คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

คดีปราสาทพระวิหาร

กรณีพิพาทระหว่างประเทศกัมพูชากับประเทศไทย จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

คดีปราสาทพระวิหาร
Remove ads

คดีปราสาทพระวิหาร เป็นกรณีพิพาทเกี่ยวกับอาณาเขตระหว่างประเทศกัมพูชาและประเทศไทย ซึ่งเริ่มต้นขึ้นใน พ.ศ. 2501 จากข้อขัดแย้งเรื่องการอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทพระวิหารซึ่งตั้งอยู่บนแนวชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ตรงข้ามกับชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหาร ความขัดแย้งดังกล่าวมีต้นตอจากการที่ทั้งสองฝ่ายอ้างอิงแผนที่ปักปันเขตแดนคนละฉบับ โดยฝ่ายไทยยึดแนวสันปันน้ำของเทือกเขาพนมดงรักเป็นหลัก ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาใช้แผนที่ซึ่งจัดทำโดยนักภูมิศาสตร์ฝรั่งเศสในยุคอาณานิคม ต่อมาเมื่อความสัมพันธ์ระหว่างกัมพูชากับไทยเสื่อมลงหลังกัมพูชาได้รับเอกราช จึงฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศกรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ใน พ.ศ. 2502

ข้อมูลเบื้องต้น ปราสาทพระวิหาร (คดีระหว่างกัมพูชากับไทย), Temple of Preah Vihear (Cambodia v. Thailand) ...

เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษาให้ตัวปราสาทพระวิหารอยู่ในอำนาจอธิปไตยของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 โดยอาศัยหลักกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยการยอมรับโดยปริยาย (tacit acceptance) ซึ่งตีความว่ารัฐบาลไทยในขณะนั้นได้ยอมรับแผนที่ที่จัดทำโดยฝรั่งเศสโดยมิได้มีการคัดค้านอย่างเป็นทางการ ทั้งที่เป็นแผนที่ซึ่งระบุเส้นเขตแดนให้ตัวปราสาทอยู่ในฝั่งกัมพูชา อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาไม่ได้รับรองหลักฐานเขตแดนของประเทศใด และมิได้กล่าวถึงพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรที่ยังคงเป็นข้อพิพาทระหว่างทั้งสองประเทศ

ในช่วงปี พ.ศ. 2551–2554 หลังจากที่กัมพูชาเสนอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งมรดกโลก ได้เกิดเหตุการณ์ปะทะด้วยอาวุธระหว่างทหารไทยและกัมพูชาในบริเวณโดยรอบปราสาท ในปี พ.ศ. 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศขอให้มีการตีความคำพิพากษาเดิม โดยเน้นประเด็นเกี่ยวกับ "บริเวณโดยรอบปราสาท" ซึ่งศาลกำหนดว่าหมายถึงชะง่อนผาที่ตัวปราสาทตั้งอยู่เท่านั้น

Remove ads

เบื้องหลัง

สรุป
มุมมอง

หลังจากกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศสในวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2493 ประเทศไทยได้เป็นประเทศแรกที่ได้ให้การรับรอง จนมีการตั้งสำนักผู้แทนทางการทูตขึ้นที่กรุงพนมเปญและสัมพันธภาพก็เจริญมาด้วยดีโดยตลอด จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2501 เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำสหราชอาณาจักร ซัมซารี เขียนบทความเกี่ยวกับสิทธิเหนือปราสาทเขาพระวิหารลงในนิตยสาร กัมพูชาวันนี้ (le Combodge d'aujourd'hui) มีเนื้อหาส่วนหนึ่งระบุว่า "ไทยอ้างสิทธิเหนือวิหารนี้ โดยการใช้กำลังทหารเข้ายึดเอาพระวิหาร"จากนั้นมาวิทยุและหนังสือพิมพ์ของกัมพูชาพาดพิงเรื่องสิทธิเหนือปราสาทเขาพระวิหารนี้อยู่เรื่อย ๆ จนเกิดกระแสทวงเขาพระวิหารคืนจากไทย[2] แต่ยังไม่รุนแรงนัก นอกจากนี้ยังมีเหตุการณ์ปล้นสะดมทางชายแดนไทย-กัมพูชาเสมอ ๆ ทำให้รัฐบาลไทยในขณะนั้นได้เสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการผสมเพื่อดำเนินการตรวจสอบเส้นเขตแดน แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากรัฐบาลกัมพูชา ทำให้ความสัมพันธ์เริ่มทรุดลงอย่างรวดเร็ว

วันที่ 4 สิงหาคม พ.ศ. 2501 รัฐบาลไทยจึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดตราด, จันทบุรี, ปราจีนบุรี, สุรินทร์, บุรีรัมย์, ศรีสะเกษ และอำเภอเดชอุดม จังหวัดอุบลราชธานี โดยมีใจความแถลงว่าได้มีโจรผู้ร้ายข้ามแดนเข้ามาทำร้ายร่างกาย ประทุษร้ายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนเหตุการณ์จึงตึงเครียดหนักขึ้น[3]

วันที่ 11 สิงหาคม 2501 มีการเจรจาเพื่อปรับปรุงความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชาขึ้นที่กรุงเทพมหานคร แต่ไม่สามารถเจรจาตกลงกันได้ วันที่ 7 กันยายน ปีเดียวกัน ประเทศไทยได้เดินขบวนประท้วงประเทศกัมพูชา และอ้างถึงกรรมสิทธิ์ของไทยเหนือเขาพระวิหาร นอกจากนี้ยังมีการโจมตีระหว่างสื่อไทยและกัมพูชากันอยู่เนื่อง ๆ จนกระทั่งวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501 รัฐบาลกัมพูชาได้ตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย และความสัมพันธ์ก็เลวร้ายลงจนไปสู่การฟ้องร้องต่อศาลโลก[ต้องการอ้างอิง]

เจ้านโรดมสีหนุ นายกรัฐมนตรีกัมพูชาขณะนั้น นำเรื่องขึ้นเสนอสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในปี พ.ศ. 2502 โดยใช้แผนที่ผนวก 1 เป็นหลักฐานสำคัญ

Remove ads

รายละเอียดคดี

สรุป
มุมมอง
Thumb
คดีปราสาทพระวิหารระหว่างการพิจารณาโดยศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ณ กรุงเฮก

ในการต่อสู้คดี ไทยพยายามต่อสู้ว่าศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่มีอำนาจวินิจฉัยในคดีนี้เพราะไทยไม่เคยออกประกาศยอมรับอำนาจศาล แต่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้เหตุผลว่า ไทยเคยมีจดหมายถึงเลขาธิการสหประชาชาติความว่า "ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า โดยคำประกาศลงวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2472 รัฐบาลในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ยอมรับเขตอำนาจบังคับของศาลประจำยุติธรรมระหว่างประเทศ ตามมาตรา 36 วรรคสองของธรรมนูญศาลโลกมีระยะเวลา 10 ปี และอยู่ภายใต้เงื่อนไขของการปฏิบัติต่างตอบแทนกัน ต่อมา ในวันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2483 คำประกาศนั้นก็ได้รับการขยายออกไปอีก 10 ปี

บัดนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่จะแจ้งให้ทราบว่า รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้ขยายคำประกาศดังกล่าวข้างต้นออกไปอีกเป็นเวลา 10 ปี ตั้งแต่วันที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ภายใต้ข้อจำกัด เงื่อนไข และข้อสงวนเช่นเดียวกับคำประกาศ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2472" เท่ากับเป็นการยอมรับอำนาจศาลยุติธรรมระหว่างประเทศแล้ว[4]

ส่วนในการพิจารณาสาระสำคัญของคดี พบว่าระหว่างปี 2447 ถึง 2451 ประเทศฝรั่งเศสในฐานะเป็นรัฐผู้อารักขากัมพูชาทำสัญญากับราชอาณาจักรสยามอยู่หลายฉบับ แต่มีสัญญาอยู่ฉบับหนึ่งที่เป็นต้นเหตุของปัญหานี้ คือ สนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ร.ศ. 122 มีความตกลงอยู่ว่า พรมแดนที่เป็นปัญหาให้ถือเอาสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ในการแบ่งเขตแดน และให้แต่งตั้งคณะกรรมการปักบันเขตแดน เพื่อได้ทำการสำรวจบริเวณพื้นที่แถบนั้น[5] ต่อมาในปี 2450 ทางการสยามได้ขอให้ทางฝรั่งเศสทำแผนที่พรมแดน ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ขึ้นจำนวนหนึ่ง หนึ่งในนั้นเป็นแผนที่ที่ฝรั่งเศสลากเส้นเอาเขาพระวิหารไปอยู่ในฝั่งเขตแดนกัมพูชาของทางฝรั่งเศสด้วย โดยมิได้ยึดแนวสันปันน้ำเป็นเกณฑ์ (แผนที่นี้ต่อมาเรียกว่า "แผนที่ผนวก 1" (Annex I map)) ทางการสยามเองไม่ได้คัดค้านแผนที่นั้นภายในเวลาอันสมควร คณะกรรมการฝ่ายไทยไม่ได้ดำเนินการใด ๆ เลย แม้จะไม่ได้แสดงการยอมรับ แต่ก็ไม่ได้ทำการคัดค้านว่าแผนที่ฉบับที่มีปัญหานั้นไม่ถูกต้อง เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยในขณะนั้นคือ สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ตรัสขอบใจราชทูตฝรั่งเศสผู้นำส่งแผนที่นั้น และผู้ว่าราชการจังหวัดก็มิได้ทำการทักท้วง[5]

ปี 2468 มีการจัดทำสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส โดยมีการอ้างอิงถึงเขตแดนดังกล่าว และในการเจรจาสนธิสัญญาระหว่างสยาม-ฝรั่งเศส ณ กรุงวอชิงตัน เมื่อปี 2490 รัฐบาลสยามไม่ได้ประท้วงประเด็นดังกล่าว[5] นอกจากนี้ในปี 2473 สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้เสด็จไปเขาพระวิหาร โดยมีผู้สำเร็จราชการฝรั่งเศสรับเสด็จในฐานะทรงเยือนจังหวัดหนึ่งของกัมพูชา[5] แม้ในระหว่าง 2477–2478 มีการสำรวจพบว่ามีความแตกต่างระหว่างเส้นพรมแดนในแผนที่และแนวสันปันน้ำจริง และได้มีการทำแผนที่อื่น ๆ ซึ่งแสดงว่าปราสาทดังกล่าวอยู่ในราชอาณาจักรสยาม แต่สยามยังคงใช้และจัดพิมพ์แผนที่ที่แสดงว่าพระวิหารตั้งอยู่ในกัมพูชาต่อไป[5] เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาว่า รัฐบาลไทยขณะนั้นได้ยอมรับ (acquiese) ว่า ฝรั่งเศส มีอำนาจอธิปไตยเหนือเขาพระวิหารเป็นเวลายาวนานถึง 50 ปีมาแล้ว ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศการยอมรับโดยปริยาย (Qui tacet consentire videtur si loqui debuisset ac potuisset)

อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่า ศาลโลกจะยอมรับมุมมองของไทยว่าพื้นที่ปราสาทพระวิหารเป็นของไทยหากวาดเส้นเขตแดนอย่างเคร่งครัดตามถ้อยคำของข้อ 1 แห่งสนธิสัญญาเขตแดนปี 2447 และยึดเส้นสันปันน้ำภูมิศาสตร์[1]

วันที่ 15 มิถุนายน 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จึงได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยคะแนนเสียง 9 ต่อ 3 นอกจากนั้นยังตัดสินด้วยคะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ให้ประเทศไทยส่งคืนโบราณวัตถุที่นำออกมาจากปราสาทเขาพระวิหารตั้งแต่ปี 2497 ซึ่งเป็นปีที่ประเทศไทยได้เข้ายึดครองพื้นที่ดังกล่าว[5]

แผนที่ที่ใช้ในคดี
Thumb
แผนที่เขตแดนฝรั่งเศส–สยามซึ่งจัดทำขึ้นเมื่อปี 2450 ซึ่งกัมพูชาใช้อ้างอธิปไตยเหนือปราสาทพระวิหาร ("แผนที่ภาคผนวก 1")
Remove ads

คณะผู้พิพากษาและตัวแทนทั้งสองฝ่าย

สรุป
มุมมอง

ผู้พิพากษา

ผู้พิพากษามีทั้งหมด 14 ท่าน คะแนนเสียง 9 ต่อ 3 ตัดสินว่าปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในอาณาเขตภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา และ คะแนนเสียง 7 ต่อ 5 ตัดสินว่า ไทยต้องคืนวัตถุสิ่งประติมากรรม แผ่นศิลา ส่วนปรักหักพังของอนุสาวรีย์รูปหินทราย เครื่องปั้นดินเผาโบราณและปราสาทหรือบริเวณเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา[6][7]

  • โบดาน วินิอาร์สกิ (Bohdan Winiarski) : ชาวโปแลนด์ เป็นประธาน[8] — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • ริคาร์โด อาลฟาโร (Ricardo Alfaro) : ชาวปานามา เป็นรองประธาน — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • ลูซิโอ มอเรโน กินตานา (Lucio Moreno Quintana) : ชาวอาร์เจนตินา — พิพากษาให้เป็นของไทย
  • เวลลิงตัน คู (Wellington Koo) : ชาวจีนไต้หวัน — พิพากษาให้เป็นของไทย
  • เซอร์ เพอร์ซี สเปนเดอร์ (Percy Spender) : ชาวออสเตรเลีย — พิพากษาให้เป็นของไทย
  • จูลส์ บาเดอวังต์ (Jules Basdevant) : ชาวฝรั่งเศส — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • อับดุล บาดาวี (Abdul Badawi) : ชาวอียิปต์ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • เซอร์ เจรัลด์ ฟิตซ์มอริส (Sir Gerald Fitzmaurice) : ชาวอังกฤษ — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • วลาดิเมียร์ คอเรดสกี (Vladimir Koretsky) : ชาวรัสเซีย — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • โคะทะโระ ทะนะกะ (Kotaro Tanaka) : ชาวญี่ปุ่น — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • โจเซ่ บุสตามันเต อี ริเบโร (José Bustamante y Rivero) : ชาวเปรู — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • เกตาโน มอเรลลี (Gaetano Morelli) : ชาวอิตาลี — พิพากษาให้เป็นของกัมพูชา
  • สปีโรปูลอส (Jean Spiropoulos) : ชาวกรีก — งดออกเสียง (ป่วย)
  • โรแบร์โต คอร์โดวา (Roberto Cordova) : ชาวเม็กซิโก — งดออกเสียง (ป่วย)
  • ฟิลิป เจสซัป (Philip Jessup) : ชาวอเมริกา (ทนายฝ่ายไทย)
  • กานเย กวนเยต์ (Garnier-Coignet) : นายทะเบียนศาล

คณะผู้แทนของประเทศไทย[6]

Thumb
คณะผู้แทนฝ่ายไทย ในคดีเขาพระวิหาร
ทนาย
  • หม่อมราชวงศ์เสนีย์ ปราโมช: เนติบัณฑิต
  • อังรี โรแลง (Henry Rolin) : ศาสตราจารย์กิตติมศักดิ์ มหาวิทยาลัยบรัสเซลส์ และทนายความประจำศาลอุทธรณ์ กรุงบรัสเซลส์
  • เซอร์ แฟรงก์ ซอสคีส (Sir Frank Soskice) : อดีตแอททอร์นี เยเนราล ในคณะรัฐบาลอังกฤษ
  • เจมส์ เนวินส์ ไฮด์ (James Nevins Hyde) : เนติบัณฑิตแห่งรัฐนิวยอร์ก และทนายความประจำศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา
  • มาร์เซล สลูสนี (Marcel Slusny) : อาจารย์มหาวิทยาลัยบรัสเซลส์ และทนายความประจำศาลอุทธรณ์ กรุงบรัสเซลส์
  • เจ.จี. เลอ เคนส์ (J. G. Le Quesne) : เนติบัณฑิต
ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
  • พลโท บุศรินทร์ ภักดีกุล: เจ้ากรมแผนที่ กระทรวงกลาโหม
  • สุข เปรุนาวิน: รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
  • จินดา ณ สงขลา: รองเลขาธิการ ก.พ.
  • พันโท พูนพล อาสนจินดา: อาจารย์โรงเรียนแผนที่ กรมแผนที่ กระทรวงกลาโหม
ที่ปรึกษาทางกฎหมาย
  • จาพิกรณ์ เศรษฐบุตร: หัวหน้ากองกฎหมาย กรมสนธิสัญญาและกฎหมาย กระทรวงต่างประเทศ
  • เดวิด เอส ดาวนส์ (David S. Downs) : ทนายความประจำศาลสูง ประเทศอังกฤษ
ผู้เชี่ยวชาญ
  • ศาสตราจารย์ วิลเลม เชอร์เมอร์ฮอร์น: (Profressor Willem Schermerhorn) คณบดีศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการสำรวจทางอากาศ และผู้อำนวยการศูนย์ฝึกอบรมระหว่างประเทศเพื่อการสำรวจทางอากาศของศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติฯ เมืองเดลฟท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์
  • ฟรีดริช อัคเคอร์มันน์: (Friedrich E. Acкerman) ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษ อาจารย์ศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติด้านการสำรวจทางอากาศ เมืองเดลฟท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ และเป็นพยานในทางคดี
  • เฮอร์มัน ทีโอดอร์ แฟร์สตัปเปิน: (Herman Theodoor Verstappen) นักธรณีวิทยา หัวหน้าฝ่ายธรณีวิทยาของศูนย์ฝึกอบรมนานาชาติเพื่อการสำรวจทางอากาศ เมืองเดลฟท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์

คณะผู้แทนของประเทศกัมพูชา[6]

Thumb
คณะผู้แทนฝ่ายกัมพูชา ในคดีเขาพระวิหาร
  • ฯพณฯ ตรวง กัง (Truong Cang) : สมาชิกสภาองคมนตรีและอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดกำปงธม เป็นตัวแทน และเป็นพยานในทางคดี
ทนาย
  • ฯพณฯ อุค ชุม (Ouk Chhoim) : อัครราชทูตที่ปรึกษาสถานเอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศฝรั่งเศส
  • ดีน แอจิสัน (Dean Acheson) : เนติบัณฑิตประจำศาลสูงสุดแห่งสหรัฐอเมริกา อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ สมัยประธาธิบดี ทรูแมน
  • โรเช่ ปินโต (Roger Pinto) : อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส
  • โปล เรอแตร์ (Paul Reuter) : อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยปารีส
ที่ปรึกษาทางกฎหมาย
ที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
  • พันเอก งิน กาเรต (Ngin Karet) : อธิบดีกรมแผนที่ แห่งกองทัพกัมพูชา
เลขาธิการคณะผู้แทน
  • ชาญ ยูรัน (Chan Youran)
รองเลขาธิการคณะผู้แทน
  • เขม สงวน (Chem Snguon)
Remove ads

ปฏิกิริยา

สรุป
มุมมอง

ฝ่ายไทย

ตัวอย่างเสียง:
Sarit Dhanarajata's statement on July 4, 1962
"แถลงการณ์ของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต่อประชาชนชาวไทย เรื่องปราสาทเขาพระวิหาร เมื่อวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2505"
  • หากไม่ได้ยินเสียง โปรดดูเพิ่มที่ วิกิพีเดีย:วิธีใช้สื่อ
  • วันที่ 3 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 หลังจากศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินแล้ว 18 วัน จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้มีแถลงการณ์การกล่าวปราศรัยเกี่ยวกับการสูญเสียปราสาทพระวิหาร ผ่านทางสถานีวิทยุเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ภายหลังทราบคำตัดสินของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไว้ว่า

    ในวันนี้ ข้าพเจ้าอยากจะกล่าวว่า ข้าพเจ้ามาพูดกับท่านด้วยน้ำตา แต่น้ำตาของข้าพเจ้าเป็นน้ำตาของลูกผู้ชาย ขอเลือดของความคลั่งแค้น และการผูกใจเจ็บไปชั่วชีวิต ทั้งชาตินี้และชาติหน้า

    พี่น้องชาวไทยที่รัก ในวันหนึ่งข้างหน้า เราจะต้องเอาปราสาทพระวิหาร กลับคืนมาเป็นของชาติไทยให้จงได้!
    "สวัสดี"


    จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์
    3 กรกฎาคม พ.ศ. 2505

    ซึ่งคำปราศรัยที่กล่าวมานี้ได้มีการเผยแพร่ในวันต่อมาหนึ่งวัน คือวันที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ.2505

    Thumb
    ทหารและตำรวจตระเวนชายแดนเชิญเสาธงชาติไทยจากยอดผาเป้ยตาดี 15 กรกฎาคม 2505

    วันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว 20 กว่าวัน รัฐบาลไทยโดย ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลกโดยอ้างว่าคำพิพากษานั้นขัดต่อกฎหมายและความยุติธรรม นอกจากนี้ ยังสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคตด้วย

    "ในแถลงการณ์เป็นทางการลงวันที่ 3 กรกฎาคม ค.ศ. 1962 (พ.ศ. 2505) รัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ประกาศต่อประชาชนแสดงความไม่เห็นพ้องด้วยกับคำพิพากษาของศาลที่กล่าวข้างต้น โดยมีเหตุผลว่า ตามความเห็นของรัฐบาล คำพิพากษาขัดต่อข้อกำหนดอันชัดแจ้งของบทที่เกี่ยวเนื่องของสนธิสัญญา ค.ศ. 1904 (พ.ศ. 2447) และ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2450) และขัดต่อหลักกฎหมาย และความยุติธรรม แต่อย่างไรก็ดีรัฐบาลก็ยังแถลงว่าในฐานะที่เป็นสมาชิกสหประชาชาติรัฐบาลของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะปฏิบัติตามพันธกรณีที่ตนมีอยู่ตามคำพิพากษาดังกล่าว เพื่อปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์ตามข้อ 94 ของกฎบัตร

    ข้าพเจ้าใคร่จะแจ้งให้ท่านทราบว่า ในการตัดสินใจที่จะปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศในคดีเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารนั้น รัฐบาล ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ปรารถนาที่จะตั้งข้อสงวนอันชัดแจ้งเกี่ยวกับสิทธิใด ๆ ที่ประเทศไทยมีหรืออาจมีในอนาคต เพื่อเอาปราสาทพระวิหารกลับคืนมา โดยอาศัยกระบวนการกฎหมายที่มีอยู่หรือที่จะพึงนำมาใช้ได้ในภายหลัง และตั้งข้อประท้วงต่อคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ที่ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา"[9]

    หลังจากนั้น เวลา 12:00 นาฬิกา วันที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 พลโทประภาส จารุเสถียร ได้คุมทหารและตำรวจตระเวนชายแดนเชิญธงชาติไทยจากหน้าผาเป้ยตาดีลงมาทั้งเสาโดยไม่ชักธงลง และนำไปติดตั้งไว้บริเวณฐานปฏิบัติการ ตชด. ที่ผามออีแดง และทางกัมพูชาก็ส่งเจ้าหน้าที่ขึ้นมาประจำการบนปราสาท ทำให้ฝ่ายกัมพูชาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ฝ่ายไทยเชิญธงชาติโดยการยกเสาธงชาติไปทั้งต้น

    ฝ่ายกัมพูชา

    หลังจากที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้ตัดสินให้ปราสาทเขาพระวิหารตกเป็นของกัมพูชา ได้มีการเฉลิมฉลองทั่วทั้งพระราชอาณาจักรกัมพูชา มีการประกาศวันหยุดราชการ และในปี พ.ศ. 2506 สมเด็จเจ้าสีหนุได้เสด็จขึ้นปราสาทพระวิหารเพื่อทำพิธีบวงสรวง ทางสะพานโบราณ (ช่องบันไดหัก) หลังจากที่ทรงทราบว่ากัมพูชาชนะคดีปราสาทพระวิหาร[ต้องการอ้างอิง]

    ข้อมูลเบื้องต้น วิดีโอหลายคลิปจากแหล่งข้อมูลภายนอก ...
    Remove ads

    การตีความคำพิพากษา

    เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลกเพื่อขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 (เกี่ยวกับพื้นที่บริเวณโดยรอบตัวปราสาทพระวิหาร) และในวันเดียวกันประเทศกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลโลกเพื่อขอให้ศาลระบุมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อรักษาสิทธิของกัมพูชาอย่างเร่งด่วน [10] เหตุการณ์ดังกล่าวนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างไทยกับกัมพูชาอีกครั้ง ปัจจุบันคดีดังกล่าวยังอยู่ในระหว่างกระบวนพิจารณาของศาลโลก

    Remove ads

    อ้างอิง

    แหล่งข้อมูลอื่น

    Loading related searches...

    Wikiwand - on

    Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

    Remove ads