คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง

นครน่าน

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

นครน่าน
Remove ads

นครน่าน เป็นนครรัฐบนที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน โดยแยกตัวออกมาจากการปกครองของเมืองเชียงใหม่ (ภายใต้การปกครองของพม่า) ในรัชสมัยของ พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 51 และปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2269–2294) และต่อมาเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรพม่าแห่งราชวงศ์อลองพญา และอาณาจักรธนบุรีตามลำดับ และในปี พ.ศ. 2331 สมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 57 และองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2329–2353) ได้เสด็จลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี นครน่าน จึงมีสถานะเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรสยาม ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ตอนต้น) เป็นต้นมา

ข้อมูลเบื้องต้น นครน่าน, สถานะ ...
Remove ads

ประวัติศาสตร์

สรุป
มุมมอง

การก่อตัวของรัฐ

ในปี พ.ศ. 2270 ได้เกิดกบฏตนบุญ เทพสิงห์ โค่นล้มผู้ปกครองพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ทำให้เกิดสภาวะสุญญากาศทางการเมืองในดินแดนล้านนา ถึงแม้ว่าพม่าพยายามที่จะย้ายศูนย์กลางการปกครองไปยังเมืองเชียงแสน[4]โดยมีกลุ่มรัฐต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาตอนบน ได้แก่ เมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองพะเยา ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า แต่กลุ่มรัฐต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาตอนล่าง ได้แก่ นครเชียงใหม่ นครน่าน นครลำปาง นครลำพูน นครแพร่ ได้แยกตัวเป็นจากพม่า และปกครองตนเองเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ในลักษณะเดียวกับชุมนุมต่าง ๆ หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ ผู้ซึ่งถูกสถาปนาแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์พม่าแห่งราชวงศ์ตองอู ให้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน" และได้สั่งสมฐานอำนาจในนครน่าน ทำให้สามารถปกครองนครน่านได้อย่างยาวนานโดยไม่ถูกอำนาจของพม่าแทรกแซงและสามารถสืบทอดอำนาจการปกครองในนครน่านต่อไปได้ภายใต้ราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์[5]

ต่อมาราชวงศ์อลองพญาสามารถรวบรวมอาณาจักรพม่าให้เป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง และทำให้นครต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาต่างส่งบรรณาการไปสวามิภักดิ์[6] ในปี พ.ศ. 2306 กองทัพพม่าเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ที่ยังคงตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ พร้อมทั้งปราบปรามหัวเมืองอื่น ๆ ในดินแดนล้านนา แต่ผู้ปกครองพม่าไม่สามารถควบคุมเมืองต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์[5] นครน่าน ร่วมกับเมืองต่าง ๆ ก่อกบฏต่อพม่า จนกระทั่งนครน่านถูกตีแตกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311[7]

นครน่านระหว่างสงครามพม่า–สยาม

หลังจากนครน่านถูกตีแตก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311 ราชสำนักพม่าได้เข้ามาควบคุมการแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่านลำดับถัดมา คือ เจ้านายอ้าย เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 53 และองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ และเจ้ามโน เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 54 และองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ หลังจากกรุงธนบุรีได้เมืองเชียงใหม่ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ได้เกลี้ยกล่อมเจ้าฟ้าเมืองน่านให้เข้าสวามิภักดิ์ต่อกรุงธนบุรี และฝ่ายกรุงธนบุรีได้ตั้งเจ้าวิธูรขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน โดยเจ้ามโนราชายินยอมสละอำนาจในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 และเดินทางออกจากนครน่านไป ฝ่ายพม่าที่เมืองเชียงแสนเมื่อทราบว่าเมืองน่านหันไปขึ้นกับอาณาจักรธนบุรีแล้ว จึงยกทัพเข้าโจมตีเมืองน่านในเดือนเมษายนทำให้เจ้าวิธูรต้องอพยพเชื้อพระวงศ์และชาวเมืองน่านหนีออกจากเมือง ต่อมาพระยากาวิละ เจ้าผู้ครองนครลำปาง ได้กล่าวหาว่าเจ้าวิธูร เป็นกบฏต่อกรุงธนบุรีและจับกุมเจ้าวิธูรลงไปยังกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2321 ในปีเดียวกัน เจ้ามโน นำผู้คนเข้ามาตั้งที่เมืองงั่ว กระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2323 กองทัพพม่าและเมืองยอง ยกมากวาดต้อนชาวเมืองน่านและเจ้ามโนไปยังเมืองเชียงแสน[7] เมืองน่านจึงกลายเป็นเมืองร้าง

ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2325 พม่าให้เจ้ามโนนำชาวเมืองน่านมาตั้งอยู่ที่เมืองเทิง ปีถัดมาสยามสนับสนุนพระยามงคลวรยศเป็นเจ้าเมืองน่าน โดยตั้งอยู่ที่เมืองท่าปลา เจ้ามโนถึงแก่พิราลัยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2327 ฝ่ายพม่าจึงสนับสนุนเจ้าอัตถวรปัญโญเป็นเจ้าเมืองน่านที่เมืองเทิง ภายหลังเมื่อ พ.ศ. 2329 เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาจากเมืองเทิง และปรึกษากับพระยามงคลวรยศที่เมืองท่าปลา ว่าจะขอเข้าสวามิภักดิ์กับฝ่ายสยาม พระยามงคลวรยศจึงยกราชสมบัติให้เจ้าอัตถวรปัญโญ[8]

การฟื้นฟูนครน่านและการขยายอำนาจ

ครั้งล่วงมาในปี พ.ศ. 2331 เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเพื่อขอเป็นข้าขอบขันฑสีมา หลังจากเจ้าอัตถวรปัญโญขึ้นครองเมืองน่าน ก็ยังมิได้เข้าไปอยู่เมืองน่านเสียทีเดียว เนื่องจากเมืองน่านยังรกร้างอยู่ เจ้าอัตถวรปัญโญได้ย้ายไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ คือ เมืองงั่วและเมืองพ้อ หลังจากเจ้าอัตถวรปัญโญได้เริ่มบูรณะซ่อมแซมเมืองน่านแล้ว จึงได้ขอพระบรมราชานุญาตกลับเข้ามาอยู่ในเมืองน่านในปี พ.ศ. 2344 เมื่อบูรณะแล้วเสร็จ เจ้าอัตถวรปัญโญจึงได้เข้ามาอยู่ในเมืองน่านในปี พ.ศ. 2345

หลังจากได้รับสถานะประเทศราชของสยาม นครน่านร่วมมือกับนครเชียงใหม่ นครลำปาง และนครแพร่ขยายอำนาจสู่ดินแดนของเชียงแสนซึ่งยังคงถูกปกครองโดยพม่า[4] จนในที่สุดก็สามารถทำลายเมืองเชียงแสนได้ในปี พ.ศ. 2347 ทำให้พม่าสูญสิ้นอิทธิพลไปจากล้านนาอย่างถาวร รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าหลวงเมืองน่าน มีพระนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าหลวงอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเจ้าสมณะ ผู้เป็นพระมาตุลา (น้าชาย) ในสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญขึ้นเป็น พระยาอุปราช เมืองน่าน หรือที่ราชสำนักนครน่านเรียกว่า พระยามหาอุปราชา เจ้าหอหน้า ดินแดนของเชียงแสนถูกตัดแบ่งให้กับนครเชียงใหม่และนครน่าน โดยนครน่านได้รับเมืองแก่นท้าว เมืองเทิง เมืองเชียงคำ และเมืองเชียงของ ซึ่งเปิดเส้นทางสู่กลุ่มนครรัฐไทลื้อในดินแดนสิบสองปันนาให้แก่นครน่าน[5]

พ.ศ. 2348 เจ้าอัตถวรปัญโญยกทัพขึ้นไปโจมตีกลุ่มนครรัฐไทลื้อ ทำให้นครน่านได้เมืองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาไว้ในอำนาจ เช่น เมืองภูคา รัฐเชียงแขง รวมถึงทำให้เมืองเชียงรุ่งยอมสวามิภักดิ์ต่อสยาม[9] อย่างไรก็ตาม นครน่านและนครเชียงใหม่ไม่สามารถรักษาอิทธิพลเหนือเชียงรุ่งไว้ได้ แม้ว่าจะพยายามเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในเชียงรุ่งหลายครั้ง จนกระทั่งเลิกล้มความพยายามไปหลังจากสยามตีเชียงตุงไม่สำเร็จในปี พ.ศ. 2397[5]

นครน่านถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรสยาม

ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 สยามเริ่มได้รับผลกระทบจากการขยายอำนาจของชาติตะวันตก ในปี พ.ศ. 2434 รัฐเชียงแขงอาศัยปัญหาอำนาจในการปกครองที่ไม่ชัดเจนขอแยกตัวออกจากนครน่านและขึ้นตรงต่อสยาม[5] ต่อมากรณีพิพาทในปี พ.ศ. 2436 ทำให้สยามต้องยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ซึ่งมีอาณาเขตบางส่วนของนครน่านรวมอยู่ด้วย สยามจึงเร่งผนวกประเทศราชต่าง ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ในปี พ.ศ. 2442 สยามประกาศจัดตั้งมณฑลลาวเฉียง ทำให้สถานะประเทศราชของนครน่านสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม เจ้าผู้ครองนครน่านยังคงมีตำแหน่งเจ้าและมีอำนาจในการปกครองบางส่วน[5] จนกระทั่งสยามเริ่มมีนโยบายไม่แต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครในปี พ.ศ. 2469[10] ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครน่านจึงสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2474

Thumb
อาณาเขตของนครน่านก่อนและหลังสนธิสัญญาสยาม–ฝรั่งเศส ร.ศ. 112 โดยเฮอร์เบิร์ต วาริงตัน สมิธ เจ้ากรมราชโลหกิจและภูมิวิทยาของสยาม ระหว่าง พ.ศ. 2438–2439[11]
Remove ads

ความสัมพันธ์กับสยาม

สรุป
มุมมอง

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2331 เป็นต้นมา นครน่าน มีสถานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยาม พระมหากษัตริย์สยามเป็นผู้มีอำนาจในการสถาปนาแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่าน (เจ้าหลวง) ให้ดำรงพระยศเป็น "พระเจ้าประเทศราช", "เจ้าประเทศราช", "พระยาประเทศราช" และเจ้าผู้ครองนครน่านมีพระสถานะเป็นกษัตริย์ประเทศราช ในยุคนี้พระมหากษัตริย์สยามทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาตั้งเจ้าผู้ครองนครน่านทุกพระองค์สืบมาจนถึง เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 (พ.ศ. 2462–2474) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายแห่งนครน่าน

ถึงแม้นครน่านมีสถานะเป็นประเทศราชเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เจ้าผู้ครองนครน่าน ทรงมีอำนาจสิทธิขาดในการปกครองอาณาเขตและพลเมืองของตน ถึงแม้ว่าการขึ้นครองนครจะต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ก็ตาม แต่โดยทางปฏิบัติแล้ว พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงให้อำนาจเจ้านายบุตรหลานและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักนครน่าน เลือกเจ้านายผู้มีอาวุโสขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครกันเอง โดยมิได้ทรงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน

เจ้าผู้ครองนครน่าน ในชั้นหลังทุกพระองค์ ต่างปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความเที่ยงธรรม มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ได้ช่วยราชการบ้านเมืองสำคัญ ๆ หลายครั้งหลายคราวด้วยกัน เช่น ช่วยราชการสงครามเชียงแสนในรัชกาลที่ 1 ปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ในรัชกาลที่ 3 ช่วยราชการสงครามเมืองเชียงตุง ในรัชกาลที่ 4 เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ ทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาในเมืองน่าน ซ่อมแซมวัดวาอารามต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ ทำให้เมืองน่านกลับคืนสู่สันติสุข ร่มเย็น ต่างจากระยะแรก ๆ ที่ผ่านมา

Remove ads

การปกครอง

สรุป
มุมมอง

ระเบียบบริหารการปกครองภายในนครน่าน แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่

  1. เจ้าห้าขัน หรือ เจ้าขันห้าใบ (ฝ่ายเจ้านายบุตรหลานเชื้อพระวงศ์)
  2. เค้าสนามหลวง หรือ สภาขุนนาง (ฝ่ายขุนนางเสนาอำมาตย์)
  3. สำนักเจ้าผู้ครองนคร (ฝ่ายขุนนางในราชสำนัก)

เจ้าห้าขัน หรือ เจ้าขันห้าใบ

ในปี พ.ศ. 2434 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ภายหลังเสร็จงานถวายพระเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระบรมราชโองการให้ เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ) ว่าที่เจ้าอุปราชนครน่าน ลงไปเฝ้าที่กรุงเทพฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนยศฐานันดรศักดิ์ เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ) ว่าที่เจ้าอุปราชนครน่าน ขึ้นเป็น เจ้านครเมืองน่าน สืบต่อจากพระบิดา และได้รับการเฉลิมพระนามว่า "เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุร มหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน"

และเนื่องจากได้มีการแก้ไขการปกครองแผ่นดินขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2435 โดยแบ่งการปกครองหัวเมืองออกเป็นมณฑลเทศาภิบาล แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งข้าราชการผู้ใหญ่จากกรุงเทพฯ เป็นผู้แทนพระองค์ต่างพระเนตรพระกรรณ มากำกับดูแลการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร และทรงแต่งตั้งเจ้านายบุตรหลานของเจ้าผู้ครองนคร ให้เป็นเจ้าศักดินาชั้นสัญญาบัตรลดหลั่นกันลงไปเป็นกรมการพิเศษ ช่วยเหลือการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร

เจ้าขันห้าใบแห่งนครน่าน

เจ้าขันห้าใบแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายระดับสูง ประกอบด้วย 5 ตำแหน่ง ดังนี้

  1. เจ้าผู้ครองนคร/พระเจ้าผู้ครองนคร (เจ้าหลวง หรือ กษัตริย์ประเทศราช)
  2. เจ้าอุปราช (เจ้าหอหน้า) รัชทายาทโดยตำแหน่ง
  3. เจ้าราชวงศ์
  4. เจ้าบุรีรัตน์
  5. เจ้าราชบุตร

เจ้าตำแหน่งรองและเจ้าตำแหน่งพิเศษแห่งนครน่าน

เจ้าตำแหน่งรองแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายระดับรองลงมาจากเจ้าขันห้าใบ ประกอบด้วย 10 ตำแหน่ง ดังนี้

  1. เจ้าสุริยวงษ์
  2. เจ้าราชสัมพันธวงษ์
  3. เจ้าราชภาคินัย
  4. เจ้าราชภาติกวงษ์
  5. เจ้าอุตรการโกศล
  6. เจ้าไชยสงคราม
  7. เจ้าราชดนัย
  8. เจ้าประพันธ์พงษ์
  9. เจ้าราชญาติ
  10. เจ้าวรญาติ

เจ้าตำแหน่งพิเศษแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงพระยศเป็น "พระ" ประกอบด้วย 8 ตำแหน่ง ดังนี้

  1. พระยาวังขวา (เฉพาะนครน่าน)
  2. พระยาวังซ้าย (เฉพาะนครน่าน)
  3. พระวิไชยราชา
  4. พระเมืองราชา
  5. พระเมืองไชย
  6. พระเมืองแก่น
  7. พระเมืองแก้ว
  8. พระเมืองน้อย

เค้าสนาม (สภาขุนนาง)

ระเบียบการปกครองฝ่ายธุรการนั้น ได้จัดเป็น “เค้าสนาม” เป็นที่ว่าการบ้านเมือง ซึ่งจะมีขุนนางพญาแสนท้าวกลุ่มหนึ่งเป็นผู้บริหารงานราชการส่วนกลาง การงานได้ดำเนินสำเร็จไปด้วยการประชุมปรึกษาเป็นประมาณ การงานที่ปฏิบัติในสนามนี้อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การงานที่ต้องนำขึ้นทูลเจ้าผู้ครองนครเพื่อทรงวินิจฉัยและบัญชาการอย่างหนึ่ง และการงานที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนอันไม่มีสารสำคัญสามัญสามารถที่จะกระทำเสร็จไปได้ที่สนาม โดยไม่ต้องนำขึ้นทูลเจ้าผู้ครองนครอีกอย่างหนึ่ง[8]

“ขุนนางเสนาเค้าสนามหลวง” ของนครน่าน มีทั้งหมดจำนวน 32 ตำแหน่ง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ “พญาปี๊นทั้ง 4” (หรือ “พ่อเมืองทั้ง 4”) คือ พญาผู้เป็นใหญ่ในเค้าสนามทั้ง 4 ท่าน มียศศักดิ์เป็น “พญาหลวง ปฐมอรรคมหาเสนาธิบดี” เป็นขุนนางชั้นสูงสุดมี 1 ตำแหน่ง และ “พญาหลวง อรรคมหาเสนาธิบดี” รองลงมาอีก 3 ตำแหน่ง กับ “ขุนเมืองทั้ง 8” เป็นขุนนางชั้นรองหัวหน้าและผู้ช่วยกรมการต่าง ๆ มียศศักดิ์เป็น “พญา, แสน, หลวง, ท้าว” ซึ่งเจ้าผู้ครองนครน่าน ได้ทรงแต่งตั้งให้มียศศักดิ์จัดไว้เป็นทำเนียบ ในรัชสมัย พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน มีรายนามดังต่อไปนี้

ขุนนางเสนาเค้าสนามหลวงนครน่าน

พญาปี๊น หรือพ่อเมืองทั้ง 4
ข้อมูลเพิ่มเติม ลำดับ, ตำแหน่ง ...
พญาชั้นรอง (หัวหน้ากรม)
ข้อมูลเพิ่มเติม กรม, หัวหน้ากรม ...

ราชสำนักเจ้าผู้ครองนคร

โดยพระสถานะของเจ้าผู้ครองนคร (เดิม) ทรงเป็นประมุขหรือพระเจ้าแผ่นดินน้อย ๆ เป็นเอกเทศอยู่ส่วนหนึ่งที่สำคัญของเจ้าผู้ครองนครซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินน้อย ๆ จึงไม่ผิดกับพระเจ้าแผ่นดินที่ครองราชย์ในอาณาจักรใหญ่ ๆ แต่อย่างใด กล่าวคือ ด้วยความเป็นใหญ่เป็นประธานในเหล่าพสกนิกร ผู้เป็นประมุขจักต้องบริหารการปกครองให้เจริญมั่นคง ดำรงแว่นแคว้นให้เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ทั่วไป เป็นผู้นำแบบความดีงามทั้งหลายทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนา นอกจากนี้ เพื่อจะยังให้พระเกียรติยศและความร่มเย็นเป็นสุขของราษฎรมีผลอันไพบูลย์ เจ้าผู้ครองนครทรงเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ย่อมจะบำเพ็ญกรณีตามคติธรรมของผู้เป็นประมุขเนื่องในทางศาสนาสืบมาแต่โบราณอันเรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" ประกอบอีกส่วนหนึ่งด้วย

ส่วนอิสริยยศประจำตัวเจ้าผู้ครองนครนั้น ก็ย่อมเป็นไปตามฐานะของบ้านเมือง ถ้าบ้านเมืองใหญ่ก็มีอิสริยยศประดับมาก บ้านเมืองน้อยก็ลดหลั่นกันลงมาตามกำลังแต่อย่างไรก็ดีทาง ราชสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน ก็ได้มีคติประเพณีทางฝ่ายขัตติยสืบกันมาช้านาน กล่าวคือ เมื่อมีเจ้าขึ้นครองนคร ก็จะประกอบพิธีอุสาราชาภิเษก แม้ในชั้นหลังการตั้งเจ้าผู้ครองนครจะได้เป็นโดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง ณ กรุงเทพฯ ก็ดี ก็มิได้ละประเพณีเสียที่มีมาแต่เดิม จึงมีการประกอบพิธีอุสาราชาภิเษกเจ้าผู้ครองนคร ณ ราชสำนักคุ้มหลวงนครน่าน อีกครั้งหนึ่ง “มหาขัติยราชวงษาเสนาอามาตย์ทั้งหลาย ก็อาราธนาอัญเชิญพระเป็นเจ้าขึ้นสถิตย์สำราญในราชนิเวศน์ หอคำราชโรงหลวง (คุ้มหลวง)” ซึ่งตรงกับคำว่า “การเฉลิมพระราชมณเฑียร” มีการออกพญาแสนท้าว (ขุนนาง) ต้อนรับแขกเมืองด้วยพิธี มีการออกประพาสเมืองโดยอิสสริยศด้วยกระบวนข้าราชบริพารเป็นอาทิ

นอกจากพญาแสนท้าวอันเป็นขุนนางที่เจ้าผู้ครองนครได้แต่งตั้งขึ้นไว้ เพื่อบริหารกิจการบ้านเมืองยังเค้าสนามหลวง ซึ่งเป็นการภายนอกส่วนหนึ่งแล้ว ยังอีกการภายใน อันเป็นกิจการของราชสำนักของเจ้าผู้ครองนครโดยตรง ก็จะทรงแต่งตั้ง “ขุนใน” ขึ้นไว้รับใช้การงานและประดับพระเกียรติยศของเจ้าผู้ครองนครอีกส่วนหนึ่งด้วย ทำนองข้าราชการฝ่ายราชสำนัก ซึ่งมีความมุ่งหมายเป็นส่วนใหญ่ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้

กิจการภายในราชสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน แบ่งออกเป็น 5 แผนก คือ

  1. แผนกวัง
  2. แผนกเสมียนตรา
  3. แผนกมณเฑียรและอาสนะ
  4. แผนกการกุศล
  5. แผนกรับใช้

แผนกวัง

มีหน้าที่ควบคุมตรวจตรากิจการภายในคุ้มหลวงทุกอย่าง รักษาความสงบเรียบร้อยภายในคุ้มหลวง พิทักษ์องค์เจ้าผู้ครองนครด้วยกำลังคน “เจ้าใช้การใน” ที่มีประจำอยู่ จัดพิธีออกพญาแสนท้าวในคราวที่ประกอบเป็นพระเกียรติยศ พิธีออกแขกเมือง – ต้อนรับแขกเมือง จัดกองเกียรติยศเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จออกประพาส

ขุนในแผนกวัง ประกอบด้วย

  1. พญาหลวงสิทธิวังราช: หัวหน้าแผนกวัง
  2. พญาราชวัง: ผู้ช่วยแผนกวัง
  3. ท้าวอาสา: หัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่จับกุมบุคคลที่ขัดอาชญาตามบัญชาของเจ้าผู้ครองนครและมีหน้าที่ถือมัดหวายนำหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร
  4. ท้าววังหน้า: หัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่ออกหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร ในอันที่จะประกาศมิให้ผู้คนจอแจข้างหน้าทางหรือตัดหน้าฉาน กับมีคนใช้การในสำหรับที่จะเรียกใช้กระทำกิจการภายในคุ้ม 1,000 คน ในเวลาปกติมีคนเจ้าใช้การในมาเข้าเวรยาม 15 คน พวกเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนกันมาเข้าเวรครั้งละ 2 วัน 3 คืน หมุนเวียนกันไป

แผนกเสมียนตรา

มีหน้าที่ทำหนังสือของเจ้าผู้ครองนครที่จะมีไปในที่ต่าง ๆ และรับคำสั่งอาชญาที่จะแจ้งไปให้เค้าสนามหลวงทราบกับมีหน้าที่เก็บสรรพหนังสือภายในหอคำ

ขุนในแผนกเสมียนตรา ประกอบด้วย

  1. พญาหลวงสิทธิอักษร: หัวหน้าแผนกเสมียนตรา

แผนกมณเฑียรและอาสนะ

มีหน้าที่พิทักษ์ดูแลหอคำหลวงและราชนิเวศน์หอคำของเจ้าผู้ครองนครและบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อชำรุด กับมีหน้าที่แต่งตั้งอาสนะเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จออกประพาสไปประทับ ณ ที่ใดที่หนึ่ง

ขุนในแผนกมณเฑียรและอาสนะ ประกอบด้วย

  1. พญาหลวงราชมณเฑียร: หัวหน้าแผนกมณเฑียร
  2. แสนหลวงราชนิเวศน์: ผู้ช่วยแผนกมณเฑียร
  3. พญาหลวงอาสนมณเฑียร: หัวหน้าแผนกอาสนะ

แผนกการกุศล

มีหน้าที่ประกอบการพระกุศลของเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ กระทำพิธีบูชาพระเคราะห์ตามคราวและมีหน้าที่บันทึกเรื่องรายงานการกุศล

ขุนในแผนกการกุศล ประกอบด้วย

  1. แสนหลวงสมภาร: หัวหน้าแผนกการกุศล
  2. แสนหลวงกุศล: ผู้ช่วยแผนกการกุศล
  3. แสนหลวงขันคำ: ผู้ช่วยแผนกการกุศล มีหน้าที่เป็นผู้ถือพานทองนำหน้าเจ้าผู้ครองนครในคราวบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ

แผนกรับใช้

มีหน้าที่รับใช้เจ้าผู้ครองนครในกิจการต่าง ๆ

ขุนในแผนกรับใข้ ประกอบด้วย

  1. แสนหลวงใน: ผู้รับใช้จับจ่ายอาหารเลี้ยงดูผู้คนในหอคำหลวง
  2. แสนหลวงต่างใจ: ผู้รับใช้กิจการต่าง ๆ
Remove ads

หัวเมืองขึ้นของนครน่าน

สรุป
มุมมอง

หัวเมืองขึ้นของนครน่าน พ.ศ. 2327–2347

จากจารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหัวเมืองขึ้นอยู่ 474 หัวเมือง จารึกดังกล่าวปรากฏอยู่บนคอสองเฉลียงระเบียงล้อมพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งได้จารึกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ระบุถึงเจ้าผู้ครองนครน่าน และหัวเมืองที่ขึ้นกับนครน่าน ดังนี้

จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ทิศเหนือ ...เมืองเชียงของ 1 เมืองโปง 1 เมืองเงิน 1 เมืองสราว 1 เมืองปัว 1 อยู่ทางหนเหนือขึ้นกับเมืองน่าน เมืองหิน 1 เมืองงั่ว 1 อยู่ทางหนใต้ ขึ้นกับเมืองน่าน รวมเป็น 7 เมือง ผู้ครองเมืองน่าน มีนามว่า พระยามงคลยศประเทศราช เจ้าเมืองน่าน[12]

หัวเมืองขึ้นของนครน่าน พ.ศ. 2400–2445

นครน่าน เป็นหัวเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวาง จากรายงานทางราชการของนครน่านที่มีไปถึงกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2444–2445 ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้าผู้ครองนครน่าน ปกครองมีหัวเมืองขึ้น 47 เมือง[13] ประกอบด้วย

Remove ads

การตั้งเมืองน่านในปัจจุบัน

สรุป
มุมมอง

พญาผากอง กษัตริย์น่าน องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ภูคา (พ.ศ. 1904–1929) ได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำน่านทางด้านทิศตะวันตก (ฝั่งขวา) ของแม่น้ำน่าน บริเวณบ้านห้วยไค้ (ที่ตั้งของจังหวัดน่านในปัจจุบัน) เมื่อ "ปีรวายซง้า จุลศักราชได้ 730 ตัวเดือน 12 ขึ้น 6 ค่ำ วันอังคารยามแถหั้นแล" หรือตรงกับวันศุกร์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 1911 (ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 12 เหนือ)[7] ในสมัยต่อมานครน่านมีตัวเมือง 2 แห่ง คือ "เวียงน่านเก่า" หรือเรียกว่า “เวียงใต้” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านแห่งหนึ่ง กับ "เวียงน่านใหม่" หรือเรียกว่า “เวียงเหนือ” ตั้งอยู่บนดอนข้างหลังเวียงเก่าถัดขึ้นไปอีกแห่งหนึ่ง เหตุที่มีตัวเมืองสองแห่งนั้น กล่าวคือ เริ่มตั้งแต่พญาผากองได้ย้ายมาตั้งเมืองที่ริมแม่น้ำน่านทางด้านทิศตะวันตก (ฝั่งขวา) มีกษัตริย์น่านและเจ้าผู้ครองนครน่านได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปกครองเมืองสืบวงศ์ต่อ ๆ กันมาหลายชั่วหลายวงศ์ จนมาถึงปี พ.ศ. 2360 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นครน่าน ได้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ กระแสน้ำได้พัดกำแพงเมืองและวัดวาอารามบ้านเรือนในเวียงน่านเก่าเสียหายเป็นจำนวนมาก[8]

พระยาสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 58 และองค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2353–2368) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครในขณะนั้น จึงโปรดให้ย้ายเมืองขึ้นไปตั้งอยู่ที่บริเวณดงพระเนตรช้าง (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านมหาโพธิ และบ้านเวียงเหนือ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองน่าน) อยู่ห่างจากตัวเวียงน่านเก่าขึ้นไปทางทิศเหนือ ประมาณ 3 กิโลเมตร ตัวเมืองทอดไปตามลำแม่น้ำน่าน ห่างจากแม่น้ำประมาณ 800 เมตร มีเขตมณฑลแห่งคูเมือง คือ ด้านเหนือจดบ้านน้ำล้อม ด้านตะวันออกยาวไปตามถนนสุมนเทวราชเดี๋ยวนี้ ด้านใต้จดทุ่งนาริน ด้านตะวันตกยาวไปตามแนวของขอบสนามบินด้านนอก[8] และใช้เวลาสร้างอยู่ 6 เดือนจึงแล้วเสร็จ พงศาวดารเมืองน่านได้ระบุว่า “คูเมือง ด้านตะวันออกยาว 940 ต่า ด้านตะวันตกยาว 728 ต่า ด้านใต้ยาว 393 ต่า ด้านเหนือยาว 677 ต่า ปากคูกว้าง 5 ศอก ท้องคูกว้าง 4 ศอก ลึก 9 ศอก“[7] และได้ย้ายขึ้นไปอยู่เมืองใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2362[8] ปัจจุบันยังพบร่องรอยคูน้ำคันดินอยู่ เจ้าผู้ครองนครน่านประทับอยู่ที่ราชวังหอคำหลวงเวียงเหนือสืบกันมาได้ 4 พระองค์ เป็นระยะเวลา 36 ปี

ต่อมาในปี พ.ศ. 2397 ในรัชสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 และองค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2396–2434) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครในขณะนั้น จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตย้ายเมืองกลับมาตั้งอยู่ที่เวียงน่านเก่าดังเดิม โปรดให้ซ่อมกำแพงเมืองให้มั่นคง โดยสร้างเป็นกำแพงอิฐ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2400 ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าออกสู่แม่น้ำน่าน ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูนประดับใบเสมา ตั้งอยู่บนเชิงเทิน ซุ้มประตูและป้อมเป็นทรงเรือนยอด กำแพงสูงประมาณ 6 เมตร เชิงเทินกว้าง 2.20 เมตร ใบเสมากว้าง 1 เมตร ยาว 0.90 เมตร สูง 1.20 เมตร ความสูงจากเชิงเทินถึงใบเสมาประมาณ 2 เมตร ตรงมุมกำแพงก่อป้อมไว้ทั้ง 4 แห่ง มีปืนใหญ่ประจำป้อม ๆ ละ 4 กระบอก[8]

  • กำแพงด้านทิศเหนือยาว ยาวประมาณ 900 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
    • ประตูริม เป็นประตูเมืองที่เดินทางสู่เมืองขึ้นของนครน่านทางทิศเหนือ เช่น เมืองเชียงคำ เมืองเทิง และเมืองเชียงของ เป็นต้น
    • ประตูอมร เป็นประตูที่เจาะขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2450
  • กำแพงด้านทิศตะวันออก ยาวประมาณ 650 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
    • ประตูชัย เป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายชั้นสูงใช้ในการเดินทางชลมาร์คไปกรุงเทพฯ
    • ประตูน้ำเข้ม ใช้สำหรับติดต่อค้าขายทางน้ำ และเป็นประตูเข้าออกสู่แม่น้ำน่านของประชาชนทั่วไป
  • กำแพงด้านทิศใต้ ยาวประมาณ 1,400 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
    • ประตูเชียงใหม่ เป็นประตูเมืองที่เดินทางไปสู่ต่างเมือง เช่น นครเชียงใหม่
    • ประตูท่าลี่ เป็นประตูที่นำศพออกไปเผานอกเมือง ณ สุสานดอนไชย
  • กำแพงด้านทิศตะวันตก ยาวประมาณ 950 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
    • ประตูปล่องน้ำ ใช้ในการระบายน้ำจากตัวเมืองออกสู่ด้านนอก
    • ประตูหนองห้า เป็นประตูสำหรับคนในเมืองออกไปทำไร่ทำนา และใช้ขนผลผลิตเข้ามาในเมือง

ลักษณะของประตูเมือง ทำเป็นซุ้ม บานประตูเป็นไม้ หลังคาประตูเป็นทรงเรือนยอดสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น มีป้อมอยู่เพียงสามป้อมอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันตกเฉียงใต้ เป็นป้อมแปดเหลี่ยม หลังคาทรงเรือนยอดซ้อนกันสองชั้น หลังคาชั้นแรกเป็นทรงแปดเหลี่ยม ชั้นที่สองเป็นทรงสี่เหลี่ยม[ต้องการอ้างอิง]

Remove ads

รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน

สรุป
มุมมอง

รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน 14 พระองค์ แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2270–2474) มีรายพระนามตามลำดับ ดังนี้[7]

ข้อมูลเพิ่มเติม ลำดับ, พระรูป ...
Remove ads

การขอแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่าน (ไม่สำเร็จ)

สรุป
มุมมอง

เมื่อเสร็จการพระพิธีถวายพระเพลิงพระศพ เจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 และองค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2475 แล้วนั้น เจ้านายบุตรหลานและเหล่าราษฎรนครน่าน ได้มีฎีกากราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี ความว่า ..ขอให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" ผู้เป็นพระภาติยะ (หลาน) ของเจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน" องค์ต่อไป แต่เนื่องจากในเวลานั้นทางรัฐบาลสยามได้เกิดการปฎิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 จึงพระราชทานฎีกานั้นไปให้คณะราษฎร พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีสยาม คนที่ 1 พิจารณาพร้อมกับคณะรัฐมนตรีสมัยนั้นได้พิจารณาลงเห็นว่า เมื่อครั้งรัฐบาลราชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์เคยมีพระราชดำริที่จะไม่ทรงตั้งเจ้าผู้ครองนครอีกต่อไป เมื่อเจ้าผู้ครองนครองค์ใดเสด็จถึงแก่พิราลัยลงก็จะไม่ทรงแต่งตั้งขึ้นอีก

แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเห็นว่านครน่าน เป็นหัวเมืองชายแดนที่เสี่ยงต่อการถูกยุยงให้เข้าหาจักรวรรดิฝรั่งเศส อีกทั้งสถานการณ์ปลี่ยนไปเนื่องจากอาณาจักรสยามไม่ได้ปกครองโดยพระมหากษัตริย์เหมือนแต่ก่อน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยเช่นนี้ควรที่รัฐบาลจะได้พิจารณาทบทวนนโยบายเดิมเสียด้วย รัฐบาลในยุคนั้นได้พิจารณากันต่อเนื่องยาวนาน และมีการเสนอว่าควรจะเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร แล้วสถาปนาเจ้านายฝ่ายเหนือให้เป็น "Prince" แบบที่ราชสำนักญี่ปุ่นตั้งเจ้านายเกาหลี บ้างก็เสนอให้ตั้งเป็นพระองค์เจ้า แล้วแยกเป็นวงศ์ "ณ เชียงใหม่", "ณ ลำปาง", "ณ ลำพูน", "ณ น่าน" กันไป

สุดท้ายคณะราษฎรจึงได้ส่ง มหาอำมาตย์ตรี พระยาจ่าแสนยบดีศรีบริบาล (ชิต สุนทรวร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ขึ้นมาสืบข่าวในนครน่าน จึงพบว่า "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" ในขณะนั้นมีชนมายุ 70 ปี และเป็นพระโอรสในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63 และองค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ และเป็นผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล "ณ น่าน" และมีความดีความชอบและไม่ยุ่งยากเหมือนวงศ์ตระกูล "ณ ลำปาง" จึงเห็นสมควรให้มีการตั้งขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านได้ ครั้นเมื่อพระยาจ่าแสนยบดีศรีบริบาล (ชิต สุนทรวร) เดินทางกลับกรุงเทพฯ และได้เสียชีวิตลงก่อนจึงไม่ได้เสนอ เรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐบาล และท้ายที่สุดทางรัฐบาลของอาณาจักรสยามลงความเห็นว่าไม่ควรให้มีตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครอีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่าในเวลานั้นไม่มีราษฎรเลื่อมใสในเจ้านายแล้ว จึงทำให้ "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" มิได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 65" ต่อจาก เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 จึงถือเป็นการสิ้นสุดระบอบการปกครองของเจ้านายแห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ในนครน่านนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา[21]

Remove ads

ดูเพิ่ม

หมายเหตุ

  1. อาณาจักรหลักคำ (กฎหมายเมืองน่าน) ยกเลิกใช้ในปี พ.ศ. 2451

อ้างอิง

Loading related searches...

Wikiwand - on

Seamless Wikipedia browsing. On steroids.

Remove ads