คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
ประวัติศาสตร์เชียงใหม่ (พ.ศ. 2101–2317)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
หัวเมืองเชียงใหม่ (ไทยถิ่นเหนือ: ᩉ᩠ᩅᩫᨾᩮᩬᩥᨦᨩ᩠ᨿᨦᩉᩲ᩠ᨾ᩵,จีน: 整賣[1]) เป็นประเทศราชของกรุงหงสาวดี กรุงศรีอยุธยา และกรุงอังวะ โดยระยะแรก (พ.ศ. 2101–2206) ยังมีอำนาจในการปกครองตนเองในระดับหนึ่ง ในระยะหลัง (พ.ศ. 2207–2317) จึงถูกยุบรวมเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของพม่า[2]
Remove ads
ประวัติศาสตร์
สรุป
มุมมอง
การขยายอำนาจของพระเจ้าบุเรงนอง
อาณาจักรล้านนาเริ่มเสื่อมลงในปลายรัชสมัยพระเมืองแก้ว เมื่อกองทัพเชียงใหม่ได้พ่ายแพ้แก่ทัพเชียงตุงในการทำสงครามขยายอาณาจักร ไพร่พลในกำลังล้มตายลงเป็นจำนวนมาก ประกอบกับปีนั้นเกิดอุทกภัยใหญ่หลวงขึ้นในเมืองเชียงใหม่ ทำให้บ้านเรือนราษฎรเสียหายและผู้คนเสียชีวิตลงเป็นจำนวนมาก สภาพบ้านเมืองเริ่มอ่อนแอเกิดความไม่มั่นคง หลังจากพระองค์สิ้นพระชนม์ก็เกิดการจลาจลแย่งชิงราชสมบัติ ระหว่างขุนนางมีอำนาจมากขึ้น ถึงกับแต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าได้ เมื่อนครเชียงใหม่ศูนย์กลางอำนาจเกิดสั่นคลอน เมืองขึ้นต่าง ๆ ที่อยู่ในการปกครองของเชียงใหม่จึงแยกตัวเป็นอิสระ และไม่ส่งเครื่องราชบรรณาการอีกต่อไป ในยุคนี้ล้านนาถูกเข้าแทรกแซงอำนาจจากอาณาจักร์ล้านช้างและอยุธยาซึ่งล้านช้างเป็นฝ่ายชนะในการแทรกแซงล้านนา ส่งผลให้ล้านช้างได้เข้ามามีอิทธิพลเหนือหัวเมืองล้านนาทุกหัวเมืองซึ่งเจ้าเมืองแต่ละหัวเมืองได้ยอมอ่อนน้อมและอยู่ภายใต้อำนาจ ส่งผลให้อาณาจักร์ล้านนากลายเป็นรัฐในอารักขาของล้านช้างในที่สุดในระยะเวลาสั้นๆ ซึ่งพระยาโพธิสาลราชได้กลายเป็นจักรพรรดิที่อยู่เบื้องหลังของการรวมล้านนาเข้าไว้กับล้านช้างในช่วงสั้นๆโดยให้บุตรชายได้ปกครองเมืองเชียงใหม่ส่วนตนครองเมืองหลวงพระบางต่อไป ซึ่งเมืองหลวงพระบางในช่วงนี้มีอำนาจเหนือแคว้นล้านนาทุกหัวเมือง
เมื่อกรุงศรีอยุธยาแตกครั้งที่ 1 พระเจ้าบุเรงนอง แห่งอาณาจักรตองอูได้ทำศึกมีชัยชนะไปทั่วทุกทิศานุทิศ จนได้รับการขนานนามพระเจ้าผู้ชนะสิบทิศ พระเจ้าบุเรงนองได้ทำศึกยึดครองนครเชียงใหม่เป็นประเทศราชได้สำเร็จ รวมทั้งได้เข้าได้ยึดเมืองลูกหลวงและเมืองบริเวณของเชียงใหม่ไปเป็นประเทศราชด้วย ในช่วงแรกนั้นทางพม่ายังไม่ได้เข้ามาปกครองเชียงใหม่โดยตรง เนื่องจากยุ่งกับการศึกกับกรุงศรีอยุธยา แต่ยังคงให้ "พระเจ้าเมกุฎิ" ทำการปกครองบ้านเมืองต่อตามเดิม แต่ทางเชียงใหม่จะต้องส่งเครื่องราชบรรณาการไปให้หงสาวดี ต่อมา "พระเจ้าเมกุฎิ" ทรงคิดที่จะตั้งตนเป็นอิสระ ฝ่ายพม่าจึงปลดออกและแต่งตั้ง "พระนางวิสุทธิเทวี" เชื้อสายราชวงศ์มังรายพระองค์สุดท้าย ขึ้นเป็นกษัตริย์เชียงใหม่แทน จนกระทั่งพระนางราชเทวีสิ้นพระชนม์ ทางฝ่ายพม่าจึงได้ส่งสาวถีนรตรามังซอศรีมังสรธาช่อ พระราชโอรสในพระเจ้าบุเรงนอง มาปกครองแทน
รัชสมัยของนรธาเมงสอ
![]() | ส่วนนี้รอเพิ่มเติมข้อมูล คุณสามารถช่วยเพิ่มข้อมูลส่วนนี้ได้ (มีนาคม 2025) |
การรุกรานจากพม่าและสยาม
หลังนรธาเมงสอสิ้นพระชนม์ อาณาจักรล้านนาตกอยู่ในความวุ่นวายจากการแย่งชิงอำนาจระหว่างกลุ่มขุนนางฝ่ายที่สนับสนุนพระช้อยและฝ่ายที่สนับสนุนพระชัยทิพ ในปี พ.ศ. 2156/2157 ไทยสากล[note 1] (จ.ศ. 975) กองทัพเมืองลำปางตีเมืองเชียงใหม่แตก ฝ่ายลำปางปลงพระชนม์พระชัยทิพและยกพระช้อยขึ้นครองราชย์แทน เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงครามผู้ครองเมืองน่านส่งข่าวไปยังพระเจ้าอะเนาะเพะลูน[3] ส่งผลให้พระองค์ยกทัพมาล้อมเชียงใหม่และลำปางในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2157 ไทยสากล[4] การสู้รบเป็นไปอย่างดุเดือดและถูกบันทึกไว้ในโคลงมังทรารบเชียงใหม่[3] พระช้อยสิ้นพระชนม์ในระหว่างช่วงเวลาดังกล่าว ทำให้เมืองเชียงใหม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อพระเจ้าอะเนาะเพะลูนในวันที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2157 ไทยสากล ตามด้วยเมืองลำปางในวันต่อมา[4] ชาวเมืองเชียงใหม่ถูกกวาดต้อนไปยังหงสาวดี[2]
เมื่อยึดครองล้านนาได้แล้ว พระเจ้าอะเนาะเพะลูนทรงแยกเมืองเชียงแสนออกจากการปกครองของเชียงใหม่เป็นนครรัฐเชียงแสน โดยทรงตั้งเจ้าเมืองเชียงแสนเป็นเจ้าฟ้ากาเผือกขึ้นตรงต่อกษัตริย์พม่า[2] เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงครามทรงได้เป็นพระเจ้าเชียงใหม่ในปีต่อมา[5] พระเจ้าอะเนาะเพะลูนสิ้นพระชนม์ในปี พ.ศ. 2171 ไทยสากล และเกิดการแย่งชิงอำนาจระหว่างพระเจ้ามีนเยเดะบะและสุทโธธรรมราชา ทำให้เจ้าพลศึกซ้ายไชยสงครามทรงแข็งเมืองต่อพม่า[4] นำไปสู่สงครามตีเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2174 ไทยสากล เมืองเชียงใหม่ยอมแพ้ต่อพระเจ้าตาลูนในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2175 ไทยสากล[6] กองทัพพม่ากวาดต้อนเจ้าพลศึกซ้ายไชยสงครามและชาวเมืองเชียงใหม่ไปหงสาวดี[2] ในปีเดียวกัน จดหมายเหตุวันวลิตระบุว่า สมเด็จพระเจ้าปราสาททองทรงยกทัพขึ้นมาตีเชียงใหม่ ทำให้เจ้าเมืองเชียงใหม่ต้องทิ้งเมืองหนีไป ทำให้กองทัพอยุธยาเปลี่ยนเป้าหมายไปโจมตีนครลาวซึ่งเป็นประเทศราชของเชียงใหม่[7]
ภายหลังสงคราม พระเจ้าตาลูนมีพระราชโองการให้งดเก็บส่วยเมืองเชียงใหม่ และทรงให้ซ่อมแซมวัดภายในเมือง เมืองเชียงใหม่ในรัชสมัยของพระเจ้าตาลูนมีความเจริญรุ่งเรืองและมีการค้าที่เจริญเติบโต[2] จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2202 ไทยสากล สงครามระหว่างราชวงศ์หมิงใต้และราชวงศ์ชิงทำให้เกิดการรุกรานของจีนฮ่อในพม่าตอนบนและดินแดนโดยรอบ พญาแสนหลวงผู้ปกครองเมืองเชียงใหม่เห็นว่าพม่าไม่สามารถให้ความคุ้มครองเมืองเชียงใหม่ได้ จึงตัดสินใจสวามิภักดิ์ต่อสมเด็จพระนารายณ์มหาราชแห่งกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 2203 ไทยสากล สมเด็จพระนารายณ์มหาราชโปรดให้จัดกองทัพขึ้นไปป้องกันเมืองเชียงใหม่ในเดือนพฤศจิกายน ฝ่ายเชียงใหม่หลังจากทราบว่าการรุกรานของจีนฮ่อคลี่คลายแล้วจึงกลับไปสวามิภักดิ์กับพม่าตามเดิม สมเด็จพระนารายณ์มหาราชจึงดำรัสสั่งให้เข้าตีเมืองเชียงใหม่แทน[8] กองทัพอยุธยาตีเมืองเชียงใหม่แตกในต้นปี พ.ศ. 2204 ไทยสากล (จ.ศ. 1022[9][10] ปลายศก[11]) หรือไม่ช้ากว่าเดือนตุลาคม[12] เมืองเชียงใหม่จึงอยู่ภายใต้อำนาจของอยุธยา
ต่อมาอยุธยาไม่ประสบความสำเร็จในการตีหัวเมืองมอญพม่า พญาแสนหลวงจึงแข็งเมืองต่ออยุธยา ทำให้อยุธยายกทัพมาตีเมืองเชียงใหม่แตกอีกครั้งในวันที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2206 ไทยสากล[4] และกวาดต้อนผู้คนลงไปที่กรุงศรีอยุธยา[13] ชาวเชียงใหม่หลบหนีออกจากเมืองและคอยซุ่มโจมตีกองทัพอยุธยา จนในที่สุดฝ่ายอยุธยาตัดสินใจทิ้งเมืองเชียงใหม่ในปี พ.ศ. 2207 ไทยสากล[4][14]
การปกครองของราชวงศ์ตองอูและสภาพจลาจลในดินแดนล้านนา
เมื่อพระเจ้าปเยทรงทราบข่าวจากการถอยทัพของอยุธยาจากทางเมืองเชียงใหม่ จึงทรงแต่งตั้งให้มีนเยละจอให้เป็นเมียวหวุ่น[15][note 2]แห่งเชียงใหม่[4][14] พม่าเปลี่ยนแปลงนโยบายเป็นผนวกเมืองต่างๆ ในดินแดนล้านนาให้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักร ขุนนางพม่าจากราชสำนักถูกส่งมาปกครองร่วมกับขุนนางท้องถิ่น โดยผู้มีอำนาจปกครองสูงสุดคือเมียวหวุ่นแห่งเชียงใหม่ ตำแหน่งเจ้าเมืองของเมืองต่างๆ จะถูกสับเปลี่ยนเป็นประจำเพื่อป้องกันการสั่งสมอำนาจในท้องถิ่น[2]
ในปี พ.ศ. 2270 ไทยสากล (จ.ศ. 1089) งานโย เมียวหวุ่นแห่งเชียงใหม่ได้เรียกเก็บภาษีอย่างหนักและกดขี่ราษฎร[16][14] ทำให้เกิดกบฏตนบุญเทพสิงห์โค่นล้มผู้ปกครองพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ต่อมาเทพสิงห์ถูกโค่นล้มโดยเจ้าองค์คำ สภาวะสุญญากาศทางการเมืองทำให้เหล่าผู้ปกครองหัวเมืองล้านนาตอนล่างต่างแยกตัวเป็นอิสระและปกครองตนเองในลักษณะเดียวกับชุมนุมต่างๆหลังเสียกรุงครั้งที่ 2[17] เช่น พระยาไชยสงคราม (ทิพย์ช้าง)แห่งนครลำปาง และพญาหลวงติ๋นมหาวงศ์แห่งนครน่าน
รัชสมัยของเจ้าองค์คำเต็มไปด้วยศึกสงคราม กองทัพพม่าเข้าโจมตีเชียงใหม่ 4 ครั้ง[18] ในขณะเดียวกันเจ้าองค์คำก็เป็นพันธมิตรกับสมิงทอพุทธกิตติแห่งอาณาจักรหงสาวดีใหม่เพื่อต่อต้านพม่า[2] นอกจากนี้ เชียงใหม่ยังทำสงครามกับเมืองอื่นๆ ในดินแดนล้านนา เช่น ลำพูนในปี พ.ศ. 2280/2281 ไทยสากล[19] และเชียงแสนในปี พ.ศ. 2270 ไทยสากล และปี พ.ศ. 2301 ไทยสากล[9]
การยึดครองโดยราชวงศ์โก้นบอง
ในปี พ.ศ. 2300 อาณาจักรพม่ารวมเป็นหนึ่งได้อีกครั้งภายใต้ราชวงศ์โก้นบอง ทำให้นครต่างๆในดินแดนล้านนาต่างส่งบรรณาการมาสวามิภักดิ์[20] ต่อมาในปี พ.ศ. 2306 กองทัพพม่าเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ที่ยังคงตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ พร้อมทั้งปราบปรามหัวเมืองอื่นๆในล้านนา แต่ผู้ปกครองพม่าไม่สามารถควบคุมเมืองต่างๆได้อย่างสมบูรณ์[17] การขยายอำนาจของราชวงศ์ใหม่ผลักดันให้เหล่าเจ้าฟ้าไทใหญ่ขอความช่วยเหลือจากจีน นำไปสู่สงครามจีน–พม่า กองทัพจีนเข้าโจมตีรัฐเชียงแขงและรัฐเชียงตุงในปี พ.ศ. 2309 และสามารถยึดครองได้สำเร็จ ชิงฉือลู่ระบุว่า จ้าวจายเยฺวถี (จีน: 召齋約提[1]) แห่งเชียงใหม่เข้าสวามิภักดิ์ต่อจีนและได้รับการแต่งตั้งเป็นถู่ซือ อย่างไรก็ตาม เชียงใหม่กลับไปอยู่ภายใต้อำนาจพม่าอีกครั้งในปีถัดมา[21] หลักฐานฝ่ายล้านนาระบุว่า เชียงใหม่ร่วมกับเมืองต่าง ๆ ก่อกบฏต่อพม่า จนกระทั่งถูกปราบลงในปี พ.ศ. 2309 ไทยสากล[22][19] ซึ่งได้รับการสันนิษฐานว่า เกิดจากอิทธิพลของสงครามดังกล่าว[17] ความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองพม่าและผู้ปกครองท้องถิ่นยังคงดำเนินต่อไป จนกระทั่งอาณาจักรธนบุรีขยายอำนาจเข้าสู่ดินแดนล้านนา นำไปสู่สงครามเชียงใหม่ พ.ศ. 2317 โป่มะยุง่วน เมียวหวุ่นแห่งเชียงใหม่สละเมืองในวันที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2318 ไทยสากล[23][24][25] การปกครองของพม่าจึงสิ้นสุดลง
Remove ads
รายพระนามและรายนามผู้ปกครอง
สรุป
มุมมอง
รายพระนามและรายนามเจ้าเมืองเชียงใหม่และเมียวหวุ่นแห่งเชียงใหม่
พระรูป/รูป | รายพระนาม/รายนาม | เริ่ม (พ.ศ. ไทยสากล) | สิ้นสุด (พ.ศ. ไทยสากล) | หมายเหตุ |
มีนเยละจอ | 4 ธันวาคม 2207 | พฤษภาคม/มิถุนายน 2210 | ||
เจ้าฟ้าแห่งโม่ญี่น | พฤษภาคม/มิถุนายน 2210 | 13 เมษายน 2214 | ||
มีนเยยานดา | 13 เมษายน 2214 | 2225/2226
(จ.ศ. 1044) |
||
มีนเยนอระทา | 2225/2226
(จ.ศ. 1044) |
2261/2262
(จ.ศ. 1080) |
||
งานโย | 2261/2262
(จ.ศ. 1080) |
ก่อน 17 ธันวาคม 2270 | ||
ไฟล์:เทพสิงห์.jpg | เทพสิงห์ | ก่อน 17 ธันวาคม 2270 | ก่อน 17 มกราคม 2271
(จ.ศ. 1089 เดือน ? ขึ้น 6 ค่ำ[19]) |
พื้นเมืองเชียงแสนระบุว่า ชาวเชียงใหม่ก่อกบฏ จากนั้นยกทัพมาตีเชียงแสนในวันที่ 17 ธันวาคม (จ.ศ. 1089 เดือน 4 เหนือ ขึ้น 5 ค่ำ)[9] เทพสิงห์จะต้องขึ้นครองเมืองก่อนหน้านั้น
เทพสิงห์ครองเมืองเชียงใหม่ได้ประมาณ 1 เดือน (จันทรคติ) |
เจ้าองค์คำ | ก่อน 17 มกราคม 2271
(จ.ศ. 1089 เดือน ? ขึ้น 6 ค่ำ) |
19 ตุลาคม 2302[26]
(จ.ศ. 1121 เดือน 1 เหนือ แรม 14 ค่ำ) |
ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ไม่ระบุเลขเดือนของวันขึ้นครองเมือง วันสุดท้ายที่เป็นไปได้คือ 17 มกราคม (จ.ศ. 1089 เดือน 5 เหนือ ขึ้น 6 ค่ำ) กรณีเทพสิงห์ได้ครองเชียงใหม่ในเดือน 4 เหนือ | |
องค์จันทร์ | พฤศจิกายน 2302
(จ.ศ. 1121 เดือน 3 เหนือ[26]) |
17 มกราคม 2305[26]
(จ.ศ. 1123 เดือน 4 เหนือ แรม 8 ค่ำ[19]) |
||
เจ้าขี้หุด | 2305 | 31 สิงหาคม 2306[26]
(จ.ศ. 1125 เดือน 11 เหนือ แรม 8 ค่ำ[19]) |
||
โป่อภัยคามินี | 2306/2307
(จ.ศ. 1125) |
2311/2312
(จ.ศ. 1130) |
||
โป่มะยุง่วน | 2311/2312
(จ.ศ. 1130) |
14 มกราคม 2318[24]
(จ.ศ. 1136 เดือน 4 เหนือ ขึ้น 14 ค่ำ[23]) |
พระราชพงศาวดาร ฉบับพันจันทนุมาศ (เจิม) ระบุวันเสียเมืองเชียงใหม่ไว้ตรงกัน คือ จ.ศ. 1136 เดือนยี่ ขึ้น 14 ค่ำ[25] |
ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับรายนามผู้ปกครองเชียงใหม่ในตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่
รายนามผู้ปกครองเชียงใหม่ระหว่างปี พ.ศ. 2175 - 2270 เป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลายโดยอ้างอิงจากตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ผูกที่ 6[19] หรือหลักฐานชั้นหลังที่อ้างอิงตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ เช่น พงศาวดารโยนก[11] อย่างไรก็ตาม ตำนานพื้นเมืองเชียงใหม่ส่วนนี้ได้ถูกโต้แย้งว่านำเอาบันทึกของเชียงแสนและพม่ามาใช้โดยไม่ได้ตรวจสอบความถูกต้อง[27] และมีเนื้อหาขัดแย้งกับหลักฐานของพม่า เชียงแสน และอยุธยา[28]
ผู้ปกครอง | ข้อโต้แย้งโดยย่อ |
พระยาหลวงทิพเนตร | พื้นเมืองเชียงแสนและราชวงศาพื้นเมืองเชียงใหม่บ่งชี้ว่า เจ้าฟ้าหลวงทิพเนตรครองเมืองเชียงแสน ในขณะที่เมืองเชียงใหม่ว่างเจ้าเมือง |
พระแสนเมือง | เจ้าเมืองเชียงใหม่ถูกกวาดต้อนไปยังอยุธยาในปี พ.ศ. 2207
เจ้าฟ้าแสนเมืองครองเมืองเชียงแสนไปจนถึงปี พ.ศ. 2215 |
เจ้าเมืองแพร่ | ถูกโต้แย้งว่าบันทึกผิดเพี้ยนมาจากพระเจ้าปเย
ซึ่งทรงเคยเป็นเจ้าเมืองแปรมาก่อน |
อุปราชอึ้งแซะ | ถูกโต้แย้งว่าบันทึกผิดเพี้ยนมาจากพระเจ้านะราวะระ
ซึ่งทรงเป็นพระมหาอุปราชาพม่าในขณะนั้น |
เจพูตราย | ถูกโต้แย้งว่าบันทึกผิดเพี้ยนมาจากพระเจ้ามังกะยอดิน
ซึ่งทรงเป็นพระโอรสของเจ้าชายแห่งซีบุดะรา (Siputtara) |
Remove ads
หมายเหตุ
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads