คำถามยอดนิยม
ไทมไลน์
แชท
มุมมอง
นครน่าน
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
Remove ads
นครน่าน เป็นนครรัฐบนที่ราบลุ่มแม่น้ำน่าน โดยแยกตัวออกมาจากการปกครองของเมืองเชียงใหม่ (ภายใต้การปกครองของพม่า) ในรัชสมัยของ พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 51 และปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2269–2294) และต่อมาเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรพม่าแห่งราชวงศ์อลองพญา และอาณาจักรธนบุรีตามลำดับ และในปี พ.ศ. 2331 สมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 57 และองค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2329–2353) ได้เสด็จลงมายังกรุงเทพฯ เพื่อขอเข้าพึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 1 แห่งราชวงศ์จักรี นครน่าน จึงมีสถานะเป็นเมืองประเทศราชของอาณาจักรสยาม ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ (ตอนต้น) เป็นต้นมา
Remove ads
ประวัติศาสตร์
สรุป
มุมมอง
การก่อตัวของรัฐ
ในปี พ.ศ. 2270 ได้เกิดกบฏตนบุญ เทพสิงห์ โค่นล้มผู้ปกครองพม่าที่เมืองเชียงใหม่ ทำให้เกิดสภาวะสุญญากาศทางการเมืองในดินแดนล้านนา ถึงแม้ว่าพม่าพยายามที่จะย้ายศูนย์กลางการปกครองไปยังเมืองเชียงแสน[4]โดยมีกลุ่มรัฐต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาตอนบน ได้แก่ เมืองเชียงแสน เมืองเชียงราย เมืองฝาง เมืองพะเยา ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของพม่า แต่กลุ่มรัฐต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาตอนล่าง ได้แก่ นครเชียงใหม่ นครน่าน นครลำปาง นครลำพูน นครแพร่ ได้แยกตัวเป็นจากพม่า และปกครองตนเองเป็นอิสระไม่ขึ้นแก่กัน ในลักษณะเดียวกับชุมนุมต่าง ๆ หลังเสียกรุงครั้งที่ 2 พระเจ้าหลวงติ๋นมหาวงศ์ ผู้ซึ่งถูกสถาปนาแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์พม่าแห่งราชวงศ์ตองอู ให้ขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน" และได้สั่งสมฐานอำนาจในนครน่าน ทำให้สามารถปกครองนครน่านได้อย่างยาวนานโดยไม่ถูกอำนาจของพม่าแทรกแซงและสามารถสืบทอดอำนาจการปกครองในนครน่านต่อไปได้ภายใต้ราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์[5]
ต่อมาราชวงศ์อลองพญาสามารถรวบรวมอาณาจักรพม่าให้เป็นปึกแผ่นได้อีกครั้ง และทำให้นครต่าง ๆ ในดินแดนล้านนาต่างส่งบรรณาการไปสวามิภักดิ์[6] ในปี พ.ศ. 2306 กองทัพพม่าเข้ายึดครองเมืองเชียงใหม่ที่ยังคงตั้งตัวเป็นอิสระอยู่ พร้อมทั้งปราบปรามหัวเมืองอื่น ๆ ในดินแดนล้านนา แต่ผู้ปกครองพม่าไม่สามารถควบคุมเมืองต่าง ๆ ได้อย่างสมบูรณ์[5] นครน่าน ร่วมกับเมืองต่าง ๆ ก่อกบฏต่อพม่า จนกระทั่งนครน่านถูกตีแตกในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311[7]
นครน่านระหว่างสงครามพม่า–สยาม
หลังจากนครน่านถูกตีแตก ในเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2311 ราชสำนักพม่าได้เข้ามาควบคุมการแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่านลำดับถัดมา คือ เจ้านายอ้าย เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 53 และองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ และเจ้ามโน เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 54 และองค์ที่ 4 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ หลังจากกรุงธนบุรีได้เมืองเชียงใหม่ เจ้าพระยาจักรี (ทองด้วง) ได้เกลี้ยกล่อมเจ้าฟ้าเมืองน่านให้เข้าสวามิภักดิ์ต่อกรุงธนบุรี และฝ่ายกรุงธนบุรีได้ตั้งเจ้าวิธูรขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน โดยเจ้ามโนราชายินยอมสละอำนาจในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2318 และเดินทางออกจากนครน่านไป ฝ่ายพม่าที่เมืองเชียงแสนเมื่อทราบว่าเมืองน่านหันไปขึ้นกับอาณาจักรธนบุรีแล้ว จึงยกทัพเข้าโจมตีเมืองน่านในเดือนเมษายนทำให้เจ้าวิธูรต้องอพยพเชื้อพระวงศ์และชาวเมืองน่านหนีออกจากเมือง ต่อมาพระยากาวิละ เจ้าผู้ครองนครลำปาง ได้กล่าวหาว่าเจ้าวิธูร เป็นกบฏต่อกรุงธนบุรีและจับกุมเจ้าวิธูรลงไปยังกรุงธนบุรีในปี พ.ศ. 2321 ในปีเดียวกัน เจ้ามโน นำผู้คนเข้ามาตั้งที่เมืองงั่ว กระทั่งเดือนมีนาคม พ.ศ. 2323 กองทัพพม่าและเมืองยอง ยกมากวาดต้อนชาวเมืองน่านและเจ้ามโนไปยังเมืองเชียงแสน[7] เมืองน่านจึงกลายเป็นเมืองร้าง
ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2325 พม่าให้เจ้ามโนนำชาวเมืองน่านมาตั้งอยู่ที่เมืองเทิง ปีถัดมาสยามสนับสนุนพระยามงคลวรยศเป็นเจ้าเมืองน่าน โดยตั้งอยู่ที่เมืองท่าปลา เจ้ามโนถึงแก่พิราลัยในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2327 ฝ่ายพม่าจึงสนับสนุนเจ้าอัตถวรปัญโญเป็นเจ้าเมืองน่านที่เมืองเทิง ภายหลังเมื่อ พ.ศ. 2329 เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาจากเมืองเทิง และปรึกษากับพระยามงคลวรยศที่เมืองท่าปลา ว่าจะขอเข้าสวามิภักดิ์กับฝ่ายสยาม พระยามงคลวรยศจึงยกราชสมบัติให้เจ้าอัตถวรปัญโญ[8]
การฟื้นฟูนครน่านและการขยายอำนาจ
ครั้งล่วงมาในปี พ.ศ. 2331 เจ้าอัตถวรปัญโญได้ลงมาเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชเพื่อขอเป็นข้าขอบขันฑสีมา หลังจากเจ้าอัตถวรปัญโญขึ้นครองเมืองน่าน ก็ยังมิได้เข้าไปอยู่เมืองน่านเสียทีเดียว เนื่องจากเมืองน่านยังรกร้างอยู่ เจ้าอัตถวรปัญโญได้ย้ายไปอาศัยอยู่ตามที่ต่าง ๆ คือ เมืองงั่วและเมืองพ้อ หลังจากเจ้าอัตถวรปัญโญได้เริ่มบูรณะซ่อมแซมเมืองน่านแล้ว จึงได้ขอพระบรมราชานุญาตกลับเข้ามาอยู่ในเมืองน่านในปี พ.ศ. 2344 เมื่อบูรณะแล้วเสร็จ เจ้าอัตถวรปัญโญจึงได้เข้ามาอยู่ในเมืองน่านในปี พ.ศ. 2345
หลังจากได้รับสถานะประเทศราชของสยาม นครน่านร่วมมือกับนครเชียงใหม่ นครลำปาง และนครแพร่ขยายอำนาจสู่ดินแดนของเชียงแสนซึ่งยังคงถูกปกครองโดยพม่า[4] จนในที่สุดก็สามารถทำลายเมืองเชียงแสนได้ในปี พ.ศ. 2347 ทำให้พม่าสูญสิ้นอิทธิพลไปจากล้านนาอย่างถาวร รัชกาลที่ 1 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาขึ้นเป็น สมเด็จเจ้าฟ้าหลวงเมืองน่าน มีพระนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้าหลวงอัตถวรปัญโญ เป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งเจ้าสมณะ ผู้เป็นพระมาตุลา (น้าชาย) ในสมเด็จเจ้าฟ้าอัตถวรปัญโญขึ้นเป็น พระยาอุปราช เมืองน่าน หรือที่ราชสำนักนครน่านเรียกว่า พระยามหาอุปราชา เจ้าหอหน้า ดินแดนของเชียงแสนถูกตัดแบ่งให้กับนครเชียงใหม่และนครน่าน โดยนครน่านได้รับเมืองแก่นท้าว เมืองเทิง เมืองเชียงคำ และเมืองเชียงของ ซึ่งเปิดเส้นทางสู่กลุ่มนครรัฐไทลื้อในดินแดนสิบสองปันนาให้แก่นครน่าน[5]
พ.ศ. 2348 เจ้าอัตถวรปัญโญยกทัพขึ้นไปโจมตีกลุ่มนครรัฐไทลื้อ ทำให้นครน่านได้เมืองฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงมาไว้ในอำนาจ เช่น เมืองภูคา รัฐเชียงแขง รวมถึงทำให้เมืองเชียงรุ่งยอมสวามิภักดิ์ต่อสยาม[9] อย่างไรก็ตาม นครน่านและนครเชียงใหม่ไม่สามารถรักษาอิทธิพลเหนือเชียงรุ่งไว้ได้ แม้ว่าจะพยายามเข้าไปแทรกแซงการเมืองภายในเชียงรุ่งหลายครั้ง จนกระทั่งเลิกล้มความพยายามไปหลังจากสยามตีเชียงตุงไม่สำเร็จในปี พ.ศ. 2397[5]
นครน่านถูกผนวกเข้ากับอาณาจักรสยาม
ต้นพุทธศตวรรษที่ 25 สยามเริ่มได้รับผลกระทบจากการขยายอำนาจของชาติตะวันตก ในปี พ.ศ. 2434 รัฐเชียงแขงอาศัยปัญหาอำนาจในการปกครองที่ไม่ชัดเจนขอแยกตัวออกจากนครน่านและขึ้นตรงต่อสยาม[5] ต่อมากรณีพิพาทในปี พ.ศ. 2436 ทำให้สยามต้องยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงให้ฝรั่งเศส ซึ่งมีอาณาเขตบางส่วนของนครน่านรวมอยู่ด้วย สยามจึงเร่งผนวกประเทศราชต่าง ๆ เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสยาม ในปี พ.ศ. 2442 สยามประกาศจัดตั้งมณฑลลาวเฉียง ทำให้สถานะประเทศราชของนครน่านสิ้นสุดลง อย่างไรก็ตาม เจ้าผู้ครองนครน่านยังคงมีตำแหน่งเจ้าและมีอำนาจในการปกครองบางส่วน[5] จนกระทั่งสยามเริ่มมีนโยบายไม่แต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครในปี พ.ศ. 2469[10] ตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครน่านจึงสิ้นสุดลงในปี พ.ศ. 2474

Remove ads
ความสัมพันธ์กับสยาม
สรุป
มุมมอง
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2331 เป็นต้นมา นครน่าน มีสถานะเป็นประเทศราชของอาณาจักรสยาม พระมหากษัตริย์สยามเป็นผู้มีอำนาจในการสถาปนาแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่าน (เจ้าหลวง) ให้ดำรงพระยศเป็น "พระเจ้าประเทศราช", "เจ้าประเทศราช", "พระยาประเทศราช" และเจ้าผู้ครองนครน่านมีพระสถานะเป็นกษัตริย์ประเทศราช ในยุคนี้พระมหากษัตริย์สยามทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาตั้งเจ้าผู้ครองนครน่านทุกพระองค์สืบมาจนถึง เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 (พ.ศ. 2462–2474) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครองค์สุดท้ายแห่งนครน่าน
ถึงแม้นครน่านมีสถานะเป็นประเทศราชเป็นข้าขอบขัณฑสีมาแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แต่เจ้าผู้ครองนครน่าน ทรงมีอำนาจสิทธิขาดในการปกครองอาณาเขตและพลเมืองของตน ถึงแม้ว่าการขึ้นครองนครจะต้องได้รับความเห็นชอบจากราชสำนักกรุงรัตนโกสินทร์ก็ตาม แต่โดยทางปฏิบัติแล้ว พระมหากษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงให้อำนาจเจ้านายบุตรหลานและขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในราชสำนักนครน่าน เลือกเจ้านายผู้มีอาวุโสขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครกันเอง โดยมิได้ทรงยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายใน
เจ้าผู้ครองนครน่าน ในชั้นหลังทุกพระองค์ ต่างปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความเที่ยงธรรม มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรี ได้ช่วยราชการบ้านเมืองสำคัญ ๆ หลายครั้งหลายคราวด้วยกัน เช่น ช่วยราชการสงครามเชียงแสนในรัชกาลที่ 1 ปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์ในรัชกาลที่ 3 ช่วยราชการสงครามเมืองเชียงตุง ในรัชกาลที่ 4 เป็นต้น นอกจากนี้ยังได้ ทำนุบำรุงกิจการพระพุทธศาสนาในเมืองน่าน ซ่อมแซมวัดวาอารามต่าง ๆ อยู่เป็นนิจ ทำให้เมืองน่านกลับคืนสู่สันติสุข ร่มเย็น ต่างจากระยะแรก ๆ ที่ผ่านมา
Remove ads
การปกครอง
สรุป
มุมมอง
ระเบียบบริหารการปกครองภายในนครน่าน แบ่งออกเป็น 3 ฝ่าย ได้แก่
- เจ้าห้าขัน หรือ เจ้าขันห้าใบ (ฝ่ายเจ้านายบุตรหลานเชื้อพระวงศ์)
- เค้าสนามหลวง หรือ สภาขุนนาง (ฝ่ายขุนนางเสนาอำมาตย์)
- สำนักเจ้าผู้ครองนคร (ฝ่ายขุนนางในราชสำนัก)
เจ้าห้าขัน หรือ เจ้าขันห้าใบ
ในปี พ.ศ. 2434 เจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ ได้เสด็จถึงแก่พิราลัย ภายหลังเสร็จงานถวายพระเพลิงพระศพแล้ว พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์จักรี มีพระบรมราชโองการให้ เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ) ว่าที่เจ้าอุปราชนครน่าน ลงไปเฝ้าที่กรุงเทพฯ ต่อมาเมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2437 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ สถาปนาเลื่อนยศฐานันดรศักดิ์ เจ้าราชวงษ์ (สุริยะ) ว่าที่เจ้าอุปราชนครน่าน ขึ้นเป็น เจ้านครเมืองน่าน สืบต่อจากพระบิดา และได้รับการเฉลิมพระนามว่า "เจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช กุลเชษฐมหันต์ ไชยนันทบุร มหาราชวงษาธิบดี เจ้านครเมืองน่าน"
และเนื่องจากได้มีการแก้ไขการปกครองแผ่นดินขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. 2435 โดยแบ่งการปกครองหัวเมืองออกเป็นมณฑลเทศาภิบาล แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ส่งข้าราชการผู้ใหญ่จากกรุงเทพฯ เป็นผู้แทนพระองค์ต่างพระเนตรพระกรรณ มากำกับดูแลการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร และทรงแต่งตั้งเจ้านายบุตรหลานของเจ้าผู้ครองนคร ให้เป็นเจ้าศักดินาชั้นสัญญาบัตรลดหลั่นกันลงไปเป็นกรมการพิเศษ ช่วยเหลือการบริหารบ้านเมืองของเจ้าผู้ครองนคร
เจ้าขันห้าใบแห่งนครน่าน
เจ้าขันห้าใบแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายระดับสูง ประกอบด้วย 5 ตำแหน่ง ดังนี้
- เจ้าผู้ครองนคร/พระเจ้าผู้ครองนคร (เจ้าหลวง หรือ กษัตริย์ประเทศราช)
- เจ้าอุปราช (เจ้าหอหน้า) รัชทายาทโดยตำแหน่ง
- เจ้าราชวงศ์
- เจ้าบุรีรัตน์
- เจ้าราชบุตร
เจ้าตำแหน่งรองและเจ้าตำแหน่งพิเศษแห่งนครน่าน
เจ้าตำแหน่งรองแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายระดับรองลงมาจากเจ้าขันห้าใบ ประกอบด้วย 10 ตำแหน่ง ดังนี้
- เจ้าสุริยวงษ์
- เจ้าราชสัมพันธวงษ์
- เจ้าราชภาคินัย
- เจ้าราชภาติกวงษ์
- เจ้าอุตรการโกศล
- เจ้าไชยสงคราม
- เจ้าราชดนัย
- เจ้าประพันธ์พงษ์
- เจ้าราชญาติ
- เจ้าวรญาติ
เจ้าตำแหน่งพิเศษแห่งนครน่าน เป็นตำแหน่งเจ้านายที่ได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงพระยศเป็น "พระ" ประกอบด้วย 8 ตำแหน่ง ดังนี้
- พระยาวังขวา (เฉพาะนครน่าน)
- พระยาวังซ้าย (เฉพาะนครน่าน)
- พระวิไชยราชา
- พระเมืองราชา
- พระเมืองไชย
- พระเมืองแก่น
- พระเมืองแก้ว
- พระเมืองน้อย
เค้าสนาม (สภาขุนนาง)
ระเบียบการปกครองฝ่ายธุรการนั้น ได้จัดเป็น “เค้าสนาม” เป็นที่ว่าการบ้านเมือง ซึ่งจะมีขุนนางพญาแสนท้าวกลุ่มหนึ่งเป็นผู้บริหารงานราชการส่วนกลาง การงานได้ดำเนินสำเร็จไปด้วยการประชุมปรึกษาเป็นประมาณ การงานที่ปฏิบัติในสนามนี้อาจแบ่งออกได้เป็น 2 ลักษณะ คือ การงานที่ต้องนำขึ้นทูลเจ้าผู้ครองนครเพื่อทรงวินิจฉัยและบัญชาการอย่างหนึ่ง และการงานที่เป็นไปตามระเบียบแบบแผนอันไม่มีสารสำคัญสามัญสามารถที่จะกระทำเสร็จไปได้ที่สนาม โดยไม่ต้องนำขึ้นทูลเจ้าผู้ครองนครอีกอย่างหนึ่ง[8]
“ขุนนางเสนาเค้าสนามหลวง” ของนครน่าน มีทั้งหมดจำนวน 32 ตำแหน่ง โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ “พญาปี๊นทั้ง 4” (หรือ “พ่อเมืองทั้ง 4”) คือ พญาผู้เป็นใหญ่ในเค้าสนามทั้ง 4 ท่าน มียศศักดิ์เป็น “พญาหลวง ปฐมอรรคมหาเสนาธิบดี” เป็นขุนนางชั้นสูงสุดมี 1 ตำแหน่ง และ “พญาหลวง อรรคมหาเสนาธิบดี” รองลงมาอีก 3 ตำแหน่ง กับ “ขุนเมืองทั้ง 8” เป็นขุนนางชั้นรองหัวหน้าและผู้ช่วยกรมการต่าง ๆ มียศศักดิ์เป็น “พญา, แสน, หลวง, ท้าว” ซึ่งเจ้าผู้ครองนครน่าน ได้ทรงแต่งตั้งให้มียศศักดิ์จัดไว้เป็นทำเนียบ ในรัชสมัย พระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครน่าน มีรายนามดังต่อไปนี้
ขุนนางเสนาเค้าสนามหลวงนครน่าน
- พญาปี๊น หรือพ่อเมืองทั้ง 4
- พญาชั้นรอง (หัวหน้ากรม)
ราชสำนักเจ้าผู้ครองนคร
![]() | ส่วนนี้ต้องเรียบเรียงใหม่เนื่องจากเป็นการคัดลอกจากต้นฉบับ[8] |
โดยพระสถานะของเจ้าผู้ครองนคร (เดิม) ทรงเป็นประมุขหรือพระเจ้าแผ่นดินน้อย ๆ เป็นเอกเทศอยู่ส่วนหนึ่งที่สำคัญของเจ้าผู้ครองนครซึ่งเป็นพระเจ้าแผ่นดินน้อย ๆ จึงไม่ผิดกับพระเจ้าแผ่นดินที่ครองราชย์ในอาณาจักรใหญ่ ๆ แต่อย่างใด กล่าวคือ ด้วยความเป็นใหญ่เป็นประธานในเหล่าพสกนิกร ผู้เป็นประมุขจักต้องบริหารการปกครองให้เจริญมั่นคง ดำรงแว่นแคว้นให้เป็นที่ร่มเย็นเป็นสุขแก่อาณาประชาราษฎร์ทั่วไป เป็นผู้นำแบบความดีงามทั้งหลายทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนา นอกจากนี้ เพื่อจะยังให้พระเกียรติยศและความร่มเย็นเป็นสุขของราษฎรมีผลอันไพบูลย์ เจ้าผู้ครองนครทรงเป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา ก็ย่อมจะบำเพ็ญกรณีตามคติธรรมของผู้เป็นประมุขเนื่องในทางศาสนาสืบมาแต่โบราณอันเรียกว่า "ทศพิธราชธรรม" ประกอบอีกส่วนหนึ่งด้วย
ส่วนอิสริยยศประจำตัวเจ้าผู้ครองนครนั้น ก็ย่อมเป็นไปตามฐานะของบ้านเมือง ถ้าบ้านเมืองใหญ่ก็มีอิสริยยศประดับมาก บ้านเมืองน้อยก็ลดหลั่นกันลงมาตามกำลังแต่อย่างไรก็ดีทาง ราชสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน ก็ได้มีคติประเพณีทางฝ่ายขัตติยสืบกันมาช้านาน กล่าวคือ เมื่อมีเจ้าขึ้นครองนคร ก็จะประกอบพิธีอุสาราชาภิเษก แม้ในชั้นหลังการตั้งเจ้าผู้ครองนครจะได้เป็นโดยพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง ณ กรุงเทพฯ ก็ดี ก็มิได้ละประเพณีเสียที่มีมาแต่เดิม จึงมีการประกอบพิธีอุสาราชาภิเษกเจ้าผู้ครองนคร ณ ราชสำนักคุ้มหลวงนครน่าน อีกครั้งหนึ่ง “มหาขัติยราชวงษาเสนาอามาตย์ทั้งหลาย ก็อาราธนาอัญเชิญพระเป็นเจ้าขึ้นสถิตย์สำราญในราชนิเวศน์ หอคำราชโรงหลวง (คุ้มหลวง)” ซึ่งตรงกับคำว่า “การเฉลิมพระราชมณเฑียร” มีการออกพญาแสนท้าว (ขุนนาง) ต้อนรับแขกเมืองด้วยพิธี มีการออกประพาสเมืองโดยอิสสริยศด้วยกระบวนข้าราชบริพารเป็นอาทิ
นอกจากพญาแสนท้าวอันเป็นขุนนางที่เจ้าผู้ครองนครได้แต่งตั้งขึ้นไว้ เพื่อบริหารกิจการบ้านเมืองยังเค้าสนามหลวง ซึ่งเป็นการภายนอกส่วนหนึ่งแล้ว ยังอีกการภายใน อันเป็นกิจการของราชสำนักของเจ้าผู้ครองนครโดยตรง ก็จะทรงแต่งตั้ง “ขุนใน” ขึ้นไว้รับใช้การงานและประดับพระเกียรติยศของเจ้าผู้ครองนครอีกส่วนหนึ่งด้วย ทำนองข้าราชการฝ่ายราชสำนัก ซึ่งมีความมุ่งหมายเป็นส่วนใหญ่ที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้
กิจการภายในราชสำนักเจ้าผู้ครองนครน่าน แบ่งออกเป็น 5 แผนก คือ
- แผนกวัง
- แผนกเสมียนตรา
- แผนกมณเฑียรและอาสนะ
- แผนกการกุศล
- แผนกรับใช้
แผนกวัง
มีหน้าที่ควบคุมตรวจตรากิจการภายในคุ้มหลวงทุกอย่าง รักษาความสงบเรียบร้อยภายในคุ้มหลวง พิทักษ์องค์เจ้าผู้ครองนครด้วยกำลังคน “เจ้าใช้การใน” ที่มีประจำอยู่ จัดพิธีออกพญาแสนท้าวในคราวที่ประกอบเป็นพระเกียรติยศ พิธีออกแขกเมือง – ต้อนรับแขกเมือง จัดกองเกียรติยศเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จออกประพาส
ขุนในแผนกวัง ประกอบด้วย
- พญาหลวงสิทธิวังราช: หัวหน้าแผนกวัง
- พญาราชวัง: ผู้ช่วยแผนกวัง
- ท้าวอาสา: หัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่จับกุมบุคคลที่ขัดอาชญาตามบัญชาของเจ้าผู้ครองนครและมีหน้าที่ถือมัดหวายนำหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร
- ท้าววังหน้า: หัวหน้าคนเจ้าใช้การใน มีหน้าที่ออกหน้ากระบวนออกประพาสของเจ้าผู้ครองนคร ในอันที่จะประกาศมิให้ผู้คนจอแจข้างหน้าทางหรือตัดหน้าฉาน กับมีคนใช้การในสำหรับที่จะเรียกใช้กระทำกิจการภายในคุ้ม 1,000 คน ในเวลาปกติมีคนเจ้าใช้การในมาเข้าเวรยาม 15 คน พวกเหล่านี้ผลัดเปลี่ยนกันมาเข้าเวรครั้งละ 2 วัน 3 คืน หมุนเวียนกันไป
แผนกเสมียนตรา
มีหน้าที่ทำหนังสือของเจ้าผู้ครองนครที่จะมีไปในที่ต่าง ๆ และรับคำสั่งอาชญาที่จะแจ้งไปให้เค้าสนามหลวงทราบกับมีหน้าที่เก็บสรรพหนังสือภายในหอคำ
ขุนในแผนกเสมียนตรา ประกอบด้วย
- พญาหลวงสิทธิอักษร: หัวหน้าแผนกเสมียนตรา
แผนกมณเฑียรและอาสนะ
มีหน้าที่พิทักษ์ดูแลหอคำหลวงและราชนิเวศน์หอคำของเจ้าผู้ครองนครและบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อชำรุด กับมีหน้าที่แต่งตั้งอาสนะเมื่อเจ้าผู้ครองนครเสด็จออกประพาสไปประทับ ณ ที่ใดที่หนึ่ง
ขุนในแผนกมณเฑียรและอาสนะ ประกอบด้วย
- พญาหลวงราชมณเฑียร: หัวหน้าแผนกมณเฑียร
- แสนหลวงราชนิเวศน์: ผู้ช่วยแผนกมณเฑียร
- พญาหลวงอาสนมณเฑียร: หัวหน้าแผนกอาสนะ
แผนกการกุศล
มีหน้าที่ประกอบการพระกุศลของเจ้าผู้ครองนครต่าง ๆ กระทำพิธีบูชาพระเคราะห์ตามคราวและมีหน้าที่บันทึกเรื่องรายงานการกุศล
ขุนในแผนกการกุศล ประกอบด้วย
- แสนหลวงสมภาร: หัวหน้าแผนกการกุศล
- แสนหลวงกุศล: ผู้ช่วยแผนกการกุศล
- แสนหลวงขันคำ: ผู้ช่วยแผนกการกุศล มีหน้าที่เป็นผู้ถือพานทองนำหน้าเจ้าผู้ครองนครในคราวบำเพ็ญกุศลต่าง ๆ
แผนกรับใช้
มีหน้าที่รับใช้เจ้าผู้ครองนครในกิจการต่าง ๆ
ขุนในแผนกรับใข้ ประกอบด้วย
- แสนหลวงใน: ผู้รับใช้จับจ่ายอาหารเลี้ยงดูผู้คนในหอคำหลวง
- แสนหลวงต่างใจ: ผู้รับใช้กิจการต่าง ๆ
Remove ads
หัวเมืองขึ้นของนครน่าน
สรุป
มุมมอง
หัวเมืองขึ้นของนครน่าน พ.ศ. 2327–2347
จากจารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น มีหัวเมืองขึ้นอยู่ 474 หัวเมือง จารึกดังกล่าวปรากฏอยู่บนคอสองเฉลียงระเบียงล้อมพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งได้จารึกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์ไทย รัชกาลที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรี ได้ระบุถึงเจ้าผู้ครองนครน่าน และหัวเมืองที่ขึ้นกับนครน่าน ดังนี้
จารึกทำเนียบหัวเมืองและผู้ครองเมือง ทิศเหนือ ...เมืองเชียงของ 1 เมืองโปง 1 เมืองเงิน 1 เมืองสราว 1 เมืองปัว 1 อยู่ทางหนเหนือขึ้นกับเมืองน่าน เมืองหิน 1 เมืองงั่ว 1 อยู่ทางหนใต้ ขึ้นกับเมืองน่าน รวมเป็น 7 เมือง ผู้ครองเมืองน่าน มีนามว่า พระยามงคลยศประเทศราช เจ้าเมืองน่าน[12]
หัวเมืองขึ้นของนครน่าน พ.ศ. 2400–2445
นครน่าน เป็นหัวเมืองที่มีอาณาเขตกว้างขวาง จากรายงานทางราชการของนครน่านที่มีไปถึงกรุงเทพฯ เมื่อปี พ.ศ. 2444–2445 ในรัชสมัยพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดชฯ พระเจ้าผู้ครองนครน่าน ปกครองมีหัวเมืองขึ้น 47 เมือง[13] ประกอบด้วย
- เมืองเชียงของ
- เมืองเทิง
- เมืองเชียงคำ
- เมืองเงิน
- เมืองหลวงภูคา
- เมืองไชยพรหม
- เมืองริม
- เมืองแงง
- เมืองเชียงคาน
- เมืองเชียงกลาง
- เมืองและ
- เมืองเปือ
- เมืองงอบ
- เมืองบ่อ
- เมืองปอน
- เมืองปัว
- เมืองย่าง
- เมืองยม
- เมืองอวน
- เมืองพง
- เมืองบ่อว้า
- เมืองควร
- เมืองเชียงฮ่อน
- เมืองเชียงลม
- เมืองคอบ
- เมืองสวด
- เมืองเชียงม่วน
- เมืองเชียงแรง
- เมืองเชียงเคี่ยน
- เมืองสะเอียบ
- เมืองสระ
- เมืองปง
- เมืองออย
- เมืองงิม
- เมืองมิน
- เมืองยอด
- เมืองสะเกิน
- เมืองลอย
- เมืองลี
- เมืองศรีษะเกษ
- เมืองหิน
- เมืองสา
- เมืองท่าแฝก
- เมืองหาดล้า
- เมืองท่าปลา
- เมืองผาเลือด
- เมืองจะลิม
Remove ads
การตั้งเมืองน่านในปัจจุบัน
สรุป
มุมมอง
พญาผากอง กษัตริย์น่าน องค์ที่ 7 แห่งราชวงศ์ภูคา (พ.ศ. 1904–1929) ได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ ณ บริเวณริมฝั่งแม่น้ำน่านทางด้านทิศตะวันตก (ฝั่งขวา) ของแม่น้ำน่าน บริเวณบ้านห้วยไค้ (ที่ตั้งของจังหวัดน่านในปัจจุบัน) เมื่อ "ปีรวายซง้า จุลศักราชได้ 730 ตัวเดือน 12 ขึ้น 6 ค่ำ วันอังคารยามแถหั้นแล" หรือตรงกับวันศุกร์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 1911 (ขึ้น 6 ค่ำ เดือน 12 เหนือ)[7] ในสมัยต่อมานครน่านมีตัวเมือง 2 แห่ง คือ "เวียงน่านเก่า" หรือเรียกว่า “เวียงใต้” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำน่านแห่งหนึ่ง กับ "เวียงน่านใหม่" หรือเรียกว่า “เวียงเหนือ” ตั้งอยู่บนดอนข้างหลังเวียงเก่าถัดขึ้นไปอีกแห่งหนึ่ง เหตุที่มีตัวเมืองสองแห่งนั้น กล่าวคือ เริ่มตั้งแต่พญาผากองได้ย้ายมาตั้งเมืองที่ริมแม่น้ำน่านทางด้านทิศตะวันตก (ฝั่งขวา) มีกษัตริย์น่านและเจ้าผู้ครองนครน่านได้ผลัดเปลี่ยนกันขึ้นปกครองเมืองสืบวงศ์ต่อ ๆ กันมาหลายชั่วหลายวงศ์ จนมาถึงปี พ.ศ. 2360 ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ นครน่าน ได้เกิดอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ กระแสน้ำได้พัดกำแพงเมืองและวัดวาอารามบ้านเรือนในเวียงน่านเก่าเสียหายเป็นจำนวนมาก[8]
พระยาสุมนเทวราช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 58 และองค์ที่ 8 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2353–2368) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครในขณะนั้น จึงโปรดให้ย้ายเมืองขึ้นไปตั้งอยู่ที่บริเวณดงพระเนตรช้าง (ปัจจุบันอยู่ในเขตบ้านมหาโพธิ และบ้านเวียงเหนือ ตำบลเวียงเหนือ อำเภอเมืองน่าน) อยู่ห่างจากตัวเวียงน่านเก่าขึ้นไปทางทิศเหนือ ประมาณ 3 กิโลเมตร ตัวเมืองทอดไปตามลำแม่น้ำน่าน ห่างจากแม่น้ำประมาณ 800 เมตร มีเขตมณฑลแห่งคูเมือง คือ ด้านเหนือจดบ้านน้ำล้อม ด้านตะวันออกยาวไปตามถนนสุมนเทวราชเดี๋ยวนี้ ด้านใต้จดทุ่งนาริน ด้านตะวันตกยาวไปตามแนวของขอบสนามบินด้านนอก[8] และใช้เวลาสร้างอยู่ 6 เดือนจึงแล้วเสร็จ พงศาวดารเมืองน่านได้ระบุว่า “คูเมือง ด้านตะวันออกยาว 940 ต่า ด้านตะวันตกยาว 728 ต่า ด้านใต้ยาว 393 ต่า ด้านเหนือยาว 677 ต่า ปากคูกว้าง 5 ศอก ท้องคูกว้าง 4 ศอก ลึก 9 ศอก“[7] และได้ย้ายขึ้นไปอยู่เมืองใหม่เมื่อปี พ.ศ. 2362[8] ปัจจุบันยังพบร่องรอยคูน้ำคันดินอยู่ เจ้าผู้ครองนครน่านประทับอยู่ที่ราชวังหอคำหลวงเวียงเหนือสืบกันมาได้ 4 พระองค์ เป็นระยะเวลา 36 ปี
ต่อมาในปี พ.ศ. 2397 ในรัชสมัยเจ้าอนันตวรฤทธิเดชฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 62 และองค์ที่ 12 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2396–2434) ทรงเป็นเจ้าผู้ครองนครในขณะนั้น จึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตย้ายเมืองกลับมาตั้งอยู่ที่เวียงน่านเก่าดังเดิม โปรดให้ซ่อมกำแพงเมืองให้มั่นคง โดยสร้างเป็นกำแพงอิฐ สร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. 2400 ตัวเมืองเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าหันหน้าออกสู่แม่น้ำน่าน ตัวกำแพงก่ออิฐถือปูนประดับใบเสมา ตั้งอยู่บนเชิงเทิน ซุ้มประตูและป้อมเป็นทรงเรือนยอด กำแพงสูงประมาณ 6 เมตร เชิงเทินกว้าง 2.20 เมตร ใบเสมากว้าง 1 เมตร ยาว 0.90 เมตร สูง 1.20 เมตร ความสูงจากเชิงเทินถึงใบเสมาประมาณ 2 เมตร ตรงมุมกำแพงก่อป้อมไว้ทั้ง 4 แห่ง มีปืนใหญ่ประจำป้อม ๆ ละ 4 กระบอก[8]
- กำแพงด้านทิศเหนือยาว ยาวประมาณ 900 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
- ประตูริม เป็นประตูเมืองที่เดินทางสู่เมืองขึ้นของนครน่านทางทิศเหนือ เช่น เมืองเชียงคำ เมืองเทิง และเมืองเชียงของ เป็นต้น
- ประตูอมร เป็นประตูที่เจาะขึ้นใหม่ เมื่อปี พ.ศ. 2450
- กำแพงด้านทิศตะวันออก ยาวประมาณ 650 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
- ประตูชัย เป็นประตูที่เจ้าผู้ครองนครและเจ้านายชั้นสูงใช้ในการเดินทางชลมาร์คไปกรุงเทพฯ
- ประตูน้ำเข้ม ใช้สำหรับติดต่อค้าขายทางน้ำ และเป็นประตูเข้าออกสู่แม่น้ำน่านของประชาชนทั่วไป
- กำแพงด้านทิศใต้ ยาวประมาณ 1,400 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
- ประตูเชียงใหม่ เป็นประตูเมืองที่เดินทางไปสู่ต่างเมือง เช่น นครเชียงใหม่
- ประตูท่าลี่ เป็นประตูที่นำศพออกไปเผานอกเมือง ณ สุสานดอนไชย
- กำแพงด้านทิศตะวันตก ยาวประมาณ 950 เมตร ประกอบ 2 ประตู คือ
- ประตูปล่องน้ำ ใช้ในการระบายน้ำจากตัวเมืองออกสู่ด้านนอก
- ประตูหนองห้า เป็นประตูสำหรับคนในเมืองออกไปทำไร่ทำนา และใช้ขนผลผลิตเข้ามาในเมือง
ลักษณะของประตูเมือง ทำเป็นซุ้ม บานประตูเป็นไม้ หลังคาประตูเป็นทรงเรือนยอดสี่เหลี่ยมซ้อนกันสามชั้น มีป้อมอยู่เพียงสามป้อมอยู่ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ และด้านตะวันตกเฉียงใต้ เป็นป้อมแปดเหลี่ยม หลังคาทรงเรือนยอดซ้อนกันสองชั้น หลังคาชั้นแรกเป็นทรงแปดเหลี่ยม ชั้นที่สองเป็นทรงสี่เหลี่ยม[ต้องการอ้างอิง]
Remove ads
รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน
สรุป
มุมมอง
รายพระนามเจ้าผู้ครองนครน่าน 14 พระองค์ แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ (พ.ศ. 2270–2474) มีรายพระนามตามลำดับ ดังนี้[7]
Remove ads
การขอแต่งตั้งเจ้าผู้ครองนครน่าน (ไม่สำเร็จ)
สรุป
มุมมอง
เมื่อเสร็จการพระพิธีถวายพระเพลิงพระศพ เจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 และองค์ที่ 14 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2475 แล้วนั้น เจ้านายบุตรหลานและเหล่าราษฎรนครน่าน ได้มีฎีกากราบบังคมทูล พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี ความว่า ..ขอให้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้ง "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" ผู้เป็นพระภาติยะ (หลาน) ของเจ้ามหาพรหมสุรธาดาฯ เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 ขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน" องค์ต่อไป แต่เนื่องจากในเวลานั้นทางรัฐบาลสยามได้เกิดการปฎิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 จึงพระราชทานฎีกานั้นไปให้คณะราษฎร พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีสยาม คนที่ 1 พิจารณาพร้อมกับคณะรัฐมนตรีสมัยนั้นได้พิจารณาลงเห็นว่า เมื่อครั้งรัฐบาลราชาธิปไตยในสมัยรัชกาลที่ 7 พระองค์เคยมีพระราชดำริที่จะไม่ทรงตั้งเจ้าผู้ครองนครอีกต่อไป เมื่อเจ้าผู้ครองนครองค์ใดเสด็จถึงแก่พิราลัยลงก็จะไม่ทรงแต่งตั้งขึ้นอีก
แต่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 ทรงเห็นว่านครน่าน เป็นหัวเมืองชายแดนที่เสี่ยงต่อการถูกยุยงให้เข้าหาจักรวรรดิฝรั่งเศส อีกทั้งสถานการณ์ปลี่ยนไปเนื่องจากอาณาจักรสยามไม่ได้ปกครองโดยพระมหากษัตริย์เหมือนแต่ก่อน เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนเป็นประชาธิปไตยเช่นนี้ควรที่รัฐบาลจะได้พิจารณาทบทวนนโยบายเดิมเสียด้วย รัฐบาลในยุคนั้นได้พิจารณากันต่อเนื่องยาวนาน และมีการเสนอว่าควรจะเลิกตำแหน่งเจ้าผู้ครองนคร แล้วสถาปนาเจ้านายฝ่ายเหนือให้เป็น "Prince" แบบที่ราชสำนักญี่ปุ่นตั้งเจ้านายเกาหลี บ้างก็เสนอให้ตั้งเป็นพระองค์เจ้า แล้วแยกเป็นวงศ์ "ณ เชียงใหม่", "ณ ลำปาง", "ณ ลำพูน", "ณ น่าน" กันไป
สุดท้ายคณะราษฎรจึงได้ส่ง มหาอำมาตย์ตรี พระยาจ่าแสนยบดีศรีบริบาล (ชิต สุนทรวร) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ให้ขึ้นมาสืบข่าวในนครน่าน จึงพบว่า "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" ในขณะนั้นมีชนมายุ 70 ปี และเป็นพระโอรสในพระเจ้าสุริยพงษ์ผริตเดช เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 63 และองค์ที่ 13 แห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ และเป็นผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล "ณ น่าน" และมีความดีความชอบและไม่ยุ่งยากเหมือนวงศ์ตระกูล "ณ ลำปาง" จึงเห็นสมควรให้มีการตั้งขึ้นเป็นเจ้าผู้ครองนครน่านได้ ครั้นเมื่อพระยาจ่าแสนยบดีศรีบริบาล (ชิต สุนทรวร) เดินทางกลับกรุงเทพฯ และได้เสียชีวิตลงก่อนจึงไม่ได้เสนอ เรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณะรัฐบาล และท้ายที่สุดทางรัฐบาลของอาณาจักรสยามลงความเห็นว่าไม่ควรให้มีตำแหน่งเจ้าผู้ครองนครอีกต่อไป โดยให้เหตุผลว่าในเวลานั้นไม่มีราษฎรเลื่อมใสในเจ้านายแล้ว จึงทำให้ "อำมาตย์โท เจ้าราชวงศ์ (สุทธิสาร ณ น่าน) เจ้าราชวงศ์นครน่าน" มิได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็น "เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 65" ต่อจาก เจ้ามหาพรหมสุรธาดา เจ้าผู้ครองนครน่าน องค์ที่ 64 จึงถือเป็นการสิ้นสุดระบอบการปกครองของเจ้านายแห่งราชวงศ์ติ๋นมหาวงศ์ในนครน่านนับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา[21]
Remove ads
ดูเพิ่ม
หมายเหตุ
- อาณาจักรหลักคำ (กฎหมายเมืองน่าน) ยกเลิกใช้ในปี พ.ศ. 2451
อ้างอิง
Wikiwand - on
Seamless Wikipedia browsing. On steroids.
Remove ads