คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ความสัมพันธ์ไทย–ภูฏาน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่างราชอาณาจักรไทยและราชอาณาจักรภูฏานได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2532 นับเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือทางการทูตระหว่างสองประเทศที่มีลักษณะคล้ายคลึงกันทั้งในด้านวัฒนธรรม ประเพณี และระบบการปกครองแบบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ[1] ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับภูฏานดำเนินไปด้วยความราบรื่นและเป็นมิตร ภายใต้หลักการเคารพอธิปไตยของกันและกัน ส่งเสริมความเข้าใจอันดีและความร่วมมือในด้านต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ประเทศไทยเป็นหนึ่งใน 53 ประเทศที่สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับภูฏาน ซึ่งเป็นประเทศที่มีนโยบายการทูตแบบจำกัดพันธมิตร
นับตั้งแต่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูต ทั้งสองประเทศได้แลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูงระหว่างผู้นำประเทศและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอย่างสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ประเทศไทยได้ให้การสนับสนุนภูฏานในหลายด้าน ได้แก่ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การศึกษา การสาธารณสุข และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ขณะที่ภูฏานก็ให้การสนับสนุนจุดยืนของไทยในเวทีระหว่างประเทศ ตลอดจนความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในองค์การพหุภาคี เช่น องค์การสหประชาชาติ และความร่วมมืออนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ในด้านวัฒนธรรม ประชาชนของทั้งสองประเทศมีความเข้าใจและเคารพรากฐานทางศาสนาและประเพณีที่คล้ายคลึงกัน โดยเฉพาะในแง่ของพระพุทธศาสนาแบบมหายานและเถรวาท ซึ่งยังคงมีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของประชาชน ทั้งสองประเทศยังได้ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนด้านการศึกษาและเยาวชนอย่างต่อเนื่อง รวมถึงสนับสนุนโครงการฝึกอบรมและทุนการศึกษาสำหรับนักเรียนและเจ้าหน้าที่ของภูฏานในประเทศไทย การดำเนินงานเหล่านี้เป็นการวางรากฐานที่มั่นคงต่อความร่วมมือระยะยาว และสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันในการสร้างความสัมพันธ์ทวิภาคีที่ยั่งยืนและมีประสิทธิภาพ
Remove ads
การท่องเที่ยว
ด้านการท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีไทยและภูฏานเห็นพ้องสนับสนุนนโยบาย "Two Kingdoms, One Destination" เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวร่วมกันระหว่างไทยและภูฏาน โดยนายกรัฐมนตรียังได้เชิญชวนภูฏานเข้าร่วมงานส่งเสริมการท่องเที่ยว "Thailand Travel Mart Plus" ที่จังหวัดเชียงใหม่ในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเป็นงานสำคัญที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวจากทั่วโลกได้พบปะและสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว
Remove ads
ประวัติ
สรุป
มุมมอง

ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศภูฏานและประเทศไทยได้รับการสถาปนาอย่างเป็นทางการใน พ.ศ. 2532 และได้มีการพัฒนาความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศตั้งอยู่บนพื้นฐานของความคล้ายคลึงกันในหลายด้าน ทั้งในแง่ของระบบการปกครองที่เป็นระบอบราชาธิปไตยภายใต้รัฐธรรมนูญ วัฒนธรรมที่หยั่งรากลึกในพระพุทธศาสนา และมรดกทางจิตวิญญาณที่มีลักษณะร่วมกัน โดยประชากรส่วนใหญ่ของทั้งภูฏานและไทยนับถือพระพุทธศาสนา ส่งผลให้เกิดความใกล้ชิดทางวัฒนธรรมและความเข้าใจในมิติทางจิตใจระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ
ประเทศไทยตั้งอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในขณะที่ภูฏานเป็นประเทศขนาดเล็กที่ตั้งอยู่บนเทือกเขาหิมาลัยตอนใต้ แม้ว่าประเทศไทยยังไม่มีสถานเอกอัครราชทูตประจำอยู่ในภูฏานโดยตรง แต่ความสัมพันธ์ทางการทูตของไทยกับภูฏานได้ดำเนินผ่านสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงธากา ประเทศบังกลาเทศ ซึ่งมีเขตอาณาครอบคลุมประเทศภูฏาน ในทางกลับกัน ประเทศภูฏานมีสถานเอกอัครราชทูตประจำอยู่ ณ กรุงเทพมหานคร ซึ่งทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางในการส่งเสริมความร่วมมือทวิภาคีในด้านต่าง ๆ อาทิ การศึกษา การท่องเที่ยว การแพทย์แผนไทย และการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
การดำเนินงานผ่านสถานเอกอัครราชทูตดังกล่าวถือเป็นกลไกสำคัญในการสนับสนุนความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ทั้งช่วยสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนและส่งเสริมความร่วมมือเชิงนโยบาย รวมถึงความร่วมมือในมิติทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม ความร่วมมือดังกล่าวมีส่วนสำคัญในการกระชับความสัมพันธ์ให้มีความมั่นคงและยั่งยืน ตลอดจนสนับสนุนการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และทรัพยากรทางวิชาการระหว่างสองประเทศอย่างต่อเนื่อง
Remove ads
ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรม
สรุป
มุมมอง
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ความร่วมมือระหว่างประเทศไทยและประเทศภูฏานด้านการท่องเที่ยวมีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ ทั้งสองประเทศได้แสดงความพยายามในการส่งเสริมการเดินทางข้ามพรมแดนของประชาชน เพื่อกระชับความสัมพันธ์และสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างกัน การพัฒนาความร่วมมือนี้เกิดขึ้นจากปัจจัยหลายประการ ทั้งความใกล้ชิดทางภูมิศาสตร์ วัฒนธรรม ประเพณี และศาสนา โดยเฉพาะพระพุทธศาสนา ซึ่งถือเป็นศาสนาประจำชาติของประชากรทั้งสองประเทศและมีบทบาทสำคัญในการกำหนดวิถีชีวิต ศีลธรรม และคุณค่าทางสังคมของประชาชน การท่องเที่ยวระหว่างไทย–ภูฏานจึงไม่เพียงเป็นกิจกรรมเชิงเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการสร้างความเข้าใจระหว่างวัฒนธรรมและส่งเสริมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นทางสังคมและจิตวิญญาณของประชาชน
นอกเหนือจากความร่วมมือด้านการท่องเที่ยว ไทยและภูฏานยังได้ขยายความร่วมมือในด้านการศึกษาอย่างต่อเนื่อง โดยมหาวิทยาลัยไทยหลายแห่ง อาทิ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ และมหาวิทยาลัยรังสิต ได้เปิดโอกาสให้นักศึกษาชาวภูฏานเข้าศึกษาต่อในระดับอุดมศึกษา[2] การรับนักศึกษาชาวภูฏานไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาศักยภาพทางวิชาการของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการสร้างทรัพยากรมนุษย์ของภูฏานให้สามารถพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และการบริหารจัดการภายในประเทศอย่างยั่งยืน
สถาบันอุดมศึกษาของไทยได้จัดตั้งโครงการทุนการศึกษาเพื่อสนับสนุนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของภูฏาน ผ่านการเรียนการสอนในประเทศไทย[2][3] ซึ่งรวมถึงการจัดการศึกษาในระดับปริญญาตรีและปริญญาโท โดยมีเป้าหมายในการเสริมสร้างความเชี่ยวชาญทางวิชาชีพและองค์ความรู้เชิงวิชาการของนักศึกษา อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมความเข้าใจระหว่างประเทศในมิติของการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมและประสบการณ์การเรียนรู้ ความร่วมมือด้านการศึกษาเชิงลึกนี้สะท้อนถึงวิสัยทัศน์ร่วมของทั้งสองประเทศในการสร้างความเข้มแข็งทางทรัพยากรมนุษย์ และถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างยั่งยืน
โดยรวม ความร่วมมือระหว่างไทยและภูฏานในด้านการท่องเที่ยวและการศึกษาสะท้อนถึงความสัมพันธ์ทางการทูตที่แน่นแฟ้น และความมุ่งมั่นร่วมกันในการส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งในแง่มิติของเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และประสบการณ์เชิงวิชาการระหว่างทั้งสองประเทศถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างรากฐานความสัมพันธ์ระยะยาว พร้อมทั้งสนับสนุนการสร้างเครือข่ายความร่วมมือในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติอย่างต่อเนื่อง
สวนมิตรภาพ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยและประเทศภูฏานได้รับการสถาปนาและส่งเสริมผ่านกิจกรรมทางวัฒนธรรมและพิธีการระดับชาติหลายครั้ง โดยมีการแลกเปลี่ยนทางการทูตและวัฒนธรรมที่สะท้อนถึงความใกล้ชิดของทั้งสองประเทศ หนึ่งในเหตุการณ์สำคัญเกิดขึ้นเมื่อเจ้าชายชิกเม เคซาร์ นัมเกยล วังชุก มกุฎราชกุมารภูฏานในขณะนั้น เสด็จเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการเพื่อทอดพระเนตรมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2549 ซึ่งจัดขึ้นในภาคเหนือของประเทศไทย การจัดงานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปีของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร โดยรัฐบาลภูฏานได้เข้าร่วมในการจัดสวนเฉลิมพระเกียรติด้วยงบประมาณประมาณ 10 ล้านบาท[4]
ต่อมา เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงธากา ร่วมกับองค์การบริหารกรุงทิมพู ได้จัดพิธีเปิด "สวนมิตรภาพภูฏาน–ไทย" อย่างเป็นทางการ เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 20 ปีแห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ รวมทั้งเนื่องในโอกาสวันครบรอบพิธีราชาภิเษกของสมเด็จพระราชาธิบดีชิกเม เคซาร์ นัมเกยล วังชุก[5] สวนแห่งนี้ยังมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ในฐานะสถานที่เฉลิมฉลองวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 54 ของสมเด็จพระราชาธิบดีชิกเม เซ็งเค วังชุก อดีตพระมหากษัตริย์ภูฏาน และวันคล้ายวันพระราชสมภพปีที่ 82 ของพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร[6]
Remove ads
ดูเพิ่ม
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads