงค์ของการศึกษา[6] ในตอนแรกการศึกษาใน Nishiyama ได้ดำเนินการโดยกองทัพสหรัฐ แต่ภายหลังได้ถูกส่งต่อให้กับคณะกรรมการ ABCC
ไม่กี่เดือนหลังจากการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ ผู้คนใน Nishiyama มีการเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในจำนวนเม็ดเลือดขาว ในสัตว์ การเกิดโรคเลือดขาว (leukemia) อาจเกิดขึ้นหลังจากการสัมผัสรังสีทั่วทั้งร่างกาย ดังนั้นจึงต้องการศึกษาว่าเกิดอะไรขึ้นกับมนุษย์ นอกจากนี้ยังพบการเกิด มะเร็งกระดูก ในมนุษย์หลังจากการรับสารกัมมันตภาพรังสีทางปาก[6][7] ตามรายงานที่เขียนโดยคณะกรรมการ ABCC จึงพบว่าผู้อยู่อาศัยในเขต Nishiyama ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์เป็นกลุ่มประชากรที่เหมาะสมสำหรับการสังเกตผลกระทบจากรังสีตกค้าง[6][7]
สหรัฐอเมริกายังคงการศึกษารังสีตกค้างต่อไปหลังจากที่ญี่ปุ่นได้รับเอกราชแล้ว แต่ผลการศึกษานั้นไม่เคยถูกส่งต่อให้กับประชาชนในเขต Nishiyama.[8] ผลที่ตามมาคือหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้อยู่อาศัยยังคงทำการเกษตร และจำนวนผู้ป่วยโรคเลือดขาว (leukemia) เพิ่มขึ้นและมีผู้เสียชีวิตมากขึ้น.[8]
หลังจากการทิ้งระเบิดนิวเคลียร์ นักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นต้องการทำการศึกษาเพื่อช่วยให้ฮิบากุชะหายจากโรค แต่ SCAP ไม่อนุญาตให้ชาวญี่ปุ่นทำการศึกษาเกี่ยวกับความเสียหายจากระเบิดนิวเคลียร์.[6] โดยเฉพาะกฎระเบียบจนถึงปี 1946 ค่อนข้างเข้มงวด ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจากรังสีเพิ่มขึ้น.[9]
หากฮิบากุชะปฏิเสธที่จะเข้ารับการตรวจสุขภาพตามปกติ ABCC ขู่ว่าจะนำพวกเขาไปขึ้นศาลทหารฐานข้อหาก่ออาชญากรรมสงคราม นอกจากนี้ หากฮิบากุชะเสียชีวิต ABCC จะไปเยี่ยมบ้านของพวกเขาเป็นการส่วนตัวและนำร่างไปทำการชันสูตรศพ.[10] คณะกรรมการ ABCC ยังพยายามนำร่างของฝาแฝดที่ตายตั้งแต่เกิดไปทำการศึกษาอีกด้วย.[11] เชื่อกันว่าอย่างน้อย 1,500 อวัยวะถูกส่งไปยัง Armed Forces Institute of Pathology ในกรุงวอชิงตัน.[10]
Remove ads
ผลกระทบเชิงลบต่อกองทัพและนโยบายต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา
สรุป
มุมมอง
นักเขียนและนักเศรษฐศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ฟร็องเดอริก แซ็งต์แคลร์ ชี้ให้เห็นว่าการทิ้งระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมาและนางาซากิถูกฝังอยู่ในกลยุทธ์ทางทหารของสหรัฐอเมริกาในฐานะ "ประสบการณ์ที่ประสบความสำเร็จ" ซึ่งนำไปสู่การที่สหรัฐฯ ดำเนินการบนสมมติฐานที่ผิดพลาดว่า "การปราบปรามศัตรูด้วยกำลัง" จะได้ผลในสงครามครั้งต่อไป เช่น สงครามเวียดนาม และสงครามอิรัก จึงทำให้เกิดผลเสียในระยะยาว[12]
เหตุการณ์ในวันที่ 6, 9 และ 10 สิงหาคม 1945 สนับสนุนข้อสันนิษฐานที่ว่านักการทหารอเมริกันได้จดจำไว้ และยังคงหยิบยกขึ้นมาทบทวนอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็มีตัวอย่างที่ตรงกันข้ามหลายครั้ง เช่น ความพ่ายแพ้ที่อ่าวหมูในปี 1961 ความล้มเหลวอันน่าทึ่งของสงครามเวียดนาม ระหว่างปี 1955 ถึง 1975 สงครามอัฟกานิสถานที่ยืดเยื้อยาวนานซึ่งเริ่มขึ้นหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2001 ความล้มเหลวของสงครามอิรักที่เริ่มในปี 2003 แม้สหรัฐฯ จะประกาศชัยชนะและล้มล้างเผด็จการไปแล้ว หากพิจารณาจากความวุ่นวายในภูมิภาคที่เกิดขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา และนี่ไม่ใช่รายการที่ครบถ้วน
นักประวัติศาสตร์ชาวอเมริกันผู้เชี่ยวชาญด้านญี่ปุ่นสมัยใหม่ จอห์น ดาวเวอร์ ก็ชี้ให้เห็นว่าการที่สหรัฐฯ มองบวกต่อการยึดครองญี่ปุ่นและการทิ้งระเบิดปรมาณูนั้น ส่งผลเสียในภายหลัง เขาให้เหตุผลว่าญี่ปุ่นน่าจะยอมจำนนแม้ไม่มีการรุกรานของสหรัฐฯ ตราบใดที่สหรัฐฯ ยอมรับการคงอยู่ของจักรพรรดิ ซึ่งท้ายที่สุดก็เป็นเช่นนั้น[13]
ดาวเวอร์ยังวิจารณ์รัฐบาลบุชที่ส่งเสริมญี่ปุ่นให้เป็นกรณีศึกษาความสำเร็จของการเป็นประชาธิปไตยในบริบทที่ไม่ใช่ตะวันตก เขาชี้ว่าการกระทำดังกล่าวไม่เพียงแต่ละเลยการถกเถียงที่ต่อเนื่องและขัดแย้งในญี่ปุ่นเกี่ยวกับช่วงเวลาการยึดครองเท่านั้น แต่ยังไม่เห็นความแตกต่างอันมหาศาลระหว่างญี่ปุ่นและอิรัก แม้จะมีความแตกต่างเหล่านี้ รัฐบาลก็พยายามใช้ญี่ปุ่นเป็นแบบอย่าง[14]
เป็นตัวอย่าง ดาวเวอร์ระบุว่าญี่ปุ่นได้ผ่านการพัฒนาประชาธิปไตยมาแล้ว เช่น การตรากฎหมาย รัฐธรรมนูญเมจิ หลังการ ฟื้นฟูเมจิ และ ประชาธิปไตยไทโช เขายังเน้นถึงความโดดเด่นทางภูมิศาสตร์ในฐานะประเทศเกาะ ประวัติศาสตร์ความเป็นเอกลักษณ์ร่วมกันมายาวนาน และการขาดความแตกแยกในสังคมอย่างลึกซึ้งโดยอิงตามศาสนาหรือชาติพันธุ์[14]
แนวโน้มนี้ดำเนินต่อไปจนถึงปี 2024 โดยที่ ลินด์ซีย์ เกรแฮม โต้แย้งว่าตั้งแต่สหรัฐฯ ทิ้งระเบิดปรมาณูสองลูกที่ญี่ปุ่นในช่วงท้ายของสงครามโลกครั้งที่ 2 อิสราเอลก็ควรใช้ระเบิดทุกชนิดในฉนวนกาซา[15] อเล็กซ์ โล คอลัมนิสต์ประจำฮ่องกงเขียนว่าชนชั้นปกครองของอเมริกากำลังคลุ้มคลั่ง โดยหยิบยกอาชญากรรมสงครามหรือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอเมริกาออกมาหลายกรณีเพื่อทำให้การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของอิสราเอลเป็นที่ยอมรับ[16] ทิม วอลเบิร์ก และ แรนดี ไฟน์ ก็มีมุมมองเดียวกันและแสดงความคิดเห็นคล้ายคลึงกัน[17][18][19]
Remove ads
อ้างอิง
หนังสือและเอกสารอ่านเพิ่มเติม
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads