คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
บาบิโลน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
บาบิโลน เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิบาบิโลนโบราณ ซึ่งอาจสื่อถึงสองจักรวรรดิต่างหากในเมโสโปเตเมียสมัยโบราณ จักรวรรดิทั้งสองนี้ประสบความสำเร็จในการครอบครองภูมิภาคในศตวรรษที่ 19 ถึง 15 ก่อน ค.ศ. และอีกครั้งในศตวรรษที่ 7 ถึง 6 ก่อน ค.ศ. นครนี้สร้างขึ้นริมแม่น้ำยูเฟรติสทั้งสองฝั่งที่มีทำนบสูงชันเพื่อกั้นน้ำหลากตามฤดูกาล พื้นที่นครโบราณตั้งอยู่ใต้ของแบกแดดในปัจจุบัน
บันทึกแรกสุดที่กล่าวถึงบาบิโลนในฐานะเมืองขนาดเล็กปรากฏในแผ่นดินเหนียวในรัชสมัย Shar-Kali-Sharri (2217–2193 ปีก่อน ค.ศ.) แห่งจักรวรรดิแอกแคด[2] บาบิโลนเป็นศูนย์กลางทั้งทางวัฒนธรรมและศาสนา และไม่ได้เป็นทั้งรัฐอิสระหรือนครใหญ่ โดยอยู่ภายใต้อำนาจของจักรวรรดิแอกแคดที่รวมดินแดนที่พูดภาษาแอกแคดและซูเมอร์ภายใต้การปกครองเดียวกัน เหมือนกับส่วนที่เหลือของเมโสโปเตเมีย หลังจักรวรรดิล่มสลาย ภูมิภาคเมโสโปเตเมียตอนล่างปกครองโดยชาวกูเทียมาหลายทศวรรษก่อนจุดรุ่งเรืองของราชวงศ์อูร์ที่สาม ซึ่งครอบคลุมทั้งเมโสโปเตเมีย (รวมเมืองบาบิโลน)
เมืองนี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของนครรัฐอิสระขนาดเล็กที่ภายหลังกลายเป็นจักรวรรดิบาบิโลนที่หนึ่ง (ปัจจุบันรู้จักกันในชื่อ จักรวรรดิบาบิโลนเก่า) เมื่อศตวรรษที่ 19 ก่อนคริสต์ศักราช กษัตริย์ฮัมมูราบีแห่งอามูร์ก่อตั้งจักรวรรดิบาบิโลนเก่าที่มีอายุสั้นในศตวรรษที่ 18 ก่อนคริสต์ศักราช พระองค์ทำให้บาบิโลนเป็นเมืองใหญ่และประกาศตนเองเป็นกษัตริย์ เมโสโปเตเมียตอนใต้มีชื่อใหม่้ป็นบาบิโลเนีย และเมืองบาบิโลนทำหน้าที่เป็นนครศักดิ์สิทธิ์ประจำภูมิภาคแทนนิปปูร์ จักรวรรดิเริ่มเสื่อมสลายในรัชสมัยซัมซู-อิลูนา พระราชโอรสในฮัมมูราบี และบาบิโลนก็ตกอยู่ภายใต้การปกครองของอัสซีเรีย, แคสไซต์ และเอลามเป็นเวลายาวนาน หลังฝ่ายอัสซีเรียทำลายและสร้างเมืองใหม่ บาบิโลนจึงกลายเป็นเมืองหลวงระยะสั้นของจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ใน 609 ถึง 539 ปีก่อน ค.ศ. สวนลอยบาบิโลนจัดให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลก หลังจักรวรรดิบาบิโลเนียใหม่ล่มสลาย ตัวเมืองจึงอยู่ภานใต้การปกครองของจักรวรรดิอะคีเมนิด, ซิลูซิด, พาร์เธีย, โรมัน, ซาเซเนียน และมุสลิม ข้อมูลบันทึกที่อยู่อาศัยในเมืองครั้งสุดท้ายปรากฏในคริสต์ศตรรษที่ 10 โดยมีชื่อเรียกว่า "หมู่บ้านขนาดเล็กแห่งบาเบล"
คาดกันว่าบาบิโลนเคยเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อ ป. 1770 – 1670 ปีก่อน ค.ศ. และอีกครั้งเมื่อประมาณ 612 – 320 ปีก่อน ค.ศ. โดยอาจเป็นเมืองแรกที่มีประชากรมากกว่า 200,000 คน[3] ส่วนจำนวนพื้นที่ในช่วงสูงสุดมีขนาด 890[4] ถึง 900 เฮกตาร์ (2,200 เอเคอร์)[5]
ส่วนหลงเหลือของนครปัจจุบันอยู่ในอัลฮิลละฮ์ เขตผู้ว่าการบาบิล ประเทศอิรัก ทางใต้ของแบกแดดประมาณ 85 กิโลเมตร (53 ไมล์) และมีขอบเขตตามเส้นรอบรูปของกำแพงส่วนนอกโบราณ ซึ่งมีขนาดประมาณ 1,054.3 เฮกตาร์ (2,605 เอเคอร์)[6] ประกอบด้วย tell ของอาคารและซากที่ทำมาจากอิฐโคลนที่พังทลายขนาดใหญ่ แหล่งข้อมูลหลักเกี่ยวกับบาบิโลน (ในบริเวณที่มีการขุดค้น) มาจากช้อความอักษรรูปลิ่มที่พบในเมโสโปเตเมีย อ้างอิงในคัมภีร์ไบเบิล รายละเอียดในงานเขียนยุคคลาสสิก (โดยเฉพาะของเฮอรอโดทัส) และงานเขียนทุติยภูมิ (อ้างอิงในผลงานของ Ctesias และ Berossus) นำเสนอภาพเมืองโบราณที่ไม่สมบูรณ์ และบางครั้งก็ขัดแย้งกันเอง แม้แต่ข้อมูลช่วงสูงสุดในศตวรรษที่ 6 ก่อนคริสต์ศักราช[7] ยูเนสโกจัดให้บาบิโลนเป็นแหล่งมรดกโลกใน ค.ศ. 2019 แหล่งโบราณสถานนี้รองรับผู้เข้าชมพันกว่าคนทุกปี ซึ่งเกือบทั้งหมดเป็นชาวอิรัก[8][9] การก่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้เกิดการรุกล้ำซากปรักหักพัง[10][11][12]
Remove ads
ชื่อ
รูปสะกด Babylon เป็นรูปอักษรละตินของภาษากรีกว่า Babylṓn (Βαβυλών) ซึ่งมาจากภาษาแม่ (บาบิโลน) ว่า Bābilim หมายถึง "ประตูแห่งเทพเจ้า" โดยมีรูปสะกดตามอักษรรูปลิ่มคือ 𒆍𒀭𒊏𒆠 (KA₂.DIG̃IR.RAKI).[13][ไม่อยู่ในแหล่งอ้างอิง] ซึ่งตรงกับวลีภาษาซูเมอร์ว่า kan dig̃irak.[14]
ในคัมภีร์ฮีบรู ชื่อนี้ปรากฏเป็น Babel (ฮีบรู: בָּבֶל Bavel, Tib. בָּבֶל Bāḇel; ซีรีแอกคลาสสิก: ܒܒܠ Bāwēl, แอราเมอิก: בבל Bāḇel; อาหรับ: بَابِل Bābil) ในหนังสือปฐมกาลตีความว่าหมายถึง "ความสับสน"[15] โดยมาจากรูปกริยา bilbél (בלבל, "สับสน")[16]
ในวรรณกรรมภาษาบาลีและสันสกฤต ปรากฏชื่อเมืองเป็น Bāveru[17]
ในบางสถานการณ์ มีการบันทึกเมืองอื่นเป็น "บาบิโลน" ในบันทึกสมัยโบราณ เช่น บอร์ซิปปาที่อยู่ในเขตอิทธิพลของบาบิโลน และนิเนเวห์ใช้ชื่อนี้เป็นระยะสั้นหลังฝ่ายอัสซีเรียปล้นสะดมบาบิโลน[18][19]
Remove ads
ความสำคัญทางวัฒนธรรม
สรุป
มุมมอง


ก่อนการขุดค้นทางโบราณคดีสมัยใหม่ในเมโสโปเตเมีย รูปลักษณ์ของบาบิโลนยังคงเป็นเรื่องลึกลับ และศิลปินชาวตะวันตกมักจินตนาการเมืองนี้ว่ามีส่วนผสมระหว่างวัฒนธรรมอียิปต์โบราณ กรีกยุคคลาสสิค และออสโตมันร่วมสมัย[20]
พระคัมภีร์
ในหนังสือปฐมกาล[21] บาเบล (บาบิโลน) ได้รับการจัดตั้งโดยนิมโรด โดยก่อตั้งร่วมกับเอเรก, อัคคัด และอาจรวมคาลเนห์—ทั้งหมดอยู่ในชินาร์ (บางครั้งคำว่า "คาลเนห์" อทาจไม่แปลเป็นชื่อเฉพาะ แต่แปลเป็นวลี "ทั้งหมด") ส่วนอีกเรื่องราวหนึ่งปรากฏในปฐมกาล 11 ซึ่งกล่าวถึงประชาชาติมนุษย์ที่รวมเป็นหนึ่ง พูดภาษาเดียว อพบพไปที่ชินาร์เพื่อจัดตั้งเมืองและหอ (หอคอยบาเบล) พระเจ้าหยุดการก่อสร้างหอด้วยการทำให้มนุษยชาติกระจายไปทั่วทุกทิศ และทำให้การสื่อสารระหว่างพวกเขาสับสนเพื่อให้พวกเขาไม่เข้าใจกัน
หลังจากเฮเซคียาห์ กษัตริย์แห่งยูดาห์ ทรงพระประชวร บาลาดัน กษัตริย์แห่งบาบิโลน ส่งจดหมายและทรัพย์สมบัติมาให้พระองค์ เฮเซคียาห์จึงอวดสมบัติทั้งหมดให้แก่คณะทูต ภายหลังผู้เผยพระวจนะอิสยาห์จึงกล่าวแก่พระองค์ว่า: "จงฟังพระดำรัสขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่ว่า เวลานั้นจะมาถึงอย่างแน่นอน เมื่อทุกอย่างในวังของเจ้าและทุกสิ่งที่บรรพบุรุษของเจ้าได้สะสมไว้จวบจนบัดนี้จะถูกกวาดไปยังบาบิโลน จะไม่มีอะไรเหลือเลย"[22] ประมาณ 200 ต่อมา เนบูคัดเนสซาร์ กษัตริย์แห่งบาบิโลน ได้รุกรานยูดาห์ ล้อมเมืองเยรูซาเลม และกวาดล้างชาวยิวไปที่บาบิโลน[23]
ดาเนียลใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในบาบิโลน เนบูคัดเนสซาร์แต่งตั้งให้ดาเนียลปกครองทั้งแคว้นบาบิโลนหลังตีความความฝันของพะรองค์ได้ ปีต่อมา เบลชัสซาร์จัดงานเลี้ยงใหญ่ จากนั้นมีนิ้วมือหนึ่งปรากฏขึ้นและเขียนลงบนกำแพง จากนั้นจึงมีการเรียกตัวดาเนียวให้มาตีความข้อความนี้ โดยเขาอธิบายว่าพระเจ้าจะทำให้อาณาจักรของเบลชัสซาร์สิ้นสุดลง พระองค์ถูกปลงพระชนม์ในคืนนั้นและดาริอัสแห่งมีเดียจึงขึ้นครองอาณาจักรต่อ[24]
หนังสืออิสยาห์กล่าวถึงบาบิโลนไว้ว่า: "...จะถูกพระเจ้าล้มล้าง เหมือนเมืองโสโดมและโกโมราห์ ตลอดทุกชั่วอายุจะไม่มีใครมาตั้งรกรากอีกต่อไป ไม่มีใครมาอาศัยตลอดทุกชั่วอายุ ไม่มีชาวอาหรับมาตั้งเต็นท์ ไม่มีคนเลี้ยงแกะพาฝูงแกะมาพักอีก"[25] คันภีร์ไบเบิลได้ทำนายว่าดินแดนบาบิโลน, เอโดม, โบสราห์, โมอับ, ไทร์, ฮาโซร์ และบรรดาบุตรแห่งอัมโมนจะกลายเป็นเมืองโสโดมและโกโมราห์หรือไม่มีผู้อยู่อาศัยตลอดกาล[26]
ในศาสนาคริสต์ บาบิโลนเป็นสัญลักษณ์ของทางโลกและความชั่วร้าย บางครั้งคำทำนายเชื่อมกษัตริย์บาบิโลนเข้ากับลูซิเฟอร์ พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 ปรากฏเป็นผู้ปกครองที่สำคัญที่สุดในเรื่องเล่านี้[27]
หนังสือวิวรณ์ในคัมภีร์ไบเบิลกล่าวถึงบาบิดลนหลังสูญเสียสถานะศูนย์กลางทางการเมืองมาหลายศตวรรษ เมืองนี้ถูกเรียกเป็น "โสเภณีแห่งบาบิโลน" ขี่บนสัตว์ร้ายสีแดงเข้มที่มีเจ็ดหัวและสิบเขา และเมาเหล้าด้วยเลือดของผู้ศรัทธา นักวิชาการวรรณกรรมพยากรณ์บางส่วนเชื่อว่า "บาบิโลน" ในพันธะสัญญาใหม่เป็นคำไม่สุภาพที่ใช้เรียกจักรวรรดิโรมัน[28] ส่วนนักวิชาการอีกกลุ่มกล่าวแนะว่าบาบิโลนในพันธะสัญญาใหม่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ที่ขยายขอบเขตไปไกลกว่าจักรวรรดิโรมันในคริสต์ศตวรรษที่ 1[29]
Remove ads
บาบิโลนในศิลปะ
- พระเจ้าเนบูคัดเนซซาร์ที่ 2 มีพระราชดำรัสสั่งให้สร้างสวนลอยบาบิโลนแก่ Amytis มเหสีของพระองค์, René-Antoine Houasse, 1676
- งานศิลปะร่วมสมัยที่แสดงภาพบาบิโลนในช่วงสูงสุด
- การล่มสลายของบาบิโลน, mezzotint โดย จอห์น มาร์ติน, 1831
- บุตรีแห่งเยรูซาเล็มร่ำไห้ที่ริมน่านน้ำในบาบิโลน, โดย จอห์น มาร์ติน, 1834
- อเล็กซานเดอร์มหาราชได้รับกุญแจเมืองบาบิโลน, โดย Johann Georg Platzer, c. 1740
- Figured Apocalypse of the Dukes of Savoy – Escorial E Vit.5 – การล่มสลายของบาบิโลน, คริสต์ศตวรรษที่ 15
- กำแพงบาบิโลน โดย Antonio Tempesta, 1610
อ้างอิง
แหล่งข้อมูลอื่น
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads